ไม่น่าเชื่อเลยว่า เรื่องราวของหมีกินเป็ด จะเดินทางมาถึงองก์ที่ 50 แล้ว
ตอนแรกกะไว้ว่าจะลงแค่ไม่กี่ตอน แต่เรื่องราวมันมากมายเหลือเกิน จนล่วงเลยมาถึงครึ่งร้อยแล้ว
ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะให้จบลงที่ตรงไหน อาจจะให้จบลงแบบสวยงาม
แต่ยังไงเรื่องราวชีวิตมันก็ยังคงต้องดำเนินต่อไป เศร้ายังไงพิกล.....
ปล.ขอบคุณสมาชิกที่รักกันเหนียวแน่นหนึบ(คล้ายๆชีสหนึบ ฮุฮุ...อร่อยอ่ะ..ชอบ
) ขอบคุณสำหรับกำลังใจ ขอบคุณสำหรับคำแนะนำหลายๆอย่าง ขอบคุณจริงๆ.....
...........................................
องก์ที่ 50
พอเที่ยงผมรีบไปดักรอไอ้หมีที่แผนก ยังไงๆวันนี้ผมก็ต้องรู้ให้ได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ไปถึงมันกำลังเดินออกมาพอดี
“ไปกินข้าวกันเหอะ” ผมรีบเข้าไปดึงๆแขนมันไว้ แค่เห็นหน้าที่เรียบเฉยมัน ใจผมก็แป้วละ
“กรูจะไปกินกับเพื่อน มรึงจะไปด้วยมั้ยล่ะ”ยิ่งได้ยินแบบนี้ ใจผมก็หล่นตุ๊บไปกองที่พื้นแล้ว กำลังใจที่เตรียมมาหายเกลี้ยง
“เฮ้ย เดี๋ยวดิ กรูมีเรื่องอยากคุยด้วย” ผมพยายามรั้งมันไว้
“เฮ้ยทศ ไปกินกับเพื่อนก็ได้นะ ไม่เป้นไร” เสียงเพื่อนที่แผนกมันตะโกนตามหลังมา
“ไม่อ่ะ เดี๋ยวกรูไปกินกับพวกมรึงนั่นแหละ” มันตะโกนบอกเพื่อนมัน แล้วหันมาพูดเบาๆ
“คงมีคนที่เค้าอยากกินข้าวกับมรึง มากกว่ากรู” พูดจบมันก็สะบัดแขนผมแล้วรีบวิ่งตามกลุ่มเพื่อนมันออกไป เป็นครั้งที่สองแล้วที่มันทำกับผมแบบนี้ภายในวันเดียวกัน
แต่คราวนี้ผมสุดกลั้น ผมเก็บอาการไว้ไม่ได้แล้ว ผมรีบวิ่งเข้าห้องน้ำก่อนที่น้ำตาจะร่วงลงมา พอปิดประตูได้ผมปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อาย มันทรมานนะกับการที่ไม่รู้สาเหตุที่ทำให้โดยเกลียด อย่างน้อยก็ยังโชคดีที่เวลาเที่ยงแบบนี้ ไม่มีใครมาเข้าห้องน้ำ
“มรึงเกลียดกรูแล้วใช่มั้ย มรึงเกลียดกรู ฮือ ฮือ ฮือ ฮือ ” ผมได้แต่พร่ำบอกตัวเองอยู่แบบนั้น
“กรูผิดอะไร ทำไมทำกับกรูแบบนี้ ฮือ ฮืออออ ฮึก ฮึก อะ ฮือออออ” ผมร้องไห้อยู่แบบนั้น จนน้ำตาเริ่มหยุดไหลและแห้งไปเอง มีเพียงเสียงสะอื้นเบาๆ ถ้าเป้นตอนกลางคืน บรรยากาศคงวังเวงน่าดู(ยังมีอารมณ์ขำอีกแน่ะ)
พอผมหยุดร้องไห้จนสนิทแล้ว ผมเริ่มทบทวนอะไรหลายๆอย่าง เรื่องราวต่างๆที่ผ่านมา เหตุผลที่น่าจะเป็น สาเหตุที่มีแรงจูงใจให้มันทำกับผมแบบนี้ ยิ่งคิดก็ยิ่งเกลียด ยิ่งแค้น ยิ่งเคือง
ผมก็ไม่รู้ว่ามันโกรธผมเรื่องอะไร แต่ทำไมมันไม่ถามผมตรงๆ มีอะไรทำไมไม่บอก แล้วในเมื่อผมยังไม่ได้ทำอะไรเลยด้วยซ้ำ มันจะมาโกรธผมดื้อๆแบบนี้ได้ไง ก็ไหนมันว่ามันไว้ใจผม มันทำเหมือนผมไม่มีความหมาย ไม่มีความรู้สึก มันเห็นผมเป็นของเล่นใช่มั้ย นึกจะเล่นก็เล่น พอเบื่อก็ทิ้ง
ผมเองก็มีศักดิ์ศรีนะ ก็ดี ในเมื่อมรึงทำกับกรูแบบนี้ก่อน ถ้ากรูทำบ้างอย่าหาว่ากรูไม่แคร์มรึงละกัน คิดได้แบบนั้น ผมก็เปิดประตูออกมา ล้างหน้าล้างตา (ตาบวมเลยอ่ะ) แล้วกลับมานั่งที่แผนก ข้าวเที่ยงก็ไม่ต้องกินมันละ แล้วก็อย่างที่คิด ต้องมีคนทักเรื่องตาบวมๆของผมแน่ๆ
“หนุ่ม ทำไมตาบวมงี้อ่ะ เป็นไรรึเปล่า” พี่ฝนเดินมาทักเป้นคนแรกเลย
“นิดหน่อยครับพี่ พอดีหมาที่เลี้ยงไว้มันตายน่ะครับ” ดีนะที่คิดเหตุผลไว้ก่อน
“โหย sensitive สูงนะเราน่ะ พี่ก็ตกใจนึกว่าเป็นอะไรซะอีก”
“อย่าไปบอกใครนะพี่ ผมอายอ่ะ” เชื่อซิ ถ้าผมพูดแบบนี้รับรอง เรื่องที่ผมร้องไห้คงกระจายไปทั่ว office แล้วไอ้หมีมันก้ต้องรู้เรื่อง ผมเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าถ้ามันรู้ มันจะทำยังไง
แล้วก็จริงๆครับ ข่าวเรื่องผมร้องไห้ แพร่ออกไปเร็วมาก ที่รู้ก็เพราะว่ามีเพื่อนแผนกอื่นๆโทรมาถาม และที่สำคัญ ไอ้น้องทีมันก็โทรมาถาม น้ำเสียงห่วงใยมาก แต่ผมไม่อยากได้หรอก ความห่วงใยจากมัน ผมอยากได้อย่างอื่นมากกว่า ความสะใจไง
“หนุ่มเป็นไรมากมั้ย ดีขึ้นรึยัง” ไอ้ทีครับ มันโทรมาถามทุกครึ่งชั่วโมงเลย ไอ้ห่วงน่ะก็ขอบคุณอยู่หรอก แต่ถี่ขนาดนี้ชักน่ารำคาญ
“อืม ไม่เป็นไรมากแล้วแหละ ทีว่างหรอ โทรมาบ่อยจัง” เริ่มไม่รักษาน้ำใจใครละผม ชักรำคาญแล้วอ่ะ
“ก็ผมห่วงหนุ่มนี่”
“ขอบคุณนะ ถ้างั้นผมขอทำงานก่อนละกัน เดี๋ยวโดนไล่ออกจะยิ่งเศร้าไปกว่านี้” ผมพูดติดตลกแล้วก็วางสายไป
นี่ขนาดบ่ายกว่าแล้ว ตาผมยังบวมอยู่เลย ดูกระจกแล้วน่าอายชมัด แต่ที่สำคัญ ไอ้หมียังไม่โทรมาเลย ไม่รู้ว่ามันรู้เรื่องผมรึยังน๊า อยากรู้จังว่ามันจะรู้สึกยังไง
ผมเลยแกล้งทำเป็นปวดหัว ขอเข้าไปนอนพักในห้องพยาบาล (เหมือนโรงเรียนเลยเนอะ บริษัทผมเนี่ย) ผมทิ้งโทรศัพท์ไว้ที่โต๊ะนั่นแหละ แล้วบอกเพื่อนไว้ว่าใครโทรมาก็รับให้ด้วย บอกว่าผมไม่ค่อยสบายแล้วจะโทรกลับ อย่างน้อยๆถ้าไอ้หมีโทรมา มันก้จะได้รู้ว่าผมอยู่ไหน ผมว่ามันคงจะฉลาดพอที่จะรู้ว่าที่ผมต้องไม่สบายมานอนห้องพยาบาลเป้นเพราะใคร