เขียนแบบนี้ครั้งแรกกลัวจะสื่ออารมณ์ไม่ได้ใส่เมโลดี้มาบิ้วหน่อยละกัน
https://youtu.be/T81VosqjBzcChapter 17 Dear master
ท้องฟ้ามืดมิดยามค่ำคืนมีเมฆก้อนบางๆตัดผ่าน หมู่ดาวมากมายส่องแสงระยิบระยับ เงาพระจันทร์เสี้ยวกระทบพื้นน้ำไหลเอื่อยๆของลำธารกว้าง เสียงน้ำไหลคลอเบาๆไปกับเสียงต้นหญ้าสีกัน ลมเย็นๆพัดโชยกระทบผิวจนต้องกระชับเสื้อนอกให้แน่นขึ้น บรรยากาศช่างเปล่าเปลี่ยวเหลือเกิน
ผมล้มตัวลงนอนบนพื้นหญ้าข้างลำธารใหญ่ของหมู่บ้าน สายตาทอดไปบนท้องฟ้าที่มีหมู่ดาวมากมาย ชวนให้นึกถึงบรรยากาศเก่าๆ ตั้งแต่อาจารย์ของผมตัดสินใจลงหลักปักฐานที่นี่ ที่ตรงนี้คือที่ๆผมมักจะออกมานั่งเพื่อเปิดช่องว่างให้อาจารย์ได้อยู่กับภรรยาของท่าน ไม่สิ…ตั้งแต่ท่านกำลังเกี้ยวพานคุณลินดา หรือจะใช้คำว่าเกาะแกะดี ฮ่าๆๆ
ผมจำต้องเดินทางออกจากบ้านตั้งแต่อายุ 12 ปี ทั้งๆที่เตรียมตัวออกมาดีระดับนึง อีกทั้งยังเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจเพราะมีถุงมือเวทและสายรัดข้อมือเวทฟื้นฟูติดตัวออกมาด้วย ผมกลับอยู่รอดได้แค่ 3 วัน อาหารหมด หาเพิ่มก็ไม่ได้ หินเวทก็ใช้พร่ำเพรื่อ สุดท้ายผมเกือบตกเป็นอาหารของพวกหมาป่า ขณะที่ผมกำลังนอนรอความตายจากคมเขี้ยวของหมาป่าที่กระโจนเข้ามาใส่นั่นเอง ลูกธนูปริศนาพุ่งเจาะกะโหลกหมาป่าตัวนั้น พรานป่าร่างสูงปราดเปรียวสมส่วนผมดำยาวปรากฏตัวขวางหน้าผมไว้
ซิดคือคนที่ช่วยชีวิตผมไว้ ตอนแรกท่านจะพาผมไปส่งที่หมู่บ้านใกล้ๆ แต่พอทราบว่าผมไม่มีบ้านหรือใครให้กลับไปหาแล้ว ท่านจำใจรับผมเป็นลูกศิษย์
“ข้าจะสอนวิธีเอาตัวรอดให้ จากนั้นก็ตัวใครตัวมัน” นั่นคือคำอนุญาตให้ติดตามท่านได้
ผมออกติดตามท่านไปทุกหนทุกแห่ง เรียนรู้วิธีหาของป่า การเก็บสมุนไพร พฤติกรรมสัตว์ป่าและมอสเตอร์หลากชนิด การแกะรอย การต่อสู้และการเอาตัวรอด แม้แต่เรื่องการใช้เวทมนต์ที่ท่านใช้ไม่เป็น ท่านก็ใช้ประสบการณ์ที่ท่านพบเจอมาคิดวิธีใช้งานให้ รู้ตัวอีกทีก็ผ่านมา 4 ปีแล้ว เป็นช่วงเวลาที่สนุกที่สุดในชีวิตของผมเลยก็ว่าได้ ท่านคือคนที่เติมเต็มความกระหายการผจญภัยของผม ท่านคือโลกทั้งใบของผม
“มาแอบนอนตรงนี้เหมือนเดิมเลยนะ รอส” เสียงทุ้มต่ำทักขึ้นจากข้างหลัง เล่นเอาผมสะดุ้ง อาจารย์ซิดนั่นเอง
“อาจารย์มาทำอะไรหรอครับ”
“มีเรื่องอยากคุยด้วย ไม่มีโอกาสให้ได้คุยกันดีๆสักที”
<จะโดนขุดเรื่องอะไรมาดุอีกมั้ยเนี่ย> ผมรีบดีดตัวลุกขึ้นมานั่งเมื่ออาจารย์นั่งลงข้างๆผม
“จะเริ่มยังไงดี…” แสงอ่อนๆของพระจันทร์ทำให้เห็นว่าอาจารย์มีสีหน้าประหม่า
“…”
“ข้าขอโทษ”
“…? เรื่องอะไรหรอครับ” ผมงง งงมากด้วย
“เรื่องที่ทำให้เจ้าอึดอัดจนเจ้าต้องปลีกตัวออกไป”
“แหม…แค่นั้นเองไม่เห็นจะมีอะไรเลย ก็อาจารย์เริ่มสร้างครอบครัวแล้วหนิครับ ผมก็ต้องกางปีกออกโบยบินเองบ้าง”
“ข้ารู้ว่าเจ้าคิดกับข้ามากกว่าศิษย์กับอาจารย์”
“มันก็ปกตะ…หะ หา!” ผมโพล่งออกมาแล้วกระเด้งตัวหนีด้วยความตกใจ เห้ย! นี่ตั้งตัวไม่ทันจริงๆนะเนี่ย “ก...ก็ท่านดูแลผม…มะ…มาตลอดนี่ครับ ท่านก็...หม...เหมือนพ่อของผม” ผมรีบกลั้นหายใจอธิบายจนลิ้นพันกัน เสียงตะกุกตะกัก
“เจ้ารักข้าใช่ไหม รอส” อาจารย์หันมามองผมด้วยสีหน้าจริงจัง
“หะ… ปะ…ปละ…เปล่านะ” ผมโบกไม้โบกมือปฏิเสธพันลวันโชคดีจริงๆที่คืนนี้แสงน้อยไม่งั้นท่านคงเห็นว่าผมหน้าแดงหมด
“ไม่ต้องมาโกหก เจ้าหน้าแดงหมดแล้วเนี่ย” โว้ยยยย อยากจะหนีไปโดดน้ำตาย สายตาพรานป่าต้องเห็นอยู่แล้วสินะ
“…” ผมเอามือปิดหน้าแล้วหันหนี
“ข้าขอโทษที่ไม่รู้ตัวให้มันเร็วกว่านี้ นี่ถ้าลินดาไม่มาคุยด้วยหลังจากที่เจ้าไปแล้วข้าก็คงไม่ทันสังเกต ข้าล้มเหลวในฐานะอาจารย์จริงๆ”
“…” ผมมีคำพูดมากมายจุกอยู่ในอก แต่ไม่รู้ว่าจะเรียบเรียงออกมายังไง ได้แต่ก้มหน้าลงมองเงาสะท้อนดวงจันทร์ที่ลำธาร
<มันไม่เป็นอะไรจริงๆครับ ผมเข้าใจ> คือสิ่งที่ผมอยากจะพูด
“ข้าขอโทษที่ละเลยเจ้า ซ้ำร้ายยังให้เจ้าเป็นสื่อกลางให้อีก” ท่านคงหมายถึงเรื่องที่ให้ผมเอาของขวัญไปส่งให้คุณลินดาทุกครั้งหลังออกล่าเสร็จ
จู่ๆดวงตาผมก็รู้สึกร้อนผ่าว ไม่เอาน่า มันผ่านมาแล้ว เราจะไม่ร้องไห้ให้กับเรื่องนี้แล้ว คือสิ่งที่ผมบอกกับตัวเองตั้งแต่วันที่ก้าวออกมา ภาพที่ผมนั่งเช็ดน้ำตาอยู่ที่นี่คนเดียวซ้อนทับกลับขึ้นมา
“และข้าก็ขอโทษที่ไม่สามารถเป็นคนรักให้กับเจ้าได้…”
“พอแล้ว!!” ผมทนไม่ไหวแล้ว ผมพุ่งตัวเข้าไปกอดท่านไว้ น้ำใสๆไหลรินออกจากดวงตา “ฮึก…พอแล้ว ท่านไม่ต้องขอโทษอะไรแล้ว” เสียงของผมสั่นเครือ
“…” ท่านเอาแขนมาโอบตัวกอดผมไว้แนบอก
“ฮึก…ผมเข้าใจดี ผมเข้าใจดีว่า…ฮึก…ไม่สามารถฝืนใจใครได้ ผมจึงขอเดินออกมาเอง” ผมสะอื้นจนตัวสั่น มีอ้อมกอดอุ่นๆของอาจารย์ประคองผมไว้ ท่านขยี้หัวผมเบาๆ
“เพราะเรื่องนี้ใช่ไหม เจ้าถึงลงเอยด้วยการไปเข้าร่วมกลุ่มโจรกลุ่มนั้น”
“…” ผมไม่ตอบอะไร ได้แต่พยักหน้าเบาๆ
ผมใช้ประกาศกิลที่รวมคนไปที่ตอนใต้เพื่อสำรวจดันเจี้ยนเป็นข้ออ้างในการแยกตัวออกมา ช่วงเวลาที่ผมเศร้าโศกเสียใจอยู่นั่นเอง ผมได้รู้จักกับชายคนหนึ่ง เขาเข้ามาตีสนิทผม ให้ความเป็นกันเองกับผม และเป็นคนแรกที่สอนให้ผมรับรู้ความสุขทางกาม ผมคิดว่านั่นคือความรัก ใช่...มันคือความคิดที่ไร้เดียงสา ผมมารู้ทีหลังว่าเขาเป็นหัวหน้ากลุ่มโจรกลุ่มหนึ่งแฝงตัวมาขโมยของ แต่เพื่อความรักแล้ว ผมยอมทำทุกอย่างเพื่อแลกกับรสกามของเขา ผมยอมปล้นขบวนสินค้า ขโมยของมีค่าจากพวกขุนนาง เหลือเพียงการฆ่าคนที่ผมยังทำไม่ได้
“เห้อ ข้าเองก็เอะใจที่เจ้าไปเป็นหัวขโมยได้ ทั้งๆที่เจ้าเป็นคนที่จิตใจอ่อนโยนแท้ๆ เจ้าต้องไปคลุกคลีกับคนแย่ๆพวกนั้นเพราะข้า ข้านี่เป็นอาจารย์ที่แย่จริงๆ”
“ไม่หรอกครับ ผมผิดเอง” มันไม่ใช่ความผิดของอาจารย์เลย เป็นผมที่อ่อนแอต่างหาก
“ถึงข้าจะเป็นคนที่เจ้าต้องการไม่ได้ แต่ข้าก็อยากให้เจ้าได้อยู่กับคนดีๆนะ รอส” ท่านกระชับอ้อมแขนเพื่อส่งผ่านความห่วงใยมาให้ผม ความอบอุ่นที่ผมโหยหามาตลอด ความอบอุ่นที่ไม่เคยมีชายคนไหนที่ผมหลับนอนด้วยให้ได้
“ขอบคุณนะครับ ที่ยังเชื่อมั่นในตัวผม” ผมเองก็กระชับกอดตอบกลับไป มันอบอุ่นต่อหัวใจผมเหลือเกิน
“เอาล่ะ เลิกร้องไห้ได้แล้ว เจ้าเด็กน้อย กลับกันเถอะ” ท่านอาจารย์ของผมกล่าวพร้อมเอานิ้วปาดน้ำตาที่ขอบตาของผมอย่างอ่อนโยน
<ขอบคุณท่านจริงๆที่รับผมเป็นศิษย์ไว้ และขอบคุณโชคชะตาที่ให้ผมได้พบท่าน>
………………………………………….
รุ่งเช้า ณ ประตูทางเข้าหมู่บ้านเครสเซนต์
“พวกผมไปละนะครับ อาจารย์” ผมลาซิดและลินดาที่เดินออกมาส่ง
“ขอบคุณที่ดูแลและให้ที่พักครับ” เร็กซ์โค้งคำนับขอบคุณ
“ด้วยความยินดีจ่ะ” คุณลินดามอบรอยยิ้มอบอุ่นให้
“อาหารของคุณบินดาอร่อยมากเลยครับ”
“ฮ่าๆ แหม ปากหวานแบบนี้แวะมาทานอีกได้เลยนะ เร็กซ์”
“เจ้าแวะมาได้เสมอนะ รอส ที่นี่ก็เหมือนบ้านของเจ้า” อาจารย์ซิดเดินเข้ามาเอามือลูบหัวผม “แล้วก็นี่...” ท่านโยนถุงบางอย่างใส่หน้าผมจนผมต้องรีบยกมือมารับไว้
“นี่มัน...” ถุงเงิน หนักซะด้วย
“ค่าตอบแทน”
“หวา ผมมาช่วยนิดเดียวเอง แถมยังมีนักผจญภัยพวกนั้นด้วย”
“รับๆไปเหอะ ชาวบ้านเค้ารวบรวมมาตอบแทน”
“งั้นก็ขอบคุณครับ”
ผมกับเร็กซ์ขึ้นม้าแล้วเริ่มออกเดินทางต่อ พวกเราโบกไม้โบกมือร่ำลาทุกคน
“อย่าไปก่อเรื่องอีกล่ะ ไม่งั้นข้าตามไปเก็บกลับมาแน่ๆ” ท่านตะโกนทิ้งท้ายมา
“ไม่รับประกันหรอกนะครับ ฮ่าๆๆ” ผมตอบกลับไปพร้อมรอยยิ้มยียวน
“ผมไม่ให้ไปก่อเรื่องหรอกครับ วางใจได้” เร็กซ์ตะโกนแทรกขึ้น
“หะ!!!” ผมต้องหันไปมองด้วยความแปลกใจ อะไรของเจ้านี่เนี่ย
......................................................
ช่วงเที่ยงๆ ณ ทางเดินในป่าเอเดนฝั่งเหนือ
“เจ้าไม่คิดอยากเข้าเรียนในโรงเรียนเวทมนต์บ้างหรอ ข้าพอมีเส้นสายฝากเจ้าได้นะ” จู่ๆเร็กซ์ก็ถามขึ้นมาหลังจากที่พวกเราเริ่มเดินเข้าป่ามาได้สักพัก ผมเดินนำหน้า ถัดมาเป็นเร็กซ์ที่จูงบังเหียนเจ้าฟรีดอยู่
“ทำไมถึงถามขึ้นมา”
“เจ้ามีความสามารถ ถ้าไปร่ำเรียนเวทมนต์ให้เชี่ยวชาญล่ะก็ สามารถออกไปช่วยเหลือผู้คนได้มากมายเลยนะ”
“ตอนนี้ข้าว่าข้าก็ช่วยเหลือผู้คนอยู่นะ”
“ทำในสังกัดราชการจะได้มีเกียรติไง”
“ให้ข้ากลับไปเรียนอีกน่ะหรอ ไม่เอาหรอก”
“ว่าไงนะ”
“ปะ..เปล่า ข้าหมายถึงให้ไปเรียนเพื่อไปเป็นสุนัขรับใช้ วิ่งไปวิ่งมาตามคำสั่งนะหรอ ไม่เอาล่ะ ข้าชอบเลือกงานตามความพอใจและเงื่อนไขที่เหมาะกับตัวเองมากกว่า มีอิสระดี” ผมอธิบาย
<เกือบหลุดออกไปแล้วมั้ยล่ะ>
“หนอย! เรียกให้มันดีๆหน่อย เจ้าไปเอามาจากไหน แล้วทำไมจะไม่เหมาะกับความสามารถล่ะ ปกติคนจ่ายงานก็มักจะเลือกงานที่เหมาะอยู่แล้ว” มันเถียงผมต่อ
“ก็พอได้ยินมาบ้าง แล้วงานที่เจ้าว่ามันทั่วถึงพื้นที่ห่างไกลแบบนี้มั้ยล่ะ” ผมโต้กลับไป
“...” เร็กซ์เงียบไป ไม่ใช่แค่เสียงพูดแม้แต่เสียงฝีเท้าก็หายไป
ผมนึกแปลกใจแล้วหันกลับไปดู เห็นฟรีดกำลังเดินไปดอมดมดอกไม้ใกล้ๆทางเดิน โดยมีเร็กซ์หยุดยืนดูอยู่ เมื่อผมสังเกตดีๆว่าเป็นดอกไม้รูประฆังคว่ำมีกลีบดอกสีเหลืองทองผมก็ต้องผวาแล้วรีบไปดึงฟรีดให้ออกห่าง
“อย่าไปเข้าใกล้นะ” ผมรีบแย่งสายจูงจากมือเร็กซ์แล้วดึงม้าออกห่าง ขืนโดนเกสรมันเข้าล่ะยุ่งแน่
“ทำไม มีพิษหรอ” อัศวินถามด้วยความสงสัยก่อนจะช่วยดึงม้าออกมาแล้วออกเดินต่อ
“ดอกฮอร์นีเลีย (Hornylia) น่ะ จะว่าพิษก็ไม่ใช่ สมุนไพรก็ไม่เชิง” ผมตอบแบบส่งๆ ปกติดอกนี่จะอยู่แต่ป่าเอเดนฝั่งใต้ แต่จะมีข้ามมาบ้างก็ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ แค่ไม่นึกว่าจะมาถึงต้นทางเข้าแบบนี้
“มันทำอะไรได้หรอ”
“ข้าว่าเจ้าไม่อยากรู้หรอก แค่อย่าไปโดนเกสรมันเข้าละกัน” อันที่จริงแค่ชื่อก็น่าจะพอเดาได้ละนะ แต่ลืมไปว่ามันใสซื่อเกินไป
...................................................................
ประกาศ : เนื่องจากผู้แต่งจะเดินทางไปธุระ 2 อาทิตย์ โดยไม่ได้พกโน้ตบุ๊คไปทำให้อาจจะลงตอนต่อไปไม่สะดวกนัก แต่เพราะมันเป็นตอนที่ 18 เลยไม่อยากให้มันขาดไปนาน ยังไงอาจจะลงให้แบบไม่ได้จัดรูปหน้าไปก่อนแล้วค่อยกลับมาแก้ตอนกลับมาแล้วนะครับ
ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ