(ต่อจากด้านบน)
หลังจากรอจีบที่ขี้จนหมดไส้หมดพุงเรียบร้อย เราก็ได้ฤกษ์เดินทางไปยังสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าใจกลางเมืองแห่งหนึ่งชื่อ ‘อ้อมอารี’ เป็นบ้านชั้นเดียวหลังใหญ่ที่รวบรวมเด็กกำพร้าทุกเพศทุกวัยเอาไว้มากที่สุดแห่งหนึ่งของเมือง ที่นี่มีโรงอาหาร สนามเด็กเล่น และสาธารณูปโภคมากพอจะรองรับเด็กได้หลายร้อย แต่ดูเหมือนวันนี้จะดูเล็กจ้อยลงไปถนัดตา
จะพูดยังไงดี งานทำบุญวันเกิดของธีร์ ดำรงเดชมันไม่ใช่การไปเลี้ยงข้าว ให้ขนม หรือสอนเด็กวาดรูปธรรมดา พูดตามตรงมันดูเหมือนไม่ใช่งานทำบุญวันเกิดของเขาแล้วด้วยซ้ำ มันเหมือน...งานมีตติ้งดาราที่ใช้ส่วนบุญส่วนกุศลบังหน้า เพราะแฟนคลับของเขาไหลทะลักเข้างานอย่างกับน้ำป่าไหลหลาก กูนึกว่าข้างในมีโรงทาน ไอ้ชิบหาย (อุทาน)
“ถ้าเก็บค่าตั๋วเข้านี่ได้เป็นแสนเลยนะ” ผมมองฝูงชนข้างในแล้วบ่นลอยๆ ตาแหงนมองเลยไปถึงป้ายไวนิลแผ่นใหญ่ที่ขึงตรงทางเข้า มันเขียนว่า ‘HAPPY BIRTHDAY THEE ตอน วัยรุ่นบุญท่วมหัว’
กูปวดตับกับชื่องานมากๆ แง้ ใครคิด!
“จุ๊บ แกไม่รู้เหรอ” จีบเปรย “งานนี้เขามีขายบัตรนะ ให้กดจองผ่านไทยทิกเกอร์เมเจ๊ตอะ”
ฉึ่ง...กูหน้าตึงไปทันที แต่ยังไม่ทันได้เหวอใดๆ เสียงโทรศัพท์จากธีร์ก็ดังขึ้นซะก่อน
[พี่จุ๊บ เราเห็นนาย] เขาพูด ผมจึงชะเง้อคอผ่านฝูงชนเข้าไป แต่ไม่ปรากฏวี่แววของคนผิวสว่างแต่อย่างใด [ยืดคอจะเป็นยีราฟแล้ว ไม่เห็นเราหรอก เราอยู่ในบ้าน]
“อ้าว” ไม่บอกตั้งแต่แรกล่ะฟะ
[โทษทีที่บอกว่าทำบุญวันเกิด ไม่ใช่อย่างที่คิดอะดิ]
“ใช่ โคตรอึ้ง”
[ทำบุญวันเกิดของเราเป็นแบบนี้นี่แหละ ฮ่าๆ เห็นชื่องานตรงประตูไหม เราคิดเองเลยนะ เท่ปะ]
ออหอ นึกว่าใคร ที่แท้มันนี่เอง ตั้งชื่อซะกูอยากบอกเลิกตอนนี้เลย ฮือ
“เท่ซั้สสสสสสส” ผมประชม (ประชด+ชม) แล้วเปลี่ยนเรื่องคุยเป็นการเป็นงานบ้าง “มีตรวจบัตรอยู่ จะเข้าไปยังไงอะ”
[เดี๋ยวเราจะให้สตาฟฟ์เอาบัตร VIP ไปให้ รออยู่ตรงนั้นแหละ] ธีร์บอก [ได้บัตรแล้วเข้ามาหาเราในบ้านนะ เราอยู่ห้องเด็กเล็ก อย่าพาใครมาด้วยล่ะ]
แล้วเขาก็วางสายไป ไม่นานก็มีชายตัวใหญ่ท่าทางเคร่งครึมแต่สวมเสื้อ I HEART THEE DUMRONGDECH เอาป้ายคล้องคอมาให้เราสามคน ก้าวแรกหลังจากเข้าไปยังบริเวณบ้านผมก็เห็น...โรงทาน! มันมีโรงทานอยู่จริงๆ รายล้อมไปด้วยคนใส่เสื้อแฟนคลับของเขาทั้งเด็กและผู้ใหญ่ แต่ละคนมีของที่จะมอบให้เด็กกำพร้าและศิลปินพะรุงพะรังไปหมด แม้แต่จีบกับโฟกัสยังมีของกระจุกกระจิกมาแจกเด็กๆ
ตัดภาพมาที่ผม...มีแค่กล้องถ่ายรูปตัวเดียว เยี่ยมไปเล้ย
ภายในบ้านแน่นขนัดไปด้วยคนมากหน้าหลายตาทั้งผู้ใหญ่และเด็ก มีการจัดโซนเป็นฐานกิจกรรมต่างๆ เหมือนงานวันเด็กขนาดย่อม ผมเห็นเวที โซนถ่ายรูป บูธวาดภาพระบายสี ทำขนม และสารพัดที่คุณจะจินตนาการถึง ตามกำหนดการงานจะเริ่มราวๆ สิบโมง ผมจึงแยกกับโฟกัสและจีบที่ดูโหยของกินเหลือเกินตั้งแต่เดินเข้ามา ไปหาธีร์ในบ้านอย่างที่เขาบอก ผ่านด่านการ์ดจนเข้าไปถึงห้องเด็กเล็ก ได้ยินเสียงรื่นหูของพระเอกดังอยู่ไกลๆ
แต่พอไปถึงกลับไม่ได้มีแค่เขาคนเดียว ในห้องเด็กเล็กที่ถูกตกแต่งด้วยสีสันสดใสซึ่งมีเด็กวัยอนุบาลราวสิบคนวิ่งเล่นกันอยู่ ตรงนั้นยังมีคนอีกสองคนที่ผมไม่ควรมาเจอที่สุดอยู่ตรงนั้น
พี่บุ๊ค ผู้จัดการของธีร์ และพิมพ์ผกา ดำรงเดช แม่ของเขา
วันนี้พวกเขาแต่งตัวในตีมสีขาวแบบเดียวกัน ไม่น่าเชื่อว่าธีร์อยู่ชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์ธรรมดาจะดูดีได้ขนาดนั้น เช่นเดียวกับพี่บุ๊คที่ใส่เสื้อกั๊กสีขาวทับเสื้อสีเนื้อ กับกางเกงผ้าลายไทยที่มองไปก็เท่แต่มองอีกทีก็เหมือนแต่งไปวัด รวมไปถึงแม่ของเขาที่ใส่เดรสสีขาวดูสวยหรูอย่างเคย ทั้งสามคนกำลังคุยกันพลางมองเด็กๆ วิ่งเล่นอย่างสนุกสนาน
และแน่นอนว่า ไอ้หนุ่มเสื้อสีเขียวขี้ม้าที่จู่ๆ ก็เดินโด่เด่เข้าไปจะต้องโดนจับตามอง
ธีร์เพิ่งสังเกตเห็นผมหลังจากคนอื่น สีหน้าตกตะลึงของเขาทำให้ผมรู้ว่าตัวเองมาผิดเวลาอย่างแรง รู้ตัวอีกทีขาก็พาผมเข้าไปตรงกลางห้อง จะหันหลังกลับมันก็ไม่ทัน
ทั้งห้องเงียบฉี่ทันที แม้แต่เด็กยังหยุดวิ่ง ฟัค
“เอ่อ...” ผมอึ้ง ทุกคนอึ้ง
“นี่...พี่จุ๊บครับ พี่เทคที่มอผมเอง!” แล้วธีร์กอบกู้สถานการณ์ไว้ได้ทัน ถึงอย่างนั้นเขาก็แนะนำผมด้วยเสียงดังเกินธรรมชาติ ก่อนจะรู้ตัวว่าดังเกินไป ธีร์กระแอมก่อนพูดต่อ
“แล้วก็...วันนี้อาสาจะมาเก็บภาพในงานครับ” เขามองกล้องที่ผมสะพายอยู่แล้วพูดออกไป ทั้งที่เราไม่ได้ตกลงกันแบบนั้น เหยด นึกขอบคุณตัวเองจริงๆ ที่สะพายกล้องมา
“ผมอยากแนะนำให้รู้จักกัน เผื่อ...จะได้ตามไปเก็บภาพอีกหลายงาน” ธีร์แถให้ผมต่อ แล้วแนะนำให้ผมรู้จักกับคนฝั่งเขาบ้าง ผมยกมือไหว้พี่บุ๊คและแม่ของเขาอย่างลนลาน ปั้นรอยยิ้มบนหน้าแบบพยายามไม่มีเลศนัย
ต่าย พิมพ์ผกาไม่แม้แต่จะยกมือรับไหว้ เธอแค่มองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยดวงตากลมสวยหากน่ากลัวประหลาด ราวกับเธอพยายามให้ผมรับรู้ถึงรังสีบางอย่างที่แผ่ออกมาจากตัว
ชั่วแวบหนึ่ง แววตาแบบนั้นทำให้ผมสงสัยว่าบางที...บางทีเธออาจจะรู้เรื่องผมกับธีร์
“เก็บภาพเหรอ” เธอถาม “ปกติเราก็มีช่างภาพของเราอยู่แล้ว ไม่เห็นต้องใช้ช่างภาพนอกเลย”
“เอ่อ...จริงๆ แล้วเก็บไปประกอบวิชากิจกรรมของคณะให้ธีร์น่ะครับ น้องไม่ค่อยร่วมกิจกรรมคณะเพราะงานเยอะ อาจารย์เลยให้ไปทำ CSR (กิจกรรมช่วยเหลือสังคม) มาแทน แล้วงานนี้ก็เข้าข่าย ผมเลยมาเก็บภาพให้น้องน่ะครับ”
ผมโกหก เป็นคำโกหกที่ผมไม่เชื่อมันเลยสักคำ มีเหรอที่แม่เขาจะเชื่อ
นางเอกรุ่นแม่หรี่ตามองผมครู่หนึ่ง สีหน้าเรียบตึงไม่แสดงอารมณ์ใดๆ เธอเหยียดริมฝีปากแล้วพูดออกมาว่า
“งั้นก็แล้วไป” สรุปว่าเชื่อ...เฉย “แต่งานหน้าไม่ต้องลำบากแล้วนะ ไม่ต้องการ”
ไม่ต้องการ น้ำเสียงคมกริบเหมือนมีดที่กรีดผมอย่างช้าๆ ความเย็นชานั้นทำให้ผมรู้สึกเป็นส่วนเกินของห้องนี้มากกว่าเดิม ผมหัวเราะแฮ่กลบเกลื่อน สบโอกาสจึงขอตัวออกมาด้วยความกระอักกระอ่วน
“เดี๋ยว” แต่...ถูกพี่บุ๊คผู้จัดการเรียกไว้ซะก่อน อะไรอีกค้าบบบบ “น้องหน้าคุ้นๆ จังค่ะ เหมือน ‘เรา’ เคยเจอกันที่ไหนมาก่อน...” พี่ตุ๊ดหัวเกรียนร่างใหญ่ห่อลิ้นตรงคำว่าเราจนผมสะดุ้ง มันต้องออกเสียงปานนั้นเลยใช่ไหมฟะ
แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญตอนนี้ ประเด็นคือ...หรือพี่บุ๊คจะจำผมได้ตอนเจอกันแบบเฉียดๆ ที่คณะตอนนั้น...ทำไงดีวะเนี่ย
“ที่ไหนเหยอฮ้าบ” คิดอะไรไม่ออก ผมจึงหันไปยิ้มตาหยีให้จนตาเป็นรูปสระอิ จินตนาการหน้าตัวเองออกเลยว่าคงเหมือนหน้ากากอาแปะที่เชิดสิงโต...ดูซิเล่นตลกใส่แบบนี้จะจำได้อยู่ไหม
“พี่ว่า...” พี่บุ๊คจิกปาก “ไม่เคยเจอหรอก พี่คิดไปเองแหละ”
“แฮ่ๆ” โคตรโล่ง แต่ก็ต้องหัวเราะแบบสตาฟฟ์หน้าอาแปะเอาไว้เพราะกลัวหลุด
“แต่น้องหน้าตาดีนะ ถ้าไม่ยิ้มแบบนั้น”
“ฮ้าบ ขอบคุณฮ้าบ ไปละฮ้าบ”
ผมรีบชิ่งออกมาโดยไว ไม่วายได้ยินประโยค “แปลกคนจัง การพูดการจาก็ประหลาด ธีร์รู้จักคนแบบนี้ได้ไง” มาจากพี่ตุ๊ดผู้จัดการ ไม่คิดติดใจกับคำติเรื่องคำพูดคำจาของเขา เพราะนาทีนี้โคตรโล่งใจที่เอาตัวรอดมาได้ แต่อีกใจก็รู้สึกหนักอึ้ง
การเผชิญหน้ากับแม่ธีร์ย้ำเตือนผมถึงอุปสรรคใหญ่ในความสัมพันธ์ของเรา...อุปสรรคที่ทำให้เรื่องยากลำบากอื่นดูเล็กจ้อยลงถนัดตา
ผมกับธีร์จะเก็บเรื่องของเราไว้เป็นความลับได้อีกนานแค่ไหน
ทำใจไว้แล้วว่าการเจอกันตอนเช้าจะเป็นช่วงเวลาเดียวของวันที่เราเฉียดใกล้กัน ถึงจะคิดถึงการเจอธีร์มากแค่ไหน แต่มันคงไม่ฉลาดเท่าไหร่ที่จะมาจิ๊จ๊ะกับเขาท่ามกลางสายตาของแม่ ผู้จัดการ และแฟนคลับกว่าร้อยคนแบบนี้ ผมจึงตัดสินใจเอ็นจอยตัวเองไปกับการทำบุญตามจุดประสงค์ของงานจริงๆ ด้วยการมาช่วยสอนเด็กชายผมหน้าม้าเต่อคนหนึ่งระบายสีอยู่ในโซนศิลปะ
“อย่าระบายเกินเส้นสิ”
“ยุ่งน่ะพี่” มันชื่อเบิร์ด ตัวแค่นี้แต่แสบใช่เล่น แต่ผมก็ไม่ถือสาหรอก “ทำไมไม่อยากไปดูดาราที่เวทีเหมือนคนอื่นเขาล่ะ”
“ไร้สาระ” น้องเบิร์ดตอบ ไม่น่าเชื่อว่านี่คือคำพูดที่ออกมาจากปากเด็กอายุสิบขวบ “ผมหล่อกว่าพวกนั้นมัดรวมกันอีก”
“โฮ่” ผมระเบิดหัวเราะด้วยความนับถือ “แต่ก็จริง พวกนั้นไม่เห็นมีใครหล่อเลยเนอะ”
“ใครเอาเป็นแฟนคงตาถั่ว”
ระบายสีอยู่ดีๆ ถึงกับทรุด ทำไมสุดท้ายเข้าพี่ล่ะโว้ยเบิร์ดดดด
ผมใช้เวลาค่อนวันขลุกอยู่ตรงนั้น มองคนในเสื้อ I HEART THEE DUMRONGDECH เดินเข้าไปกระจุกกันอยู่ที่เวทีตอนที่ธีร์เปิดมินิคอนเสิร์ตเล็กๆ ในช่วงท้ายของวัน มันเป็นมินิคอนเสิร์ตกึ่งสรุปงานนี้และกึ่งโปรโมตคอนเสิร์ตใหญ่ของเขากับเพื่อนๆ ‘วัยรุ่นวุ่นรัก’ ที่กำลังจะมาถึงด้วย เสียงกรี๊ดอย่างอุ่นหนาฝาคั่งดังต่อเนื่องแม้พวกเขาจะร้องเพี้ยนกันแค่ไหน ผมกะว่าจะไปถ่ายภาพขำๆ สักหน่อยเลยตัดสินใจบอกลาน้องเบิร์ด
“ขอบคุณนะพี่จิ๊บ แต่ไปไหนก็ไปเลยครับ” น้องเงยหน้ามายักคิ้วแล้วก้มลงระบายสีต่อ...จำชื่อไม่ได้แถมยังไล่อีก โอเคเว้ย
ผมเดินมาถึงบริเวณเวทีตอนเพลงสุดท้ายกำลังเริ่ม สังเกตเห็นโฟกัสกับจีบที่ยืนวี้ดๆ อยู่แถวหน้าสุด สังเกตเห็น ‘เขา’ ตัวเท่านิ้วก้อยที่ยืนแจกความสดใสอยู่บนนั้น
“ถ่ำไมเธอต้องยิ้มทุกทีที่เดินซวนกัน ถ่ำไมเธอต้องหวานทุกคำที่เอ่ยวาจ่า”
และธีร์ ดำรงเดชไม่เคยทำให้แฟนๆ ผิดหวัง เขายังรักษามาตรฐานการร้องเพลงที่ทำให้เราตั้งคำถามว่า...แกเป็นพระเอกละครมิวสิคัลจริงปะเนี่ย
“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดด!!!!!!!”
แต่แฟนคลับก็ยังกรี๊ดคอแตกให้ รู้แล้วครับว่ารักจริงๆ
ผมยกกล้องขึ้นถ่ายวิดีโอของเขาจนจบเพลง รู้แหละว่าธีร์มองไม่เห็นหรอก เพราะผมแทรกตัวอยู่ท่ามกลางแฟนคลับนับร้อย แถมยังถูกดันให้มาอยู่หลังๆ ด้วยซ้ำ
แต่พอร้องจบ ธีร์ก็หันมาสบตาเข้ากับกล้องของผม ขยิบตาให้เหมือนรับรู้ว่าผมอยู่ตรงนี้ บางทีอาจจะเป็นเพราะเสื้อสีเขียวขี้ม้าท่ามกลางเสื้อแฟนคลับสีขาว
ก่อนดนตรีบรรเลงจะจบลง อยู่ๆ ธีร์ทำท่าชูนิ้วโป้งขึ้น แล้วกลับนิ้วโป้งลง จากนั้นก็จุ๊บนิ้วโป้งนั้นเบาๆ และปิดท้ายด้วยการทำมือไอเลิฟยูส่งมาให้
เสียงกรีดร้องดังสนั่น ผมหัวเราะออกมาอย่างไม่เชื่อว่าเขาจะกล้าทำท่านั้นจริงๆ มันอาจดูเป็นท่าปิดท้ายเพลงเสร่อๆ ที่ทำคิดขึ้นเพื่อแฟนคลับ
แต่สำหรับผม มันคือท่าบอกรักที่มีแค่เราเท่านั้นที่รู้
ธีร์เคยคิดเล่นๆ และทำให้ผมดูตอนเราอยู่ด้วยกัน ด้วยความกลัวว่าผมจะน้อยใจที่ไม่ได้เจอกัน ผสมกับการที่เขาอยากให้ผมไว้ใจว่ายังไงก็รัก เขาเลยคิดท่าบอกรักผ่านสื่อขึ้นมาจากคำที่เราชอบพูดกันบ่อยๆ
...การชูนิ้วโป้งหมายถึงดี กลับนิ้วโป้งลงหมายถึงแย่ และการจุ๊บนิ้วโป้งหมายถึงผม
‘ไม่ว่าจะดีหรือแย่ เราสัญญาว่าจะรักพี่จุ๊บ’
จะว่าบ้าก็บ้า
แต่น่ารักวุ้ย
Thee Dumrongdech โทษทีวันนี้ไม่ได้คุยกันเลย
Jub Joompit
ไม่เป็นไร
เข้าใจ
ธีร์
สุขสันต์วันเกิดนะ
มีความสุขมากๆ โตไวๆ
Thee Dumrongdech อยากได้ยินเสียง
โทรไปได้มั้ย
Jub Joompit
มาดิ
เสียงเรียกวิดีโอคอลจากเขาดังขึ้น ผมกดรับ
[ไหนอะของขวัญ] เขาทำท่าแบมือขอ ยังอยู่ในชุดเดิมจากงานวันนี้ เราทั้งคู่ต่างอยู่บนเตียงของตัวเองที่บ้าน
“อะไรๆ” ผมแหย่ “ไปทำบุญด้วยนี่ยังไม่พออีกเหรอ”
[เฮ้ย มันจะพอได้ไง มันต้องเป็นชิ้นเป็นอันดิ]
“ไม่มีอะ”
[ทำท่าดีหรือแย่ให้ดูก็ได้]
“ไม่มีทาง” ผมจะไม่ยอมทำท่าบ้านั่นให้เขาดูเด็ดขาด
ไม่ใช่อะไร...มันเขินเกินไปโว้ยยย
[พี่จุ๊บ วันเกิดเรานะ ทำให้ดูหน่อยยยย]
“ไม่”
[ไม่ทำจะวางละเน่อ]
โหย วันนี้เอาแต่ใจจังวะ “เดี๋ยวดิ”
[ทำ…เดี๋ยวนี้เลย]
ผมถอนหายใจพลางส่ายหัว “เห็นว่าเป็นวันเกิดหรอกนะ” แล้วทำทุกอย่างด้วยความรวดเร็ว เริ่มตั้งแต่ยกนิ้วโป้งขึ้น กลับมันลง จุ๊บปาก แล้วทำมือไอเลิฟยู
[เฮ้ย เร็วแบบนั้นใครจะไปมองทันฟะ]
“ไม่รู้ๆๆ ทำแล้วทำเลย ได้รอบเดียวด้วย” ผมแหว รู้สึกหน้าร้อนขึ้นมานิดๆ
[บอกรักเราด้วยดิ]
“ทำไมงอแงจังวันเนี้ย”
[จุ๊บรักธีร์ แค่นี้ยากตรงไหนอะคร้าบ] อ้อนเก่ง แต่ไม่ใจอ่อนหรอก
“ไม่อาวววววว”
[เฮ้อ แล้วแต่] แล้วเขาก็ยอมแพ้ไปในที่สุด ง่ายจังรอบนี้
“งอนเหรอ” คนบนหน้าจอส่ายหัว แต่ทำแก้มป่องเหมือนเด็กอย่างน่าตี “มันไม่ได้น่ารักนะทำแบบนั้น”
[ใช่ดี้] เขาตัดพ้อ
“ฮะๆ อย่างอนๆ” ผมบอก แล้วหาวให้เขาดูหนึ่งรอบ “เพราะเราไม่มีแรงง้อแล้ว”
[ทำไมเพลียเร็วจังวันนี้] เขาเลิกทำแก้มป่องแล้วถามจริงจัง [ไปทำอะไรกับกิ๊กมาใช่ไหม]
“คิดได้” ผมหัวเราะในลำคอ พลิกตัวนอนตะแคงแล้วสบตาเขา “วันนี้หนุกไหม”
[ก็ดีอะ เหนื่อยเหมือนทุกวัน]
“คนอะไรงานทำบุญวันเกิดตัวเองยังจัดเหมือนแฟนมีต”
เขาหัวเราะ [ตอนแรกก็ไม่อยากให้เป็นแบบนี้เหมือนกัน แต่ค่ายเขาขอมา]
“แล้วไม่บอกไรเราเลย ขำตรงทุกคนใส่เสื้อไอฮาร์ทธีร์ ดำรงเดช แล้วเราใส่เสื้อสีเขียวกากๆ ไปคนเดียว”
[อยากได้เหรอเสื้อตัวนั้นอะ]
“อย่างน้อยมันก็ทำให้เราเหมือนคนอื่นไง”
[เราไม่อยากให้พี่จุ๊บเหมือนคนอื่นไง]
“ทำไมล่ะ”
[นั่นแฟนคลับ นี่แฟนครับ] “โอ...เค๊” ผมทำท่าโบกมือศิโรราบ นึกถึงเสื้อสีเขียวเด่นของตัวเองตัวนั้น แล้วจู่ๆ ก็นึกไปถึงเหตุการณ์ตอนเช้าของวันนี้
“แม่นอนแล้วเหรอ” ผมถาม
[นานแล้วครับ] เขาบอก [วันนี้เราเกือบไม่รอดนะจุมพิต]
“เราว่าแม่ธีร์สงสัยละ ฮะๆ”
[ก็อาจจะ]
“ถ้าแม่รู้จริงธีร์ว่าเขาจะทำยังไง กันไม่ให้เราเจอกัน จ้างคนมาตามเรา อะไรแบบนั้นปะ”
[ไม่รู้เหมือนกัน แต่คิดว่าคงเป็นแบบนั้น] ธีร์เบ้ปาก [แต่เราไม่ยอมแพ้หรอก]
“อู้ว” ผมยิ้มล้อเลียนสีหน้ามุ่งมั่นนั่น ต่อด้วยหาวให้เขาดูรอบที่สอง “อิ๊ดอ้าอุดอ๊ายเขาอาออมให้เราอยู่ด้วยกันอ๊ะ (คิดว่าสุดท้ายเขาจะยอมให้เราอยู่ด้วยกันปะ)”
[หาวขนาดนี้ก็ไปนอนเถ้อะ] คนผิวสว่างไม่ตอบคำถามผม แต่ออกเสียงไล่แทน [เรื่องที่มันยังมาไม่ถึง เราอย่าคิดล่วงหน้าเลยเนอะ]
“ฮะ...โอเค...” แล้วผมก็หาวให้เขาดูอีกรอบ “โทษที”
[ฝันดีครับแฟน]
“สุขสันต์วันเกิดนะธีร์” ผมรวบรวมกำลังสุดท้ายก่อนห้วงนิทราจะดึงผมให้ดิ่งไปมากกว่านี้ “19 แล้ว แต่เป็นเกือบปีที่เข้ามาในชีวิตเรา จะบอกว่าไงดี ขอบคุณที่เข้ามา และขอให้เราอยู่ด้วยกันแบบนี้เรื่อยๆ...” ผมพยายามเบิกตาปรือๆ เพื่อมองเขาได้ชัดเจนเพราะคำที่จะพูดต่อไปเลยนะ
“เรารักธีร์นะ” ผมยอมพูดออกไปในที่สุด เห็นรอยยิ้มของคนหน้าจอแล้วกดวางสายไป
อย่างที่เขาบอก ตอนนี้เรามีกัน เรื่องที่มันยังมาไม่ถึงก็อย่าไปคิดล่วงหน้าเลย
(ต่อด้านล่าง)