ตอนพิเศษ 3
ความแตกหัก
วันนี้เป็นวันที่ทีระวิทต้องมาสอบเป็นวันแรกและเป็นวันที่จะได้เจอกับกัส ซึ่งแน่นอนทุกอย่างที่เขาคิดมันเป็นจริงแทบทุกเรื่อง เพราะนักศึกษาในคณะที่เขาศึกษาอยู่ผลัดกันหันมองไอ้กัสแทบจะเป็นตาเดียว
ไม่ว่าหมอนั่นจะเดินไปทางไหนก็จะถูกมองและโดนซุบซิบนินทาอย่างสนุกปาก
และเหตุการณ์ในตอนนี้มันกำลังเป็นอย่างที่ผมต้องการทุกอย่าง
แต่ถึงอย่างนั้น ผมเองจะต้องทำตัวให้เป็นปกติมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ อย่างน้อยก็ควรจะเข้าไปถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกับมันบ้าง พอคิดได้ดังนั้นก็เดินเข้าไปหาอีกคนที่ยืนอยู่อีกฝั่งทันที
หลังจากที่ทีระวิทเข้าไปทักทายก็ได้ความกลับมา เพราะกัสมันเริ่มจับสังเกตสิ่งต่างๆรอบตัวได้ว่า หลายๆคนในคณะต่างมองมันโดยใช้สายตาแปลกๆ
พอเห็นแบบนั้นผมจึงยื่นมือถือไปให้อีกคนดูเพื่อความกระจ่างชัดมากขึ้นกว่าเดิม เพราะตอนนี้มันไม่ต่างอะไรกับคนโง่เง่าที่ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวมันบ้าง เหตุผลก็คงเป็นเพราะมันไม่ได้ให้ความสนใจในกลุ่มคณะนั่นเลย
หลังจากที่ผมยื่นมือถือไปให้ไอ้กัสดูว่าตัวมันเองกำลังตกเป็นประเด็นร้อนในตอนนี้ หลังจากที่มันเห็นภาพที่ฉายอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์มือถือสีหน้าของมันก็เริ่มเปลี่ยนสี จากเดิมที่ซีดลงมากอยู่ก่อนแล้ว
แต่ในตอนนี้เวลานี้หน้าของมันแทบจะไม่มีเลือดไหลเวียนเลยด้วยซ้ำ ถ้าจะบอกว่าสะใจไหมผมก็แอบสะใจไม่น้อยเลยล่ะ เพราะมันคงจะช็อคน่าดูที่โดนคอมเม้นต์ไปในทางเสียๆหายๆแบบนั้น
อย่างว่าละนะ คนเราสมัยนี้เวลาเห็นอะไรที่ชวนให้นินทาต่างก็รวมหัวกันทำโดยไม่คิดถึงจิตใจของคนที่ถูกพูดถึงเลยแม้แต่น้อย เพราะแบบนี้ไง โซเชียลมันถึงได้เปรียบเสมือนกับดาบสองคม
แต่ทว่าระหว่างที่ผมและไอ้กัสนั่งกันอยู่กลับมีกลุ่มชายกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาและเอ่ยทักทาย แต่ท่าทีในการทักทายของพวกมันไม่น่าเอ่ยทักกลับไปสักนิด
ผมบอกตามตรงเลยว่า แม้แต่ตัวผมเองยังไม่ชอบขี้หน้าไอ้พวกนี้เลยด้วยซ้ำ พวกมันชอบทำตัวกร่างและแถมยังชอบหาเรื่องคนอื่นไปทั่ว นี่ขนาดเรียนอยู่ในระดับมหาวิทยาลัยแล้วนะ
แต่ก็ยังมีกลุ่มคนจำพวกนี้หลงเหลืออยู่อีกไม่น้อยเลย รวมถึงไอ้พวกนี้ด้วย คราวนี้พวกมันคงจะเล็งเป้ามาที่ผมและไอ้กัสแน่ๆ แต่ว่ามันจะเป็นเพราะด้วยเหตุผลอะไรนี่สิ
แต่พวกมันไม่ได้เข้ามาทักทายผม กลับเดินเลยผมไปและเบนสายตาพร้อมกับเอ่ยทักทายกัสที่นั่งหน้าเซ็งอยู่ข้างๆผมแทน และคำที่ไอ้หมอนั่นมันทักทายขึ้นมาประโยคแรก
ถ้าเป็นผมก็คงไม่กล้าที่จะต่อกรอะไรด้วยหรอก เพราะมันออกจะคุกคามจนเกินไปหน่อย และอีกอย่างพวกมันก็มากันตั้งหลายคน ผิดกลับไอ้กัสตอนนี้ลิบลับ สีหน้ามันดูไม่สบอารมณ์สุดๆแถมยังดูโมโหไม่ยอมเสียด้วย
จะว่าไปก็ดีเหมือนกัน ถ้าหากไอ้กัสมันนึกอยากจะมีเรื่องละก็ วันสอบวันแรกแบบนี้และหากไอ้กัสมีเรื่องทะเลาะกันภายในสถานศึกษาคงเป็นข่าวคึกโครมมากกว่าไอ้รูปที่หลุดพวกนั้นเสียอีก
แต่พอดูท่าทางแล้วพวกมันคงไม่ยอมง่ายๆอยู่เหมือนกัน เพราะไอ้กัสมันดันไปกระชากคอเสื้อไอ้หัวโจกนั่นเสียนี่
ทันทีที่ผมเห็นไอ้กัสมันพุ่งไปกระชากคอเสื้ออีกฝ่าย มันกลับทำให้ผมอดที่จะรู้สึกห่วงไม่ได้ จึงรีบชันตัวลุกขึ้นและเข้าไปห้ามปรามให้หยุดการกระทำที่อาจจะสุ่มเสี่ยงถึงขั้นทำร้ายร่างกายด้วยความที่ลืมตัว
ไม่รู้ ...ไม่รู้ว่าเพราะอะไรที่ทำให้ผมต้องรีบขยับตัวลุกขึ้นไปห้ามปรามขนาดนี้ ทั้งๆที่ในตอนแรกผมคิดเอาไว้อยู่แล้วว่าจะให้มันทะเลาะกันเสียดิบดี แต่ร่างกายที่ขยับลุกขึ้นไปห้ามไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นมันคืออะไร
ผมกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ ตกลงแล้วผมเกลียดไอ้กัสจริงๆหรือเปล่า
โชคยังดีที่พวกมันไม่ได้คิดจะเอาเรื่องต่อ แต่เลือกที่จะรามือและเดินหนีออกไปก่อนเอง แต่ไอ้กัสนี่สิสีหน้าของมันเต็มเปี่ยมไปด้วยความโกรธเสียเต็มประดา
“ขอบใจมึงมากนะไอ้ที ถ้าไม่ได้มึงห้ามเอาไว้ คงได้มีเรื่องชกต่อยไม่ได้สอบกันพอดี”
ผมนิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง หลังจากที่ได้ยินคำพูดขอบคุณพวกนั้นที่ออกมาจากปากของเพื่อนชัง
แต่อย่าขอบคุณกันเลย...ความจริงแล้วกูอยากจะให้มึงทะเลาะกับไอ้พวกนั้นด้วยซ้ำ!
ผมทำได้แต่เพียงตอบในใจและส่ายหัวไปมา จนไอ้กัสมันผลักหัวของผมเล่น แน่นอนว่าผมไม่ยอมให้มันผลักอยู่ฝ่ายเดียวแน่
ตอนนี้เราสองคนเลยกลายเป็นหยอกล้อกันและต่างผลัดกันแกล้งไปมา จวบจนเวลาเข้าสอบมาถึง
ในช่วงที่ผมกำลังสอบอยู่นั้น ผมสังเกตเห็นไอ้กัสมันเดินออกไปตั้งแต่ชั่วโมงแรก ในขณะที่ตัวผมเองยังทำข้อสอบได้ไม่ถึงครึ่งของเลยด้วยซ้ำ มันออกจะเป็นเรื่องปกติทั่วไปที่ไอ้กัสมันมักจะทำข้องสอบเร็วอยู่เสมอ
และหลังจากที่มันออกไปก็คงจะไปนั่งรอผมอยู่เหมือนเดิมตามเคย
เวลาผ่านไปราวๆเกือบเข้าชั่วโมงที่สอง ผมทำข้อสอบเสร็จเรียบร้อยพอดีพร้อมกับเดินออกมาจากห้องสอบ แต่สิ่งที่ผมกำลังเห็นกลับทำให้รู้สึกวูบไหวและปวดหน่วงในใจ เหตุผลที่ทำให้ผมรู้สึกแบบนี้มันเป็นเพราะภาพที่อยู่ตรงหน้านั่น
มันคือภาพที่เซนกำลังยืนพูดคุยอะไรสักอย่างกับกัสอยู่แถวๆหน้าห้องน้ำ เซนถึงกับต้องลงทุนมาหากัสถึงที่นี่เลยหรือไง ไม่กลัวพวกข่าวลือที่ถูกปล่อยออกไปบ้างเลยหรอ
เพราะความสงสัยมันทำให้เขาเลือกที่จะซ่อนตัวอยู่ด้านหลังที่เป็นมุมอับและลอบแอบมองดูห่างๆ
แล้วนั่น...เซนกำลังพากัสไปไหน และทำไมกัสมันยังพูดคุยกับเซนอยู่ทั้งๆที่ถูกปล่อยภาพพวกนั้นออกไปแล้วแท้ๆ นี่มันไม่ใช่วิสัยของไอ้กัสเลยสักนิด
ถ้าเป็นในปกติไอ้กัสมันคงไม่เสวนากับเซนหรอก หรือไม่ก็คงจะเดินหนีหรือทำอะไรสักอย่าง คนอยากไอ้กัสมันยอมใครง่ายๆเสียที่ไหน
หรือว่า...มันคิดจะจริงจังกับเซน
หลังจากที่ทั้งสองคนนั้นออกไปแล้วเหลือไว้เพียงแต่ผมที่ยังคงหลบซ่อนตัวเองอยู่ในมุมมืดด้านหลัง ผมเห็นอาการขัดขืนที่ไอ้กัสมันแสดงออกไปแต่มันไม่ได้มากมาย ถ้าหากมันคิดจะขัดขืนจริงมันคงจะทำได้มากกว่านี้ ทำไมผมจะไม่รู้
ตอนนี้ผมไม่มีแม้แต่อาการเสียใจ หรือแม้แต่อารมณ์บ่งบอกว่ากำลังรู้สึกอะไรอยู่ มีแต่เพียงความรู้สึกเฉยชา มันจริงที่ผมกำลังเฉยชา เพราะผมเริ่มไม่รู้สึกอะไรในอกข้างซ้ายนั่นแล้ว
รู้แค่เพียงว่า เพื่อนชังคนนั้นมันจะต้องไม่มีทางได้ในสิ่งที่ผมเองก็ไม่ได้
เพราะถ้าผมไม่ได้ใจของเซน คนอย่างมันก็จะไม่ได้ไปเหมือนกัน
ท่ามกลางความรู้สึกที่ไหลเวียน ภายในใจของผมจากเดิมที่รู้สึกชาหนึบในคราแรก ตอนนี้มันเริ่มแปรเปลี่ยนไปเป็นความรู้สึกกรุ่นโกรธ ตอนนี้คงจะต้องจัดการอะไรสักอย่างแบบเด็ดขาดกับไอ้เพื่อนชังคนนี้เสียแล้ว
23.50 น.
ปกติเวลานี้ผมควรจะอ่านหนังสือเพื่อสอบในวันพรุ่งนี้ แต่ในตอนนี้ผมกลับกำลังยิ้มอย่างสบายใจมันเป็นเพราะอะไรนะหรอ เพราะว่าผมคิดแผนดีๆที่จะเอาไว้จัดการได้แล้วน่ะสิ
มันคือแผนการที่จะทำให้ไอ้กัสเลิกยุ่งกับเซน และถ้าเกิดว่ามันยังไม่เลิกยุ่งล่ะก็ ผมก็ยังคงมีแผนสุดท้ายเอาไว้รองรับ ถึงแม้ว่าแผนการสุดท้ายผมจะไม่อยากทำมันสักเท่าไหร่ แต่ถ้ามันจำเป็นจริงๆผมทำแน่
ตอนนี้ผมตัดสินใจแล้ว ตัดสินใจที่จะทำเรื่องที่มันสกปรก ตัดสินใจที่จะทำเรื่องร้ายๆกับเพื่อนชังที่ผมรู้สึกอิจฉามาโดยตลอด โดยที่ผมเลือกที่จะส่งคลิปที่เซนให้เอาไว้เมื่อไม่นานมานี้และส่งเข้าไปในแชทของไอ้กัส พร้อมกับแนบข้อความข่มขู่กับมันเอาไว้
ผมเห็นอีกฝ่ายมันอ่านข้อความสุดท้ายแต่มันไม่ได้ตอบกลับมา ก็เท่ากับว่ามันรับรู้แล้ว ตอนนี้มันคงกำลังช็อคอยู่ไม่น้อย อีกอย่างเรื่องนี้เซนไม่รู้และก็ไม่ได้สั่งให้ผมทำ
เซนเพียงแค่บอกให้ส่งคลิปไปข่มขู่เพียงเท่านั้นถ้าผมจำไม่ผิด แต่เรื่องข้อความมันเป็นผมเอง เป็นผมที่เสริมเติมแต่งมันเข้าไปเพื่อเหตุผลส่วนตัวทั้งสิ้น
และในเวลานี้รอยยิ้มที่ผมไม่ได้ยิ้มมานานมันกลับผุดขึ้นมาบนใบหน้า ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เต็มไปด้วยความสุขแต่ก็เลือกที่จะยิ้ม เพราะผมกำลังยิ้มให้กับการเปลี่ยนแปลงที่ตัวผมเป็นคนเลือกมันเองกับมือ
การเปลี่ยนแปลงที่ถึงแม้ว่าสุดท้ายแล้วจะไม่เหลือใครข้างกายก็ตาม ผมก็พร้อมที่จะทำ เพราะในเมื่อผมเดินมาตั้งแต่แรก มันไม่มีใครอยู่ข้างกายผมมาอยู่ก่อนแล้ว นับประสาอะไรกับตอนนี้
คนที่เดินข้างกายผมเป็นไอ้กัสน่ะหรอ ไม่ใช่หรอก ไม่ใช่มัน เพราะมันไม่มีทางที่เอาใคร ไม่มีทางที่มันจะรู้สึกกับผมว่าเป็นเพื่อนสนิทของมัน
แม้แต่เรื่องเครียดๆของมันยังไม่เอามาปรึกษาผมเลยด้วยซ้ำ อีกอย่างเพื่อนสนิทประสาอะไร เรื่องเรียนก็มักจะเอาตัวรอดไปคนเดียวแบบนั้น
เช้าวันถัดมา
ผมยังคงไปสอบและพบเจอกับไอ้กัสเหมือนเดิมเฉกเช่นทุกครั้ง แต่เช้าวันนี้มีสิ่งหนึ่งที่ผมรับรู้และรู้สึกได้ ไอ้กัสมีสีหน้าดูไม่ดีเอาซะเลย ไม่ใช่ว่าเมื่อคืนทั้งคืนมันไม่ได้นอนหรอกใช่ไหม แต่มันก็ดีแล้วนี่หัดทรมานใจซะบ้างก็ดีแล้ว
ตอนนี้ผมไม่มีแม้แต่ความสงสารส่งออกไปตามน้ำเสียงที่พูดสักนิดแม้จะเสแสร้งพูดออกไปก็ตามที อีกฝ่ายก็ดูเหมือนจะไม่รู้เรื่องรู้ราวเสียด้วยซ้ำ ว่าที่ผมพูดออกไปนั้นไม่มีความห่วงใยปะปนไปสักนิด
แต่จะว่าไปดูมันก็ปกติดีแถมยังส่งยิ้มมาให้เหมือนทุกครั้ง นี่มันไม่คิดจะสะทกสะท้านสักหน่อยเลยหรือไง ถูกข่มขู่เมื่อคืนมันยังยิ้มได้อีกหรอ
ก็เพราะมันเป็นแบบนี้ไงผมถึงไม่ชอบ เพราะมันเป็นแบบนี้เป็นคนที่มีเรื่องอะไรและไม่ยอมบอกหรือคิดจะปรึกษาแต่มันเลือกที่จะปิดบังเอาไว้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรแต่คงไม่ห่างไกลจากคำว่าไม่เชื่อใจเท่าไหร่นักหรอก
ผมคิดว่ามันคงจะไม่ได้ไว้ใจผมถึงขนาดที่จะเล่าเรื่องพวกนี้ให้ผมฟังได้
หลังจากที่สอบเสร็จผ่านไปอีกหนึ่งวันที่แสนเหนื่อย พอเดินออกมาจากห้องสอบไอ้กัสมันก็ทักขึ้นมา แต่เพราะวันนี้ผมมีนัดกับน้องรหัส เลยบอกปัดไอ้กัสไป ท่าทางมันดูเครียดและออกจะร้อนรนไม่น้อยที่ไม่ได้กลับไปพร้อมกับผม
ไม่แปลกหรอกเพราะปกติทั้งผมและมันมักจะกลับด้วยกันมาโดยตลอด จะมีก็ช่วงหลังๆมานี้แหล่ะ ที่ไม่ค่อยได้กลับพร้อมกันเหมือนเดิม
ทว่าหลังจากที่ผมพบน้องรหัสเสร็จเรียบร้อย และกำลังจะเดินออกจากอาคารเรียนที่เริ่มไร้ผู้คนไปเรียกวินเพื่อไปหอ แต่กลับต้องหยุดชะงัก เพราะผมกำลังถูกกลุ่มคนที่หน้าตาคุ้นเคยห้อมล้อมเอาไว้จนไม่เหลือเส้นทางไว้เดิน
พวกมันคือกลุ่มคนที่มาหาเรื่องไอ้กัสเมื่อวานนี้ กลุ่มที่ผมไม่ค่อยชอบขี้หน้ากลุ่มนั้น และตอนนี้พวกมันกำลังคิดจะเล่นงานผมอยู่ จู่ๆเสียงของไอ้คนที่ถูกไอ้กัสกระชากคอเสื้อเมื่อวานก็พูดขึ้น
“ทำไมมึงเดินมาคนเดียววะ แล้วไอ้กัสมันไปไหน”
ที่แท้พวกมันก็ถามหาไอ้กัสอย่างนั้นเองหรอกหรอ
“ไอ้กัสกลับไปแล้ว”
“กลับยังไง”
“จะถามไปให้ได้อะไร บอกว่ากลับไปแล้วไง”
ที่พวกมันถามแบบนี้ไม่ใช่ว่าจะตามไปเล่นงานไอ้กัสหรอกใช่ไหม ผมควรจะหลอกล่อให้พวกมันไปทางอื่นดีหรือเปล่า เพราะถ้าพวกมันตามไอ้กัสไปมีหวังไอ้กัสไม่รอดแน่ แถมยังจะโดนรุมได้ง่ายๆด้วย
“กูถามมึงก็ตอบกูมาดีๆ อยากโดนกระทืบหรือไงวะ”
“กลับ...มันเดินกลับ กลับตรงทางลัดข้างคณะเกษตร”
โกหกไปเต็มๆ ไอ้กัสมันไม่มีทางเดินกลับไปทางนั้นคนเดียวแน่ๆ อย่างน้อยมันต้องเรียกวินกลับหอ
ผมรู้...ผมรู้ว่ามันไม่กล้ากลับทางนั้นคนเดียว อีกอย่างแถวนั้นมันทั้งเปลี่ยวและอันตรายจะตายไป มันคงไม่โง่กลับคนเดียวแน่ และเพราะแบบนี้ผมจึงเลือกที่จะโกหกพวกมันให้ไปทางนั้นแทนที่จะบอกไปตามตรง อย่างน้อยจะได้ถ่วงเวลาพวกมันด้วย
“เพื่อนสนิทกันประสาอะไรวะ โคตรทุเรศชิบหาย”
“ม...หมายความว่าไง”
“ก็ที่มึงทำอยู่นี่ไง เอาตัวรอดและส่งเพื่อนไปแทน”
เจ็บไม่เบาเลย เหมือนเพิ่งโดนตบหน้าลงมาฉาดใหญ่เต็มๆข้างแก้ม เอาตัวรอดอย่างนั้นหรอ ผมไม่ปฏิเสธหรอกว่าตัวเองกำลังเอาตัวรอด แต่ถ้าเรื่องส่งเพื่อนไปให้พวกมันล่ะก็
พวกมันต่างหากที่คิดผิด ผมไม่ได้ส่งเพื่อนไปเสียหน่อย ผมกำลังช่วยเพื่อนอยู่ต่างหาก
หลังจากที่พวกมันได้ด่าผมโดยที่ผมไม่ได้โต้ตอบอะไรกลับไป พวกมันก็แยกย้ายกันไปตามทางที่ผมบอก ซึ่งผมได้แต่ยิ้มคนเดียวในใจว่าพวกมันต่างหากที่โง่ เพราะโดนผมหลอก ป่านนี้ไอ้กัสมันนอนอ่านหนังสืออยู่หอมันไปแล้ว
เช้าของอีกวัน...
วันนี้เป็นเช้าของวันสอบวันสุดท้าย ผมมามหาลัยไม่เร็วมากนัก อีกอย่างปกติถ้าในเวลาแบบนี้ไอ้กัสมันต้องมาถึงแล้วนี่นา แต่เอาเถอะรอมันอีกสักแป้บเดี๋ยวก็คงมาเองนั่นล่ะ
เพราะไม่มีทางที่ไอ้เด็กเรียนดีระดับต้นๆของคลาสอย่างมันจะไม่มาสอบ ไม่มีทางเป็นไปได้อย่างแน่นอน
แต่ผมกลับต้องแปลกใจเพราะเวลาล่วงเลยผ่านไปจนเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว และเวลานี้ก็จวนจะได้เวลาเข้าห้องสอบแล้วด้วย มันไปไหนของมัน
พอคิดได้แบบนั้นก็รีบกดโทรหาทันทีเพราะในใจลึกๆมันดันรู้สึกกลัวอยู่ไม่น้อยกับเหตุการณ์เมื่อวานที่พวกแก๊งบ้านั่นเข้ามาหาเรื่อง
และคนปลายสายมันก็รับสายของผม รู้สึกโล่งใจขึ้นมานิดหน่อย ผมยอมรับว่าถึงแม้ว่าจะอิจฉาและเกลียดมันอยู่ไม่น้อยแต่ก็ไม่เคยคิดที่จะทำร้ายมันถึงขั้นนั้นหรอก
ยิ่งพอได้ยินเสียงที่มันพูดผ่านเข้ามาในสายด้วยน้ำเสียงปกติก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาหน่อย
แต่ทว่าเหตุการณ์ต่อไปนี้ต่างหากที่ทำให้ผมต้องกลืนน้ำลายตัวเอง ไอ้อาการสบายใจเมื่อครู่ที่เกิดขึ้นในใจของผม มันพลันมอดดับหายไปหมดไม่เหลือ เพราะไอ้กัสมันไม่ได้มาคนเดียวแต่มันมากับเซน
ไปเจอกันตอนไหน หรือว่าเมื่อคืนจะไปนอนที่คอนโดของเซนและไม่ได้กลับไปที่หอ ผมลอบมองคนที่เดินลงมาจากรถด้วยเสื้อผ้าที่ดูปราดเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่ชุดที่ไอ้กัสมันเคยใส่ เสื้อผ้าพวกนี้มันไม่ใช่ของไอ้กัสอย่างแน่นอน และมันจะเป็นของใครได้ล่ะ ถ้าไม่ใช่ของใครอีกคนที่อยู่บนรถนั่น
ภาพเคลื่อนไหวตรงหน้าที่ฉายภาพของคนสองคนที่ดูท่าทางสนิทสนมจนเกินพอดีมันทำให้ผมรู้สึกแย่กับไอ้กัสมากยิ่งขึ้น โดยที่จากเดิมมันมีมากมายพออยู่แล้ว ยิ่งเห็นแบบนี้มันก็ยิ่งเพิ่มพูนจนแทบจะล้นปรี่
ผมอดไม่ได้เลยจริงๆที่จะเดินเข้าไปหาและเอ่ยทักด้วยน้ำเสียงเย็นๆและไม่คิดว่าตัวเองจะพูดมันออกมาได้
“จะเล่นกันอีกนานไหม จะถึงเวลาสอบแล้วนะ”
ไอ้กัสมันหันมามองผม ตอนนี้แม้แต่สีหน้าของผมเองจากปกติที่มักจะควบคุมมันได้ดีตอนนี้ผมไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้อีกแล้ว เพราะผมกำลังโกรธ โกรธมากๆ
ขณะนี้ผมไม่ต่างอะไรกับคนที่โดนหลอกใช้ และแถมยังโดนเพื่อนอย่างไอ้กัสมาเอาคนตรงหน้าไปเป็นของมันอีก
ก็รู้ดีอยู่หรอกว่าเซนรักกัสมากขนาดไหน แต่มาหลอกให้ผมทำเรื่องพวกนั้นเพื่อตัวเองแบบนี้ มันออกจะทุเรศไปหน่อย
ในตอนแรกก็แอบนึกสะใจอยู่ไม่น้อย
เพราะไม่ว่าจะยังไงเรื่องที่เซนให้ทำมันไม่มีทางที่จะส่งผลดีกับเซนแน่ๆ แต่ผมคิดผิดเพราะมันกลับกันไปหมด มันเข้าทางของเซนเต็มๆ
หรือว่าจะต้องทำแบบนั้นแล้วจริงๆ ทั้งที่ใจไม่ได้อยากทำสักนิด แต่ในเมื่อกำลังโดนบีบแบบนี้มันช่วยไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นเซนหรือกัสหรือแม้แต่เป็นผมก็จะไม่มีทางสมหวังสักคน ต้องไม่มีทางได้มีความสุขมันทั้งหมดนั่นแหล่ะ
ถ้าหากไอ้กัสมันรู้ว่าเบื้องลึกเบื้องหลังที่เซนสั่งให้ผมทำอะไรกับมันเอาไว้บ้าง ทั้งเรื่องปล่อยข่าวลือและคลิปพวกนั้น ไม่มีทางที่ไอ้กัสจะให้อภัยคนอย่างเซนแน่ๆ ไม่มีทางอย่างแน่นอน แม้ว่าจะรวมไปถึงตัวผมเองด้วยก็ตาม
ในตอนที่ผมสัมผัสได้ว่ามือของไอ้กัสมาลูบจับและบีบมอของผมเบา มันยิ่งทำให้ผมโกรธ มันยังมีหน้ามาปลอบโยนผมอีกหรือไงทั้งๆที่เป็นตัวมันเองทั้งนั้นที่เป็นต้นเหตุให้ผมเป็นแบบนี้
เพราะความโมโหของตัวเองทำให้ผมพลั้งบีบมือของไอ้กัสมันอย่างแรง ยอมรับว่าตกใจอยู่เหมือนกันที่ตัวเองพลั้งมือทำร้ายออกไปแบบนั้น
จะว่าไปมือของมันไปโดนอะไรมา ทำไมถึงได้มีพลาสเตอร์แปะแผลเยอะแยะขนาดนั้น ใจหนึ่งของผมก็อยากจะถามออกไปคงเป็นเพราะความเคยชินที่ปกติมักจะถามสารทุกข์สุกดิบกับไอ้กับอยูเสมอ
แต่เพราะทิฐิที่ผมมีอยู่มากจนล้นอก ทำให้ไม่มีเสียงเอ่ยปากออกไปเพื่อจะถามถึงเหตุผลที่เกิดบาดแผลจากอีกคน และเลือกที่จะไม่สนใจเรื่องนั้นเสีย
จวบจนสอบเสร็จ ครั้งนี้ผมสอบเสร็จก่อนไอ้กัสซึ่งมันเป็นเรื่องน่าแปลก ที่ว่าทำไมไอ้กัสมันทำช้ากว่าปกติ ปกติแล้วไอ้กัสมันมักจะทำข้อสอบเร็วและจะออกมารอผมอยู่เสมอ
แต่ช่างเถอะ คราวนี้ผมไม่รอมันหรอก เสียเวลาเปล่าๆ ผมจึงเลือกที่จะกลับห้องตัวเองทันทีที่ออกมาจากห้องสอบ
ทว่าจู่ๆมือถือก็ดังขึ้น มันเป็นเบอร์ของเซน โทรมาตอนช่วงเวลาแบบนี้หมายความว่ายังไงกัน ไม่รอช้าให้มากความผมรีบกดรับสายของอีกฝ่ายทันที
“ฮัลโหล”
“พี่ที ผมมีเรื่องจะคุยกับพี่”
“คุยหรอ เรื่องอะไรล่ะ พูดมาเลยก็ได้ตอนนี้พี่ว่าง”
“หมายถึงจะคุยแบบเจอหน้า เย็นนี้พี่ว่างหรือเปล่า”
เย็นนี้หรอ...พอดีเลย มันทำไมถึงได้เหมาะเจาะขนาดนี้ ได้สิ....อยากคุยก็มาคุยกันเลย ทั้งนายและไอ้กัสมันจะได้จบๆกันวันนี้ไปเสียที
“ว่างสิ ประมาณหกโมงเย็น ที่ห้องของพี่”
ผมตัดสินใจนัดแนะกับอีกคนที่ปลายสาย ในตอนแรกผมยังไม่คิดจะทำตอนนี้ แต่เพราะเซนโทรมาหาผมเองและมันพอดีกับที่ผมคิดอะไรดีๆออก
มันจะทำให้แผนที่ผมคิดเอาไว้มันสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น และขาดคนสำคัญไปไม่ได้ คนที่สำคัญกับแผนนี้คือไอ้กัส
หลังจากที่ตัดสายไปไม่นานคนที่ผมคิดจะโทรหาเพื่อนัดแนะให้มาเจอกันอีกคนหนึ่ง กลับโทรเข้ามาพอดี
“ไอ้ทีมึงอยู่ไหน”
“กูออกมาแล้ว”
“อ้าว...กูนึกว่ามึงจะรอกู เออมึงว่างเปล่ามีเรื่องจะปรึกษานิดหน่อยว่ะ”
ไม่ทันจะได้นัดแนะดีด้วยซ้ำ ไอ้กัสมันมีเรื่องจะปรึกษาอะไรกับผม ร้อยวันพันปีไม่เคยมีแล้วนี่หมายความว่ายังไง อดใจเต้นไม่ได้เพราะเหมือนตัวผมเองกำลังถูกให้ความสำคัญถึงขั้นเป็นที่ปรึกษา
แต่ถึงแม้จะสงสัยถึงเรื่องที่อีกฝ่ายต้องการจะปรึกษาแต่มันไม่มีอะไรมาฉุดรั้งเป้าหมายของผมเอาไว้ได้ ก็ดีน่ะสิ มีเรื่องปรึกษาใช่หรือเปล่า เอาไว้ก่อนนะไอ้กัส มึงต้องรู้เรื่องที่มึงควรจะรู้ตั้งแต่แรกของเซนซะก่อน
“โทษทีมึงตอนนี้กูไม่ว่าง แต่เย็นนี้น่าจะว่างนะ ถ้างั้นเดี๋ยวกูโทรหามึงอีกทีก็แล้วกัน”
“ได้ดิ อย่าลืมนะมึง”
“อืม”
เรื่องนี้มันกำลังจะจบแล้วสินะ เรื่องของพวกเรา...และผมจะเป็นคนทำให้เรื่องมาถึงตอนจบเอง
18.30 น.
ผมโทรหากัสเพื่อให้ออกมาหาที่หอ ในขณะที่เซนใกล้จะมาถึงหอของผมแล้ว เนื่องจากหอของกัสอยู่ไม่ไกลจากหอของผมมากนัก มีเพียงสองตึกกั้นกลางเท่านั้น และนี่เป็นโอกาสเดียวที่จะทำให้เรื่องพวกนี้จบลงซักที
ตอนนี้เซนเข้ามาอยู่ในห้องของผม โดยที่ผมเป็นคนเปิดประตูไปรับ และแน่นอนว่าผมไม่ได้ปิดประตูให้สนิท เพื่ออะไรน่ะหรอ ก็เพื่อให้ใครอีกคนที่กำลังจะตามมามันได้ยินเรื่องดีๆน่ะสิ เพราะถ้ามันฉลาดพอก็คงจะไม่โง่เปิดประตูเข้ามาหรอก
และแน่นอนว่าเซนไม่รู้เรื่องที่ผมแกล้งปิดประตูไม่สนิท เพราะรายนั้นเดินเข้ามาด้านในอย่างคนไม่คิดอะไร เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ผมจึงเป็นคนเปิดประโยคสนทนาขึ้นมาก่อนเป็นคนแรก
“ไหนว่ามาสิมีเรื่องอะไร”
“ก็เรื่องที่ผมบอกให้พี่ไปทำไง”
ทันทีที่เซนพูดจบประโยค สายตาของผมเหลือบไปเห็นช่องระหว่างประตูเข้าพอดี หมอนั่นคงจะมาถึงแล้วสินะ ผมจำปลายเท้าที่โผล่ลอดออกมาจากช่องของประตูได้ดี รองเท้าของไอ้กัส
“เรื่องที่นายใช้ให้พี่ปล่อยรูปพวกนั้น เป็นไงบ้าง ถูกใจนายหรือเปล่า”
“ก็ดี...”
น่าแปลกที่สีหน้าของเซนดูเปลี่ยนไป ไม่ได้แสดงออกว่ารู้สึกดีสักนิด แต่เอาเถอะผมไม่สนใจอะไรพวกนั้นอยู่แล้ว เพราะตอนนี้เรื่องที่น่าสนใจมันอยู่ที่อีกคนที่ถูกรับเชิญตรงบริเวณประตูเสียมากกว่า ตอนนี้มันคงจะตกใจไม่น้อยเลยสินะ
“แน่นอนล่ะนะ แต่ว่าให้พี่ไปรอถ่ายรูปกลางดึกแบบนั้น แถมยังต้องกลับเองอีก ไม่เห็นจะคุ้มอะไรเลย”
“แล้วพี่อยากได้อะไรละ”
“คืนนี้นอนที่นี่ได้ไหม”
สีหน้าของเซนไม่เล่นด้วยเอาซะเลย ทั้งๆที่ผมพูดออกไปในใจก็อยากให้อีกฝ่ายตอบรับแท้ๆ ยิ่งเขาทำสีหน้าตอบกลับมาแบบนี้ทำให้ผมต้องรีบเปลี่ยนเรื่องก่อนที่อีกฝ่ายจะโมโหขึ้นมาจนบรรยากาศเปลี่ยนและทำให้เรื่องมันเสีย
“อ่าจริงด้วยสิ พี่ลืมบอกไป พี่ส่งคลิปไปขู่มันแล้วนะ”
“เดี๋ยว....คลิปนั้นนะหรอ”
ผมแปลกใจนิดหน่อยที่เซนทำหน้าไม่สบอารมณ์มากขึ้นกว่าเดิม เหมือนกับว่าผมทำอะไรผิดไปอย่างนั้นแหล่ะ ก็เซนเองไม่ใช่หรอที่เป็นคนบอกให้ผมเอาคลิปบ้านั่นไปขู่ไอ้กัสน่ะ
แล้วตอนนี้เหมือนกับว่าคนที่น่าจะแอบดูอยู่มันหายไปแล้ว ไอ้กัสมันคงจะออกไปแล้วแน่ๆ ผมเลิกสนใจคนที่อยู่ด้านนอกและหันมาสนใจคนตรงหน้าแทน
“ทำไม พี่ทำอะไรผิดไปอย่างนั้นหรอ”
“ใครสั่งให้พี่เอาไปขู่วะ!”
ผมตกใจไม่น้อยเลยที่เซนตะคอกเสียงดังใส่ผมขนาดนี้ ไม่เคยเห็นเซนโมโหขนาดนี้มาก่อนเลยสักครั้งเดียว ถ้าจะบอกว่านี่เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นเซนโมโหหรือโกรธก็คงจะขอไม่ปฏิเสธ
“จ...ใจเย็นๆก่อนนะ ก็นายเองที่บอกพี่...”
“บอกว่าให้เก็บไว้ก่อน ไม่ได้บอกให้ทำ!”
“ก็ขู่ไปแล้ว และก็ทำทุกอย่างไปแล้ว”
“พี่ทำเกินกว่าคำสั่งของผม!”
ผมเริ่มรู้สึกโกรธขึ้นมาบ้าง มันเกินไปแล้วนะ ทำแบบนี้มันเกินไปแล้วจริงๆ
“ถามจริงเถอะ ทำแบบนี้คิดว่าไอ้กัสมันจะชอบนายมากขึ้นหรือไง”
อีกฝ่ายเหมือนจะชะงักไปไม่น้อย แถมยังเงียบไม่ยอมพูดหรือตอบอะไรกลับมาอยู่พักใหญ่ กว่าจะพูดออกมาได้ก็ถอนหายใจยาวๆออกมาหนึ่งที
“ไม่หรอก...ที่ทำไปก็เพื่อตัวของผมทั้งนั้น....และก็พี่กัสด้วย”
ไม่เข้าใจ หมายความว่ายังไง เรื่องพวกนี้ทำเพื่อไอ้กัสยังไง มันมีแต่ทำร้ายกัสทั้งนั้นเลยไม่ใช่หรอ ตอนนี้ในหัวของผมมันมีแต่คำถามเต็มไปหมด อยากจะถามให้กระจ่างชัดเสียให้จบตอนนี้เลยด้วยซ้ำ
แต่อีกฝ่ายทำท่าเหมือนจะเดินออกไปจากห้องของเขาซะอย่างนั้น
“จะไปไหนเซน”
“กลับ”
“แล้วเรื่องอะไรที่จะคุย”
“แน่นอนผมคุยแน่ แต่ไม่ใช่ตอนนี้ แล้วจะบอกอะไรให้นะว่าพี่จะต้องเสียใจแน่ๆถ้ารู้เรื่องที่พี่กัสโดนเพราะทุกอย่างมันเป็นตัวพี่ทั้งหมดที่เป็นคนทำ!”
“หมายความว่าไง....เซน!”
ไม่ทันที่จะได้เรียกหรือรั้งให้อีกฝ่ายอยู่และถามความสงสัยที่มีอยู่เต็มไปหมดเพื่อคลายความขุ่นข้องใจ ทว่าตอนนี้อีกฝ่ายรีบวิ่งออกไปจากห้องแต่หยุดยืนอยู่ที่หน้าประตูห้องเล็กน้อยเหมือนกำลังสงสัยอะไรบางอย่าง
แต่มันเป็นเพียงชั่ววินาทีเท่านั้น เซนก็รีบก้าวเท้าวิ่งออกไปจากห้องของผมแทบจะทันที
ทิ้งเอาไว้ให้ผมยืนจมอยู่กับความเงียบภายในห้องคนเดียว
เสียใจหรอ อย่างผมเนี่ยนะที่จะเสียใจ แล้วเสียใจเรื่องอะไรกันล่ะ...
หายไปเกือบสองอาทิตย์เลยค่ะ5555
เปลี่ยนแปลงบทบาทการแทนตัวเองนิดหน่อยนะคะ
จากเดิมที่ใช้ว่าเขา มันค่อนข้างจะแปลกๆ
เดี๋ยวจะไล่แก้ให้หมดทุกพาร์ทของตอนพิเศษ
ปล.ยังมีรออ่านกันอยู่ไหม
หายไปนานมากเลย อย่าเพิ่งทิ้งกันไปไหนนะคะ
เรื่องนี้ใกล้จบแล้วนะ