[2]
“อะไรนะครับ! ห้องที่ผมจองท่อแตกหรอ!” เสียงกึ่งตะโกนทำเอาพนักงานสาวสะดุ้ง ได้แต่ขอโทษขอโพยที่ทำให้ลูกค้าของโฮสเทลแห่งนี้เดือดร้อน ช่างที่ทำประจำก็ดันติดงาน กว่าจะมาทำได้ก็วันพรุ่งนี้ ห้องที่เหลือก็ไม่ว่างแล้ว นั่นทำให้คืนนี้ลูกค้าของเธอไม่มีที่นอน
“ต้องขออภัยจริงๆ นะคะ ทางเราจะคืนเงินมัดจำให้เต็มจำนวน และหากครั้งหน้าท่านมาพักที่นี่ เรามีส่วนลดให้ค่ะ ขออภัยจริงๆ นะคะ” หญิงสาวยกมือไหว้คนหนุ่มกว่าอย่างรู้สึกผิด เขาถอนหายใจหนักๆ ยกมือขึ้นขยี้ผมอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร
“ไปพักบ้านผมแทนไหมล่ะ?” ขายหนุ่มอีกคนที่ยืนอยู่ข้างกันถามขึ้น จากตอนแรกที่แค่จะมาส่งแล้วแยกย้ายกันไปพัก ถึงเวลานัดค่อยมาเจอกันอีกที เป็นได้เปลี่ยนแผนเสียใหม่ คนหัวเสียจึงหันไปมองอย่างคิดหนัก แม้จะเพิ่งรู้จักกันไม่นานแต่ตลอดระยะทางที่นั่งรถเมล์ข้ามจังหวัดมาด้วยกันก็ทำให้เขาสนิทใจจนยอมตกลงให้อีกคนมาเที่ยวด้วยกัน ชั่งใจอยู่นาน ในที่สุดเขาก็ได้คำตอบ
บ้านไม้หลังเล็กยกพื้นสูง ชั้นล่างประมาณ2ใน3โบกด้วยปูน ที่เหลือปล่อยเป็นพื้นที่โล่ง มีกี่กระตุกตั้งตรงกลาง เปลญวนสีน้ำเงินสลับลายสีต่างๆ ผูกอยู่ระหว่างเสาสองต้น หน้าบ้านปลูกต้นลีลาวดีสูงใหญ่พร้อมด้วยไม้พุ่มเล็กๆ สนามหญ้าค่อนข้างรกเนื่องจากเจ้าของไม่ได้กลับมาเป็นแรมปี หลังบ้านปลูกต้นลำไยชูใบสีเขียวชะอุ่ม ใกล้กันเป็นดงกล้วย เจ้าบ้านไขกุญแจก่อนจะชักชวนเขาเข้าไป
ทันทีที่ก้าวเข้ามาในตัวบ้าน อากาศก็คล้ายเย็นขึ้น ชั้นล่างที่เขาเข้ามาเป็นโซนรับแขก มีตั่งไม้หรือในภาษาพื้นเมืองเรียกว่าแหย่ง ปูรองด้วยผ้าทอลายพื้นเมือง ด้านหนึ่งมีหมอนอิงสามเหลี่ยมวางอยู่ ตรงหน้าเป็นโต๊ะไม้ขนาดไม่ใหญ่นัก บนโต๊ะมีหนังสือพิมพ์และนิตยสารวางระเกะระกะ ตรงข้ามเป็นชั้นไม้วางโทรทัศน์ ข้างกันมีตู้หนังสือทำจากไม้ เต็มไปด้วยตำราและหนังสืออ่านเล่น ชั้นบนสุดมีรูปรับปริญญาของคนข้างๆ และรูปครอบครัวสมัยเจ้าตัวยังเป็นเด็กตัวน้อยๆ รอยยิ้มไร้เดียงสาทำเอาเขาอดยิ้มตามไม่ได้
“นั่นคุณหรอ น่ารักจัง” เขาเอ่ยเย้า คนถูกชมว่าน่ารักแก้มขึ้นสีจางๆ เดินจ้ำอ้าวหนีไปห้องครัวข้างหลัง คนขี้แซวหัวเราะเบาๆ ก่อนจะสำรวจสิ่งของต่างๆ
เมื่อพินิจพิจารณารูปครอบครัวแล้ว เขาพบว่าลูกชายบ้านนี้มีความคล้ายแม่อยู่มากเหมือนกัน ทั้งดวงตากลมเล็ก ปากนิดจมูกหน่อย คงมีคิ้วเข้มที่ได้พ่อมาเต็มๆ เขามองรูปถ่ายอยู่สักพัก คนในความคิดก็โผล่มาพร้อมแก้วน้ำในมือ เขารับมาก่อนจะพากันไปนั่งที่ตั่ง
“คุณบอกว่าอยากไปเที่ยวถนนคนเดินใช่ไหม” เจ้าบ้านเอ่ยถาม
“ใช่”
“ยังเหลืออีกหลายชั่วโมงกว่าจะเริ่มตั้งร้าน อยากไปไหนก่อนรึเปล่า”
“ผมยังไงก็ได้ แล้วแต่คุณ”
สุดท้ายก็จบลงที่ร้านกาแฟ
“นี่คิดอย่างอื่นไม่ออกแล้วใช่ไหมเนี่ย” คนต่างถิ่นหัวเราะเบาๆ แต่ก็ดีเหมือนกัน เขาเองก็อยากกินอะไรเย็นๆ อยู่พอดี ร้านที่พามาก็บรรยากาศไม่เลวเลย หน้าร้านเป็นกระจกใส ผนังสองข้างซ้ายขวาเป็นไม้ ด้านหลังแคชเชียร์เป็นอิฐมอญสีขาว บนผนังมีกระดานดำเขียนเมนูด้วยชอล์คหลากสีพร้อมรูปตกแต่งเล็กๆ เสียงเครื่องทำกาแฟพร้อมกลิ่นหอมอ่อนๆ กำจายไปทั่วร้าน หลังจากสั่งเครื่องดื่มเสร็จก็พากันมานั่งที่มุมหนึ่งติดกระจก
“คุณนี่แปลกดีนะ เป็นคนเมืองน่านแท้ๆ ดันชื่อปาย” เจ้าของชื่อเพียงส่งเสียงหึในลำคอเบาๆ
“ใครจะไปชื่อน่ากินอย่างคุณล่ะครับ คุณลาเต้”
“น่ากินจริงเปล่า ไม่ลองไม่รู้น้า” ทอดหางเสียงอย่างกรุ้มกริ่ม ทำเอาคนฟังคันไม้คันมืออยากโบกคนพูดสักทีสองที เห็นเขาเล่นด้วยหน่อยเป็นไม่ได้ ลูกเล่นแพรวพราวเหลือเกิน แต่ในเมื่อปูมาแล้วเขาก็ต้องสานต่อ
“มาดิ เดี๋ยวกัดให้ขาดเลย” จงใจไม่บอกว่าอะไรจะขาด แต่คนฟังก็ทำหน้าสยอง หัวเราะแห้งๆ กลับมา
“โหดจังคุณ ไม่เล่นแล้วก็ได้” พูดจบก็ประจวบกับพนักงานถือถาดเครื่องดื่มมาเสิร์ฟพอดี แก้วหนึ่งเป็นชาไทย อีกแก้วเป็นมอคค่า
“แล้วปกติป้าคุณกลับมาบ้านกี่โมงเหรอ” ได้ฟังคำถาม ปายก็เหลือบมองนาฬิกาข้อมือ สี่โมงเย็นแล้ว น่าจะได้เวลาเลิกงานพอดี
“ปกติก็สี่โมงนิดๆ คงกำลังจะกลับแหละ”
กลับบ้านที่ว่าก็ไม่ใช่บ้านเขา แต่เป็นบ้านใหญ่ถัดไปอีกสองหลัง ถึงจะเป็นบ้านไม้เหมือนกันแต่ก็ทาสีใหม่เอี่ยม จัดสวนเรียบร้อยดูสะอาดตา เป็นเพราะสามีป้าประกอบอาชีพเป็นช่างจึงชอบทำนั่นทำนี่ไปเรื่อย วันนี้คุณลุงก็ไปช่วยงานที่ต่างอำเภอ ทำให้เขาไม่เจอใครตอนที่แวะไปหา
“อร่อยแฮะ คราวที่แล้วน่าจะแวะ” เต้พึมพำเบาๆ แต่ก็ไม่รอดหูคนฟัง “แล้วทำไมไม่แวะ”
คำตอบที่ได้มีเพียงเสียงคนน้ำแข็งในแก้วพลาสติก
ครั้งนั้นเขาก็เคยถาม’เพื่อน’ของเขาด้วยประโยคนี้เหมือนกัน เสียแต่ว่าคนพลังงานเยอะอยากรีบไปเดินเที่ยวมากกว่า รบเร้าคะยั้นคะยอจนสายชิลอย่างเขายอมตามใจ คิดๆ ดูแล้วก็เหมือนพาเด็กน้อยมาเที่ยวเลย ความสดใสร่าเริงทำให้เขาแพ้ทาง อ้อนอะไรก็ยอมแล้วทูลหัว
แต่ต่อจากนี้ ‘เพื่อน’คนนั้นคงไม่มาอ้อนอะไรเขาแล้วล่ะ อย่างเดียวที่พอเป็นไปได้น่าจะเป็นการขอร้องให้เขาออกไปจากชีวิตเสียที
ตะวันคล้อยลงต่ำ แดดสีส้มยามเย็นผสานกับสีน้ำเงินของท้องฟ้าไร้ซึ่งหมู่เมฆ เฉดสีไล่เรียงกันอย่างงดงามราวกับสรรค์สร้างจากฝีแปรงของจิตรกรชื่อดัง สองชีวิตแกว่งไกวชิงช้าเบาๆ เคียงกันใต้นภาสีสวย ต่างคนต่างดื่มด่ำกับบรรยากาศที่ราวกับฉากในหนัง หากนี่เป็นหนังรัก คงจะเป็นฉากที่พระนางพลอดรักกัน หรือหากเป็นหนังสยองขวัญ ก็เป็นสัญญาณเริ่มต้นของช่วงเวลาออกล่า
แต่เขาไม่ใช่คู่รัก และไม่ใช่คู่หูล่าท้าผีด้วย
“ผมไม่เคยคิดเลยนะว่าชีวิตนี้จะสามารถไปเที่ยวกับคนแปลกหน้าที่เพิ่งรู้จักกันไม่ถึง 24 ชั่วโมงได้” ปายพูดขำๆ
“เออจริง ผมโคตรบ้าที่เสือกตกลงไปกับคุณ” เต้พูดก่อนจะหัวเราะลั่น “นี่ถ้าคุณเป็นโจรก็คงหลอกผมสำเร็จแล้วล่ะ”
“ไม่แน่หรอก มีอย่างหนึ่งที่ผมเอามาจากคุณไม่ได้” ปายพูดยิ้มๆ สายตาแฝงนัยบางอย่างจนคนมองรู้สึกหวั่นใจ
“อะไร”
“ความกากไง” เท่านั้นเต้ก็รู้ถึงความผิดพลาดของตัวเอง
ไม่น่าเล่าให้ฟังเลยโว้ยหลังจากเล่าให้ฟังถึงครั้งแรกที่เห็นถนนกลางเมืองไร้ซึ่งเสาไฟ ด้วยความเอ๋อในตอนนั้นจึงหลุดปากถามไปว่า ไม่มีเสาไฟแล้วเขาเอาไฟฟ้าจากที่ไหนมาใช้ เท่านั้นคนฟังก็หัวเราะลั่น ไม่ต่างจากตอนที่เพื่อนของเขาได้ยิน ซ้ำยังเอาเรื่องนี้มาล้อเขาอีกเรื่อยๆ จากที่คิดว่าพอมีภูมิต้านทานเป็นต้องหน้าม้านทุกครั้งไป
“พอๆ เราไปเดินถนนคนเดินได้ยังเนี่ย” เขารีบเปลี่ยนเรื่องก่อนที่จะเข้าตัวไปมากกว่านี้ ขายาวยันพื้นลุกขึ้น ปายหัวเราะเบาๆ กับความน่าแกล้งนั้น แต่ก็ยอมตามใจพาไปถนนคนเดิน
ถนนคนเดินตั้งอยู่บนถนนผากองด้านข้างวัดภูมินทร์ ใกล้กันมีลานกว้างขนาดใหญ่เรียกว่า ลานข่วงเมืองน่าน เป็นพื้นที่สำหรับจัดกิจกรรมต่างๆ และในวันที่มีถนนคนเดินเช่นนี้ บนลานจะใช้เป็นพื้นที่สำหรับจัดวางโตกให้คนเดินถนนคนเดินได้มานั่งกินอาหารที่ซื้อมา นอกจากนี้ยังมีเวทีเล็กๆ ให้ศิลปินผลัดเปลี่ยนกันมาแสดง บ้างเล่นดนตรีพื้นเมือง บ้างก็เล่นดนตรีสากล หรือหากร่วมสมัยหน่อยก็จะมีกลุ่มวัยรุ่นมาเต้นบีบอยให้ดูบ้าง เรียกเสียงปรบมือจากผู้ชมได้อย่างล้นหลาม
ภายในถนนคนเดินมีร้านอาหาร ร้านเสื้อผ้า และร้านของฝากมากมาย ราคาก็เหมาะสมชวนซื้อ กลิ่นอาหารหลากชนิดหอมยั่วยวนจนเจ้าถิ่นและคนต่างถิ่นหมดเงินกันไปร่วมร้อย แต่ปริมาณที่ได้มาก็ทำเอาอิ่มจนพรุ่งนี้เช้า เต้ซื้อเสื้อกับกระเป๋าไปฝากเพื่อนสองสามตัว ส่วนปายไม่ได้ซื้ออะไรเพิ่มเติม เขาสองคนพากันมาจับจองโตกหวายบนลานกิจกรรม ของที่ซื้อมาก็แบ่งๆ กันกิน ขนาดแบ่งแล้วยังแทบยัดไม่หมด
“คราวที่แล้วก็ไม่ได้มานั่งแบบนี้” ไม่รอให้ถาม เต้ก็อธิบายเพิ่ม “ฝนตกน่ะ”
ปายพยักหน้ารับ “แล้วชอบมั้ย” ยิ้มน้อยๆ อย่างเจ้าบ้านที่ดี เต้เงยหน้าขึ้นมอง แสงไฟตกกระทบใบหน้าขับดวงตาที่หยีขึ้นเป็นรูปจันทร์เสี้ยวให้เปล่งประกายกว่าปกติ เน้นแสงเงาของโครงหน้าได้รูปให้งดงามราวภาพวาด เรียวปากแย้มยิ้มอวดฟันที่เรียงตัวสวยทำให้คนมองขยับยิ้มตอบโดยไม่รู้ตัว
อันที่จริงเขาก็แอบคิดอยู่ในใจว่าปายก็หน้าตาดีไม่หยอก แต่ไม่ใช่แบบที่คนจะเหลียวหลังมามองทันที ต้องอาศัยการพิจารณามองนานๆ บวกกับนิสัยที่ยิ่งคุยยิ่งรู้สึกถึงความร้ายลึกในคราบหนุ่มหน้าใส เกิดเป็นเสน่ห์บางอย่างที่ทำให้เขาไม่รู้สึกอึดอัดแม้จะเพิ่งรู้จักกัน
บางที การที่เขามาเที่ยวน่านครั้งนี้อาจจะได้อะไรมากกว่าคลายเหงาก็ได้“อือ ชอบ” คำตอบพร้อมรอยยิ้มละมุนทำเอาคนถามรู้สึกแปลกๆ ราวกับคำตอบนั้นไม่ได้พูดถึงสิ่งที่เขาถาม แต่ไม่ว่าจะชอบอะไรก็เป็นเรื่องดีทั้งนั้น ปายสลัดความคิดก่อนจะกลับมาสนใจอาหารตรงหน้า
แต่ความสนใจของเขาเป็นอันยุติลงอีกครั้ง เมื่อสัมผัสสากจากนิ้วโป้งลากเบาๆ ผ่านมุมปาก อ่อนโยนราวกับผิวหน้าของเขาบอบบางปานกลีบดอกไม้ ซึ่งอันที่จริงมันก็ไม่ได้บอบบางขนาดนั้น
“กินยังไงให้เลอะเนี่ยคุณ” เขาเอ่ยเย้า ชูให้ดูเศษอาหารที่ติดปลายนิ้วโป้ง ก่อนจะส่งมันเข้าปาก ปลายลิ้นสีขมพูตวัดอย่างรวดเร็ว แต่ก็นานพอให้คนมองจ้องอย่างตาค้าง
ไม่โอเค ไม่โอเค...ปายก้มหน้าจกข้าวเหนียวเข้าปากราวกับแรงบดเคี้ยวจะช่วยลดอัตราการเต้นของหัวใจได้ เฝ้าภาวนาให้ความมืดสลัวช่วยกลบเกลื่อนความเห่อร้อนบนใบหน้าเขา ไม่เข้าใจว่าทำไมกะอิแค่ผู้ชายเช็ดปากให้ถึงทำให้เขาเขินขนาดนี้ ที่ผ่านมาก็ไม่เคยเสียกิริยากับตัวผู้คนไหนมาก่อน
เอาน่า อาจจะมีแอบเหล่บ้าง แต่เพราะความเนิร์ดและไม่ค่อยพูดกับใครทำให้ไม่เคยมีใครรู้ว่าเขาไม่ได้ชอบผู้หญิง แต่ก็ไม่เคยมีความรักกับผู้ชายเช่นกัน เรื่องที่ชวนคนตรงหน้ามาเที่ยวด้วยกันก็แค่เห็นว่าเหงาอยู่เท่านั้นเอง ไม่เคยคิดจะสานสัมพันธ์มากกว่านั้น
แต่แม่งเอ๊ยยยยยยย ทำแบบนี้เขาเริ่มจะคิดแล้วนะ
แล้วหน้าจะเป็นสิวมั้ยเนี่ย เวรเอ๊ยยยย ทำไมไม่ล้างมือก๊อนนนนนนน
“เอ่อ...ปาย นั่นถุงข้าวเหนียว คุณจะกินจริงๆ หรอ” ขากรรไกรที่เตรียมจะงับลงมาชะงักค้างไว้ท่านั้น ไม่รู้ตัวเลยว่าข้าวเหนียวหมดถุงไปตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาจึงได้แต่ขยำถุงพลาสติกกลบเกลื่อน
“อ๋อ...เอ่อ เปล่า” มือไม้วุ่นวายกับการขยำถุงไปมา “คือ...ติดนิสัยน่ะ ต้องทำให้เป็นก้อนเล็กๆ ก่อนค่อยทิ้ง” แถอะไรได้เอามาให้หมด ขอให้ดึงความสนใจออกจากนิ้วโป้งมหัศจรรย์นั้นเถอะ
อาหารมื้อใหญ่จบลง เขาสองคนนั่งฟังดนตรีต่อจนเกือบสามทุ่มจึงชวนกันกลับ ทีแรกกะจะแวะไปทักทายป้าของปาย แต่เห็นว่าดึกแล้วจึงเปลี่ยนเป็นวันพรุ่งนี้แทน ปายเดินนำเต้ขึ้นมาชั้นบน มีสองห้องใหญ่ ห้องแรกเป็นห้องของพ่อแม่ สุดทางเดินเป็นห้องของปาย
“วันนี้คุณนอนกับผมไปก่อนละกัน ห้องแม่ยังไม่ได้เก็บกวาดเลย” เต้พยักหน้า เดินตามปายเข้าไปในห้อง
ห้องของปายเป็นห้องสี่เหลี่ยมขนาดเล็ก ไม่มีเตียง แต่เป็นฟูกนอนกับพื้นแทน ปลายฝั่งหนึ่งใกล้กับตู้เสื้อผ้า เหนือฟูกมีมุ้งแขวนไว้ มุมห้องมีโต๊ะอ่านหนังสือ ข้างกันเป็นชั้นหนังสือเล็กๆ เจ้าของห้องเปิดตู้เสื้อผ้าหยิบผ้าเช็ดตัวกับผ้าห่มให้
“คุณไปอาบน้ำก่อนได้เลย อยู่ข้างล่าง” เต้ยื่นมือมารับผ้าห่มก่อนจะไปอาบน้ำ
อากาศกลางคืนเย็นลงกว่าเมื่อกลางวัน แต่ก็ไม่ถึงขั้นหนาว น้ำจากฝักบัวรดผ่านผิวกายไล่ตามมือที่ลูบไล้ไปยังส่วนต่างๆ ผิวของเขาหยาบยังไงก็หยาบอย่างนั้น ไม่เห็นเหมือนแก้มของใครอีกคน
คือ...ก็ไม่ได้เนียนนุ่มขนาดนั้น แต่แบบ มันเหมาะมือดี จะออกแรงเหมือนนวดแป้งก็ไม่ต้องกลัวว่าผิวจะบอบบางเกินไป แต่ที่นุ่มจริงๆ เห็นจะเป็นริมฝีปากสีซีด ไม่รู้ถ้าทำอะไรกับมันจะมีเลือดฝาดเป็นสีแดงขึ้นมารึเปล่า
แล้วนี่อะไร ทำไมมาคิดเรื่องแบบนี้ได้วะ
เต้ส่ายหน้า รีบอาบน้ำให้เสร็จก่อนที่เขาจะฟุ้งซ่านไปมากกว่านี้
ผลัดกันอาบน้ำเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองคนก็ได้นั่งเงียบๆ อยู่คนละฝั่งของฟูกที่นอน ต่างคนต่างยังไม่ง่วง เจ้าของบ้านนึกขึ้นได้ว่าวันนี้ฟ้าโปร่ง เป็นคืนเดือนมืดด้วย เขาจึงชวนแขกออกไปเดินเล่นดูดาว
สี่ทุ่มครึ่ง ความเงียบสงบแผ่ปกคลุมทั่วพื้นที่ ในคืนปกติบ้านหลังนี้คงมีเพียงเสียงจิ้งหรีดเรไรพูดคุยกันเท่านั้น แต่ในวันนี้มีเสียงฝีเท้าสองคู่เดินเคียงกันมา ไม่นานก็หยุดลงที่สนามหน้าบ้าน แม้จะไม่มืดสนิทแต่ก็เห็นแสงระยิบระยับจากดวงดาวส่องสว่างแข่งกัน อากาศเย็นกำลังดีช่วยผ่อนคลายอารมณ์ของหนุ่มจากเมืองใหญ่ทั้งสอง พวกเขาเพียงนั่งนิ่งๆ ข้างกัน ดวงตาจับจ้องยังหมู่ดาวที่อยู่ไกลแสนไกล
“สวยเนอะ”
แต่ก็เป็นความงดงามที่ไกลเกินเอื้อม “อือ” ปายตอบรับเบาๆ “มันสวยของมันเอง แต่ก็โดนแสงไฟจากอะไรไม่รู้กลบไปหมด กว่าจะได้ดูก็ต้องสรรหาที่ไกลๆ” เขาพูดต่อยิ้มๆ
ถึงเขาจะเกรี้ยวกราดหัวร้อนง่ายไปบ้าง แต่ก็มีความเชื่อว่าดาวคงเหมือนคน ทุกคนมีความงดงามในตัวเอง จะเปล่งประกายก็ต่อเมื่ออยู่ในที่ที่เหมาะสม แต่บางคนก็เป็นพระจันทร์ มองเห็นชัดเจนกว่าคนอื่นหน่อย
“นั่นสิ กว่าจะหาเจอก็ยากจริงๆ นั่นแหละ” เต้พูด สายตาไม่ได้จับจ้องดาวบนฟ้า แต่มองประกายดาวในดวงตาของอีกฝ่าย ยอมรับว่าแปลกใจตัวเองที่มีความคิดประหลาดโผล่ขึ้นมา
บางทีถ้าเป็นคนนี้...“ผมว่าผมตัดใจจากเขาได้แล้วล่ะ” คนในสายตาหันขวับมามองอย่างประหลาดใจ
“ทำไมเร็ว”
“จริงๆ ก็เหมือนรู้ตัวมาตั้งนานแล้วว่ายังไงก็ไม่สมหวัง แต่ผมมันดื้อเอง” คนพูดหัวเราะเบาๆ “อีกอย่าง เรื่องมันเกิดมาเป็นเดือนแล้วคุณ”
“คุณอาจจะยังมีหวังอยู่ก็ได้นะ” ดวงตากลมมองเขาอย่างให้กำลังใจ
ความหวังน่ะอาจจะมี แต่ไม่ใช่กับคนเดิมแล้วล่ะ
“คือ...ผมคิดว่ามีเรื่องต้องบอกคุณนิดหน่อย” เขาตั้งสติก่อนจะพูดออกไปช้าๆ “คนคนนั้นเป็นผู้ชาย”
คนฟังเบิกตากว้างอย่างประหลาดใจ ไม่คิดว่าผู้ชายหุ่นค่อนข้างหมี ท่าทางเซอร์ๆ แบบนี้จะชอบผู้ชายด้วยกัน เขาดูเหมือนคนประเภทที่เป็นพ่อบ้าน ให้เกียรติและดูแลผู้หญิงอย่างดี ใครจะไปรู้ว่าคนในใจกลับกลายเป็นผู้ชายซะงั้น
“คืนนี้ถ้าคุณไม่สะดวกใจให้ผมนอนด้วยก็ไม่เป็นไรนะ” เต้พูดยิ้มๆ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้รับปฏิกิริยาตอบกลับแบบนี้ เผลอๆ ความหวังครั้งใหม่ของเขาอาจจะดับวูบไปแล้วก็ได้ แต่อย่างน้อยเขาก็รู้สึกดีที่ได้แสดงความบริสุทธิ์ใจออกไป
“ทำไมจะนอนด้วยกันไม่ได้ กลัวผมรังเกียจรึไง” ปายเอ่ยถาม เคลื่อนมือไปใกล้ๆ มืออีกฝ่ายที่วางอยู่ข้างกัน นิ้วปัดป่ายผ่านไอร้อนจากมือนั้นก่อนวางประสานลงไป “ผมชวนคุณเพราะเห็นว่าคุยกันถูกคอ คุณชอบผู้ชายก็ไม่ได้ทำให้ผมอยากคุยกับคุณน้อยลงนี่”
อาจจะอยาก‘คุย’มากกว่าเดิมด้วยซ้ำแรงบีบที่มือเบาๆ พร้อมรอยยิ้มละมุนละไมเปล่งประกายยิ่งกว่าแสงดาวทำเอาคนให้กำลังใจถึงกับใจสั่น เวรเอ๊ยยยยย ต้องเป็นเพราะกาแฟแน่ๆ ใครใช้ให้ไปกินกาแฟตอนเย็นวะ
“ขอบคุณนะ”
ทิ้งรอยยิ้มให้เขามองตาค้างไปอีกหลายวินาที กระทั่งรู้ตัวว่าจับมือกันนานไปแล้ว เขาจึงค่อยๆ คลายนิ้วออกแผ่วเบา แต่อีกคนกลับกระชับแน่นขึ้นกว่าเดิม “มือคุณอุ่นดี”
เขาปล่อยให้อีกคนจับมือไว้แบบนั้น ส่งผ่านความอบอุ่นที่ต่างก็มีกันคนละนิดคนละหน่อย แต่เมื่ออยู่ใกล้กันแบบนี้มันกลับกลายเป็นความอบอุ่นที่พอดี ไม่ร้อนแรงหรือหนาวเหน็บจนเกินไป ความอบอุ่นซึมซับผ่านผิวหนังเข้าสู่หัวใจ ให้หัวใจได้อยู่ในอุณหภูมิที่พอดี มีกำลังในการสูบฉีดเลือดต่อไป
แต่คือ ไม่ต้องเต้นเร็วไปก็ได้มั้ง
“ปาย” เจ้าของชื่อสะดุ้งราวกับเป็นครั้งแรกที่มีคนเรียกชื่อ
“หือ?”
“ถ้ากลับไปเชียงใหม่ผมจะได้เจอคุณอยู่ไหม” น้ำเสียงนุ่มติดอ้อนเล็กๆ ทำเอาคนได้ยินยกมืออีกข้างขึ้นมาถูจมูกอย่างไม่รู้ตัว นิ่งคิดสักพักจึงให้คำตอบ
“ถ้าอยากเจอ เราก็...แบบว่า นัดเจอกันได้”
“จริงนะ”
“อือ”
“เราจะเจอกันอีกจริงๆ นะ”
“ครับ”
“เราจ..”
“เออ! ถ้าถามอีกครั้งจะเปลี่ยนใจแล้ว!” เต้หัวเราะอย่างอารมณ์ดี เขาพอใจตั้งแต่ครั้งแรกแล้วล่ะ แต่แค่อยากแกล้งให้คนตีหน้าซื่อแสดงความเกรี้ยวกราดออกมาบ้างเท่านั้นเอง
ก็แบบ น่ารักดี ไม่รู้หรอกว่าครั้งต่อๆ ไปที่เจอกันจะเป็นยังไง อยู่ในสถานะแบบไหน ซึ่งถ้ามันจะไปไกลกว่าที่เขาคิดก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของอนาคตไป
แค่วันนี้ได้นั่งอยู่ข้างคนคนหนึ่งที่อยู่ใกล้แล้วสบายใจ มันก็เป็นอะไรที่มีความสุขแล้วไม่ใช่เหรอ
จบ.ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านเรื่องสั้นเรื่องนี้นะคะ เราเพิ่งเขียนเป็นเรื่องแรก ยังไงก็ติชมกันได้เนาะ เม้าท์มอยกันก็ได้นะ555555 ที่ #เมล์เขียวคันนั้น ยังไงเราจะพยายามเขียนเรื่องอื่นๆ มาลงอีก ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ^ ^