ตอนที่ 4
พีร์ยิ้มกับหลานชายที่หลับปุ๋ยกับตุ๊กตาตัวโปรดในอ้อมอกของคนเป็นอา เขาสะท้อนใจกับเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น ที่เขาไม่โกรธพลกฤษณ์แล้วนั้นก็เพราะว่าชายหนุ่มยอมรับผิดจริง ๆ และอีกอย่างก็เป็นเพราะว่าครั้งหนึ่งเขาก็เคยนอกใจคนรักเหมือนกัน
หนุ่มน้อยรู้ตัวดีว่าตอนนั้นเขาเลือกไม่ถูกที่จะรักใครมากกว่ากัน และเพราะความโลเลนี้เองทำให้เขาต้องกลายเป็นคนสองใจระหว่างศิลากับศิริพจน์ แต่สุดท้าย เพราะความโชคดีของเขาที่มีคนรักแบบศิริพจน์เขาเลยเห็นคุณค่าของความรัก และการให้อภัย ว่ามันยิ่งใหญ่ต่อความเป็นคนรักมากแค่ไหน
พีร์หัวเราะเบา ๆ เมื่อเห็นชายหนุ่มหูชาจากการโดนพ่อแม่ของเจ้าตัวต่อว่า และไหนจะพ่อแม่ของเขาที่โทรศัพท์จากหาดใหญ่ขึ้นมาต่อว่าอีก
เขาลูบหน้าพลกฤษณ์แผ่วเบา คงจะเจ็บมาสินะที่จับมือเขาไปตบตัวเองแบบนั้น พีร์คิดในใจ
พีร์ไม่รู้ตัวว่าเขารักพลกฤษณ์มากเพียงใด เพราะที่ผ่านมาถึงแม้ชายหนุ่มจะบอกรักพีร์บ่อยแค่ไหน แค่พีร์ก็ทำได้แต่เพียงแค่พยักหน้าและยิ้มให้เท่านั้น
เพราะพีร์เองก็สะดุ้งทุกครั้งที่ได้ยินคำว่ารักจากปากชายหนุ่ม เขาก็ไม่เข้าใจเหมือนที่ผ่านมาเหมือนกันว่า ความรู้สึกที่มีกับพลกฤษณ์นี้มันจะเท่ากับความรักอย่างที่ชายหนุ่มรักเขาหรือเปล่า
“แต่ก็ดีแล้วหล่ะ ขืนบอกรักไปก็ปล่อยให้เราเป็นหมาหัวเน่า” พีร์คิดอย่างนั้น เพราะจากความที่พีร์ยังคิดว่าชายหนุ่มเจ้าชู้ บางทีการเล่นเกมบอกรักอย่างนี้มันก็คงจะทำให้ชายหนุ่มไม่เห็นเขาเป็นของตาย
เสียงโทรศัพท์มือถือของพีร์ดังขึ้น ปรากฎเบอร์โทรศัพท์จากทางไกล เขายิ้มดีใจที่ศิริพจน์โทรมาหาเขา
“พจจจจ”
“ว่าไงครับพี”
“พจเป็นไงมั่งอ่า”
“ก็เรื่อย ๆ อ่ะพี คุณล่ะ เป็นไงมั่ง”
“ก็ เรื่อย ๆ หล่ะ”
“แล้วพี่แจ๊คล่ะ”
“หลับไปแล้วล่ะ”
“เหรอ ผมโทรมาปลุกคุณหรือเปล่าเนี่ยะ”
“เปล่าเลย ๆ” พีร์ปฎิเสธ “ดีซะอีกที่คุณโทรมา แล้วคุณแคทเป็นไงมั่ง”
“ก็สบายดีหน่ะ” เขาตอบด้วยน้ำเสียงร่าเริง
“แล้วคุณกับคุณแคท เป็นไงมั่ง”
“ก็เรื่อย ๆ หน่ะ”
“ยังไงอ่ะ คุณยังไม่ทำตัวหวาน ๆ กันมั่งเหรอ”
“อืม ไม่รู้สิ” เขาคิดไม่ออกเพราะ เขากับแคทเทอรีนนั้นมีความรักและความเข้าใจในแง่มุมของเพื่อนคู่คิดกันมากกว่าคู่รักหวานแหววเหมือนตอนคบกับพีร์
“แล้วคุณรักคุณแคทรึเปล่า”
“ก็ ไม่รู้สิครับพี”
“อืมๆๆ แล้วอยู่นู่นคุณมองใครบ้างหรือเปล่าเนี่ยะ”
“เหอะ ไม่อ่ะ” เขาตอบตรง ๆ “ก็มีคิดถึงบางคนที่เมืองไทยนี่หล่ะ แต่ก็ดีแล้วตอนนี้เค้ามีแฟนเป็นหนุ่มหล่อไปแล้วฮ่ะ ๆๆ”
“ไม่ต้องเลย” พีร์เขิน เลยเหวี่ยงชายหนุ่มไปเหมือนที่เคยเป็น “นี่ก็เพิ่งมีเรื่องกันอ่ะ”
“หะ เรื่องอะไรเหรอพี”
พีร์เลยเล่าเรื่องของพลกฤษณ์กับคู่ขาเก่าให้ศิริพจน์ฟัง
“ตอนนี้ดีกันแล้วใช่มั๊ยพี”
“ก็ อืม”
“ผมดีใจนะที่คุณเข้าใจพี่แจ๊ค”
“หึ ก็ไม่เข้าใจเท่าไหร่หรอก” พีร์ตอบตรง ๆ เช่นกัน “แต่ก็ เค้ายอมรับผิดจริง และก็สงสารน้องพอลหน่ะ ก็เลยต้องยอมไป”
“พี่แจ๊คเค้ารักคุณมากนะครับพี” ศิริพจน์บอกอย่างเป็นห่วง “ถึงแม้เค้าจะดูเป็นคนอย่างนั้น แต่เค้ารักคุณมากรู้มั๊ย”
“เหรอ...” พีร์รับคำแบบขอไปที แต่เขาก็เห็นด้วยกับศิริพจน์ในส่วนหนึ่ง
“แล้วนี่พจเป็นไงมั่ง ใกล้จบยังอ่ะ”
“ใกล้แล้วหล่ะครับ เหลือแค่ทำวิทยานิพนธ์ผ่านก็เรียบร้อย”
“เหรอ เก่งจังเลยอ่ะ”
“อ่า ขอบคุณครับ”
“แล้วพจจะกลับมาทำงานเมืองไทยรึเปล่า”
“ดูก่อนนะ กะว่าจะหางานที่นี้ทำดู หรือ ถ้ากลับไปจริง ๆ ผมกับแคทคุยกันแล้วว่าอยากไปอยู่ฮ่องกงหรือกลับไปสิงค์โปร์ด้วยกันมากกว่า”
“เหรอ..”
“ถ้าคิดถึงก็บินมาหาผมได้หนิครับพี”
“อือหึ...” พีร์รับคำยิ้ม ๆ
“แล้วนี่พี่แจ๊คยังขับรถแข่งอยู่หรือเปล่าครับเนี่ยะ”
“อืม..เสาร์นี้ก็ไปแข่งที่พัทยาอีกแล้ว” พีร์ตอบเซ็ง ๆ เพราะส่วนตัวเขาไม่ชอบเรื่องรถราอยู่แล้ว แต่ก็ต้องทำใจเพราะมีแฟนแบบพลกฤษณ์ “ก็ไม่อยากไปด้วยเลยอ่ะ ร้อนก็ร้อน น่าเบื่อ ผมไม่อยากไปด้วยเลย”
“ก็คิดซะว่าไปให้กำลังใจพี่แจ็คไงครับ”
“ก็อยากให้ล่ะ แต่อาทิตย์นี้ขอละกัน”
“อืม ครับ ฮ่ะ ๆๆๆ” ศิริพจน์หัวเราะ “คุณนี่ก็เหมือนเดิมจริง ๆ ด้วย”
“อะไร อะไรพจ” พีร์เริ่มเหวี่ยง
“เปล่า...แต่ผมดีใจนะที่เห็นคุณมีความสุขเพราะเป็นตัวของตัวเองแบบนี้ และก็มีคนที่เข้าใจคุณและก็รักคุณมากอย่างพี่แจ๊คอยู่ด้วย”
พีร์เงียบไปเพราะคำพูดของศิริพจน์ที่มักจะสะท้อนให้เขาเห็นถึงตัวเขาเองอยู่เสมอ
“พอเลยพจ...” พีร์เหวี่ยงแก้เก้อ “ว่าแต่คุณเถอะ กับคุณแคทหน่ะ รักเธอให้มาก ๆ เหมือนกันนะ”
“อืม ครับ ผมกับแคทเราเข้ากันได้ทุกเรื่อง ผมก็รู้สึกว่าตัวเองโชคดีนะที่มีแคทอยู่ข้าง ๆ”
“ดีแล้วหล่ะ ดีกว่ามีแฟนเหวี่ยง ๆ อย่างผม”
“เดี๋ยวนี้รู้ตัวแล้วเหรอว่าเหวี่ยง” ศิริพจน์เย้า
“พอเลย..” พีร์ตัดบท “ผมไปนอนล่ะนะ ดูแลตัวเองดี ๆ ล่ะพจ ฝากความคิดถึงไปให้คุณแคทด้วย”
“ครับ ขอบคุณมากนะพี คุณก็เหมือนกันล่ะ ดูแลตัวเองดี ๆ และก็อย่าลืมว่าพี่แจ๊คเค้ารักคุณมากนะ”
“อ่า ครับ ๆๆ เทคแคร์ล่ะ บาย”
พีร์วางสายศิริพจน์ไปด้วยหัวใจที่เปี่ยมสุข ถึงแม้เรื่องของเขากับศิริพจน์จะจบลงไปแล้ว แต่ความรัก ความผูกพัน มิตรภาพของคนทั้งสองนั้น ยังคงเดิมเหมือนตอนที่อยู่ด้วยกัน ต่างกันแต่ว่าสิ่งต่าง ๆ ที่มีให้ไม่ใช่ฐานะคนข้างกายอีกต่อไป
ศิริพจน์กับพีร์นั้นเหมือนเป็นคนรัก เพื่อนสนิท และหลายสิ่งหลายอย่างให้กันและกัน พีร์ยอมรับว่า ศิริพจน์เป็นผู้ชายอีกคนที่รู้จักและรู้ทันเขาดีในทุก ๆ เรื่อง และเขาเองก็รู้สึกดีทุกครั้งที่คิดถึงวันเก่า ๆ ของศิริพจน์กับเขา
แต่ที่เขาไม่เข้าใจศิริพจน์ก็คือการที่ชายหนุ่มบอกเขาเสมอว่า พลกฤษณ์นั้นรักเขามากแค่นั้น เขารู้สึกว่าศิริพจน์จะชื่นชมพลกฤษณ์เป็นอย่างมาก เขาก็พอรับรู้ว่าพลกฤษณ์นั้นรักเขาอย่างไม่ต้องสงสัย แต่เขาก็ยังไม่แน่ใจในตัวเองเหมือนกันว่า เขานั้นรักชายหนุ่ม เท่ากันหรือมากกว่าชายที่ผ่านมาของเขาหรือเปล่า
เพราะเขารู้สึกว่าบางทีเขาก็ใจร้ายและเอาแต่ใจกับพลกฤษณ์เกินไป
คำพูดหวาน ๆ การเอาอกเอาใจของเขาที่มีให้ชายหนุ่มจากพีร์นั้น พีร์คิดว่ามันน้อยมากเมื่อเทียบกับคนที่ผ่าน ๆ มาของเขา
อาจจะเป็นเพราะชายหนุ่มกับเขามีความแตกต่างกันในหลาย ๆ เรื่อง ที่ต้องค่อย ๆ ปรับตัวเข้าหากัน
แต่พีร์ก็รู้สึกขอบคุณที่ชายหนุ่มรับเขาได้ ในแบบที่เขาเป็นจริง ๆ
“ไง วิลล์” พลกฤษณ์รับโทรศัพท์เพื่อนในเย็นวันทำงานวันหนึ่ง
“อื้ม เย็นนี้แกมาฟิสเนสป่าวเนี่ยะ”
“อ่อ ไปสิ แกล่ะ”
“ไป ๆ”
“งั้นเจอกันก็แล้วกัน”
“โอเค”
เขากดวางสายจากวิลเลี่ยม ชายหนุ่มลูกครึ่งอเมริกันเพื่อนสนิทอีกคนของเขาที่ก็มีแฟนเป็นเด็กหนุ่มอายุน้อยกว่าเหมือนกัน แต่วิลเลี่ยมกับแพททริคผู้เป็นแฟนเด็กนั้นคบหากันมาหลายปีแล้ว และอีกเป็นความสัมพันธ์ที่มั่นคงต่างจากคนอื่น ๆ ที่ชายหนุ่มพบเจอมา
พลกฤษณ์เคยคิดว่า วิลเลี่ยมเพื่อนเขาจะทนอยู่กับคน ๆ เดียวได้นาน ๆ จริงหรือ
แต่เมื่อเขาพบเจอความรักกับตัวเอง คำว่าเขาเข้าใจแล้วว่า ที่เพื่อนเขาอยู่กับคนรัก ไม่ใช่เพราะทนอยู่
แต่เป็นเพราะว่าคนทั้งสองเต็มใจที่จะมีกันและกันเสียมากกว่า
“เป็นไงวะแกอ่ะ” วิลเลี่ยมถามพลกฤษณ์ขณะที่เดินออกมาจากฟิสเนสด้วยกัน
“เรื่องอะไรล่ะ”
“เรื่องข่าวของแกหน่ะ เป็นไงมั่ง แกกับน้องพี”
“อ่อ...” พลกฤษณ์ถอนหายใจ “ก็ทะเลาะกันหน่ะ ตอนแรกพีเค้าทำท่าจะไม่คุยกับชั้นอย่างเดียวเลย แต่ก็เคลียร์กันแล้วนะ”
“เหรอ...” วิลเลี่ยมตอบรับ และถามต่อ “แล้วแกกับน้องพีโอเคมั๊ยล่ะ หมายถึงรวม ๆ นะ”
“ก็ดีนะวิล สำหรับชั้นถือว่าชั้นพอใจในตรงนี้มาก ทั้ง ๆ ที่ชั้นก็ไม่เคยคิดมาก่อนเลยนะว่าจะจริงจังกับใคร”
“อืม”
“แต่กับพีชั้นก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่าเค้าจะคิดเหมือนชั้นหรือเปล่า” พลกฤษณ์ถอนหายใจออกมาเมื่อนึกถึงตรงนี้
“อ่าว ทำไมล่ะแจ๊ค”
“ก็บางทีชั้นก็รู้สึกนะว่าพีร์เค้าไม่ได้รักชั้นเหมือนที่เค้าเคยรักคนอื่น”
วิลเลี่ยมได้ยินอย่างนั้นก็หันมามองหน้าเพื่อนอย่างคาดไม่ถึง
“ขนาดนั้นเลยเหรอวะ”
“อืม...” พลกฤษณ์พยักหน้า “ที่เค้ายกโทษให้ชั้นก็ดีแค่ไหนแล้ว ชั้นจะเอาอะไรจากเค้าอีกล่ะวะ”
“อืม...” วิลเลี่ยมตบไหล่เพื่อนเบา ๆ “เค้าคงรักแกบ้างล่ะหน่าแจ๊ค”
พลกฤษณ์ยิ้ม ๆ “ขอให้เป็นอย่างนั้นก็ละกันนะ”
ชายหนุ่มทั้งสองเดินมาที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่งที่วิลเลี่ยมนัดแพททริคให้มารอรับ หนุ่มลูกครึ่งร่างเล็กยกมือไหว้พลกฤษณ์ตามเคย ก่อนจะเข้าไปสวมกอดกับคนรักร่างใหญ่ที่เดินมาด้วยกัน
“ไงครับ รอนานมั๊ย” วิลเลี่ยมถามคนอ่อนวัยกว่า
“ไม่อ่ะครับ” แพททริคส่ายหน้า ยิ้มน้อย ๆ ขณะที่วิลเลี่ยมนั้นดึงปลายจมูกคนรักเบา ๆ อย่างแสนรัก
พลกฤษณ์ยิ้มกับภาพตรงหน้า เขารู้สึกได้ถึงความรักของเพื่อนเขากับคนรัก แพททริคถามพลกฤษณ์ต่อว่า
“แล้วนี่พีไม่มาด้วยเหรอครับ”
“อ่อ เดี๋ยวคงมาล่ะ” พลกฤษณ์ตอบ เพราะเมื่อครู่เขาโทรบอกพีร์แล้วว่าเขากับวิลเลี่ยมรออยู่ที่ร้านกาแฟชั้นล่าง
วิลเลี่ยมกับแพทริคนั้นพยักหน้าตอบรับก่อนจะพูดคุยกันตามประสาคู่รัก พลกฤษณ์ก็รู้สึกดีกับภาพตรงหน้า สักพักพีร์ก็มาถึงที่นัดหมายพอดี
พีร์ยกมือไหว้เพื่อนของคนรักและยิ้มทักทายหนุ่มวัยเดียวกับเขาที่นั่งข้าง ๆ
“เสร็จนานยังอ่ะคุณแจ๊ค”
“อืม ก็สักพักล่ะ”
“เหรอ”
พีร์นั่งลงข้าง ๆ ชายหนุ่มและพูดคุยกับอีกคู่ด้วยความเป็นกันเอง จนสักพักวิลเลี่ยมกับแพททริกก็ขอตัวกลับ พลกฤษณ์สังเกตุว่า วิลเลี่ยมกับแพททริคจับมือกันตลอดเวลาโดยที่ไม่สนสายตาของใคร
เขานึกถึงตัวเอง ที่ตอนนี้ถึงแม้ว่าทุกคนจะรู้ว่าเขากับพีร์เป็นอะไรกันแล้ว แต่หนุ่มน้อยกับเขาก็ยังไม่เคยเดินจับมือกันจริง ๆ เลยที
หลายครั้งที่เขาอยากจะเอามือของพีร์มากุมไว้ แต่หนุ่มน้อยก็เหมือนไม่สนใจเขา เขารู้สึกว่าพีร์นั้นดูจะเพลิดเพลินกับการช้อบปิ้งหรือสิ่งรอบตัวมากกว่า
จนบางครั้งพลกฤษณ์ก็แอบน้อยใจไม่ได้เหมือนกัน
“ที่รักครับ เสาร์นี้ไปพัทยากับผมมั๊ยอ่า”
“ไม่ไปได้มั๊ย” พีร์ตอบมาตรง ๆ เพราะเขาไม่ชอบเลยที่ต้องไปอยู่ในที่แดดร้อนเปรี้ยง และได้แต่กลิ่นของน้ำมันเครื่อง เขม่า และเสียงยางรถที่บดพื้นหนวกหู
“ทำไมอ่า...”
“ก็ผมไม่ชอบอ่ะ ที่ผมไปอ่ะ เพราะว่าผมเห็นแกคุณนะ” พีร์ตอบตรง ๆ “ครั้งนี้ผมขอได้มั๊ย ผมได้กลิ่นยางไหม้และก็อากาศร้อน ๆ ทีไรผมจะเป็นลม”
พลกฤษณ์หน้าเสียเล็กน้อย แต่ก็เข้าใจว่าพีร์คงจะไม่ชอบจริง ๆ แค่เจ้าตัวไม่ห้ามเขาทำกิจกรรมนี้ก็ดีเท่าไหร่แล้ว
“โอเค ๆ” พลกฤษณ์ตอบรับ แต่ก็มิวายแซว “อ่าวแล้วไม่กลัวคนอื่นเค้ามาเชียร์ผมแทนคุณเหรอ”
พีร์มองหน้าชายหนุ่มเหวี่ยง ๆ สายตาของเขาดุชายหนุ่มสื่อไปว่า“เรื่องเก่ายังไม่จบนะคุณแจ๊ค”
แต่พลกฤษณ์ยิ้มหน้าทะเล้น ก่อนจะขอตัวไปนอน ปล่อยให้พีร์สงบความเหวี่ยงของตัวเองคนเดียว
และวันเสาร์ก็มาถึง พลกฤษณ์นั้นเดินทางไปพัทยาแต่เช้า พีร์ก็แอบรู้สึกผิดเหมือนกันที่ปล่อยให้ชายหนุ่มรู้สึกไม่ได้กำลังใจจากเขา แต่พีร์ก็นึกหมั่นไส้ขึ้นมา ถึงเขาไม่ให้ แต่คงจะมีคนอื่นรอที่จะให้อีกเยอะแยะ
คิดแล้วพีร์ก็ยักไหล่ เอาสิ จะทำอะไรก็ทำเลย พีร์คิดว่าถ้าคราวนี้ชายหนุ่มมาร้องไห้ให้เขาเห็นอีก เขาก็ไม่ใจอ่อนอีกแน่แท้
พีร์จะหนีกลับปักษ์ใต้ แล้วถ้าชายหนุ่มตามไป ก็คงจะโดนพ่อกับแม่เขาลงโทษอย่างแน่แท้
พีร์คิดแล้วก็ยิ้มขำ เมื่อนึกถึงตอนที่พลกฤษณ์ถูกพ่อเขาใช้งาน ถ้าหากว่าเป็นอย่างที่เขาคาดการณ์จริง งานนี้พลกฤษณ์คงได้ถูกใช้หลังอานแน่ ๆ
“น้าพีค๊าบบบ” หลานชายตัวน้อยวิ่งตื๊อมาหาพีร์อย่างตื่นเต้น
“มีอะไรครับน้องพอล”
“คุณย่าบอกให้พอลมาตามน้าพีอ่าคับ”
“คับ ๆ” พีร์รับคำหลานชายพร้อมอุ้มหลานชายไปด้วย เมื่อเจอคนเป็นแม่ของพลกฤษณ์ที่นั่งรออยู่
“หนูพี ไปพารากอนเป็นเพื่อนม้าหน่อยสิจ๊ะ วันนี้ป๊าเค้าทิ้งม้าไปตีกอล์ฟกับเพื่อนล่ะ”
“อ่อ ได้สิครับ” พีร์รับคำด้วยความเต็มใจ เพราะถ้าเมื่อไหร่ว่าง ๆ เขาก็มีหน้าที่อีกอย่างคือช้อปปิ้งเป็นเพื่อนคุณเจนนิเฟอร์
“น้องพอลไปด้วยนะค๊าบบ”
“แน่อยู่แล้วจ้ะ” คนเป็นย่าลูบหัวหลานเบา ๆ ก่อนนะหันมายิ้มกับคนเป็นแฟนลูก
“หนูพีไปบอกลุงชัยให้เตรียมรถรอได้เลยนะจ๊ะ”
“ครับ” พีร์รับคำและเดินออกไป คุณเจนนิเฟอร์มองตามพีร์ไปอย่างเอ็นดู เด็กหนุ่มเข้ากับเธอได้ดีในหลาย ๆ เรื่อง อาจจะเป็นเพราะว่าเธอไม่มีลูกสาว และลูกสะใภ้ก็ไม่ได้ปรนนิบัติเธอกับสามี พีร์จึงเหมือนเป็นสะใภ้คนเดียวที่ตอนนี้อยู่กับเธอและสามี
ถึงแม้พีร์จะไม่ใช่ผู้หญิง แต่เธอคิดว่าพีร์นั้นก็ทำหน้าที่เหมือนลูกสะใภ้ได้ไม่ขาดตกบกพร่อง ถึงแม้ใครจะมองว่าแปลกไป แต่เธอก็ไม่ได้เห็นเป็นเช่นนั้น ถ้าลูกชายของเธอพาเข้าบ้านมาขนาดนี้ พลกฤษณ์คงมองเห็นบางอย่างในตัวพีร์ว่าต้องเข้ากับคนเป็นพ่อแม่ได้
คนทั้งสามวัยเพลินเพลินกับการเดินห้างหรู พีร์นั้นดูแลหลานชายและแม่ของพลกฤษณ์เป็นอย่างดี จนกระทั่งเกือบบ่ายโมงที่ทุกคนนั่งรถกลับก็มีเบอร์โทรศัพท์แปลก ๆ โทรเข้าเครื่องพีร์
“สวัสดีครับ”
“สวัสดีครับคุณพีร์ใช่มั๊ยครับ” ปลายสายจากน้ำเสียงไม่คุ้นพูดด้วยอาการตื่นตระหนก “นี่เจ้าหน้าที่จากโรงพยาบาลนะครับ ผมจะบอกว่าคุณพลกฤษณ์ประสบอุบัติเหตุในสนามแข่งครับ”
“หะ ..อะไรนะครับ” พีร์นั้นแทบเป็นน้ำแข็ง เหมือนหัวใจของเขานั้นร่วงกองไปอยู่ข้างล่างแล้ว
คนเป็นแม่เองก็สงสัย จึงมองหน้าพีร์ที่หน้าเสียลง พีร์หันมามองคนเป็นแม่เหมือนจะบอกอะไร
“ตอนนี้คุณพลกฤษณ์เพิ่งรถอัดขอบสนาม หน่ะครับ แต่ไม่ต้องกังวลนะครับ ตอนนี้เรากำลังพาผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลที่กรุงเทพฯ แค่นี้ก่อนนะครับ”
“คะ...ครับ” พีร์พูดออกมาอย่างยากเย็น น้ำตาของเขาค่อย ๆ ไหลมาช้า
“หนูพีมีอะไรเหรอลูก” คนเป็นแม่สงสัยที่สุด
“คุณแจ๊คครับมาม้า...”
“ทำไมลูก แจ๊คเป็นอะไร”
“คุณแจ๊ครถชนในสนามครับ” พีร์พูดได้แค่นั้นก็ปล่อยโฮออกมา คนเป็นแม่เองก็แทบช็อก เธอพยายามตั้งสติ แล้วขอโทรศัพท์ของพีร์มาดูเบอร์ของโรงพยาบาลที่โทรมา แล้วกดโทรออก ขณะเดียวกันเธอก็พยายามปลอบพีร์ไปด้วย ส่วนน้องพอลเองก็กอดคนเป็นน้าไว้เพื่อปลอบโยน
“เดี๋ยวม้าโทรคุยกับทางนู้นนะลูก” เธอลูบหลังพีร์ที่ตอนนี้ร้องไห้อยู่ และก็คุยกับทางโน้นจนได้ความ เธอถอนหายใจพร้อมกับกดวางสาย
“ตาแจ๊ครถอัดขอบสนามหน่ะ อาการตอนนี้ห้าสิบห้าสิบ เห็นเค้าบอกว่าสภาพรถพังยับเลย” คนเป็นแม่พูดได้แค่นั้นก็ร้องไห้ออกมาเช่นกัน
พีร์มองหน้าคนเป็นแม่แล้วก็กอดกันร้องไห้ พีร์นั้นเป็นห่วงชายหนุ่มจับใจด้วยกลัวว่าพลกฤษณ์จะจากเขาไปจริง ๆ ตลอดกาล