-----------(ครึ่งหลัง)--------
“เอกสารด่วนครับ”
มธุวันวางเอกสารลงตรงหน้าเจ้านายที่ยังคงง่วนอยู่กับการอ่านรายละเอียดเอกสารฉบับก่อนหน้า ธีรเชษฐ์หยิบเอกสารฉบับนั้นมาไล่อ่านคร่าวๆ คิ้วเข้มขมวดมุ่นเมื่อเห็นชื่อของบุตรชายคนโตอยู่บนหน้ากระดาษมุมขวาล่างสุด
“นี่มันเอกสารที่เมฆต้องเซ็นต์นี่”
“ใช้ลายเซ็นต์คุณแทนก็ได้ครับ” มธุวันตอบ แสร้งทำเป็นก้มมองเอกสารด้วยไม่กล้าสบตาเจ้านาย เขาอุตส่าห์หวังว่าอีกฝ่ายจะมองข้ามผ่านจุดนั้นไปแท้ๆ “ปกติคุณก็เซ็นต์เอกสารของเขานี่ครับ”
“เพราะปกติเขาอยู่ต่างประเทศน่ะสิ แต่ตอนนี้เจ้าตัวก็อยู่ที่นี่ ทำไมไม่ให้เขาเซ็นต์เอง?” ธีรเชษฐ์เงยหน้าขึ้นมองเลขาคนเก่ง ประหลาดใจยิ่งกว่าเดิมเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมมองเขาตอบ “ก็พอจะรู้นะว่าไม่ชอบหน้ากัน แต่ทำแบบนี้มันไม่สมกับเป็นเธอเลยนะ”
“ขอโทษครับ” ร่างโปร่งพูดได้แค่นั้น ประธานบริษัทมองหน้าลูกน้องคนสนิทอยู่นานก่อนจะถอนหายใจแล้วยื่นแฟ้มกลับไปให้มธุวัน “เอาไปให้เมฆ มีอะไรก็คุยกันให้เรียบร้อย ฉันไม่ชอบให้คนในบริษัทมีปัญหากันเอง”
ร่างโปร่งโค้งกายเป็นเชิงขอตัว ถึงจะไม่อยากทำแค่ไหนแต่งานก็คืองาน เลขาหนุ่มจึงต้องมายืนทอดถอนใจอยู่หน้าประตูห้องของอดีตคนรักอย่างช่วยไม่ได้
“ตอนนี้คุุณเมฆาน่าจะสัมภาษณ์เลขาคนสุดท้ายของวันเสร็จแล้ว ไม่เข้าไปเหรอคะคุณมธุวัน”
คุณเจนจิรา หรือที่ทุกคนเรียกกันว่าพี่แจน เลขาคนเก่าของธีรเชษฐ์ซึ่งบัดนี้ถูกส่งมาเป็นเลขาชั่วคราวของเมฆาระหว่างที่รอสัมภาษณ์เลขาคนใหม่ทักเขาด้วยน้ำเสียงสงสัย ไม่เคยเห็นเลขาคนเก่งที่ไม่เคยกลัวอะไรของประธานบริษัทมีท่าทีประหม่าแบบนี้
“ครับ เข้าครับ” ร่างโปร่งพึมพำ เคาะประตูสองสามครั้งพอเป็นพิธี ก่อนจะเปิดประตูเข้าไปในห้องทำงานของเมฆา
“แล้วก็นะคะ แนนซี่ชอบงานบริการม๊ากมาก จิตใจบริการนี่อยู่ในสายเลือดของแนนซี่เลยค่ะ”
ภายในห้อง การสัมภาษณ์หาเลขายังคงไม่เสร็จสิ้น แต่ที่บทสนทนาของคนทั้งคู่ยังยืดเยื้อทั้งที่หมดเวลาไปแล้วน่าจะเป็นเพราะหน้าอกหน้าใจขงสาวเจ้าที่เกยอยู่บนโต๊ะราวกับลูกนิมิตเตรียมรอฝังนี่แหล่ะ เมฆานั่งเท้าคางไม่พูดไม่จา แต่ก็ไม่ได้ออกปากไล่สาวสวยตรงหน้าไปเสียที
ปัง!
“ว้าย!”
มธุวันกระแทกแฟ้มเอกสารขนาดใหญ่ลงบนโต๊ะ ทำเอาหญิงสาวหดหนีแทบไม่ทัน ร่างอวบอัดมีสีหน้าสับสนว่าตนควรจะทำอย่างไร แต่เมื่อเห็นสายตาที่สื่อความหมายอย่างชัดเจนของมธุวันว่า ‘ทำไมยังไม่ไสหัวไปอีก’ สาวเจ้าก็รีบคว้ากระเป๋าถือเผ่นแน่บออกไปทันที
“เอกสารด่วนครับ” ร่างโปร่งชี้แจง ราวกับว่านั่นเป็นเหตุผลเพียงพอสำหรับการกระทำเมื่อครู่
“ต้องรีบขนาดนั้นเลยรึไง?” ร่างสูงขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ
“เรียภาษาไทยอาจารย์ไม่สอนความหมายคำว่าด่วนให้เหรอครับ” ร่างโปร่งตอกกลับเสียงแข็ง มธุวันรู้ว่าตัวเองกำลังพาล แต่กว่าจะนึกได้ว่าพูดอะไรออกไปก็ไม่สามารถเรียกคำพูดนั้นกลับมาได้แล้ว
เขาหึงถึงจะรู้เต็มอกว่าไม่มีสิทธิ์ แต่เขาก็หึง
แววตาของเมฆาดูแข็งกร้าวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ร่างในชุดสูทเนื้อดีลุกขึ้นยืนเต็มความสูง มธุวันต้องเงยหน้าเพื่อให้อยู่ในระดับที่สามารถสบตากับอีกฝ่ายได้
“ปากเก่งนะ” มือใหญ่หยาบกร้านจากกีฬาหลายประเภทที่เจ้าตัวชอบเล่นเชยคางเรียวขึ้น ใบหน้าคมโน้มลงมาจนแทบสัมผัสได้ถึงลมหายใจ “อยากรู้นักว่าอย่างอื่นจะเก่งเหมือนปากมั้ย”
ใกล้...ใกล้เกินไปแล้วเมฆาย่นระยะห่างของพวกเขาลงเรื่อยๆ มธุวันรู้สึกว่าร่างกายแข็งทื่อ ไม่สามารถขยับหนีอีกฝ่ายไปไหนได้ ทว่าก่อนที่จะได้ใกล้ไปมากกว่านั้น จู่ๆร่างสูงก็ร้องออกมา
“โอ๊ย!” เมฆาเอามือกุมศีรษะ ทรุดตัวลงไปบนเก้าอี้ท่ามกลางความตกใจของเลขาหนุ่ม มธุวันปรี่เข้ามาดูอาการของร่างสูงทันที พร้อมกับร้องเรียกเจนจิราที่อยู่ด้านหน้า
“คุณแจน!! ช่วยด้วยครับ!!!”
หญิงสาววิ่งเข้ามาในห้องพร้อมกับธีรเชษฐ์ที่ตามเข้ามาติดๆ เมื่อเห็นสภาพของลูกชาย ร่างสูงจึงตรงเข้ามาพยุงคนที่ยังกุมศีรษะไว้แน่นพร้อมกับออกคำสั่ง
“แจน ไปตามหมอมา หมอก มาช่วยฉัน”
“ค่ะ/ครับ!” ทั้งสองรับคำสั่งแล้วรีบปฎิบัติตามอย่างคล่องแคล่ว มธุวันช่วยธีรเชษฐ์หิ้วปีกลูกชายคนโตไปยังโซฟาที่อยู่มุมห้อง ทั้งสองค่อยๆวางคนป่วยยังร้องโอดโอยกุ้มขมับลงอย่างเบามือ ธีรเชษฐ์อังมือลงบนหน้าผากลูกชายคนโตก่อนจะหันกลับมาสั่งเลขาหนุ่ม
“เธอปลดเสื้อผ้าให้เมฆหายใจสะดวก เดี๋ยวฉันเอาผ้าชุบน้ำมาให้”
ร่างโปร่งพยักหน้า ถอดเนคไทน์ให้คนที่สติเลือนรางและมีเหงื่อผุดพรายตามใบหน้า ปลดกระดุมให้ร่างสูงอย่างชำนาญ ทั้งที่ไม่ได้ทำมานานถึงสามปี แต่ทักษะที่ทำจนชำนาญยากจะลบเลือนตามการเวลา
‘เมฆ ลุกขึ้นมาอาบน้ำก่อนสิ’
‘เหนื่อย...’
‘เมฆ อย่างน้อยก็ลุกมาเช็ดตัวซักหน่อยก็ยังดี’
‘ถอดให้หน่อย...’สุดท้ายก็ต้องเดือดร้อนเขาเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ร่างสูงที่เหนื่อยจากการเรียนและการทำงานจะแทบสลบไปทุกที มือเรียวปลดเข็มขัดของเมฆาแล้วดึงออก จังหวะเดียวกับที่ธีรเชษฐ์เดินกลับมาพร้อมกะละมังในมือ
“เช็ดตัวให้เขาก่อน หมอกำลังจะมาถึงแล้ว เดี๋ยวฉันลงไปรับ” ร่างสูงสั่งเลขา มธุวันพยักหน้ารับอย่างไม่คิดเกี่ยงงอน ในใจคิดเพียงแต่อยากให้เมฆาหายจากท่าทางทรมานที่เป็นอยู่
มือเรียวหยิบผ้าขนหนูมาบิดให้หมาดแล้วซับบนใบหน้าชื้นเหงื่ออย่างแผ่วเบา คนป่วยครางอือในลำคอเหมือนเริ่มรู้สึกสบายตัว มือใหญ่ปัดป่ายราวกับกำลังควานหาบางอย่าง ซึ่งมธุวันรู้ดีว่าบางอย่างที่ว่าคืออะไร
“หมอกอยู่นี่เมฆ” ร่างโปร่งกระซิบ ดึงมือของคนป่วยขึ้นมาวางบนกลุ่มผมนิ่มของตน นิ้วเรียวยาวสางเส้นผมนุ่มลื่นเพลินมืออย่างไม่รู้ตัว ซึ่งเป็นสิ่งที่เมฆาชอบทำประจำเวลาต้องการสงบจิตใจ
เขาคิดถึงสัมผัสนี้เหลือเกิน
“ทางนี้คราม”
เสียงของธีรเชษฐ์ทำให้ร่างโปร่งดึงมือที่อยู่บนศีรษะออกแล้วเช็ดตัวอีกฝ่ายตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น มธุวันขยับออกมาเมื่อเห็นคุณหมอคเชนทร์ หรือหมอคราม เพื่อนสนิทที่มธุวันเห็นออกไปทานข้าวด้วยกันบ่อยๆ เป็นอาจารย์หมออยู่ที่มหาวิทยาลัยเก่าของเขากับเมฆา ร่างสูงที่ยังอยู่ในชุดลำลองวางกระเป๋าอุปกรณ์การแพทย์ลงแล้วเริ่มต้นตรวจอาการเบื้องต้น
“เราออกไปรอข้างนอกดีกว่า อยู่นี่ก็เกะกะเขา” ธีรเชษฐ์บอกเลขาของตน แต่ว่ามธุวันกลับยืนนิ่งมองร่างบนโซฟาไม่ขยับไปไหน “หมอก?”
“อ๊ะ..ครับ” ร่างโปร่งรีบเดินออกไปพร้อมกับเจ้านายตามคำสั่ง ไม่กี่นาทีต่อมา คุณหมอที่เป็นเพื่อนร่วมรุ่นสมัยมัธยมของท่านประธานเดินออกมาจากห้อง หมอคเชนทร์เป็นคนรูปร่างสูงแต่ไม่ได้เพรียวบางแบบเขา หรือกำยำเหมือนคนชอบออกกำลัง เป็นคนที่ดูไม่อ้วนไม่ผอมจนเกินไป เส้นผมสีดำสนิทถูกหวีจนเรียบแปล้ติดหนังศีรษะเสริมด้วยแว่นตากรอบสีดำสุภาพยิ่งขับให้อีกฝ่ายมีออร่าของคุณหมอผู้มีวิชาความรู้แก่กล้าทั้งที่ไม่ได้อยู่ในชุดทำงาน
“เป็นไงบ้าง?” ธีรเชษฐ์ถามสิ่งที่มธุวันก็ร้อนใจอยากจะรู้เช่นกัน
“ไม่เป็นอะไรมากหรอก อาจจะโหมงานหนัก พักผ่อนไม่พอ ยังปรับตัวกับเวลาแล้วก็สภาพอากาศในเมืองไทยไม่ได้ พอลุกเร็วเลยหน้ามืด” นายแพทย์หนุ่มตอบเพื่อน “แต่เดี๋ยวกูสั่งยาให้ละกัน ช่วงนี้ก็อย่าให้เขาหักโหมมาก หาคนดูแลก็ดี เผื่อจะวูบไปอีก เพราะคนไข้มีประวัติการถูกกระทบกระเทือนที่ศีรษะ ของพวกนี้บางที่ก็ส่งผลหลังจากอุบัติเหตุหลายปีได้เหมือนกัน”
“ขอบใจมากคราม โทษทีที่รบกวน ทั้งๆที่วันหยุดมึงแท้ๆ” ธีรเชษฐ์ว่าอย่างเกรงใจ แต่อาจารย์หมอเพียงแต่ส่ายหน้า อ้าปากหาวเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยขอตัว
“ไม่ต้องไปส่งกูหรอก ดูแลลูกมึงเหอะ เจอกัน”
“อือ เจอกัน”
เมื่อร่างสูงลับสายตา ธีรเชษฐ์หันกลับมาหาเลขาหนุ่ม
“ได้ยินแล้วใช่มั้ย?”
“ขอปฏิเสธครับ” ร่างโปร่งตัดบทโดยไม่ต้องคิด แค่อยู่ในตึกทำงานเดียวกัน อีกฝ่ายยังทำให้เขาปั่นป่วนได้ถึงขนาดนี้ ไม่ต้องคิดเลยว่าหากต้องไปดูแลอีกฝ่ายถึงที่คอนโด เขาจะถูกปั่นหัวขนาดไหน
“ฉันมีโอที...”
“ไม่สนใจครับ” เลขาหนุ่มปฎิเสธเสียงแข็ง
“แต่ฉันไว้ใจเธอแค่คนเดียวนะหมอก” ประธานบริษัทเอ่ยเสียงอ่อน เขาไม่ไว้ใจให้ใครดูแลลูกชายของเขา นอกจากคนที่เขา
เลือกเข้ามาเองกับมืออย่างมธุวัน
“ก็ให้พี่แจนไปสิครับ” ร่างโปร่งยังคงเถียง
“แจนเขาก็มีลูกมีสามีต้องกลับไปดูแล”
“แล้วผมไม่มีเหรอครับ?”
“แล้วมีมั้ยล่ะ?”
มธุวันชะงักไปเมื่อถูกอีกฝ่ายย้อนคำถาม เขาอยู่ตัวคนเดียวมาโดยตลอด ไม่มีภาระอะไรต้องดูแล น้องชายคนเดียวที่มีซึ่งตอนนี้ทำงานเป็นอาจารย์โรงเรียนประถมใกล้ๆคอนโดของเขาก็อยู่หอพักอาจารย์ แถมสัตว์เลี้ยงยังไม่มีซักตัวอีกต่างหาก
จะมีก็แต่...
“เห็ด..เห็ดเข็มทอง...”
“ห๊ะ?” ธีรเชษฐ์เอียงคออย่างงุนงง
“ผมเพาะเห็ดเข็มทองไว้ครับ”
“เห็ดเข็มทอง...สำคัญกว่าชีวิตลูกชายฉัน?” ประธานบริษัทไม่อยากเชื่อสิ่งที่ได้ยิน มธุวันเบือนหน้าหนี ร่างสูงทำได้เพียงทอดถอนใจก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ
“นั่นสินะ สำหรับเธอ ถ้าลูกชายฉันจะโดนคนที่ดูแลทำมิดีมิร้าย รวบหัวรวบหางตอนที่อ่อนแอไม่มีแรงสู้ ก็คงจะไม่เกี่ยวกับเธอสินะ”
“ก็ไม่เกี่ยวจริงๆนี่ครับ” ร่างโปร่งไหวไหล่
“ถึงจะไม่สนในฐานะมนุษย์ร่วมโลก แต่ถือว่าสงสารลูกนกลูกกาก็ไม่ได้เหรอ...” เมื่อประชดประชันไม่ได้ผล ธีรเชษฐ์จึงใช้ลูกอ้อนแบบหมาน้อยตัวโตเข้าสู้ “ค้างแค่คืนเดียว เห็ดเข็มทองเธอคงไม่ม่องเท่งหรอกน่า” ร่างสูงยกมือไหว้ปลกๆ “นะนะ ถ้ากลัวมันตาย เดี๋ยวฉันไปรดน้ำให้ก็ได้”
“ถ้าจะลงทุนขนาดนั้นทำไมไม่ได้ดูแลคุณเมฆาเองล่ะครับ?” ร่างโปร่งกอดอกเลิกคิ้วถามอย่างไม่เข้าใจ
“ฉันไม่รู้จักคอนโดเมฆนี่ อีกอย่างฉันเคยดูแลใครที่ไหนล่ะ” ประธานบริษัทยิ้มเจื่อน
“แล้วคิดจะบังอาจมาแตะต้องน้องเข็มของผม?”ร่างโปร่งถาม
“น้อง..น้องเข็ม?” คิ้วเข้มกระตุกกึกๆกับมุมที่เขาไม่เคยเห็นของเลขาคนสนิท มธุวันถอนหายใจ
“ครับๆ คืนเดียวนะ”
“ขอบใจมากนะหมอก ไปวนรถมาก็ได้ เดี๋ยวฉันพยุงลูกลงไปเอง”
“ครับ” มธุวันถอนหายใจ ก่อนจะเดินกลับโต๊ะไปเอากุญแจรถ
‘เมฆ น้ำหอมแพงๆแบบนี้หมอกรับไว้ไม่ไหวหรอก หมอกใช้ไม่เป็น’อะไรน่ะ?
ใครน่ะ?
ท่ามกลางความเจ็บปวดที่บีบอัดแน่นภายในกระโหลก เสียงหวานที่ดังขึ้นในหัวกลับช่วยทุเลาความทรมานของเขาลงได้อย่างน่าประหลาด
‘
ไม่แพงซะหน่อย’ เมฆาได้ยินเสียงตัวเองเถียงอย่างดื้อแพ่ง
‘เมฆผสมเอง’‘เอ๊ะ?’
‘กลิ่นนี้มีกลิ่นเดียวในโลก...’กลิ่นหอมเย็นๆที่จางจนแทบไม่ได้กลิ่น
ปวด..ปวดหัวที่สุด
เขากำลังคุยกับใคร?
“คุณเมฆา เป็นยังไงบ้างครับ”
กลิ่นนี้อีกแล้ว...
ร่างสูงปรือตาขึ้นอย่างยากลำบาก ภาพที่เห็นคือเนคไทน์สีแดงเข้มคุ้นตาของเลขาของบิดา พร้อมกับมือเย็นๆที่ทาบลงมาบนหน้าผากของตน น่าแปลกที่ความเย็นของมือเรียวทำให้เมฆารู้สึกผ่อนคลายลง ทว่ากลิ่นของน้ำหอมที่ยังคงลอยมาแตะจมูกอย่างต่อเนื่องทำให้ร่างสูงรีบปัดมือของอีกฝ่ายออก
กลิ่นนี้เป็นสิ่งสุดท้ายที่เขารับรู้ในห้องทำงาน ก่อนที่ความเจ็บปวดจะเข้าครอบงำเสียจนไม่สามารถคิดอะไรได้ เมฆาจึงรีบป้องกันตัวเองจากกลิ่นนั่นด้วยกลัวว่าอาการปวดหัวจะกลับคืนมา
ว่าแต่...เมื่อกี้เขากำลังฝันถึงอะไรอยู่นะ?
“คุณเมฆา”
“ถอยออกไป กลิ่นน้ำหอมนายทำให้ฉันปวดหัว” ชายหนุ่มรีบห้ามเมื่อเห็นอีกฝ่ายกำลังจะเดินเข้ามาใกล้ มธุวันถอยออกไปทันทีที่ได้ยินดังนั้น ท่ามกลางความมึนเบลอเมฆาไม่มั่นใจว่าเขาตาฝาดไปหรือไม่เมื่อเห็นแววตาเป็นกังวลของร่างโปร่ง ถึงแม้จะเป็นแค่เสี้ยววินาทีก็ตาม
ก็ต้องตาฝาดไปเองอยู่แล้วสิ
“นายเข้ามาในห้องฉันได้ยังไง?” คนบนเตียงถามขึ้นเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตัวเองอยู่ในห้องนอนของคอนโด “ไม่สิ ฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
“ผมให้ยามช่วยพยุงเข้ามาในลิฟต์ แล้วใช้คีย์การ์ดในกระเป๋าเงินของคุณเปิดประตู ขอโทษด้วยนะครับที่ต้องรื้อค้นของส่วนตัว” ร่างโปร่งโกหกหน้าตาย คีย์การ์ดที่เขาใช้เป็นคีย์การ์ดสำรองของเมฆาที่ชายหนุ่มเคยให้ไว้สมัยที่ยังคบกัน ไม่คิดเลยว่าของที่เสียบไว้ในกระเป๋าใส่บัตรเมื่อนานมาแล้วจะมีประโยชน์ในเวลาแบบนี้
เมฆาใช้ฝ่ามือกดขมับที่ยังปวดตุบ รู้สึกมึนเกินกว่าจะมาถือสาเอาความคนตรงหน้าตอนนี้
“กลับไปได้แล้ว”
“ท่านประธานให้ผมอยู่เฝ้าคุณ”
“ไม่จำเป็น”
“ต้องบอกกี่ครั้งว่าผมไม่รับคำสั่งจากคุณ” ร่างโปร่งกอดอก “คืนนี้ท่านประธานสั่งให้ผมค้างที่นี่ แต่ถ้าคุณปวดหัวกับกลิ่นน้ำหอมของผม ผมจะยกให้เป็นกรณีพิเศษ”
เมฆาทิ้งตัวลงบนเตียง ไม่ส่งเสียงตอบรับหรือปฎิเสธ มธุวันจึงถือเอาสิ่งนั้นเป็นการรับรู้
“ถ้าอย่างนั้นผมขอตัว”
ร่างสูงรอจนได้ยินเสียงประตูห้องของเขาปิดลง เมฆาชันตัวขึ้นนั่งอย่างยากลำบาก เพิ่งสังเกตว่าตัวเองถูกเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดลำลอง มองไปรอบๆห้องนอนของตัวเองที่ดูเหมือนไม่ได้รับการแตะต้อง เหมือนกับว่าร่างโปร่งไม่ได้มีตัวตนอยู่ในห้องนี้จนถึงเมื่อครู่ ดูไร้ร่องรอยจนราวกับว่าบทสนทนาเมื่อครู่เป็นแค่ภาพลวงตา
ความสมบูรณ์แบบนั้นกลับทำให้เมฆายิ่งรู้สึกหงุดหงิดมากกว่าเดิม
ไม่รู้ทำไม แค่คิดว่าอีกฝ่ายสามารถหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยได้ทุกเมื่อ ยิ่งรู้สึกไม่สบอารมณ์
ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เห็นหน้า เขามีความรู้สึกประหลาดว่ามธุวันกำลังอยู่ผิดที่ผิดทาง เหมือนกับว่าร่างโปร่งไม่ควรจะมายืนถือป้ายชื่อรอรับเขาที่สนามบินด้วยใบหน้าเฉยเมย ไม่ควรเรียกเขาว่าคุณเมฆา หรือท่านรองประธาน ไม่ควรแทนตัวเองว่าผมหรือเรียกเขาว่าคุณ ทุกสิ่งทุกอย่างดูเหมือนอยู่ผิดที่ผิดทางไปซะหมด
เรียกว่าขัดหูขัดตาก็คงจะได้
ยิ่งได้เห็นว่าอีกฝ่ายดูจะมีความสัมพันธ์กับพ่อของเขาเกินเลยจากเจ้านายและลูกน้องปกติ ยิ่งทำให้เขารู้สึกไม่ถูกชะตากับอีกฝ่ายมากขึ้น
ทั้งที่ปกติเขาไม่เคยคิดจะใส่ใจว่าบิดาจะมีความสัมพันธ์กับใครแท้ๆ
“จริงสิ กระเป๋าตังค์”
มธุวันดูจะไม่ใช่คนที่จะขโมยอะไรไปจากกระเป๋าเงินของเขาก็จริง แต่เมฆาคิดว่าตรวจดูไว้ก็ไม่เสียหาย ร่างสูงหยิบกระเป๋าเงินสีดำสนิทราคาแพงของตนมาจากโต๊ะหัวเตียง ซึ่งเป็นที่ประจำที่เขาใช้วาง
คงบังเอิญวางไว้ที่เดียวกันล่ะมั้ง
ร่างสูงไม่ได้คิดอะไรกับความบังเอิญเพียงเล็กน้อยก่อนจะเปิดกระเป๋าดู ทว่าภายในกลับไม่มีคีย์การ์ดที่เขาใช้เข้าห้อง ทั้งที่ปกติเมฆาใส่บัตรไว้ที่เดิมเสมอจนเป็นนิสัยเพื่อกันลืม จะว่าคนที่แบกเขามาที่ห้องไม่ได้ใส่กลับเข้าไปที่เดิมก็ไม่น่าจะใช่ ดูจากความละเอียดรอบคอบของอีกฝ่ายแล้ว
ชายหนุ่มนึกย้อนไปยังตอนที่เขาออกจากห้องเมื่อเช้า
“ครับพ่อ ประชุมที่ญี่ปุ่นครั้งหน้าผมจะเป็นคนไปเอง”
ชายหนุ่มหนีบหูกับโทรศัพท์มือถือ มือทั้งสองข้างก็คว้าเอกสารที่วางกองกระจัดกระจายบนโต๊ะจากการโต้รุ่งเมื่อคืน ทั้งคืนเมฆาได้งีบแค่หนึ่งชั่วโมงทำให้ตอนนี้เขาสะลึมสะลือพอสมควร ชายหนุ่มคิดว่าตัวเองควรยอมรับความจริงได้แล้วว่าตัวเองไม่ได้ยังหนุ่มยังแน่นเหมือนสมัยมหาวิทยาลัย
‘ถ้าเมฆยังทำร้ายสุขภาพตัวเองไม่เลิกแบบนี้ เดี๋ยวก็อยู่ไม่ถึงสี่สิบหรอก’ร่างสูงยกมือขึ้นกุมศีรษะที่เจ็บแปลบขึ้นมา
นี่นอนไม่พอจนได้ยินเสียงหลอนเลยเหรอเนี่ยเรา?
‘เมฆ? เป็นอะไรรึเปล่า?’
“เปล่าครับ คงนอนดึกไปหน่อย แค่นี้นะครับ เดี๋ยวคุยกันต่อที่บริษัท” ร่างสูงกดตัดสาย แล้วยัดเอกสารทั้งหมดใส่กระเป๋าหนังทรงสี่เหลี่ยมของตน ก่อนจะใส่รองเท้าแล้วรีบออกมาจากห้อง
โดยที่ไม่ได้หยิบคีย์การ์ดติดตัวออกไปจากห้อง
จำได้ว่าเมื่อคืน เขาลงไปเซ็นต์รับของที่ล็อบบี้ของคอนโด เลยหยิบแค่คีย์การ์ดใส่กระเป๋ากางเกงลงไป...
ร่างสูงรีบเดินเข้าไปในห้องน้ำ ตะกร้าผ้าซักของเขายังคงวางอยู่ที่เดิม มีเพียงเสื้อผ้าที่เขาใส่ไปทำงานถูกพับอย่างเรียบร้อยแล้ววางทับลงไปข้างบน เมฆาคว่ำตะกร้าลงบนพื้น แล้วหยิบกางเกงตัวที่เขาใส่นอนออกมา ก่อนจะล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง
เป็นอย่างที่คิด คีย์การ์ดของเขายังคงติดอยู่ในผ้าที่ยังไม่ได้ซัก
ถ้าอย่างนั้น มธุวันเปิดประตูเข้ามาได้อย่างไร
ร่างสูงเดินกลับออกมาพร้อมกับคีย์การ์ดในมือ หยิบโทรศัพท์ของห้องพักแล้วต่อสายลงไปยังเคาท์เตอร์ด้านล่าง
‘เอ๊ะ? ไม่นะครับคุณเมฆา ผมแค่ช่วยพยุงคุณจากรถมาที่ลิฟต์ แต่ว่าไม่มีพนักงานคนไหนใช้คีย์การ์ดฉุกเฉินเปิดห้องคุณเลยนะครับ’ ยามที่ถูกเรียกตัวมาสอบถามตอบจากปลายสาย ตัดความเป็นไปได้ที่ร่างโปร่งจะขอคีย์การ์ดมาเปิดไปอีกกรณี
ถ้าอย่างนั้น...คนคนนั้นเข้ามาในห้องได้ยังไง
นายเป็นใครกันแน่ มธุวัน______________
เอาแล้วๆๆๆ