บทที่35
บทส่งท้าย
“หยุดก่อนทิตย์ อย่าวิ่งสิโว้ย”
“รี่ๆวิ่งๆๆ วิ่งเยยยยยวิ่งหนีอาเมลกันเร๊ววววว”
เออ วิ่งเข้าไป แต่กูเนี่ยที่วิ่งตามต่อไปไม่ไหวแล้วเว้ย ผมได้แต่หยุดวิ่งแล้วยืนหอบอยู่กลางสนามหญ้าในช่วงเวลาบ่ายแก่ๆ มองภาพตรงหน้าคืออาทิตย์กำลังขี่หลังไอ้เชอรรี่แล้ววิ่งไปรอบๆสนาม แล้วสนามบ้านไอ้ทัพมันเล็กมากนักนี่ กูเหนื่อยโว้ย
“อาเมลๆ นี่”
ผมที่หันไปตามแรงดึงจากแขนเสื้อ มองเห็นพระจันทร์ ไอ้เด็กที่หน้าไม่ต่างจากไอ้ตัวที่ขี่หลังไอ้รี่อยู่ตอนนี้ มองดูมือป้อมๆที่กำลังยื่นยาดมส่งมาให้ ...
“ขอบใจมากจันทร์”
“ครับ”
ตอบออกมาสั้นๆตามสไตล์ของมันแล้วหันหลังเดินไปนั่งต่อจิ๊กซอร์ที่ไอ้ทัพหน้าซื้อมาให้มันต่อเล่นที่ม้านั่งด้านข้างสนาม ข้างๆพระจันทร์คือไอ้หลงที่นอนดูพระจันทร์ต่อจิ๊กซอร์อยู่เงียบๆ อะ...พี่น้องสองคน แตกต่างกันเหลือเกิน ...
นี่ก็เป็นเวลากว่าสองเดือนแล้ว ที่ผมกับทัพหน้ารับเด็กสองคนมาอยู่ด้วยกัน ในตอนแรก กับการเลี้ยงดูเด็กมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย มีอะไรหลายๆอย่างที่ผมยังไม่เข้าใจ รวมถึงทัพหน้าเองก็ไม่ต่างกัน แต่ตอนนี้ อะไรหลายๆอย่างเริ่มจะลงตัวแล้ว ผมที่ใกล้จะเรียนจบแล้ว อีกเดือนเดียวก็ทำเรื่องจบได้แล้ว เพราะแบบนี้ตอนนี้เลยมีเวลาว่างมากๆที่จะช่วยดูแลเจ้าสองแฝดได้อย่างเต็มที่ อาทิตย์กับจันทร์ไม่ยอมอยู่กับแม่ของผม ดูเหมือนว่าเจ้าสองแฝดจะสนิทกับทัพมากกว่าใคร สนิทแค่ไหนก็ให้ดูที่
“อาเมลลลล ป๊ากลับมาแล้วครับบบบ” อาทิตย์ที่ขี่ไอ้รี่ไปจนถึงหน้าบ้านตะโกนออกมาแบบนั้น ผมที่ลุกขึ้นยืนแล้วมองตามไปก็เห็นว่ารถมัสแตงสีแดงคันประจำตัวของมันได้ขับตรงเข้าไปจอดอยู่ที่โรงจอดรถจริงๆ
“อาเมล ป๊ามาแล้วไปกันเถอะ”
พระจันทร์ที่เดินอุ้มไอ้หลงเข้ามาหาผมว่าออกมาแบบนั้น ผมก้มลงไปมองหน้าเจ้าเด็กนั่นแล้วก้มลงไปหอมแก้มใสนั่น น่าหมั่นเขี้ยว พระจันทร์ก้มหน้าน้อยๆแล้วยิ้มออกมาหน่อยๆตามสไตล์ เขินครับแต่ชอบทำนิ่ง
“เอาหลงมานี่เดี๋ยวอาเมลอุ้มเอง”
“ครับผม”
ว่าแบบนั้นแล้วยื่นไอ้หลงมาให้ผมอุ้ม ไอ้ลูกแมวเด็กนี่พอมาอยู่กับผมก็ซุกลงที่อกแบบคุ้นมือ มืออีกข้างของผมยื่นไปให้พระจันทร์จับมือ มือเล็กๆที่เอื้อมมาคว้ามือของผมไว้ สายตาทอประกายของพระจันทร์ที่เงยหน้ามองผมหน่อยๆเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่าง
“ว่าไง มองหน้าอาเมลทำไม”
“พระจันทร์มีความสุขครับ”
“หื้ม?”
“พระจันทร์มีอาทิตย์ มีอาเมล มีป๊าทัพ มีรี่มีหลง มีความสุขที่สุดเลย”
ว่าออกมาแบบนั้นแล้วแก้มกลมๆของเจ้าเด็กตรงหน้าก็ขยายออกเพราะเจ้าตัวยิ้ม พระจันทร์ยิ้มออกมากว้างๆเป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นหลานยิ้มแบบนั้น เป็นรอยยิ้มที่ทำให้ผมมีความสุขมากที่สุดจริงๆ ถ้าก้ามองอยู่ เมลอยากให้ก้ารู้นะ ไม่ต้องห่วงสองแฝด เมลจะดูแลเค้าให้ดีที่สุดเหมือนลูกของเมลเองเลย
“ดีจัง อาเมลก็มีความสุขเหมือนกันครับ”
“อื้มม”
“อาเมลลลล มาไวๆ ป๊ามีเป็ดย่างโด้ยยยๆ”
เสียงตื่นเต้นดีใจทีทำให้ผมกับพระจันทร์ต้องหันไปมอง พระอาทิตย์ที่ถูกทัพหน้าอุ้มด้วยมือข้างเดียวอยู่ตอนนี้ เจ้าตัวเล็กที่กำลังชูมือชูไม้โบกมือไปมาแบบดีใจอยู่ตรงโรงจอดรถ ผมที่ค่อยๆจูงมือพระจันทร์เข้าไปหา ก่อนจะมองไปที่หน้าของทัพหน้าแล้วส่งยิ้มไปให้ สายตาคมของทัพหน้าที่มองมาที่ผมและพระจันทร์ช้าๆ ก่อนที่จะเลื่อนสายตามามองตาของผม เราสองคนที่สบตากันในความเงียบ เพราะต่างฝ่ายต่างไม่พูดอะไรออกมา เราสองคนที่ทำเพียงแค่ยิ้มออกมาให้กันและกันในตอนนั้น ... ครอบครัวที่สมบูรณ์ที่อยากจะได้ ก็ต้องขอบคุณผู้ชายคนนี้จากหัวใจของผมจริงๆ
“วันนี้มีเป็ดย่างของโปรดใครกัน”
“อาทิตย์”
“พระจันทร์”
“งั้นวันนี้ต้องกินให้เยอะๆ โอเคไหม”
“เคคร๊าบบบ/โอเชชช”
เสียงใสๆสองเสียงที่ร้องออกมาพร้อมๆกัน ก่อนที่อาทิตย์จะดิ้นลงมาจากตัวของทัพหน้า เจ้าสองแฝดที่วิ่งเข้าหากันแล้ววิ่งมาจับมือกันเข้าไปในบ้านทั้งแบบนั้น ผมกับทัพหน้าที่มองตามไปแล้วยิ้มออกมา เพราะมีเด็กๆมาอยู่บ้าน บ้านของเราเลยสดใสขึ้นเยอะเลย
‘ฟอด’
“อ๊ะ ทัพหน้า”
“คิดถึงจังเลยครับ ขอกำลังใจนิดหน่อยทำไมต้องดุด้วยวะคุณแม่”
“แม่พ่อง เดี๋ยวดีดไข่เลย พูดบ้าไรวะพี่”
ผมที่วางไอ้หลงลงกับพื้นแล้วหันไปต่อยแขนคนข้างๆ ทัพหน้าที่ทำหน้าทำตาเหมือนแค่โดนใบไม้สะกิดยักไหล่ออกมานิดๆแบบไม่สะท้าน หลังๆมานี่ก็กวนตีนน้อยซะที่ไหนกันล่ะ
“ฮ่าๆ ไปเถอะ เข้าไปข้างในบ้านกัน”
“อื้ม”
ตอบรับอีกฝ่ายออกไปแบบนั้นในตอนที่วงแขนแกร่งเลื่อนมาโอบอยู่ที่เอวของผม ผมหันไปรับชุดสูทของมันมาไว้ในมือ เราสองคนที่เดินเข้าบ้านไปพร้อมๆกัน บ้านที่เป็นบ้านของเราจริงๆในวันนี้
ช่วงเวลาประมาณสองทุ่มครึ่ง หลังจากทานข้าวเสร็จเรียบร้อย และเวลาหรรษาก็เกิดขึ้น ยิ่งกว่าจับปูใส่กระด้งตอนที่อาบน้ำเจ้าสองแฝดเรียบร้อยแล้วต้องเอาทั้งสองคนมาแต่งตัว
“หยุดๆ อย่าโดดแบบนั้นลงมาหาอาเมลเลยอาทิตย์” ผมหันไปปรามเด็กที่ปีนขึ้นไปบนเก้าอี้โซฟา แล้วกระโดดไปมาอยู่บนเก้าอี้หลุยหนังดี แต่ตอนนี้ถูกไอ้ทิตย์เหยียบซะสนุก
“ดึ๋งๆๆ ทิตย์โดดเก่งไหมอาเมล”
“เออ รู้แล้วลงมา อะ จันทร์ยกแขนขึ้น ฮึบ แบบนั้นเก่งมาก” เอ่ยชมมันตอนที่แขนป้อมๆชูขึ้นให้ผมได้ใส่เสื้อ ก้มหน้าลงไปจุ๊บแก้มมันที่นึง
“อื้ม หอมๆเลยเว้ย”
“หอมๆน่ารักแล้วใช่ไหมอาเมล”
“ครับผม”
“จันทร์น่ารักนิดเดียวนะ ที่เหลือจันทร์หล่อเหมือนป๊าเลย”
“อะ ไม่หล่อแบบอาเมลหรอวะ” หันไปถามมันแต่พระจันทร์ก็ส่ายหัว คำตอบของเด็กสามขวบช่างตีเข้าที่หัวใจ เค้าบอกว่าเด็กไม่โกหก โกหกนิดหน่อยให้กูชื่นใจหน่อยก็ได้เว้ย
“หล่อแบบป๊าทัพ แล้วน่ารักนิดๆเหมือนอาเมล”
“หึ”
เสียงหัวเราะในลำคอที่ดังมาพร้อมๆกับร่างสูงๆของทัพหน้าที่เดินเข้ามาในห้องรับแขกที่พวกเรานั่งกันอยู่ตอนนี้ ผมหันไปมองแรงใส่คนมาใหม่
“อาทิตย์ลงจากเก้าอี้ อย่ากระโดษแบบนั้น”
ทัพหน้าที่หันไปพูดกับเจ้าตัวแสบนิ่งๆแค่นั้น ไอ้ตัวเล็กก็หยุดโดดทันทีแล้วค่อยๆปีนลงมาจากเก้าอี้ดีๆ ... เดี๋ยวนะ แล้วเมื่อกี้กูพูดกี่รอบถามก่อน
“ทิตย์ลงแล้วครับ”
“ดี อย่าดื้อกับอาเมลเข้าใจไหม มาแต่งตัวได้แล้วมา”
“แต่งตัวๆ อาเมลปะแป้งให้ทิตย์หอมเลยน้า”
อาทิตย์ที่วิ่งเข้ามาหาผมพร้อมๆเสื้อนอนลายสิงโตสีน้ำตาลของมัน ทางด้านพระจันทร์ใส่เสื้อลายลูกแมวสีน้ำเงินเข้ม ได้เสื้อสองตัวนี้มาเมื่อเดือนก่อนตอนที่ทัพหน้าพาเด็กๆออกไปซื้อของ
“ไหน คนไหนไม่ดื้อ”
“ทิตย์จ้า”
ว่าแบบนั้นแล้วพุ่งเข้ามาหอมแก้มผมแรงๆพร้อมกอดเอวไปด้วย เห็นแบบนั้นแล้วก็ต้องยื่นมือไปบีบจมูกโด่งๆนั่น ดื้อแต่ขี้อ้อนเหลือเกินไอ้ตัวนี้
‘ปี๊นๆ’
“เอ๋ เสียงรถมาๆล่ะอาเมล”
อาทิตย์ที่ว่าออกมาแบบนั้น ทำเอาผมต้องเงยหน้าขึ้นไปมองหน้าทัพแบบสงสัย ไม่ต่างกันกับเจ้าตัวที่มองหน้าผมแบบไม่รู้เรื่องเหมือนกัน ผมที่รีบแต่งตัวให้อาทิตย์จนเสร็จ ทัพหน้าที่ลุกออกไปที่โถงทางเดินด้วยตัวเอง เวลาผ่านไปสักพักร่างสูงก็เดินเข้ามา
“ใครมาหรอ...อ่ะ เอ่อ...”
ผมที่ถามออกไปแบบนั้นแล้วก็ต้องอ้าปากค้างในตอนที่มองเห็นผู้มาใหม่ที่เดินตามทัพหน้าเข้ามา ... พ่อกับแม่ของทัพหน้า ด้านหลังมีนักรบ รุกฆาตและอีกคนนึง...เด็กผู้ชายที่ดูจะอายุน้อยที่สุดที่กำลังส่งยิ้มมาให้ผม คิดเอาเองว่านั่นน่าจะเป็นน้องจอม น้องชายคนเล็กของบ้านเตชะณรงกรค์
“เอ่อ...สวัสดีครับ”
ผมที่รีบลุกขึ้นยืนแล้วยกมือไหว้ผู้มาใหม่ทั้งสองคนแบบนั้น เจ้าเด็กแฝดที่เห็นคนใหม่แปลกหน้าก็เดินเข้ามายืนอยู่ข้างๆผม อาทิตย์ที่เดินมาเกาะขาของผมแล้วแอบตัวเองอยู่ที่ด้านหลัง ส่วนพระจันทร์ที่ทำแค่เอื้อมมือดึงชายเสื้อของผมไว้อีกข้าง
“ทิตย์จันทร์ ยืนดีๆ ไม่เอาไม่ดึงขาอาเมลนะ ออกมาสวัสดีก่อนเร็วๆ” ผมที่ว่าออกไปแบบนั้น พระจันทร์ที่เงยหน้ามองผม ส่วนอาทิตย์ที่เอาแต่เขินคนเยอะหลบอยู่ข้างหลัง โผล่หัวออกมาน้อยๆ
“ไหน เป็นเด็กเป็นเล็กเจอผู้ใหญ่ป๊าสอนว่ายังไง”
ทัพหน้าที่ว่าออกมาแบบนั้นเสียงเข้ม พระจันทร์ที่ได้ยินแบบนั้นยืนตัวตรงดีๆก่อนจะยกมือขึ้นไหว้ก้มตัวโค้งลงไปจริงจัง อาทิตย์ที่เห็นพี่ทำแบบนั้นก็ขยับตัวออกมาจากขาของผมแล้วยกมือขึ้นไหว้ไม่ต่างกัน ทัพหน้าที่ยกยิ้มมุมปากพอใจ เดินเข้ามาหา ก่อนจะยกมือขึ้นลูบหัวอาทิตย์เบาๆ
“สวัสดีครับ พระจันทร์เป็นพี่อาทิตย์”
“ส่วนอาทิตย์เป็นน้องพระจันทร์ครับ”
เสียงทักทายเจื้อยแจ้วของเจ้าสองแสบทำเอาคนมาใหม่แบบอารบอารุกที่ยืนอยู่ตรงนั้นหลุดยิ้มออกมากว้างๆ ส่วนน้องจอมที่ปรี่เดินเข้ามาหา อาทิตย์ที่เห็นจอมเดินเข้ามาใกล้วิ่งไปหลบอยู่ข้างหลังไอ้ทัพอีกรอบ
“เป็นอะไรหื้มเรา ไหนออกมาทักทายอาจอมก่อนเร็ว”
“อื้อออ ป๊าไม่เอา ไม่เอาๆ ป๊าอุ้มทิตยืหน่อยทิตย์เขินอาจอมแล้ว อาจอมสวยๆ”
เสียงใสๆที่ว่าออกมาแบบนั้นเรียกเสียงขำพรืดออกมาได้ไม่ยาก แต่ไอ้ตัวเล็กนั่นก็เอาแต่หลบจอมไปมา แทบจะม้วนลงไปกองอยู่กับพื้น
“สวัสดีครับพี่เมล ผมชื่อจอมนะครับ เป็นน้องคนเล็กของเฮียๆและน่าตาดีที่สุดด้วยครับผ๊ม”
น้องจอมที่ว่าออกมาแบบนั้นพร้อมยกมือไหว้ รอยยิ้มสดใสที่มาพร้อมท่าทางน่ารักๆนั่น ยิ่งทำให้ผมแปลกใจ ทั้งรูปร่างหน้าตา คือแตกต่างจากพี่ๆเหลือเกิน ถ้าให้เปรียบแบบเห็นภาพก็คงจะ น้องจอมคือดอกฟ้า ส่วนพวกบ้าที่เหลือแบบไอ้ทัพ ไอ้รบ ไอ้รุก พวกนี้คือหมา แถมเป็นหมาบ้าด้วยครับ
“สวัสดีครับอาทิตย์ ไหนเอ่ย ออกมาหาอาจอมหน่อยเร็ว” จอมที่ก้มลงไปหาแต่อาทิตย์ก็เอาแต่หลบ เอาหน้ากลมๆบี้เข้าไปกับขาของทัพหน้าอยู่แบบนั้น
“ฮ่าๆ น่ารักจัง แล้วนี่พระจันทร์หรอครับ หล่อจังเลยน้า”
“จันทร์หล่อ หล่อเหมือนป๊าทัพเลยครับ”
“งื้ม นั่นสินะ ลูกป๊าทัพหล่อเหมือนป๊าทัพเลย”
“ช่ายคั๊บบบ”
“งั้นเด็กๆมาเล่นกับอารบไหม นี่ อามีหุ่นยนต์มาฝากเยอะเลยน้า”
ไอ้รบที่เดินเข้ามาพร้อมรุกฆาตพร้อมชูถุงของเล่น พระอาทิตย์กับพระจันทร์ที่ยิ้มกว้างขึ้นออกมาในตอนนั้น แล้วเด็กๆก็เดินไปหา มองๆแล้วเห็นพระอาทิตย์แล้วก็จะคล้ายๆกับไอ้รบแปลกๆ อย่านะเว้ย อย่ามาสอนหลานกูแปลกๆนะนักรบ
“ชะวิ้ง เสื้อสีเหลืองอาซื้อมาให้น่ารักไหม”
“ว้าววว”
อาทิตย์ที่ร้องออกมาแบบนั้น ส่วนพระจันทร์ที่แค่เสหน้าหนีแล้วเดินไปหารุกฆาตที่กำลังแกะหุ่นยนต์ออกมาให้เล่นแทน ผมที่หันหน้าไปมองทัพหน้านิ่งๆ ซึ่งอีกฝ่ายก็หันมามองหน้าผมอยู่ก่อนแล้วเช่นกัน ทัพหน้าที่เดินเข้ามาหาผมแล้วจับมือผมไปกุมเอาไว้แน่นๆ มองเห็นพ่อและแม่ของมันที่มองมาที่เรานิ่งๆเช่นกัน
“ป๊ากับแม่มีอะไรหรอครับมาดึกๆ” เป็นทัพหน้าที่ว่าออกไปก่อนแบบนั้น ผู้สูงวัยทั้งสองคนที่ถอนหายใจออกมาหนักๆ
“แกจะไม่เชิญชั้นไปนั่งหน่อยหรือไง”
แม่ของทัพที่ว่าออกมาแบบนั้น ทัพหน้าพยักหน้ารับ ก่อนจะผายมือออกไปด้านนอก ผมที่รีบเดินแยกออกไปบอกเด็กในบ้านให้หาน้ำหาท่าไปเสริฟให้เรียบร้อย ทัพหน้าที่พาพ่อกับแม่ไปที่ห้องรับแขกอีกห้องนึงที่อยู่ทางฝั่งขวามือของบ้านแทน ปกติห้องนั่นจะเอาไว้สำหรับเปิดโฮมเทียร์เตอร์ให้เด็กๆดูการ์ตูน ผมที่เดินตามเข้าไปสมทบ ก่อนจะไปนั่งลงข้างๆทัพหน้า บรรยากาศไม่สู้ดีที่ทำให้ผมต้องกลืนน้ำลายลงคอแบบฝืดฝืน
“ชาดอกคาโมมายล์ครับ ดื่มก่อนนอนจะช่วยทำให้ผ่อนคลายดีครับ”
ผมที่ว่าออกไปแบบนั้น เอื้อมมือไปหยิบน้ำมาจากถาดแล้ววางลงบนโต๊ะให้เรียบร้อย ก่อนจะหันไปบอกเด็กให้ออกไปได้ ห้องทั้งห้องที่ตกอยู่ในบรรยากาศที่ชวนอึดอัดเอามากๆในตอนนี้ พ่อของทัพหน้าที่ขยับตัวไปหยิบชาอุ่นขึ้นมาจิบนิดๆ
“อืม กลิ่นหอมดีนะ”
“อ่า...ครับ ถ้าทำงานหนักๆดื่มก่อนนอนก็จะช่วยให้ผ่อนคลายได้เยอะครับ”
ผมที่บอกออกไปแบบนั้นแล้วส่งยิ้มน้อยๆไปให้ รู้สึกอึดอัดแต่ก็ต้องทำให้เต็มที่ แม่ของทัพหน้าที่เอาแต่จ้องมาที่ผมนิ่งๆ ไม่เคยได้เตรียมใจมาก่อนว่าต้องเจอกับสถานการณ์แบบนี้
“เธอ ชื่ออะไร เป็นลูกเต้าเหล่าใครงั้นหรอ” คำพูดแรกที่ออกมาจากปากของแม่ทัพหน้าทำผมกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก
“แม่ แม่มีเรื่องอะไรก็มาพูดกับผม จะมาวุ่นวายกับเมลทำไม”
“เงียบนะตาทัพ”
“แม่”
ทัพหน้าที่ขึ้นเสียงเรียกแม่ตัวเองเสียงดัง ทำเอาผมต้องเอื้อมมือไปดึงแขนอีกฝ่ายเอาไว้ มันที่หันหน้ามามองผมด้วยสายตาที่บอกว่ากำลังหงุดหงิด ผมที่ส่งยิ้มไปให้อีกฝ่ายน้อยๆก่อนจะพยักหน้าให้ บอกให้มันเข้าใจว่าผมโอเค
“ผมชื่อคาราเมลครับ เรียกเมลเฉยๆก็ได้ครับ”
“นามสกุลของหนูคือนามสกุลอะไรหรอจ๊ะ”
“ผมคิรากร หรเวชภูวดลครับ”
“หรเวชภูวดล อืม...คุณพ่อเป็นนักการเมืองงั้นสิ”
“ครับ”
“ส่วนคุณแม่เป็นคุณหญิงสินะจ๊ะ”
“ครับ”
“ใช่คุณหญิงวิจิตรตราหรือเปล่าจ๊ะ”
“อ่าใช่ครับ”
ผมที่ค่อนข้างจะงงๆ แต่ก็ตอบรับออกไป ทัพหน้าที่ขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่พอใจที่แม่ของมันยังคงซักไซร้ไม่เลิก
“แม่ พอสักทีเหอะ จะมาถามเรื่องฐานะครอบครัวมันเพื่อ ผมพูดตรงๆว่าต่อให้ไอ้เมลมันเป็นแค่เด็กสลัม ถ้าผมจะรักผมก็รัก เลิกวุ่นวายเรื่องฐานะหน้าตาสักที แล้วตอนนี้ต่อให้แม่จะคัดค้านยังไงผมก็ไม่สนใจ ผมมีครอบครัวของผมแล้ว”
“ครอบครัวของแกงั้นหรอ”
“ใช่ ครอบครัวของผม ครอบครัวที่ผมจะดูแลมันเอาไว้”
“แล้วแม่ไม่ใช่ครอบครัวของแกหรือไง!”
คนเป็นแม่ที่มองตรงมาที่ลูกชายทั้งๆที่น้ำตาคลอ ผมเข้าใจดีว่า มันไม่ใช่เรื่องถูกต้องนักกับสิ่งที่เรากำลังทำ พ่อแม่ของมันกำลังเสียใจในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
“แม่เป็นแม่ของผมเสมอ แต่ถ้าแม่ไม่ยอมรับครอบครัวของผม ผมก็ทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้ครับแม่”
ทัพหน้าที่เงียบไปสักพัก ก่อนที่เจ้าตัวจะพูดออกมาช้าๆชัดๆ เหมือนคนที่คิดมาอย่างรอบคอบแล้ว ผมรู้สึกหายใจหายคอไม่ทั่วท้องในตอนที่มันพูดออกไปแบบนั้น หันไปมองหน้าคนข้างๆที่ยังคงจ้องหน้าพ่อกับแม่ของตัวเองอย่างแน่วแน่ๆ แต่ฝ่ามือหนาก็ยังคงกอบกุมมือของผมเอาไว้ไม่ปล่อย เหมือนกับมันกำลังบอกให้ผมรู้ว่า ไม่ว่ายังไงมันก็จะไม่ปล่อยมือ จะไม่ทิ้งครอบครัวของเราไป
“เฮ้อ....” เสียงถอนหายใจหนักๆออกมาจากแม่ของทัพหน้า ท่านที่มองตรงมาที่ผมและมันอย่างเหนื่อยอ่อน
“แม่พูดสักคำหรือยังว่าแม่จะไม่ยอมรับครอบครัวแก”
“.....”
“แล้วทำไมกับอิแค่แม่จะมาสักถามเมียแกมันไม่ได้หรือไง ถ้าจะมีครอบครัวก็ต้องพามาให้แม่รู้จักสิถึงจะถูก แล้วลูกอีกสองคนจะไม่ให้ปู่กับย่าเจอเลยรึไง ใช้ไม่ได้ เอาอะไรมาคิด” หื้มมมม ....
ผมกับไอ้ทัพหน้าที่มองหน้ากัน ก่อนจะหันไปมองหน้าพ่อกับแม่ของมันอีกครั้งช้าๆ พ่อของทัพหน้าที่ก่อนหน้านั้นนั่งเก๊กหน้าขรึม ตอนนี้ทำแค่เอนตัวพิงเบาะโซฟาพร้อมดื่มชาอย่างอารมณ์ดี ส่วนแม่ของทัพหน้าที่ยิ้มออกมาช้าๆอย่างใจดี ภาพตรงหน้าที่ทำให้ผมต้องทำตาปริบๆ แม่ของทัพหน้าที่กวักมือเรียกผมเข้าไปหา หันไปมองหน้าคนข้างๆที่พยักหน้าให้ผม เลยตัดสินใจเดินเข้าไปหา ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งข้างหน้าแม่ของทัพหน้า
“ต่อจากนี้ดูแลกันดีๆนะลูก แม่ฝากทัพหน้าด้วย”
ความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูก เป็นความรู้สึกตื้นตันที่เอ่อล้นขึ้นมา เธอที่เอื้อมมือมาจับแก้มของผมแล้วส่งยิ้มให้ ทัพหน้าที่เดินเข้ามาทรุดตัวลงนั่งข้างๆผม ก่อนที่แม่ของมันจะยื่นบางอย่างออกมาให้ทัพหน้า แหวนทองคำประดับหัวทับทิม
“แม่ตั้งใจเอาไว้ ว่าจะให้ทัพใส่ให้เจ้าสาวของลูกในวันแต่งงาน วันนี้แม่ให้ทัพนะ ใส่ให้น้องสิลูก”
เธอที่พูดออกมาแบบนั้น ผมที่มองหน้าของทัพหน้า มันที่เอื้อมมือมาจับมือผมเอาไว้ สายตาอบอุ่นของมันที่ส่งมาให้ผม ก่อนจะบรรจงสวมลงมาที่นิ้วนางข้างซ้ายของผม ผมไม่เคยเข้าใจ เวลาที่เห็นเจ้าสาวร้องไห้ในงานแต่ง แต่พอมาวันนี้ วันนี้ทัพหน้ามันสวมแหวนให้ผมในตอนนี้ แม่ของมันที่เอื้อมมือมาลูบหัวของผมเบาๆ และในตอนนั้นทั้งผมและทัพหน้าก็ก้มลงกราบที่ตักของพวกท่านทั้งสอง
“รักกันนานๆ ... และใช้ชีวิตให้มีความสุข ให้สมกับที่ลูกทำความสุขให้คนอื่นมามากแล้วนะทัพ”
“แม่ ขอบคุณครับ”
ทัพหน้าที่ว่าออกมาแบบนั้น มันที่พุ่งเข้าไปกอดแม่ของตัวเองเอาไว้แน่นๆ ผมที่ยิ้มออกมาในตอนนี้ ไม่เคยคิดเลยว่า เรื่องราวทุกอย่างจะเดินมาจนถึงตอนนี้ ในตอนเริ่มต้นเรื่องราว ผมไม่เคยคิดเลยว่า จะมีวันที่ผมได้นั่งเคียงข้างมันและยิ้มให้กันแบบในวันนี้
ทัพหน้าที่ผละตัวออกมาจากแม่ของมันแล้วหันมามองหน้าผม คนร่างสูงตรงหน้าที่ดึงตัวผมเข้าไปกอดแน่นๆ และในตอนนั้นผมเองก็เลื่อนมือไปกอดตอบมันเอาไว้แน่นๆ
“ขอบคุณที่ผ่านทุกอย่างมาด้วยกันนะครับเมล”
“อ๊ากกกก ช่วยทิตย์ด้วยจ้า”
“ฮ่าๆๆ อารุกวิ่งๆเลย”
“อารบอย่าตามทิตย์มาน้า”
เสียงใสเจื้อยแจ้วที่ดังมาจากข้างนอก ทำเอาพวกเราทุกคนต้องเดินตามออกไปดู และพอเปิดประตูออกไปดู ก็ได้รู้ว่า ... บ้านเกิดความวุ่นวายขึ้นแล้วเว้ย เมื่อนักรบ รุกฆาตและน้องจอมต่างพากันวิ่งไล่หลานเล่นรอบห้อง ตะกร้าของเล่นกระจุยกระจายไปเต็มห้องจนผมต้องถอนหายใจออกมา มองไปที่นักรบ มันกำลังถือเสื้อสีเหลืองพร้อมวิ่งตามอาทิตย์ไปด้วยเพื่อจะใส่เสื้อตัวใหม่ให้หลาน
“เอ่อ...” ได้แต่พูดออกมาแบบนั้นเบาๆ หันกลับไปมองหน้าทัพหน้าและคุณพ่อคุณแม่ สีหน้าไม่ได้ต่างจากพวกเรามากเท่าไหร่
“ให้มันได้แบบนี้สิ...ไอ้รบ พอเว้ย อย่ามาพาลูกกูวิ่งเล่นในบ้าน”
“ป๊าทัพพพพพพพช่วยทิตย์ด้วยยยย”
“ป๊าคร๊าบบบบ”
ผมได้แต่มองตามภาพที่เด็กๆตรงหน้าวิ่งร่าเริงเข้ามาทัพหน้า คนร่างสูงที่ย่อตัวลงไปกอดเจ้าสองแสบไว้แบบนั้น ภาพตรงหน้าที่แสนธรรมดา ที่ทำให้ผมยิ้มออกมาได้อย่างที่ใจอยากจะยิ้มสักที
...
สามเดือนผ่านไปกลางสนามหญ้าหน้าบ้านหลังใหญ่ของทัพหน้า ถูกประดับประดาไปด้วยหลอดไฟประดับหลากหลายสี โต๊ะมากมายถูกวางจัดเอาไว้เพื่อแขกเหรื่อที่มาจะได้มานั่งทานอาหารกันได้ ซุ้มอาหารฝรั่ง อาหารจีน อาหารไทย รวมไปถึงเครื่องดื้มคอกเทลมากมายถูกจัดไว้เป็นที่เป็นทางอย่างเรียบง่ายและหรูหรา มีพนักงานมากมายที่มาเดินเสริฟไปรอบๆบริเวณงาน เสียงหัวเราะและเสียงพูดคุย ตัดกับดนตรีสดที่บรรเลงเพลงด้วยเสียงอ่อนหวาน ชวนให้บรรยากาศโดยรอบบ้านอบอวลไปด้วยกลิ่นไอของความสุข ... ด้านในของบ้านในห้องโถงกลางที่มีผู้หลักผู้ใหญ่นั่งอยู่ตรงเก้าอี้กลางห้องยิ้มแย้ม
“เฮียชาๆ ค่อยๆยกน้ำชาจ้า หนึ่งสองสามแชะ สวยจ้า”
เสียงของนักรบที่วันนี้ทำหน้าที่เป็นตากล้องเรียกเสียงหัวเราะจากคนในงานได้พอดู ผมและทัพหน้าที่มองหน้ากัน เราทั้งคู่ที่อยู่ในชุดสีแดงแบบจีน สองมือที่ค่อยๆประคองถาดน้ำชายื่นส่งไปให้คุณป๊าและแม่ของทัพหน้าแบบนั้น ...
และใช่ ผมที่ตอนนี้เรียนจบแล้ว และเรา...กำลังอยู่ในงานยกน้ำชา หรือถ้าเรียกอีกอย่าง มันก็ไม่แตกต่างไปจากงานแต่งงานเท่าไหร่นัก
“ป๊าขอให้เราสองคน มีชีวิตคู่ที่อยู่ด้วยกันเหมือนเพื่อน รักกันเหมือนครอบครัว และช่วยเหลือกันเหมือนญาติ ทัพหน้าเป็นลูกคนโตที่ป๊าภูมิใจ ทุกอย่างที่ทัพทำมา มันดีที่สุดแล้วลูก...ต่อจากวันนี้ ป๊าขอให้ทัพได้ใช้ชีวิตในแบบของทัพหน้า ในแบบที่ลูกต้องการนะ”
“ขอบคุณครับป๊า”
เราสองคนที่ก้มลงกราบคุณป๊าและแม่ของทัพหน้าด้วยกัน ก่อนที่ท่านจะยื่นกล่องสีแดงกล่องใหญ่มาให้ผม มองดูก็รู้ว่าคือกล่องเพชร
“ของขวัญวันรับน้ำชานะลูกๆจ๊ะ ... แม่ฝากเมลดูแลพี่ทัพด้วยนะลูก” คุณแม่ที่ว่าออกมาแบบนั้นทำผมน้ำตาคลอ
“ขอบคุณครับ” พูดอะไรไม่ออก ก่อนจะกราบลงไปอีกครั้ง พวกเราที่เปลี่ยนถาดน้ำชาใหม่ แล้วเลื่อนไปให้ทางพ่อและแม่ของผมบ้าง
“คุณแม่” ผมที่พูดออกมาแบบนั้น ช้อนตาเงยหน้ามองผู้หญิงที่รักผมมากที่สุด เธอที่ยิ้มออกมากว้างๆแบบมีความสุขมากที่สุด รับถาดน้ำชาของผมพร้อมๆกับคุณพ่อของผม
“เมลเป็นลูกที่แม่ภูมิใจมาเสมอ เมลทำหน้าที่ของลูกได้ดีแล้ว แม่ขอให้เมลมีความสุขกับความรักของลูกนะ”
แม่ที่ว่าแบบนั้นแล้วยกมือขึ้นลูบหัวของผมเบาๆ ผมที่น้ำตาไหลออกมาตอนที่มองหน้าของท่าน คุณแม่ไม่เคยทิ้งผมไปไหน เป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งและยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของผม แม่ที่ยิ้มออกมาแล้วหันไปหาพ่อของผม ... พ่อที่ยังคงทำหน้านิ่งๆและมองมาที่ผม เราสองคนไม่ค่อยถูกกัน เพราะผมไม่ใช่ลูกที่พ่อภูมิใจ
“คาราเมล” พ่อที่ว่าออกมาแบบนั้น
“ที่พ่อตั้งชื่อว่าคาราเมล เพราะพ่อกับแม่อยากให้ชีวิตลูกมีแต่ความหวาน หวานชื่นและมีความสุขเสมอ...พ่อไม่รู้ว่าตลอดเวลาเมลคิดยังไง เราอาจไม่ได้คุยกันมากเท่าไหร่ เพราะถ้าแค่พูดก็คงทะเลาะกัน แต่วันนี้พ่ออยากบอกเมลนะ...ไม่ว่าลูกจะเป็นอะไร เป็นใคร หรืออยู่ที่ตรงไหน ลูกก็ยังเป็นลูกของพ่อ เป็นลูกที่พ่อรัก ไม่ต่างจากวันแรกที่เมลเกิดมา พ่อเคยรักเมลยังไง พ่อก็ยังรักเมลเหมือนเดิมนะลูก”
น้ำตาของผมที่คลอขึ้นมาที่นัยตา ก่อนที่มันจะกลิ้งไหลลงมาที่หน้า และไม่รู้ว่าตอนไหนที่ผมโผเข้าไปกอดพ่อของผมแน่นๆ สะอึกสะอื้นอยู่ตรงนั้นและก็มีท่านก่อนปลอบ ไม่ได้ต่างจากสมัยก่อนที่ผมขับจักรยานแล้วหกล้ม
‘พ่อๆ น้องเมลเป็นแผล หกย้มๆ เจ็บเยย ฮื่ออ’ มือของท่านที่จับมือของผมให้ลุกขึ้นแล้วกอดปลอบผม
‘ไหน น้องเมลคนเก่งของพ่อ มากอดกันเร็วลูก ไม่เจ็บๆนะ’
ความรู้สึกในวันนี้ ไม่ได้แตกต่างไปจากวันนั้น ไม่รู้ว่ามันเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ผมกับพ่อไม่เคยจะเข้าใจกัน อาจเป็นตอนที่ผมเลือกที่จะไม่พูด และพ่อเลือกที่จะไม่ฟังก็ได้ ... แต่สิ่งสุดท้ายที่มันจะไม่เปลี่ยน คือผมยังเป็นลูกของพ่อ และพ่อก็ยังเป็นพ่อของผมเสมอ
“ร้องไห้เป็นเด็กๆเลย ไม่เอาไม่ร้อง” พ่อที่ว่าออกมาแบบนั้นแล้วยิ้มหน่อยๆ ท่านที่ยื่นซองแดงไปให้พี่ทัพที่ยื่นมือมารับตอบ
“พาน้องกลับมาเยี่ยมพ่อพร้อมเจ้าสองแฝดที่บ้านบ้างนะ”
พ่อบอกออกมาแบบนั้นแล้วผมยิ่งร้องไห้หนักกว่าเดิม เพราะเราไม่มีก้าอีกแล้ว พ่อกับแม่อาจจะยิ่งเหงา ... ผมที่สัญญากับตัวเองในใจ ว่าต่อจากนี้จะพยายามให้มากกว่าเดิม
“ผมสัญญาครับ จะพาเมลกลับไปหาทุกอาทิตย์นะครับ” ทัพหน้าที่พูดออกมาแบบนั้นด้วยน้ำเสียงมั่นคง พ่อพยักหน้ารับหน่อยๆ
“พ่อฝากลูกของพ่อด้วยนะ”
“แม่ฝากหัวใจของแม่ ไว้ในมือของทัพหน้านะ”
“ผมสัญญาครับแม่ ผมจะดูแลน้อง...ให้เหมือนกันชีวิตของผมเลย”
. . .
(มีต่อด้านล่างจ้า)