5 : คนที่รักเรา คนที่เรารัก
“ช่างมันเถอะ” วันชนะสะบัดเรื่องเก่าๆออกจากหัว ในเมื่อความจริงเขาก็รู้แล้ว นักขัตก็ต้องซ้อมบาสเพราะว่าอีกไม่กี่วันก็จะแข่งแล้ว
“วิน ไปกินมาม่าต้มยำกันที่นิเทศฯไหม?” แจนถามขึ้น เธอคือเพื่อนอีกคนหนึ่งในเอกพันธุศาสตร์ เสียงเรียกช่วยให้ลืมเรื่องที่ยังคาใจอยู่ไปได้แทบจะทันที “เดี๋ยวก้อยกับอาร์ทก็จะไปด้วย”
วันชนะพยักหน้ารับ ยิ่งใกล้กีฬามหาวิทยาลัยเข้าไปทุกวันก็ยิ่งใกล้สอบกลางภาคมากขึ้นเท่านั้น เพราะถ้าการซ้อมเชียร์สิ้นสุดลงเมื่อไรหนึ่งสัปดาห์จากนั้นก็คือการแข่งขันและหลังจากนั้นอีกหนึ่งสัปดาห์ก็คือการสอบ ช่วงตรงนี้สำคัญมากต้องเตรียมตัวเป็นอย่างดี หากพลาดพลั้งทุ่มเทให้กับกิจกรรมมากเกินไปก็อาจสอบตกได้ยังผลให้ต้องระงับการเรียนแล้วค่อยไปเรียนซ้ำอีกทีในภาคเรียนต่อไปที่เปิดสอน
มาม่าต้มยำร้านที่คณะนิเทศศาสตร์เป็นที่ลือชื่อมากยิ่งพอมาถึงยิ่งตกใจกับแถวที่ยาวเหยียด แต่ด้วยแรงอยากลองชิมสักครั้งของเด็กวิทยาฯกลุ่มนี้จึงอดทนยืนต่อคิว ราวยี่สิบนาทีจึงได้มานั่งพร้อมหน้าพร้อมรับประทาน เพื่อนในเอกเดียวกันมีเพียงยี่สิบสองคนต่างจากภาควิชาอื่นๆซึ่งจะมีเยอะถึงหลักร้อย เพราะว่าพันธุศาสตร์นั้นคะแนนถือว่าสูงลิบลิ่วและจำกัดบุคคลเข้าศึกษาเพราะบุคลากรจำเพาะด้านยังไม่เพียงพอต่อการสอนคนจำนวนมาก
อาร์ท แจน และก้อยกำลังนั่งทานมื้อกลางวันกับวันชนะอยู่ที่ม้านั่งข้างๆทางเดินไปยังด้านหน้าของตึกคณะนิเทศศาสตร์ การสนทนาเป็นไปอย่างออกรส แล้วใครคนหนึ่งก็เดินผ่านมามาใกล้
“อ้าว แอบมากินอยู่ที่นี่เองหรือ?” เจ้าของเสียงเดินมาจับที่ไหล่ของแจน
“หลิน!” แจนเรียกคนที่มายืนอยู่หน้าโต๊ะ น้ำเสียงตกใจเล็กน้อยแล้วก็เป็นกลับเป็นปกติในเวลาอันสั้นปกติ คนที่มาสมทบเป็นสาวสวย รูปร่างสูงโปร่ง ทรวดทรงได้รูป ใบหน้าเกลี้ยงเกลาสดใส เธอไว้ผมยาวเกือบถึงเอว หลินเป็นผู้หญิงสวย เรียกได้ว่าสวยมาก และเธอยังมีหัวสมองอันฉลาดที่สามารถเข้ามาเรียนพันธุศาสตร์ได้
“นั่งด้วยกันสิหลิน” วันชนะเอ่ยปากชวน แต่อีกฝ่ายกลับเหลียวมองหาใครสักคนก่อนจะนั่งลงที่ว่างด้านหน้า
“ขอบใจจ้ะ แต่หลินคงอยู่ได้ไม่นานนะ หลินนัดเพื่อนเอาไว้ที่โรงอาหารกลางน่ะ” หญิงสาวสวยพูดขึ้น รอยยิ้มนั้นถ้าเป็นผู้ชายแท้ๆคงจะติดตรึงใจไปนาน
วันชนะยิ้มตอบแล้วสังเกตปฏิกิริยาของใครคนหนึ่งที่ร่วมโต๊ะด้วย แจนเงียบไป ก้อยยังจ้อตามปกติ อาร์ททำตาเคลิ้มๆจนวันชนะนึกขำไม่ได้ อาร์ทก็คงเป็นผู้ชายปกติที่มักจะเก้อเขินเวลาอยู่ใกล้ผู้หญิงสวยๆ
แต่ที่น่าสนใจคือแจนต่างหาก
ข่าวลือคงเป็นความจริง ที่ว่าแจนกับหลินขัดใจกันเพราะผู้ชาย!
วันชนะได้ยินข่าวนี้มาจากเพื่อนในเอกคนหนึ่งในตอนพลบค่ำของวันหนึ่ง เมื่อการสนทนาเริ่มจะหมด เพื่อนคนนั้นก็เผลอหลุดออกมาว่า แจนกับหลินเป็นเพื่อนสนิทมาจากโรงเรียนเดียวกันมาเรียนต่อด้านเดียวกันอีก แต่แล้ววันดีคืนดีแจนก็เกิดไปชอบผู้ชายคนหนึ่ง แต่ว่าชายผู้นั้นกลับสนใจหลินเสียมากกว่า
วันชนะเองก็พอจะดูออกว่าแจนเป็นรองหลินอยู่มากทั้งรูปร่าง หน้าตาและการเรียน ได้ข่าวว่าตอนอยู่โรงเรียนเก่าทั้งสองคนขับเคี่ยวกันมาตลอดแต่หลินก็เป็นที่หนึ่งเสมอ
นี่แหล่ะนะ ความรักไม่เข้าใครออกใครจริง ไม่มีเหตุผลว่าทำไมต้องเป็นคนนี้ คนที่เรารักกับคนที่รักเรานั้นแตกต่างกัน ครั้นจะบังคับใจกันก็ไม่ได้ หากทำได้ก็คงไม่มีความสุขนักหรอก นั่นคงไม่ใช่รักที่แท้จริง
“อื้ม จริงด้วยหลินรู้หรือยังที่ว่าทางคณะฯจะส่งหลินเข้าประกวดดาวมหาวิทยาลัย?” ก้อยพูดขึ้นก่อนจะม้วนเส้นมาม่าเข้าปาก
“จริงดิ” อาร์ทพูดบ้าง “หลินต้องได้เป็นดาวมหาวิทยาลัยแน่นอน เชื่อเราสิ” คนพูดยิ้มตาหยี เพราะมีชั้นเดียวเหมือนที่คนจีนส่วนใหญ่เป็น
“ขอบใจจ้ะอาร์ท รู้แล้วล่ะ พี่เค้าเพิ่งบอกเมื่อกี้นี้เอง แต่ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกจ้ะคณะอื่นก็มีคนสวยเยอะแยะไปหมด” คนพูดถ่อมตัว
หญิงสาวหันชะเง้อมองไปทางนอกโต๊ะอยู่บ่อยๆ แล้วสักพักหนึ่งก็ขอตัว “หลินไปก่อนนะพวกเรา เพื่อนหลินเดินไปทางนู้นแล้วล่ะ”
เธอลุกขึ้นแล้วโบกมือให้ทุกคนที่ยังนั่งอยู่ “เจอกันคาบแคลคูลัสพรุ่งนี้นะจ้ะ” แล้วก็รีบหอบหนังสือวิ่งออกไป
ทุกคนที่โต๊ะมองตาม วันชนะเห็นเพียงหลังของเพื่อนคนนั้นของหลินไกลๆ รู้สึกคุ้นแต่ก็ไม่ติดใจอะไรมากไปกว่านั้น วันชนะแอบสังเกตแจน เธอไม่หันไปมองเลย ยิ่งเห็นวันชนะยิ่งเกิดอาการหวิวๆเพราะเกิดเปรียบเทียบกับตัวเอง นักขัตที่เคยเจอกันทุกวันดูเหมือนจะห่างออกไปทุกที
...
“วิน วิน”
เสียงเรียกเหมือนลอยมาจากที่ไกลๆ วันชนะค่อยๆลืมตาภาพพร่ามัวเป็นแจ่มชัด แล้วก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อสติกลับคืนมา มองไปหน้าห้องเห็นอาจารย์มองลอดแว่นตามาที่เขา สายตาออกตำหนิลูกศิษย์บวกกับทำเครื่องหมายกากบาทไว้บนหน้าเขา แล้วจึงหันไปเก็บตำราที่เอามาสอนให้รวมเป็นกองเดียวกัน
วันชนะไหว้อาจารย์อย่างขลาดๆ เป็นการขอโทษที่นอนหลับในคาบเรียนยิ่งเขานั่งแถวหน้าสุดด้วย
“ไอ้ก้อยทำไมแกไม่ปลุกฉันว่ะ” วันชนะโบ้ยไปให้เพื่อน
“อ้าว! แก ไอ้วิน แกหลับเองจะมาโทษฉันได้ไง เดี๋ยวเหอะ ฉันตั้งใจเรียนของฉัน” เพื่อนสาวเถียง แต่ตาปรือเต็มที่
“เออ หลังกินข้าวเที่ยงทีไรง่วงทุกทีเลย” วันชนะบ่น นึกโทษอาหารกลางวัน
“ฉันก็เหมือนกันแหล่ะ เพียงแต่ฉันนั่งหลับ ยังเรียกว่าสุภาพ แต่แกน่ะ นอนเลย” ก้อยปิดปากหาว
“เกลียดเคมีว่ะ” วันชนะยังบ่น
อาจารย์เดินออกห้องไปแล้ว ประตูห้องเล็กเชอร์ขนาดจุคนได้สามร้อยคนถูกเปิดค้างไว้ เสียงนิสิตพูดคุยเซ็งแซ่ อาร์ทกับแจนบอกลากลับบ้านไปก่อน เหลือแต่วันชนะกับก้อยที่เดินอ้อยอิ่งออกจากห้องเป็นคนท้ายสุด
“กลับกันเถอะ” วันชนะชวน “ก้อยไปทางไหน?”
“ก้อยกลับประตูหลัง ไปด้วยกันได้ วินอยู่หอนี่” เพื่อนสาวของวันชนะชวนกลับด้วยกันเพราะว่าประตูด้านหลังมหาวิทยาลัยอยู่ใกล้กับหอพักของวันชนะ
โรงยิมตั้งอยู่ระหว่างทางกลับด้วย วันชนะกับเพื่อนหญิงเดินอยู่ริมทาง หญิงสาวขยับแว่นตาตัวเองเล็กน้อยพร้อมกับเพ่งไปที่ประตูโรงยิมที่เปิดค้างไว้ เสียงตึงตังของลูกบาสเกตบอลกระทบพื้นยางดังมาถึงตรงที่ทั้งสองคนยืนอยู่
“นั่นหลินนี่” ก้อยชี้มือ วันชนะยังทันเห็นเพื่อนหญิงอีกคนที่ถูกเสนอชื่อเข้าชิงตำแหน่งดาวมหาวิทยาลัยปีนี้เดินเข้าไปในโรงยิม “พอดีเลยวันก่อนยืมหนังสือหลินมา เมื่อตอนเที่ยงก็ลืมคืน” ว่าแล้วก้อยก็สาวเท้าตรงไปยังโรงยิม วันชนะจึงต้องตามไปด้วย
“หลินๆ” ก้อยตะโกนเรียกตั้งแต่เท้ายังก้าวไม่พ้นประตู เธอเดินตรงเข้าไปหาหลินอย่างไม่รู้ตัวว่าเป็นการเสียมารยาทน้อยๆ เพราะว่าหญิงสาวสวยนั้นกำลังคุยอยู่กับผู้ชายคนหนึ่ง แม้ว่าจะมีคนอยู่ด้วยเกือบสิบคนในโรงยิมแต่คนทั้งคู่ก็เหมือนจะสร้างโลกส่วนตัวขึ้นมาตรงนั้น
วันชนะออกอาการตกใจถึงกับชะงักเมื่อเมื่อชายหนุ่มคู่สนทนาของเพื่อนร่วมภาควิชาละสายตาจากเธอมองมาทางก้อยและเขาที่เดินเข้าไปหา
“อ้าว ก้อย วิน มาได้ไง” หลินทักอย่างแปลกใจ ใบหน้าสดใสประดับด้วยรอยยิ้มอยู่ตลอดเวลา
“ไม่มีอะไร พอดีก้อยเห็นหลินเดินเข้ามาก็เลยจะเอาหนังสือที่ยืมไปเมื่อวันก่อนมาคืนเท่านั้นเองจ้ะ” ก้อยจดจ้องอยู่กับเพื่อนหญิงร่วมภาควิชา กว่าจะรู้ตัวว่ามีคนอื่นอยู่ด้วยก็ยิ้มแหยๆ
หลินเห็นเพื่อนเก้อเลยแนะนำผู้ชายคนนั้นให้รู้จัก “ก้อย วิน นี่ตั้มจ้ะ” ผู้พูดแก้มแดงระเรื่อ เธอหันไปทางผู้ชายตัวสูงคนนั้นแล้วพูด “ตั้ม นี่เพื่อนหลินที่เอกจ้ะ คนนี้ก้อย แล้วก็วิน”
“อุ้ย! สวัสดีค่ะเพื่อนของหลิน หล่อจังนะคะ” ก้อยพูดไปก็ออกอาการม้วนตัวไปมา
“สวัสดีครับ ก้อย ...” หนุ่มร่างสูง คิ้วเข้มคนนั้นหันมาทางวิน เขากำลังจะพูดชื่อวินออกมา แต่ว่าวันชนะชิงพูดสวัสดีก่อน เขาจึงเงียบไป แล้วคนทั้งสี่ก็เงียบไป หลินกับนักขัตยืนอยู่ฝั่งหนึ่งหลังเส้นสีขาวที่ถูกทำไว้บนพื้นแสดงอาณาเขตของสนาม วันชนะรู้สึกเหมือนกับว่าเส้นนั้นจะกั้นแบ่งชายหนุ่มตรงหน้าออกไปจากชีวิตเขาเสียแล้ว
หลินยังคงออกอาการหน้าแดงก่ำเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เพื่อนในภาควิชาได้รู้จักกับเพื่อนชายของเธอ ก้อยออกอาการเขินตามประสาหญิงสาวเจอคนหล่อแต่ก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าชื่นชมคนที่เธอคิดว่าเป็นแฟนของเพื่อน วันชนะก้มหน้ามองพื้น หากเขาสังเกตดูนักขัตบ้างก็คงจะยากที่จะเดาว่าเขาคิดอะไรอยู่เพราะใบหน้านั้นแสดงอารมณ์ปกติ
ฮึ ฮึ! วันชนะหัวเราะเยอะตัวเองในใจ นี่แหล่ะคือโลกของความจริง ที่ผ่านมาเขาคิดไปเองคนเดียว
วันชนะเป็นผู้ชายก็ต้องชอบผู้หญิงเป็นธรรมดา เราสิ! ตัวประหลาด
“แหะ แหะ งั้นเราไปก่อนนะ” ก้อยพูดลาทำลายความเงียบ “ไว้เจอกันคาบแคลคูลัสพรุ่งนี้นะ” พูดจบเธอหันมาแตะที่แขนวันชนะเป็นการบอกว่าออกไปกันเถอะ แฟนเขาจะคุยกัน
วันชนะหันกลับทั้งยังก้มหน้า เหมือนจะซ่อนแววตาเศร้าสร้อยเอาไว้ไม่ให้ใครเห็น
เดินพ้นออกมาก้อยก็โพล่งออกมาราวกับถูกปลดปล่อยจากความอึดอัด
“แก..” เธอลากเสียง “หล่อมากเลย ฉันจะละลาย”
หากแต่มีเพียงคำว่า “อืม หล่อ” เท่านั้นที่วันชนะตอบกลับมา
“แกรู้เรื่องไหมเนี่ย ฉันได้ยินมา นายตั้มคนนี้น่ะตามไปจีบหลินถึงคณะเราเลยนะ ตั้งแต่สัปดาห์แรกเลย เห็นเขาเล่ากันว่าลงทุนไปนั่งซ้อมเชียร์ด้วยเลยนะ โรแมนติกว่ะแก ถ้าฉันเป็นหลินก็ใจอ่อนเหมือนกัน หน้าตาก็ราวกับเทพบุตรมาโปรด โอ้วว...” ก้อยเป็นคนตลกจึงพูดทำนองตลกเป็นปกติ “แต่ว่า...” เธอเปลี่ยนเป็นเสียงเรียบ “สงสารแจนนะ แจนเขาชอบนายตั้มคนนี้เหมือนกัน ไม่รู้ทำอีท่าไหน ไปรู้จักกันได้ไง และก็เพิ่งเห็นกับตาตัวเองนี่แหล่ะว่าสองคนนั้นนะ ...ลงเอยกัน” เธอเปลี่ยนสีหน้าเหมือนกับนักข่าวที่ได้ข่าวเด็ด
ทั้งสองเดินมาถึงที่ประตูด้านหลังมหาวิทยาลัย
“ไปส่งไหม?” วันชนะถาม
“ไม่เป็นไรจ้ะ พ่อก้อยจอดรถรออยู่แล้ว” เธอชี้มือไปยังรถยนต์ที่จอดอยู่ “ว่าแต่แกอย่าไปพูดเชียวนะแก มันไม่ดีให้เจ้าตัวเขาพูดเองดีกว่า” เธอพูดทำนองเตือนวันชนะว่า อย่าเม้าท์เพื่อน
“เออ ระวังตัวเองไว้ก่อนเถอะ รูดซิบปากให้สนิทล่ะ” วันชนะล้อ หากว่าทำหน้าฝืนๆ
เพื่อนหญิงขึ้นรถไปแล้ว เหลือแต่วันชนะเดินสวนทางกับนิสิตคนอื่นๆที่กำลังเดินทางกลับ ตะวันโพล้เพล้ช่างเพิ่มความเหงาเข้าจับขั้วหัวใจ
ความจริงอีกข้อหนึ่ง ที่ว่านักขัตอยู่วิศวฯแต่ทำไมวันนั้นถึงไปซ้อมเชียร์ที่คณะของเขาก็ได้กระจ่างแล้ว
ปลีกตัวจากถนนสายหลัก วันชนะเดินตัดเขายังถนนสายเล็ก ข้างทางปลูกต้นชบาเรียงเป็นแถวไปตลอดเส้นทาง มองดูชบาสีคล้ำในยามตะวันใกล้ลับหุบกลีบดูคล้ายมันเหี่ยวเฉา
เหมือนใจของวันชนะในเวลานี้ หุบเอาความสดใส และอารมณ์ชื่นบานทั้งหมดเอาไว้ คงเหลือเพียงความเศร้าเอาไว้ฉาบฉายทางแววตา
.......................................................