The Great General (3)
วังตะวันออก
อวิ๋นหนานยืนอยู่หน้าสะพานข้ามภพ แผ่นหลังเหยียดสายตาตรงมองไปข้างหน้า ดวงตาสีทองสว่างของเขาปรากฏแววซับซ้อน สะพานข้ามภพว่างเปล่า เซียนน้อยตนนั้นไม่ได้กลับมายังวังตะวันออก ตงหวางเช่นเขาไม่ควรยึดติดกับเรื่องใด กระนั้น ภาพร่างกายของอลันระเบิดสิ้นใจต่อหน้าเขากลับไม่อาจลบเลือนไปได้โดยง่าย หยดเลือดอุ่นๆ ที่แฝงความปรารถนาดีคล้ายจะดึงความทรงจำบางอย่างออกมา เหมือนจะชัดเจนแต่กลับลางเลือนเกินกว่าจะเข้าใจ ไม่ต่างกับความฝันในยามค่ำคืน ที่มักจะถูกลืมเลือนยามรุ่งสาง
เวลานั้นเอง ร่างเงาหนึ่งปรากฏขึ้นบนสะพานข้ามภพ ร่างสูงใหญ่สวมเสื้อคลุมยาวสีดำทั้งตัว ดวงตาสองสีทอประกายกร้าว หากไม่ใช่เทพยามาแล้วยังจะเป็นผู้ใดได้อีก อวิ๋นหนานไม่คาดว่าจะอีกฝ่ายจะมาเยือนวังตะวันออก แต่เมื่อได้ยินคำถามของอี้เทียน ดวงตาสีทองก็ขยายกล้าวขึ้นก่อนจะหรี่ลงอย่างใช้ความคิด
“อยู่ที่นี่หรือไม่”
เห็นสีหน้าของเจ้าวังตะวันออก อี้เทียนก็พอจะเดาคำตอบได้ ความรู้สึกไม่สบายใจสายหนึ่งแวบผ่านเข้ามา ไม่ได้อยู่ยมโลก ไม่ได้มาวังตะวันออก แล้วไปที่ใด โดยไม่รีรอร่างสูงของเขาหันหลังกลับ เปลี่ยนทิศทางไปยังหอคุณธรรม แต่ก้าวไปได้เพียงก้าวเดียว ก็รู้สึกได้ถึงฝีเท้าอีกคู่ที่ก้าวตามมา
เมื่อเห็นเทพชั้นสูงทั้งสองปรากฏตัว ณ หอคุณธรรม เปียวขุยมิได้แปลกใจนัก จะกล่าวว่าเขาทำใจมาระยะหนึ่งก็ได้ นับตั้งแต่ส่งดวงจิตของจิวซือไปยังอดีตชาติเมื่อสองวันก่อน ก็คิดอยู่แล้วว่าจะต้องมีคำอธิบายให้กับเทพทั้งสอง ความสัมพันธ์ของทั้งสาม เปียวขุยมิกล้าคาดเดา อย่างไรก็ตามเมื่อเห็นตงหวางและเทพยามามาเยือนหอคุณธรรมพร้อมกัน เขาก็ทราบว่าเซียนน้อยตนนั้นมีความสำคัญอย่างไม่ธรรมดา ไม่ใช่แต่เพียงกับเทพทั้งสอง ยังรวมถึงพระแม่ และบางทีแม้แต่หอคุณธรรมด้วย
โดยปกติหลังจากขบด่านทดสอบคุณธรรมแต่ละด่าน หอคุณธรรมจะตัดสินผลการทดสอบ และบอกแก่ผู้คุมอย่างเปียวขุย หากผ่านลูกแก้วคุณธรรม โดยหากผ่านบททดสอบ มันจะเรืองแสงสีเขียว หากไม่ผ่านจะเรืองแสงมีเหลืองหม่น แต่คราวนี้กลับไม่มีปฏิกิริยาใดๆ หอคุณธรรมยังคงยินยอมส่งดวงจิตของจิวซือไปยังอดีตชาติตามที่เปียวขุยปรารถนา แต่ไม่ยอมเปิดเผยผลการทดสอบในชาติที่แล้วของจิวซือให้เขาได้รับรู้
“ส่งเขาไปแล้วหรือ”
“ขอรับ”
“นำทาง”
“ตงหวาง เทพยามา ที่ที่เซียนน้อยไปนั้น มิใช่ด่านทดสอบธรรมดา แต่เป็น...” เปียวขุยไม่คิดปกปิดเรื่องที่เขาส่งดวงจิตของจิวซือไปอดีตชาติของเจ้าตัว ประการแรกเพราะเขาทราบว่าไม่มีทางทั้งคู่ การปิดบังรังแต่จะทำให้เรื่องราวใหญ่โตขึ้น ตงหวางเป็นผู้ใด เจ้าแห่งยมโลกเป็นผู้ใด ไม่มีใครรับรองได้ว่าพวกเขาทั้งสองจะไม่ก่อเรื่องใหญ่เพราะเซียนน้อยตนเดียว ประการที่สอง เขาเห็นใจเซียนตนนั้น ตลอดทั้งสิบภพชาติที่ผ่านมา ไม่มีด่านทดสอบใดเรียกได้ว่าง่ายดาย ไม่มีชาติใดมีจุดจบที่ดี ไม่ตายอย่างทรมานก็ต้องตายไปพร้อมกับความเสียใจ เด็กคนนั้นผ่านมาได้จนถึงเวลานี้ทำให้เขาที่เคยสอบตกด่านคุณธรรมเกิดความนับถือขึ้นในใจ และอดเอาใจช่วยไม่ได้
เห็นสีหน้าของตงหวางขรึมลงแทบจะในทันทีที่เขาบอกว่าส่งดวงจิตของจิวซือที่ใด คนทั่วไปอาจไม่เข้าใจความนัย แต่ตงหวางมีหรือจะไม่เข้าใจ หลายครั้งเขานึกสงสัยเจตนาของพระแม่ หากพระนางตั้งใจจะทำลายเซียนตนนี้ เหตุใดไม่ทำลายดวงจิตนั้นเสีย เหตุใดต้องใช้วิธีการอ้อมค้อมเช่นนี้
“คราวนี้ต่างจากคราวก่อนๆ ดวงจิตของเซียนผสานแทบจะเป็นหนึ่งเดียวกับร่างเดิม ลวงตากลับกลายเป็นแท้จริง หาใช่เพียงบททดสอบไม่ หากแยกก่อนถึงอายุขัย หรือเกิดการเปลี่ยนแปลงไม่คาดคิด” เปียวขุยถอนหายใจ “น้อยสุดคือชะตาเซียนของเขาถูกทำลาย ไม่อาจเข้าสู่วิถีเซียน ร้ายแรงสุดคือดวงจิต...สลาย”
อึก!
ลำคอของเปียวขุยถูกฝ่ามือใหญ่ของอี้เทียนบีบแน่นจนปลายเท้าลอยขึ้นจากพื้นเล็กน้อย แม้ลำคอถูกบีบจนขาดอากาศหายใจ สีหน้าของเปียวขุยก็ไร้แววแตกตื่น เขาเตรียมใจมาแล้วนับตั้งแต่ส่งเซียนน้อยไปที่นั่น ท่าทางกริ้วโกรธาของเทพยามาจึงไม่ได้อยู่นอกเหนือการคาดการณ์ของเขา
“ผู้ใด” ได้ยินเสียงถามกึ่งคำรามของเจ้าผู้ปกครองยมโลก เปียวขุยเพียงแต่หลับตาลง จะฆ่าก็ฆ่า เขามิอาจเปิดเผยได้ กระทั่งศีรษะว่างเปล่าขาวโพลน ค่อยรู้สึกว่าแรงที่ลำคอคลายออก ก่อนที่ร่างของเขาจะถูกโยนไปกระแทกพื้นไม่ต่างจากว่าวขาดสายป่าน
เปียวขุยไอโขลก ร่างทั้งร่างเย็นเฉียบสั่นสะท้านเมื่อถูกไอดำแทรกซึมเข้าไปในกระดูก อวิ๋นหนานมองร่างที่ทรุดอยู่บนพื้นด้วยสายตาเรียบเฉย ภายใต้ความไม่ยินดียินร้ายคือพายุอารมณ์ที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้น กลั่นออกมาเป็นคำพูดประโยคหนึ่ง ประโยคที่ทรยศหน้ากากสุขุมซึ่งสวมไว้ตลอดเวลา
“ผู้คุมเปียว ข้าต้องการเห็น...ทุกอย่าง”
**********************************
เฟิงจวน เป็นสำนักศึกษาที่มีชื่อเสียงอันดับหนึ่งแห่งแผ่นดินต้าเสิน นักเรียนทั้งหมดล้วนเป็นลูกหลานตระกูลขุนนาง ทั้งยังต้องสอบผ่านจึงจะสามารถเข้าเรียนได้ ซื่อเสวี่ยนสอบเข้าเฟิงจวนตอนอายุแปดขวบพร้อมอี้เทียน เวลานั้นค่อยรู้ว่า ‘พี่อี้’ อายุเท่ากับเขา ไม่สิ อายุน้อยกว่าเขาสามวัน นับจากวันนั้น ซื่อเสวี่ยนไม่ยอมเรียกอีกฝ่ายว่าพี่ง่ายๆ อีก ไม่ใช่เพราะเขารู้สึกเสียศักดิ์ศรีหรืออับอายแต่อย่างใด แต่เพราะเขาชื่นชอบที่จะได้เห็นสีหน้าหงุดหงิดของอี้เทียน และกริยาคะยั้นคะยอแกมเอาแต่ใจเวลาต้องการได้ยินเขาเรียกว่าพี่ อาจารย์ทั้งหลายเรียกอี้เทียนว่าปีศาจน้อย ถือว่าเหมาะสมอย่างยิ่ง
อี้เทียนแตกต่างจากบรรดาพี่น้องในตระกูลเฉินและคนตระกูลอื่นทั้งหมดที่เขารู้จัก ไม่เพียงยอมอ่อนข้อให้เขา ดูแลเอาใจใส่เขา ยังแสดงสีหน้าและอารมณ์อย่างเปิดเผย แม้ว่าจะบางครั้งจะเป็นอารมณ์โกรธเกรี้ยว หรือไม่พอใจอย่างไร้เหตุผลเพียงใดก็ตาม เพราะนั่นทำให้เขารู้สึกปลอดภัยและวางใจ ไม่จำเป็นต้องคอยสังเกตสีหน้าและคาดเดาความคิดที่ซ่อนอยู่
ซื่อเสวี่ยนชอบมาเรียนที่เฟิงจวนอย่างยิ่ง แม้เขาไม่มีสหายคนอื่นนอกจากอี้เทียน แต่ก็ยังได้พบปะคนในรุ่นราวคราวเดียวกัน ได้ศึกษาตำราหลายแขนง และได้รับคำชี้แนะจากอาจารย์ที่เก่งกาจ กระทั่งวันหนึ่งเรื่องที่เขามิใช่สายเลือดที่แท้จริงของตระกูลเฉินถูกเล่าลือในเฟิงจวน
“เฉินหนิงบอกว่าเขาถูกรับมาเลี้ยง เพราะครอบครัวถูกประหารทั้งโคตร”
“จริงหรือ ถ้าอย่างนั้นทำไมเขารอดมาได้”
“ได้ยินว่ามีคนเอามาทิ้งไว้หน้าประตูบ้านสกุลเฉิน”
“เหมือนพวกขอทานน่ะหรือ”
“เรียนห้องเดียวกับลูกอนุก็ฝืนใจมากแล้ว นึกไม่ถึงว่าจะเป็นสิ่งแปลกปลอมเพียงนี้”
“หากมิใช่เพราะเขาตีสนิทกับคุณชายตระกูลอี้ ข้าหรือจะยอมเสวนาด้วย”
ซื่อเสวี่ยนมิกล้าโผล่หน้าออกไป ได้แต่ยืนหลบหลังเสารับฟังถ้อยคำโหดร้ายเหล่านั้นกระทั่งเสียงนินทาทั้งหลายเงียบลง ในหัวมีแต่ถ้อยคำที่ได้ยินก้องกังวานขณะที่สองขาพาร่างไร้เรี่ยวแรงของตนเองไปหลังน้ำตกจำลอง เรื่องจริงทั้งนั้นแต่แค่คิดว่าจะต้องพบเจอสายตาและสีหน้าแบบไหน ขาก็พาตัวเองออกมาไกลเสียแล้ว
ซื่อเสวี่ยนนั่งกอดเข่า พิงภูเขาหินจำลอง สายตาว่างเปล่าราวกับปิดกั้นโลกภายนอก และปล่อยให้อารมณ์ ความคิด ความรู้สึกทุกอย่างเก็บกดอยู่ข้างใน
วันนี้คงเข้าเรียนสายแล้ว มิสู้ไม่กลับไป
“อยู่นี่เอง”
เวลานั้น ซื่อเสวี่ยนเห็นใบหน้าที่ทำให้ดวงตาของเขาพร่ามัว
#วิถีเซียน3p
………………….
อดทนผ่านช่วงเวลาบัดซบของน้องด้วยกัน จับมือ