อาถรรพ์พงไพร ๗
กลิ่นหอมชื่น
อบอวลตรวนด้วยรัก
สองดวงฤทัย
เคลื่อนชิดหา
หากแต่มารมีเรื่อยไป
ช้าๆได้พร้าเล่มงาม
จงจำไว้
รอรักแล้วอย่าลืมภัย
เงาครึ้มเริ่มเที่ยวหา
“ ไอ้ชล!! ตื่นเว้ย! ” เสียงตะโกนข้างหูเรียกสติสตังที่กำลังฝันหวานให้สะดุ้งตื่นมาพบกับความเป็นจริง กะพริบตาถี่ๆพร้อมกวาดสายตาไปทั่วห้อง ซึ่งมันโล่งสุดๆ ไปเลย อ้าว... เพื่อนไปไหนหมดวะ
“ หือ.. เพื่อนไปไหนกันหมดวะ ” หันไปถามหน้ามึนใส่นนท์ที่ยืนสะพายเป้เก็บของหมดแล้วเตรียมพร้อมไปมาก
มันทำหน้าหงิก “ เขากลับบ้านกันหมดแหละมึง มีมึงเนี่ย หลับเป็นตาย ถามจริง นี่มึงงีบหลับหรือมึงตายวะ ”
ผมส่ายหน้าอย่างเซ็งๆ ถามนิดเดียวแม่งเล่นต่อซะยาวเป็นเมตร นี่เพื่อนหรือแม่ว่ะครับ ก่อนจะยันตัวลุกขึ้นหยิบกระเป๋ามาเตรียมเก็บของบ้าง แต่ยังสะลึมสะลืออยู่เล็กน้อย
“ กลับบ้านหมดอะไร ” ผมแหวใส่ก่อนบุ้ยปากไปทางหญิงสาวคนหนึ่ง “ ฟ้าก็ยังเก็บของอยู่เลย ”
“ จะไม่อยู่ได้ไง ” ไอ้นนท์ลอบยิ้มเจ้าเล่ห์ “ ในเมื่อวันนี้กูชวนฟ้าไปกินเคเอฟซี ”
เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดว่าไม่ลืมจะยักคิ้วแสยะยิ้มราวกับผู้ชนะมาให้อีก ขึ้นเลยทีนี้ อะไรกันอ่า ทำไมฟ้าทำร้ายจิตใจชลแบบนี้ ฮือ คราวก่อนชลชวนไปกินไอติมหน้ามอ ก็ไม่ว่าง คราวประนู้นก็ชวนไปกินสเวนเซ่น ก็ไม่ว่าง แล้วทำไมที่ไอ้นนท์ ทำไมฟ้าถึงไปอ่า ไม่ยอมเว้ยงานนี้!
“ กูไปด้วย ” ผมแสยะยิ้มคืนให้หลังจากเก็บของเสร็จ
“ เฮ้ย จะไปเป็นกอขอคองอจอ... ” มันร้องเสียงหลง
“ มึงจะเอาให้ครบสี่สิบสี่ตัวเลยมั้ยครับคุณนนท์ แหม่ ” ผมดักคอมันไว้ได้ทันก่อนที่มันจะไปถึงฮอนกฮูก “ อยากกินไก่เหมือนกัน
จะทำไมครับเพื่อน ”
“ แดกวันอื่นสิ กูจะไปกับฟ้าสองคน ”
ไอ้นนท์ทำน้าจริงจังอย่างไม่ยอม แล้วมีหรือผมจะทำตาม เรื่องไหนก็ยอมได้ แต่เรื่องนี้ ไม่มีวันซะหรอก
“ เหอะ ” ผมยิ้มเล็กน้อยก่อนจะหันไปทางฟ้าที่หันมาทางผมพอดี “ ฟ้าครับ จะไปกินเคเอฟซีกับไอ้นนท์เหรอ ”
หึ รู้จักไอ้ชลน้อยไปแล้ว รางวัลสุพรรณหงส์ก็เคยได้มาแล้ว คิดว่าเขาจะไม่รู้รึไงว่าควรเล่นละครบทไหนถึงจะทำให้ฟ้าใจอ่อน
“ ใช่จ้ะ ” นางฟ้าก็ยังคงเป็นนางฟ้า ยิ้มรับซะหวานหยด
ผมทำหน้าหงอๆ “ ชลไปด้วยได้รึเปล่า พอดีชลยังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เช้าเลยอ่ะฟ้า ”
“ ข้าวหน้ามอก็มี ถ่อไปทำไม เคเอฟซีเนี่ย ” ไอ้นนท์ว่าหน้านิ่งแต่ผมรู้ว่ามันกำลังหัวเราะในใจที่ฉีกหน้าผม หึ แต่คิดเหรอว่าแค่นี้
จะทำอะไรหน้าหนาๆด้านๆของผมได้
“ แต่ผมอยากกินด้วยอ่าฟ้า ชลไปด้วยได้รึเปล่า ” เมินมันครับ แล้วไปอ้อนวอนกับนางฟ้าใจดีดีกว่า บีบน้ำตานิดๆ
“ ก็ไปสิชล เพื่อนเยอะๆสนุกดีออก เนอะนนท์ ” นางฟ้าหันไปยิ้มกว้างหน้าซื่อกับไอ้นนท์ซ่างตอนนี้มันกำลังมองมาทางผมราวจะฉีกเนื้อเสียให้ได้
ไอ้นนท์ทำหน้าอึกอัก “ ครับ...ฟ้า ”
“ เดี๋ยวพี่ชายฟ้าจะไปด้วยนะคะ ได้รึเปล่า ” เธอหันมาเอียงคอถามอย่างนึกกังวล
“ ได้อยู่แล้วฟ้า ”
ผมตอบรับไปทันที ตอนนี้จะใครก็ได้ทั้งนั้นเอามาเป็นก้างขวางคอไอ้นนท์ให้หมด สีหน้าตอนมันกำลังจะตานี่แหละ ฮาสุดแล้ว!
แต่...ไอ้ชล มึงลืมอะไรไปรึเปล่าวะ
พี่ชายฟ้า มันก็...
ไอ้พี่นาทนี่หว่า!! ถึงจะแค่เป็นพี่น้องกันหลอกตามที่ไอ้พี่นาทมันเล่านะ แต่ยังไงแล้ว...ขอไม่ไปแล้วทันมั้ยวะ...
เป็นผมเองที่มีท่าทีลำบากใจ “ เอ่อ... คือ ”
“ เป็นอะไรรึเปล่าชล หน้าซีดจัง ” ฟ้าย่นคิ้วมองหน้าผมอย่างสงสัยปนห่วงใย อือหือ เป็นปลื้มสิครับ ทำให้นางฟ้าประจำคลาส
ประจำคณะเป็นห่วงเป็นใยได้
“ ป่วยเหรอมึง กลับไปนอนก็ได้นะ กูไม่ว่า ” เข้าทางไอ้เวรเพื่อนทันที รีบยัดเยียดอาการมาให้อย่างว่องไว
“ เปล่า แค่หิว จะเป็นลมเว้ย ” ตอบกลับไปแบบนั้นแต่ยังคงจุกกับข้าวตอนเช้ากินไปเป็นกะละมังอยู่ แต่เรื่องอะไรจะยอมรับว่ากิน
แล้ว ขืนบอกความจริงไป ก็อดไปแดกไก่สิครับ
“ อ้าวเหรอ งั้นแปบนะ ฟ้าโทรตามพี่นาทก่อน ”
ผมถลึงตาใส่ฟ้าอย่างลืมตัวจะร้องห้ามแต่เธอดันสะพายกระเป๋าถือของเดินออกจากห้องไปคุยโทรศัพท์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โฮ
กกกก สี่วันที่กระผมอุตส่าห์สาหัสหนีหน้ามันก็พังทลายสิเนี่ย
ครับ ใช่ ได้ยินไม่ผิดหรอกครับ
หนีหน้า... หรือก็คือ
หลบหน้านั้นเอง ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะสะพายกระเป๋าเดินตามฟ้าออกไปหน้าห้อง ต้องเจอมันจริงๆเหรอวะเนี่ย เซ็งจริงๆ ส่วนสาเหตุที่หลบหน้า ผมขอไม่บอกแล้วกัน มันไร้สาระ อย่ารู้เลย
“ ฝากไว้ก่อนเถอะมึง ไอ้ชล ไอ้เพื่อนเลว ”
ไอ้เพื่อนนนท์ก็ยังไม่เลิกที่จะโกรธผมครับ ไอ้นี่มันเห็นหญิงดีกว่าเพื่อนใช่มั้ย ได้ จะจำไว้เลยยย
ผมทำหน้าป่วยใส่มัน เอาจริงๆไอ้นนท์มันก็รู้ว่าผมไม่ได้จะจีบฟ้าจริงๆจังๆหรอก แค่ชอบแกล้งๆมันกันมันเป็นกอขอคองอมันสนุก
ดีไง
พวกเรายืนรอไอ้พี่นาทร่วมสิบนาทีที่บริเวณหน้าคณะก่อนร่างสูงจะวิ่งกระหืดกระหอบลงมาจากตึกตรงที่พวกผมยืนรออยู่ น้องสาว
คนสวยรีบกระวีกระวาดใช้กระดาษในมือพัดวีคลายร้อนให้มันทันที
“ ไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้ค่ะ ” หญิงสาวคนเดียวที่ยืนอยู่ตรงนี้ว่า
ผมเบือนหน้าไปทางอื่นรากับมองไม่เห็นสายตาคมๆของมันที่จับจ้องผมตั้งแต่มันวิ่งมาแล้ว แถมตอนนี้ก็ยังมองหน้าไม่เลิก ถ้าเป็นปลากัด คงท้องเป็นโขยงแล้วมั้ง
“ ก็ฟ้าบอกเองนี่ว่าให้รีบๆ ” หันไปยิ้มน้อยๆให้กับฟ้าก่อนจะหันกลับมามองผม มองทำไมครับ รู้ตัวว่าหล่อ “ ฟ้าบอกว่าชลไม่ได้กินข้าวเช้ามาเหรอ จริงเหรอ ”
กะพริบตาปริบๆ ใบ้แดกเลยกู สายตาโคตรรีดคั้นเลย จับได้ว่ากูโกหกนี่ จะตายมั้ยวะ
เป็นฟ้าที่ชิงพูด “ ใช่ค่ะ ชลไม่ได้กินข้าวเช้า เมื่อกี้ฟ้าเห็นหน้าซีดๆด้วย เรารีบไปกันเถอะค่ะ เดี๋ยวชลจะเป็นลมซะก่อน ”
ไอ้พี่นาทพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะลดเป้สะพายลงหยิบบางอย่างออกจากกระเป๋าแล้วยื่นให้ผมท่ามกลางความมึนงงเอ๋อของคนอื่นๆ
มองเลื่อนสายตามองลงที่มือใหญ่แล้วชะงักเงยหน้ามามองมันอย่างอึ้งๆ
“ กินรองท้องไปก่อนนะ จะได้ไม่หิวมาก ”
ไอ้พี่นาทแม่ง...
“ พี่แวบไปซื้อให้เมื่อกี้ก่อนจะมาหาเราน่ะ ” ตบท้ายด้วยรอยยิ้มใจดี
มันแม่ง...
ทำกูเขิน เพราะไอ้เหตุการณ์ใจเต้นโครมระเบิดลงคร่าวก่อนไง ที่ทำให้ผมต้องหนีหน้ามัน ก็มันไม่พร้อมเจอนี่หว่า!
ขณะที่ผมกำลังยืนนิ่งเป็นไอ้ใบ้หน้าแอบแดงนิดๆ เสียงมารข้างตัวก็ดังขึ้นเรียกสติให้กลับมา...
“ หึ ไอ้ชล... มึงเสร็จกูแน่ ”
หันไปมองตามเสียงชั่วร้ายแล้วจะพบว่าสีหน้ามันกำลังสะใจสุดๆ แววตามองผมกับไอ้พี่นาทสลับกันอย่างล้อๆ ไม่วายทำไม้ทำมือกุ๊กกิ๊กให้ผมได้อายเพิ่มอีก
“ งั้นชลกินขนมปังไปก่อนนะ รองท้องไว้ๆ กว่าจะถึงร้านตั้งยี่สิบนาที ” เพิ่งรู้นะว่าฟ้าเป็นคนพูดมากแบบนี้ แต่ผมว่าน่ารักดีนะ ไม่แปลกที่ผู้ชายหลายคนในคณะจะชอบ รวมไปถึงไอ้เพื่อนขี้โมโหนี่ด้วยไง
“ ไปรถฟ้าแล้วกัน เดี๋ยวพี่ขับเอง ” ไอ้พี่นาทยื่นมือไปขอกุญแจรถจากฟ้า
ส่วนผมที่เพิ่งรับขนมปังมาจากมันก็รีบแกะแล้วแดกเลย แหม่ ขนมฟรีก็ต้องรีบกินสิครับคุณ เดินตามหลังกลุ่มไปยังรถของฟ้าที่จอดอยู่บริเวณหน้าคณะพอดี
“ เดี๋ยวชลนั่งหน้ากับพี่นะ ” มันหันมาพูดนิ่งๆกับผม ครั้นจะปฏิเสธ แมวแถวนี้มันรีบสนับสนุนซะก่อน
“ เออดี ไปนั่งข้างหน้าเลย ”
ว่าจบไอ้นนท์ก็เปิดประตูรถยัดผมเข้าไปไม่ลืมที่จะปิดประตูให้ด้วย โอ้โห เป็นเพื่อนกันมาตั้งนานเพิ่งเห็นมึงบริการกูถึงขนาดนี้ ทำขนาดนี้มึงไม่หาพานมาใส่กูถวายไอ้พี่นาทเลยล่ะ
ขี้เกียจเปิดสงครามน้ำลายจึงเลือกที่จะนั่งเงียบๆแล้วแดกขนมปังในมือต่อไป บรรยากาศในรถไม่ได้เงียบมากนักเพราะเสียงสองคนข้างหลังพูดคุยกันอย่างออกรสออกชาติ ส่วนข้างหน้าน่ะเหรอ... เงียบ
หลังจากกินขนมปังหมดก็ไม่รู้จะวางตัวยังไงดี มือไม้วันนี้แลจะเกะกะจนน่าตัดทิ้งจริงๆ
รู้สึกแปลกๆว่ะ ที่มันเงียบใส่แบบนี้...
มันโกรธอะไรกูเปล่าวะ
ผมเหลือบหางตามองมัน...
มันนิ่งสายตายังคงจ้องอยู่ที่ถนน
ไอ้ชล มึงนี่ก็โง่เนอะ ให้เขาหันมามองมึง เดี๋ยวก็ได้ตายยกรถสิว่ะ ผมยักไหล่พยายามไม่สนใจมันหันกลับไปมองวิวทิวทัศน์นอก
หน้าต่าง ก่อนเสียงทุ้มจะแว่วขึ้นเบาๆ
“ ชล มีอะไรรึเปล่า ” มันถาม “ เห็นเรามองพี่หลายรอบแล้ว ”
รอบเดียวเถอะ! อย่ามามั่วสิ อย่ามโนสิครับพี่
ตอบไปทั้งที่ยังมองด้านนอก “ ก็เปล่า ”
“ งั้นเหรอ ”
ไอ้พี่นาทตอบรับเสียงเบาก่อนทุกอย่างจะเงียบลงอีกครั้ง... คราวนี้บรรยากาศยิ่งแย่กว่าเดิมอีก นัยน์ตากลมของผมเหลือบไปซ้ายทีขวาทีอย่างตึงเครียด สรุปว่า...
มันโกรธผมอยู่จริงๆสินะ!
แล้วจะให้ง้อเหรอ ไม่มีทาง!!
ทำไมต้องง้อ ไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย
“ หายเจ็บแผลยังชล ”
อ้าว... นี่กูคิดมากไปเหรอ แล้วทำไมต้องกังวลว่ามันจะโกรธด้วยหา!
“ ชล ชล ได้ยินเปล่า”
ขณะที่ผมกำลังนั่งตบตีกับตัวเองอยู่ ไอ้พี่นาทก็เอ่ยขึ้นอีกครั้งแถมคราวนี้ยังหันหน้ามามองดูแขนผมที่มีผ้าก๊อซแปะเต็มไปทั่ว ตอนที่ไอ้นนท์มันเห็นก็ซักไม่หยุดเลย สุดท้ายต้องบอกไปว่าสะดุดล้มคว่ำไถลตัวไปตามพื้นกว่าสิบเมตร ๆฟังดูเว่อร์เนอะ แน่นนอว่า ไอ้นนท์เชื่อเว้ย
ผมพูดเองยังรู้สึกเชื่อยาก แล้วมันเชื่อไปได้ไง...
“ แผลแก้วบาดน่ะเว้ย ไม่ใช่ช้ำถึงจะหายไวปานนั้น ” ผมบ่นตอบไปพลางยกแขนตัวเองดูไปด้วย ฮึ่ย เห็นทีไรก็พาลให้หงุดหงิดไอ้เด็กพนาจริงๆเลย
“ ก็ใครใช้ให้ชลไปปัดเศษแก้วเล่า ” ไอ้พี่นาทว่าเสียงขรึมหน้านิ่วคิ้วผูกโบว์ “ โง่เอง ” ว่าเสร็จก็หัวเราะ
ผมถลึงตาเบ้ปากหันไปมองหน้ามัน “ แล้วจะให้คุณลูกชายพี่เหยียบเศษแก้วรึไงกันครับ ”
ไอ้นี่มันรักลูกมันบ้างมั้ยเนี่ย
ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ~
“ เอ่อ นั้นก็... ” อึกอักพูดอะไรไม่ออก “ มันก็จริง ถ้าชลไม่ช่วยพนา ปานนี้คงได้แผลเยอะแน่ ”
“ เออสิ ” ผมส่ายหน้าเล็กน้อย “ แล้วทีหลังก็คิดก่อนจะพูดนะพี่ ”
ยิ้มขำรับ “ คร้าบๆ ”
จบครับ จบการสนทนาเพียงเท่านี้ เพราะตอนนี้รถได้จอดลงหน้าห้างสรรพสินค้าใหญ่ที่ไม่ห่างจากมหา’ลัยมากนัก ไอ้ผมที่เพิ่ง
ยัดขนมปังไปก็เริ่มรู้สึกอืดๆขึ้นมานิดๆ พวกเราสี่คนพอลงจากรถได้ก็มุ่งไปเคเอฟซีที่ตั้งใจไว้ทันทีแต่ดันโชคร้ายนิดนึงที่โต๊ะที่
เหลืออยู่ดันไม่พอ
“ ต้องขออภัยด้วยนะคะ โต๊ะเหลือแค่สองที่ค่ะ ” พนักงานสาวกล่าวส่งยิ้มขอโทษให้ไอ้พี่นาท ผมจิกตาใส่พนักงานคนนั้นอย่าง
ลืมตัวก่อนจะรีบทำเป็นมองฟ้ามองดินมองหลอดไฟตอนผู้หญิงคนนั้นหันมา
วันนี้ตูเป็นอะไร อารมณ์แปรปรวนจริง...
“ แล้วจะกินอะไรกันดีละคะ ” ฟ้าทำหน้ามุ่ยที่น่ารักมากๆหันไปทางไอ้(เชี่ย)นนท์
มันทำท่าคิดเล็กน้อย “ งั้นให้ไอ้ชลกับพี่นาทกินที่นี่ แล้วเราไปกินร้านอื่นแล้วกัน ”
“ ได้ไง! ” ผมโพล่งขึ้นทันที ได้ไงกันเล่า แบบนี้ไอ้นนท์ก็ได้ทำคะแนนเยอะดิ ไม่มีกอขอคองอเช่นผมเนี่ย
“ อะไรของมึงไอ้ชล ” มันหรี่ตามองผม “ อยากแดกไก่ก็แดกไปสิ ”
หน็อย... พ่ออยากกระโดดถีบจริงๆ
“ งั้นเอาตามที่นนท์บอกแล้วกัน เดี๋ยวพี่จะอยู่กินที่นี่กับชลนะ ” ไอ้คนข้างตัวผมก็พยักหน้ารับยิ้มๆ ส่งกุญแจรถคืนฟ้า “ เดี๋ยวพี่
กลับเองนะ ”
“ แล้วชลจะกลับยังไง ” นางฟ้าหันมาถามด้วยความห่วงใย(มโน)
“ คะ... คือ ”
ไอ้พี่มังกือชิงตัดบท “ เดี๋ยวพี่ไปส่งเองครับ ไม่ต้องห่วง ”
คำพูดกวมๆกำๆ ของไอ้พี่นาทสร้างความมึนเอ๋อให้กับสองคนนั่นไม่มากก็น้อย พอเห็นว่าไอ้นนท์จะอ้าปากพูดอะไรอีก มันก็
จัดการลากผมไปนั่งที่โต๊ะว่างทันที เสียมารยาทที่สุด! มันทำให้รู้เลยว่าต้องการจะอยู่กับผมและไม่อยากให้ใครมารบกวน
มันทำงี้ หมายความว่าไงวะ...
“ ปล่อยได้ยัง ” ผมถามหลังจากมันลากมานั่งที่โต๊ะแล้วเอาแต่เงียบ
มันทำหน้างงๆ “ หือ ปล่อยอะไร ”
“ มือผมเนี่ย จะจับยันชาติหน้าเลยมั้ย ” ประชดเข้าให้ แต่เสือกลืมอีกว่าไอ้พี่นาทเนี่ยประชดไปมันก็รับหมด
“ ได้นะ ถ้าชลให้จับ ” คลี่ยิ้มแย้มหนักกว่าเดิม ไม่เกรงหน้าใครเลย
แต่พี่ท่านช่วยแคร์หน้าคนรอบข้างบ้าง ดูสิ จ้องหน้าผมไม่เลิกทั้งสายตาอิจฉาริษานั่นด้วย
ผมดึงกระชากมือตัวเองกลับ ตวาดกลบอาการหน้าร้อนๆ “ พอเลย ไปสั่งไก่เลยไป๊ ”
“ ครับๆ ” ยังจะยิ้มอีก เปลือง!
มันลุกไปซื้อให้อย่างว่าง่ายไม่วายที่จะโยกหัวผมก่อนจะเดินไป ผมทำเสียงฮึดฮัดในลำคอเล็กน้อยอย่างหงุดหงิดกับท่าทีของมันที่ค่อนข้างจะ..เยอะ เกินเพื่อนเกินพี่น้องแหละ
เอ๊ะ หรือมันเกินมานานแล้วว่ะ นั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยไปได้ครู่หนึ่งไก่เคเอฟซีก็ถูกวางตรงหน้า กลิ่นหอมๆของทอดกระแทกจมูกเต็มๆ แค่นิดเดียวก็เรียกน้ำย่อยได้แล้ว ตอนแรกก็จุกขนมปังนะ แต่พอเจอไก่...หิวทันตาเลยสิเราชลธี
ผมหยิบส้อมขึ้นมาแล้วจิ้มที่นักเก็ต “ สั่งเยอะไปรึเปล่า อดอยากมารึไง ที่บ้านไม่มีข้าวกินรึไง ” มาเป็นชุดก็สมควรแล้วที่ผมจะบ่น
ก็ดูดิ ไก่นับสี่ห้าสิบชิ้นบนโต๊ะ แถมยังแอบเห็นสีหน้าโต๊ะข้างๆที่มองมาไม่หยุดแล้วรู้สึกอับอายมากครัช ซื้อมาขนาดนี้เอามาเผาเล่นรึไงค่ะคุณณณ
“ นิดเดียวเอง ” มันยักไหล่อย่างชิว “ เดี๋ยวมีคนช่วยกิน ”
เครื่องหมายคำถามต่อมเสือกมาทันที “ ใคร ”
“ นู้นไง ”
ไอ้พี่นาทลงมือกินไก่ก่อนผมซะอีก ปากก็คาบไก่มือก็ชี้ไปทางด้านหลังให้กระผมหันไปมองแล้วตรัสรู้เอง แน่นอนว่าคนขี้เสือกเป็นชีวิตจิตใจอย่างผมนั้นก็รีบหันขวับคอแทบหลุดไปมองทางประตูร้านที่กำลังมีคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา
“ พี่ชลลล! ” เสียงตะโกนดีใจของเด็กตัวเล็กดังลั่นเรียกความสนใจให้ทุกชีวิตหันไปมองเด็กที่ใช้ชุดแฟนตาซีมังกรเป็นจุดเดียว ดวงหน้าเล็กยิ้มแป้นตาเป็นประกายก่อนจะวิ่งเหยาะมาทางผมกับไอ้พี่นาทที่แม่งกินไม่ลืมหูลืมตา สนใจลูกมึงหน่อยสิว่ะไอ้นี่
แต่...พนาครับ เราสนิทกันแล้วเหรอครับ
“ พนา อย่าวิ่งสิครับ ” ยูนิครีบตามมาคว้าช้อนตัวใต้รักแร้เด็กน้อยวัยละอ่อนขึ้นเพราะกลัวว่าจะวิ่งหกล้มซะก่อน
“ ยูนิค ปล่อยพนา ปล่อยสิ ” ดีดดิ้นตวัดหางมังกรของตัวเองไปมาจนตีเข้ากับหน้าของคนอุ้ม เลยจำเผลอปล่อยมือให้เด็กพนา
หล่นตุ้บ...
อ้าวเฮ้ย เวรแล้วมึง
ตุ้บ!
ยูนิคหน้าเหวอไปเลย “ พะ พนา ”
“ ฮะ ฮึก ” เบะปากแล้ว... เตรียมสำลีได้เลย
เอามาทำอะไรน่ะเหรอ ก็...
“ แง!!!!! ”
อุดหูตัวเองน่ะสิ!!!เด็กพนาตัวน้อยแหกปากร้องไห้ลั่นร้านจนกระจกร้านสั่นเลยทีเดียว พลังเสียงหนูช่างไร้ที่ติจริงๆ แก้วหูกูสะเทือนไปยันตับเลยครับ คนอื่นๆในร้านบางส่วนยกมืออุดหูแน่น บางส่วนก็ลุกหนีไปเลย
ส่วนไอ้คนเป็นพ่อน่ะเหรอ...
นั่งแดกไก่อย่างไม่รู้สึกอะไร
เป็นผมอีกเช่นเคยที่ต้องเดินไปอุ้มคุณเด็กมังกรน้อยพนามาปลอบ นี่กูเป็นแค่รุ่นน้องไอ้พี่นาทน่ะเว้ย ไม่ใช่พ่อไอ้เด็กนี่ แต่ทำไมตูยังดูแลดีกว่ามัน ไอ้พี่นาทนี่เป็นพ่อยอดแย่จริงๆ
“ ฮึก ฮือ เจ็บอ่า ” นี่ก็ร้องจริง น้ำหูน้ำตาหรือแม่น้ำเจ้าพระยาครับลูก
ผมกระชับตัวเด็กแล้วยืนอุ้ม “ โอ๋ๆ ไม่ร้องน่า ไม่เจ็บหรอก นิดเดียวเอง ”
“ นี่ผ้าอ้อมน้องครับ ” เดือนพรายเดินเอาผ้าอ้อมมาวางบนไหล่ผมและยิ้มให้แล้วเดินไปหาโต๊ะนั่งกับพวกยูนิค
เอ้า นี่โยนภาระให้กูเหรอครับ ผมยืนเคว้งน็อคกลางอากาศเลย เอียงคอมองหน้าเด็กที่ยังเบะปากสะอื้นกับไอ้คนเป็นพ่อที่นั่งกินไม่เลิก ไม่มองสถานการณ์เลย นี่ถ้าห้างไฟไหม้มันจะยังนั่งกินอยู่มั้ย
“ พี่ชาย ฮือ เจ็บก้นง่า ฮือ ” เสียงร้องอ้อแอ้เรียกให้ผมไปสนใจ
ผมส่ายหน้าขำๆ “ เจ็บมากเปล่า ” ถามพลางอุ้มเด็กมานั่งลงที่โต๊ะ
“ มากๆ พนาเจ็บหางด้วย งื้ออ ฮือ ” พนานั่งปุ๊กลงบนตักผมพลางจับหางให้ผมดู ซึ่งตรงปลายหางมันแดงๆระเรื่อ คงช้ำมั้ง แต่
เดี๋ยว มังกร หนังมันหนาไม่ใช่อ่อ
“ เจ็บ? ” ผมเผลอทวนซ้ำ
“ นี่มันลูกมังกร ยังไงผิวหนังก็บางอยู่ก็คงเจ็บอยู่หรอก ” พี่สกายคนแบดนั่นเองที่ไขความกระจ่างให้ผม รู้สึกตั้งแต่เฮียแกเข้ามา
ในร้าน ดูจะไม่มีใครกล้าเข้าอีกเลย ก็ดูรังสีความน่ากลัวดิ ขนาดผมรู้จักยังสยองเลย เฮียแกเดินมาแบ่งไก่ที่โต๊ะผม ซึ่ง...เอาไปเถอะ เพราะมันเยอะชิบหายเลยครับ
“ อ้อ แล้วมากันทำไมต้องเยอะเนี่ย ” ผมถามพลางใช้ผ้าอ้อมเช็ดหน้าให้กับพนาปานกับมันเป็นลูกของผมเอง
“ ยูจินบอกอยากกินอาหารที่ห้างบ้าง ก็เลยพาลงมา ”
เดือนพรายตอบแทนขณะเลือกไก่ใส่ถาดของตัวเอง พอพวกมันทำแบบนี้แล้ว รู้สึกว่าโต๊ะผมนี่มันโต๊ะลูกค้าหรือโต๊ะบุฟเฟ่ต์ตักได้ตลอดกันว่ะ
“ แล้วทำไมต้องพาพนามาด้วย ” อ้าว พ่อเด็กฟื้นแล้วเหรอ นึกว่ากระดูกไก่ติดคอตายไปแล้ว
สกายหันมาตอบ “ แล้วจะให้ปล่อยอยู่คนเดียวรึไง พ่อมันก็ไม่ดู ”
โอ๊ยย ชอบ ด่ามันๆ
“ ก็ฉันต้องทำอย่างอื่นปะ ” ไอ้พี่นาทคายไก่ที่กำลังกินอยู่แล้วจ้องหน้าสกายตรงๆ
“ ฉันรู้ แต่แกก็ควรดูแลลูกบ้าง ” สั่งสอนเสียงดุ
“ ก็ฉันเลี้ยงไม่เป็นนี่หว่า ”
เดือนพรายสวนบ้าง “ ทำอย่างกับพวกฉันเลี้ยงเป็นงั้นแหละ ”
“ ก็หัดๆไปก่อนไง เดี๋ยวพวกแกก็ต้องเลี้ยงลูกตัวเอง ”
ไอ้พี่นาทกอดอกยักคิ้วเหล่ตาไปทางเด็กแฝดยูนิคอร์นที่นั่งคุยกันอยู่ ก่อนจะหันกลับมาจ้องหันคนทั้งสองที่เพิ่งเลือกไก่เสร็จ
“ ยังเด็กอยู่ ฉันไม่ทำอะไรแบบนั้นหรอกน่า ” เดือนพรายว่าหน้าแดงเถือก
สกายแสยะยิ้มให้ “ ระวังมีใครคาบไปแดกแล้วกัน ”
“ โอ้โห ทำอย่างกับมึงกล้าแตะยูนิคตายแหละ ”
แล้วทั้งคู่ก็ทะเลาะกันไปถึงโต๊ะ ปล่อยให้ผมนั่งนิ่งตีความกับสิ่งที่ได้ยิน... ผู้ชายกับผู้ชาย มีลูกด้วยกันได้เหรอวะ สิ่งมหัศจรรย์ที่เก้าเลยเว้ย! (แปดก็ไอ้พี่นาทนี่ไง)
ผมก้มมองไอ้เด็กมังกรบนตักแล้วก็สงสัย... แล้วนี่มันเกิดจากพ่อแม่แบบไหนหว่า
“ ไอ้พี่นาท ” สงสัยแล้วต้องถาม มันเป็นการเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์อย่างหนึ่งครับ
“ หือ ” คาบไก่อีกตามเคย พี่หิวพี่ก็บอกสิครับ.. แดกซะน่ากลัวเลย “ อะไรเหรอ ”
“ เมื่อกี้... หมายความว่าไงอ่ะ มีลูก... ” ผมอึกอัก แต่ต่อมความอยากรู้แม่งทะลุปรอท “ แบบสกายกับยูนิคมัน... ได้เหรอ ”
ไอ้พี่มันพยักหน้า “ ได้... เราไม่ใช่มนุษย์ไง ถึงทำได้ ”
จบ เคลียร์ทุกความสงสัย เอาซะกูไปไม่เป็นหาคำถามต่อไม่ได้เลย ผมถอนหายใจทิ้งเล็กน้อยเพื่อที่จะขจัดความอยากรู้แล้วสนใจกับไก่บ้าง เพราะตั้งแต่มาก็ยังไม่ได้แตะเลย
“ พี่ชล พนาอยากกิน ”
พอจะลงมือกิน มารขัดขวางก็มา
“ กินได้ใช่เปล่า ไอ้พี่นาท ” ผมหันไปถามความเห็น แล้วมันก็พยักหน้าตอบมา
ผมว่าผมตะกละแล้วนะ พอเจอมันแล้ว กูยอมแพ้เลย...
มืออวบๆของพนาคว้าหยิบส่วนอกไก่กรอบมายื่นให้ผม เท่านั้นแหละ รู้เรื่องเลย ว่า...มื้อนี้กู...อดแดก ต้องมาเป็นพี่เลี้ยงเด็กจำเป็นเนี่ยนะ ตลกร้ายสุดๆ
“ แกะๆๆ ” เร่งอีกนะ
“ ครับๆ จิ้มซอสมั้ย ” ผมฉีกไก่แล้วถามด้วยรอยยิ้ม
พนาพยักหน้า “ ซอสมะเขือเทศ ”
ผมจิ้มซอสตามที่เด็กสั่งแล้วป้อนให้ ทำแบบนั้นไปเรื่อยๆจนรู้ตัวอีกที ไอ้เด็กนี่ก็ล่อไปกว่าเจ็ดชิ้นแล้ว กินจุเหมือนพ่อมันไม่มีผิดเลยจริงๆ
งานนี้ผมคุยเล่นกับพนาจนแทบจะเรียกว่าสนิทได้แล้ว ส่วนไอ้พี่นาทเหรอ ยังคงนั่งแกะไก่กินไม่เลิก กระเพาะคนหรือกระเพาะมังกรว่ะเนี่ย เออ มันเป็นมังกรนี่หว่า ลืม
ผมถามไปว่าทำไมพนาถึงใส่ชุดแฟนตาซีเด่นแบบนี้ ก็ได้คำตอบว่ากลบไอ้เจ้าหางมังกรของจริงที่โผล่มาไง เพราะยังเด็กเลย
ควบคุมพลังไม่ได้
พอเงยหน้าจะหยิบน้ำอัดลมมาจิบแก้กระหายน้ำลายแห้งชิ้นไก่พอดีคำก็ยื่นมาตรงหน้า
“ อะไร ”
“ ชลยังไม่ได้กินเลยไง ”
มึงเพิ่งรู้สึกเหรอ! ถ้ากูโดนฆ่าตรงนี้แล้วมึงไม่รู้ตัวนี่ กูเชื่อเลย!
“ เห็นพี่กินก็อิ่มแหละครับ ” ว่าไปอยากที่คิด เพราะมันเป็นแบบนั้นจริงๆ
มันทำหน้าสลดเล็กน้อย “ คำนี้คำเดียวก็ได้ ”
“ ป้อนลูกพี่ไปเถอะ ”
ว่าไปหัวเราะเล็กน้อยอุ้มเด็กพนาขึ้นมาพอดีกับมือไอ้พี่นาท เด็กน้อยตาแป๋วพอเห็นไก่ก็กัดหมับเลย ส่วนไอ้คนป้อนก็หัวเราะน้อยๆเลื่อนมือมายีผมลูกแล้วหยิบแก้วน้ำตัวเองที่เป็นน้ำเปล่าให้พนาดื่ม
ไม่รู้ว่าคิดไปเองรึเปล่า... ตอนนี้ผมรู้สึกว่าเราเหมือนพ่อแม่ลูกมากเลย ฮ่าๆๆ ท่าจะประสาทแล้วสิ หลังจากที่ให้พนานั่งตักนานจนเหน็บกินก็เปลี่ยนไปให้พี่นาทอุ้มบ้าง
กินกันไปได้อีกพักใหญ่ก็ดันมีเรื่องแปลกเกิดขึ้น...
“ ท่านท้าว! กลิ่นไอนักล่า! ” เสียงยูนิคตะโกนมาจนผมชะงักปากที่กำลังแดกไก่... ตูเพิ่งจะได้กินเองนะเว้ย
ใบหน้าแย้มยิ้มกับผมในตอนแรกพลันเย็นยะเยือกเหมือนตอนที่สู้กับงูในป่าไม่มีผิด “ พวกมันมาได้ไง ”
“ ไม่รู้แหละ ยังไงก็หนีก่อนเถอะ พนาก็อยู่ด้วยแบบนี้ลำบาก ” สกายว่าเสียงเรียบอย่างมีสติลุกขึ้นควักมือให้เด็กแฝดลุกตาม แต่ยูจินยังคงอิดออดคงเพราะยังกินไม่อิ่ม
“ ชล ลุกเร็ว ”
ไอ้พี่นาทหันมาพูดกับผมส่วนมือก็กระชับตัวลูกชายแน่นสีหน้าเย็นยะเยือกขัดกับแววตากังวล พวกผมลุกขึ้นเก็บข้าวของของตัวเองเตรียมจะออกจากร้านถ้าไม่...
เพล้ง!!!
ฉึก!! “ ยูนิค!!! ”
ร่างของเด็กหนุ่มผมสีอ่อนทรุดลงกับพื้นตามแรงโน้มถ่วงโลก แต่ดีที่สกายคว้าร่างได้ทัน เลือดสีสดเปรอะไปทั่วเสื้อของสกายเพราะใส่สีขาวเลยเห็นได้ชัด ส่วนผมน่ะเหรอ ยืนแข็งทื่อเป็นตอไม้ไปแล้ว...
ดาบเล่มยาวสีดำทะมึนเสียบเข้าตรงท้องเด็กจังๆแต่ดีที่ไม่ทะลุ แต่ทว่าเพียงแค่นั้นก็ปางตายแล้ว
ทุกคนมัวแต่ตะลึงกับสถานการณ์ที่พลิกผันแปรผวนเช่นนี้จนทำอะไรไม่ถูก ไอ้พี่นาทเองก็ยืนนิ่งเบิกตาตะลึงค้าง เราทุกคนเหมือนสติหลุดกันไปแล้ว จนเสียงเท้าหนักๆของกลุ่มคนจะเดินเข้ามา...
ใคร...
ผมเงยหน้ามองกลุ่มคนพวกนั้นที่มีเพียงสี่คนใส่ชุดคลุมสีดำทะมึนมิดชิดตั้งแต่หัวจรดเท้าเหมือนกับพวกลัทธิอะไรสักอย่าง ดูเผินๆอาจจะไม่มีอะไร แต่ไอสีดำรอบๆตัวพวกมันเป็นสิ่งที่น่าขยะแขยงสยดสยองที่สุดแล้ว อาวุธในมือพร้อมรบมาก เดือนพรายที่ตั้งสติได้ก่อนก็สะบัดมือทั้งสองข้างให้แปรเปลี่ยนเป็นมือเกล็ดมังกรดันตัวยูจินหลบไปไว้ข้างหลัง...
สถานการณ์ตอนนี้ยิ่งกว่าหนังแอ็กชั่นฮอลลีวูดอีก แถมชัดเต็มตาทั้งสัมผัสและกลิ่นด้วย
...ผมกลืนน้ำลายอย่างเหนียวคอกับสิ่งที่ไม่เคยพบเจอ
ตอนนี้ผมควรรู้สึกกลัวมากกว่าที่จะหัวเสียนะ
ถามว่าที่หัวเสียคือเรื่องอะไรน่ะเหรอ ก็เรื่อง...
กูยังไม่ได้กินไก่สักชิ้นเลยเว้ยยยยยย.
.
.
ขอกินให้เสร็จก่อนแล้วพวกเอ็งค่อยมาไม่ได้รึไงห่ะ!!
TBC.
ฮึบบบบสุดท้าย ชลก็ไม่ทิ้งลายตะกละ 55555555