แฟนเดือนเดียว / A Month Boyfriend - .:บทเรียนพิเศษ:. แฟนชีวิตเดียว 04/12/2019
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: แฟนเดือนเดียว / A Month Boyfriend - .:บทเรียนพิเศษ:. แฟนชีวิตเดียว 04/12/2019  (อ่าน 23909 ครั้ง)

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
บทเรียนที่สี่อยู่หนายยยยยยยย
รอนะ

ออฟไลน์ Maywrite

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
.:บทเรียนที่ 4:.





“แฮ่กๆ ๆ กี.. มึง..ทิ้งกูไว้ตรงนี้” อินทัชพูดขาดๆ หายๆ สมองพล่าเบลอเพราะหายใจไม่ทัน หลังโค้งลงต่ำมาด้านหน้า สองมือกุมเข่าสองข้างแน่น ขาสั่นจนเหมือนจะยืนต่อไปไม่ไหวแล้ว พยายามหอบเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าไปเต็มปอดอย่างยากลำบาก เพื่อนสนิทหันมามองเขา มันส่ายหัวอย่างระอาก่อนจะมาดึงแขนข้างหนึ่งแล้วกระชากเบาๆ เป็นสัญญาณให้เขาวิ่งต่อไปด้วยกัน

“อิน มึงจะมาสำออยไม่ได้ นี่เพิ่งจะสองรอบเองนะ” ไอ้กีเอ่ยเร่ง เขามองหน้าเพื่อนสนิทอย่างละเหี่ยใจ ไม่รู้มันไปฟิตมาจากไหน ตั้งแต่เปิดเทอมมามันพาเขามาวิ่งที่สวนในมอทุกเช้า คนอย่างมันที่ปกติไม่เคยจะออกกำลัง แค่เดินยังเหนื่อย ไม่รู้ตอนมันกลับไปอยู่บ้านหัวมันไปฟาดกับอะไรหรือกินอะไรผิดสำแดงก็ไม่รู้ พอมาเจอกันอีกที มันกลายเป็นคนรักสุขภาพไปแล้วซะงั้น ไม่ใช่แค่ที่ตื่นนอนปุ๊ปก็ไปหาเขาที่คอนโดแต่เช้า ลากเขามาวิ่งด้วยทุกวันแบบนี้หรอกนะ แต่บางวันมันถึงขนาดทำอาหารคลีนมาเผื่อเขาหลังวิ่งเสร็จ แล้วยิ่งไปกว่านั้นคนที่เคยขึ้นชื่อว่าขี้เกียจตัวเป็นขน งานอะไรก็ไม่เคยจับเคยแตะ เดี๋ยวนี้มันขยันกว่าใคร วันก่อนที่เขาไปหามันที่บ้าน เขาแทบจะเก็บอาการตกใจไว้ไม่ไหว นอกจากบ้านมันจะสะอาดเอี่อมอ่องไปทุกซอกทุกมุมแล้ว สวนหน้าบ้านมันที่เคยมีแต่หญ้าเหลืองๆ เกรียมแดด ตอนนี้มีดอกไม้ใบหญ้ามาลงเต็มพื้นที่ไปหมด มันถึงขนาดขุดบ่อเลี้ยงปลาเล็กๆ ใส่ปลาหลากหลายพันธุ์ลงเต็มบ่อ เรียกว่าแค่ไม่เจอกันไม่กี่วัน มันเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว ในที่สุดพอเขาลองถามถึงเหตุผลที่มันเปลี่ยนแปลงตัวเองได้รวดเร็วขนาดนี้ ก็ต้องรู้สึกสะอึกกับคำตอบที่มันให้

‘เพราะในที่สุดแล้วคนที่รักกูจริงก็คือตัวกูเอง ดังนั้นกูต้องหัดดูแลตัวเองดีๆ’

อินทัชรู้สึกเจ็บในอกเมื่อได้ยิน รู้ดีว่ามันยากแต่ไหนกับการลุกขึ้นมาหลังจากเจอเรื่องราวแย่ๆ แบบนั้น เขารู้ดีที่สุด และไม่เคยลืมว่าคนที่ทำให้เขาผ่านวันร้ายๆ มาได้ก็คือเพื่อนอย่างมันนี่แหละ ดังนั้นพอถึงตาเขา เขาก็ตั้งปณิธานว่าจะอยู่เคียงข้างมันให้ถึงที่สุด จะไม่ยอมปล่อยให้มันต้องผ่านเรื่องนี้ไปตามลำพังแน่ๆ เพราะคิดอย่างนี้เขาถึงยอมออกมากับมันทุกเช้าแบบนี้ แม้จะเกลียดการออกกำลังกายเป็นที่สุดก็ตาม

“มึงต้องไหวไอ้อิน” มันว่าต่อ

“กูไม่ไหวแล้วจริงๆ มึงไปเถอะ” แต่เพราะเมื่อคืนนอนซะดึก พอต้องตื่นมาวิ่งแต่เช้าแบบนี้ เขาก็เหมือนจะไม่ไหวจริงๆ ตั้งใจจะทิ้งมันตรงนี้แล้วเดินไปหาซื้อน้ำกิน ขณะที่กำลังจะยันตัวขึ้นเพื่อนสนิทก็ยื่นหน้ามาที่ใบหู ยกมือขึ้นป้องปากกระซิบบอก

“ออกกำลังเยอะๆ น่ะดีแล้ว ถึงเวลาต้องใช้มึงจะได้อึดๆ พอดินทำท่าที่ร้อยจะได้มีแรงสู้”

อินทัชหูแดงเรื่อจนลามมาที่หน้า “ไอ้กีมึง เดี๋ยวจะโดน” กีรติหัวเราะร่ารีบวิ่งหนีนำเพื่อนสนิทไปก่อน อินทัชรีบวิ่งตามอีกฝ่ายไปติดๆ เป็นแบบนั้นจนวิ่งกันครบห้ารอบ จริงๆ เขาก็แค่อยากจะตามไปเตะมัน ไม่ได้อยากจะองอยากจะอึดอะไรเลยนะ

พอวิ่งเสร็จทั้งสองก็มาที่ลานกว้างที่มีเครื่องออกกำลังกายกลางแจ้งอยู่หลายชนิด กีรติขึ้นไปบนเครื่องโยกที่ใช้ช่วยเรื่องกล้ามเนื้อบริเวณขาและสะโพก เขาขยับขาซ้ายและขวาไปมาหน้าหลังสลับกันเป็นจังหวะเร็วๆ แอบอมยิ้มเหลือบมองเพื่อนสนิทที่หนีไปนั่งเล่นบนชิงช้ากับเด็กน้อยคนนึงอย่างสนุกสนาน

“พี่กี หวัดดีครับ” กีรติหันหลังไปมอง ยกยิ้มเมื่อเจอชายร่างสูง ผิวสีแทนคมเข้มในชุดวอร์มสีดำที่ยืนยิ้มเห็นฟันขาวครบทุกซี่อยู่ก่อนแล้ว

“อ้าว น้องพุทธเจอกันอีกแล้ว” กีรติทักทายอย่างร่าเริง “หมีพูห์ก็ด้วย ฟิตกันจังเลยนะพวกเรา” กีรติมองไปข้างหลังเห็นคนที่มีหน้าตาอิดโรยแบบคนนอนน้อยยิ้มเจื่อนมาให้เขา อินทัชที่สังเกตเห็นจากไกลๆ อดขำไม่ได้ คนอย่างหมีพูห์มันไม่ได้อยากมาออกกำลังกายหรอก ทำไมเขาจะไม่รู้ว่ามันโดนพี่รหัสสั่งให้มาคอยเป็นไม้กันหมา มาคอยคุมเวลาเขามาวิ่งแล้วเผื่อมีคนเข้ามายุ่ง อินทัชส่ายหน้าให้กับความขี้หึงไร้สาระของแฟนตัวเอง ตื่นไม่ไหวแล้วยัังจะใช้น้องมาทำอะไรแบบนี้แทนอีก เขาโบกมือทักทายหมีพูห์กลับตอนที่อีกคนกางแขนโบกมือให้เขาไหวๆ ก่อนที่จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปเขา มันก้มหน้าก้มตาพิมพ์ข้อความอะไรสักอย่างในโทรศัพท์

รายงานตามเรียลไทม์เลยนะน้องหมี

“ครับ บังเอิญจัง พี่กีก็ขยันเหมือนกันนะครับ” อินทัชแอบอมยิ้ม ถ้าเดาไม่ผิดเมื่อคืนดินต้องบอกหมีพูห์ไปแล้วว่าเขาจะมาวันนี้ พุทธโธทีี่เป็นรูมเมทกับมันก็ต้องรู้เหมือนกัน บังองบังเอิญอะไรไม่มีซะล่ะ แต่ก็ช่างเถอะ ไอ้น้องพุทธก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร ตอนที่รู้จักกันที่ค่ายอาสาก็ดูเป็นคนน้ำใจดีคอยช่วยเหลือคนนั้นคนนี้อยู่ตลอด ในสายตาเขาถือว่าน้องเป็นคนดีใช้ได้คนหนึ่งเลยล่ะ และที่สำคัญที่สุดน้องมันเช้าถึงเย็นถึง การกระทำทุกอย่างชัดเจนมาก ถ้ามันจะเข้ามาจีบไอ้กีจริงจังแบบนี้เขาก็อยากลองสนับสนุนดูเหมือนกัน เขาคิดแล้วก็ลุกจากชิงช้าเดินเข้าไปสมทบกับคนทั้งสาม

“อืม พักนี้อยากออกกำลังกาย จะได้กินเยอะๆ ได้ ไม่ต้องมานั่งรู้สึกผิดไง” พุทธโธยืนยิ้มมองคนที่ตอบคำถามเขาหน้าตายิ้มแย้ม แก้มที่มีเลือดฝาดแดงเรื่อจากการออกกำลังกายทำให้อีกคนดูน่ารักขึ้นเป็นสองเท่า ท่าทางจริงจังเกินเหตุเวลาเล่าเรื่องสูตรอาหารคลีนทำให้เขารู้สึกอยากจับอีกคนมาฟัดเล่นซะเหลือเกิน ทั้งๆ ที่อีกฝ่ายอายุมากกว่าแท้ๆ แต่เพราะขนาดตัวที่สูงแค่อกเขา ร่างเรียวบางและผิวขาวเนียนเหมือนเด็ก มันทำให้เขารู้สึกเอ็นดูอีกคนเหลือเกิน เขารู้จักกับพี่กีตอนที่ไปค่ายอาสาที่เชียงรายเมื่อปิดเทอมที่แล้ว ตอนแรกที่ไอ้หมีชวนไปเขาก็ยังสองจิตสองใจเพราะไม่เคยไปมาก่อน แต่ก็ต้องรู้สึกขอบใจที่มันขะยั้นขะยอจนในที่สุดเขาก็รับปาก และมันก็คงเป็นโชคดีที่สุดของเขาเพราะทำให้ได้มีโอกาสรู้จักกับคนตรงหน้า

“งั้นไหนๆ วันนี้ก็ออกกำลังกายแล้ว ตอนเย็นไปหาอะไรกินกันไหมครับ” พุทธโธเอ่ยออกไปตรงๆ โดนปฎิเสธไปหลายครั้งแล้ว ต้องมีสักวันสิที่อีกฝ่ายจะตอบตกลง ตื้อเท่านั้นที่ครองโลก!!

“ไม่ได้เด็ดขาดนะไอ้พุทธ” ไม่ใช่พี่กีแต่เป็นเพื่อนของเขาเองที่พูดขึ้นมา พูรินยกแขนขึ้นไขว้กันเป็นกากบาทอันใหญ่ประกอบกับคำพูดตัวเอง

“วันนี้พี่ดินชวนสายรหัสไปเลี้ยงที่ร้าน และพี่กูเขาจะขึ้นร้องวันแรกด้วย มึงจะมาเอาพี่กีไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น” พูรินว่าเสียงแข็งขึ้นมาก่อนจะหันมาถามรุ่นพี่ทั้งสอง “พี่อินกับพี่กีก็จะไปด้วยกันใช่ไหมครับ” นอกจากจะต้องคอยช่วยพี่รหัสดูพี่อินแล้วเขายังต้องคอยช่วยพี่ต้นดูพี่กีอีก นี่ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าพี่ๆ รู้ว่าไอ้พุทธเพื่อนเขามาจีบพี่กีอยู่เขาจะโดนอะไรบ้าง ทางนั้นก็พี่ทางนี้ก็เพื่อน หมีพูห์เหนื่อยเหลือเกินครับแม่!

อินมองหน้าเพื่อนสนิท “ถ้ามึงไม่อยากไป ก็ไม่เป็นไรนะมึง” เขายังไม่แน่ใจว่ามันพร้อมจะไปเจออีกคนแล้วหรือเปล่า ไม่มีความจำเป็นต้องฝืนถ้ายังไม่อยากเจอ กีหันหน้ามามองเขาก่อนจะยกยิ้มบางให้

“กูไม่เป็นไรมึง กูไปได้” มันว่า “จะช้าจะเร็ว ยังไงสักวันก็ต้องเจอกันอยู่ดี” อินทัชนิ่งมองเพื่อนสนิท เมื่อมันว่าอย่างนั้นเขาเลยหันไปหาอีกคน

“พุทธอยากไปด้วยกันไหมล่ะ” พุทธโธยิ้มแก้มแทบปริ พยักหน้ารับเร็วๆ เป็นการตอบตกลง กีรติหรี่ตามองหน้าเพื่อนสนิท รู้เลยว่ามันกำลังตั้งใจจะทำอะไร แต่พอเห็นหน้าตาดีใจซะเหลือเกินของน้องพุทธเขาก็ไม่อยากว่าอะไร เลยได้แต่ยิ้มตามน้ำ

“มึงจะไปทำไมว่ะ สายรหัสมึงก็ไม่ใช่”

เมื่อได้ยินแฟนพี่รหัสว่าอย่างนั้นพูรินก็หน้าซีดขึ้นมาทันที รีบตะโกนแย้งขึ้นมา อุตส่าห์หลบเลี่ยงมาได้ตั้งนาน คืนนี้พี่ดินกับพี่ต้นต้องเชือดเขาทิ้งแน่ๆ

“แล้วพี่กูก็โครตดุมากด้วย เขาไม่ชอบให้ใครไปวุ่นวาย”

“ดินไม่ใช่คนแบบนั้นสักหน่อย แล้วถ้าจะว่าอะไร เดี๋ยวพี่คุยให้้เอง”

“พี่อิน~” พูรินร้องคราง

พี่อินนะพี่อิน หาเรื่องให้น้องจังเลยนะ!!!

พูรินพยายามใช้สายตาขู่เพื่อนสนิท ส่งสัญญาณทางสายตาให้มันเปลี่ยนใจ แต่นอกจากมันจะไม่กลัวแล้ว มันยังจ้องหน้าส่งตาหวานให้พี่กีไม่หยุด

“งั้นให้ผมไปรับพี่กีที่คณะไหมครับ”

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่ว่าจะเข้าไปเปลี่ยนชุดที่ห้องพี่อินก่อน ยังไงเจอกันที่ร้านเลยนะ” กีรติตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม

“ไปมึง อาบน้ำกินข้าวกัน เดี๋ยวเข้าเรียนไม่ทันนะ” กีรติหันหน้าไปบอกเพื่อนสนิท กล่าวลารุ่นน้องทั้งสองอีกนิดหน่อยก็เดินแยกออกมา

“น้องพุทธก็น่ารักดีนะมึง” ไอ้อินยิ้มกรุ่มกริ่มมาให้เขา

“จะฟ้องดิน” เขาสวนกลับ ริอาจจะทำตัวเป็นแม่สื่อแม่ชัก เดี๋ยวก็ป่วนให้โดนหึงซะเลยนี่ มันรีบยกมือส่ายไปมาปฏิเสธยกใหญ่

“ไม่ใช่กูสิ กูดูก็รู้ว่าน้องเขาจีบมึง”

“มึงมั่วแล้ว”

“จ๊ะ มาดักรอทุกวันแบบนี้ไม่ใช่หร๊อก”

“บังเอิญเจอกันหรือเปล่า”

“บังเอิ๊ญญญที่ซู๊ดดด”

“เสียงเพี้ยนเชียวนะ”

“เชี่ยกี..ไม่ถามก็แล้วก็ได้” กีรติหัวเราะร่า ข้อดีที่สุดของเพื่อนคนนี้คือมันเป็นคนคิดเยอะ เวลาจะพูดจาอะไรก็คิดแล้วคิดอีก พอเห็นเขาไม่อยากพูดมันก็เลยไม่ถามหรือแซวอะไรต่อ เขาเองก็รู้อยู่เต็มอกว่าน้องมันเข้ามาหาเขายังไง แต่เพราะตอนนี้ยังไม่พร้อม เขาจึงทำได้เพียงรักษาระยะห่างให้พอเหมาะ ไม่ได้นึกรังเกียจแต่ก็ไม่อยากให้ความหวังมากเกินไป ตอนนี้ถ้ายังไม่แน่ใจว่ากำจัดอีกคนออกไปจากใจได้หมดแล้ว เขาก็ยังไม่อยากเปิดใจรับใครเข้ามา เขาขอเจ็บคนเดียวพอ ไม่อยากจะลากคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรมาเจ็บเพิ่มไปกับเขาอีก

.

.

.

.

.

.

.

.

“นี่น้องเป้นะครับพี่ๆ ส่วนนี่ก็พี่ดินลุงรหัสสุดหล่อ ร้องเพลงเพราะที่สุดในโลกหล้ากับพี่นนท์ปู่รหัสสายเปย์ผู้ใจกว้างเยี่ยงมหาสมุทร”

ปณวัชยกมือไหว้สายรหัส ตื่นเต้นนิดหน่อยเพราะเป็นครั้งแรกที่ได้มาเจอกัน และตั้งแต่เข้ามหา’ ลัยมานี่ก็เป็นครั้งแรกที่ได้มีโอกาสเข้ามาร้านเหล้า

“หมีพูห์ มึงยังเว่อร์เหมือนเดิมเลยนะ ตอนนี้เป็นพี่รหัสแล้ว กูจะไว้ใจให้มึงดูแลน้องได้หรือเปล่าเนี้ย” ธนนท์เอ่ยแซวรุ่นน้องจนมันหน้างอพึมพำบ่นอบอุบ แต่ถึงจะไม่พอใจยังไงก็รักจนไม่กล้าเถียงพี่ๆ อยู่ดี

“เราแอดน้องเข้าไลน์กลุ่มด้วยนะ มีอะไรปรึกษาพวกพี่ได้ตลอดไม่ต้องเกรงใจนะเป้” บดินทร์ว่าต่อ ปณวัชพยักหน้ารับ เอื้อมมือไปรับแก้วเหล้าที่พี่รหัสส่งให้ “งั้นเดี๋ยวพี่ไปเตรียมตัวก่อนนะ เพื่อนพี่เรียกแล้ว พี่นนท์เดี๋ยวพวกอินมานะ ฝากดูให้ผมด้วย”

“เออๆ กูจะดูให้แบบยุงไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอมเลย” คนแก่สุดกล่าวแซว มันจะห่วงจะหวงอะไรหนักหนาก็ไม่รู้ บดินทร์เดินออกไปจากโต๊ะได้ไม่นานคนที่โดนกล่าวถึงก็เดินมาพร้อมกับเพื่อนสนิทเจ้าตัวกับแขกที่ไม่ได้รับเชิญอีกคน

“ไอ้พุทธมึงมาจริงๆ ด้วย” พูรินกล่าวอย่างไม่อยากเชื่อ มันมองหน้าเขาแล้วหัวเราะแหะๆ ก่อนจะยกมือไหว้รุ่นพี่ปีสี่ลุงรหัสของเขา นั่งลงข้างพี่กีที่มันไปยืนรอหน้าร้านอยู่เป็นนานสองนาน คนในโต๊ะกล่าวทักทายและแนะนำตัวกันไปมา จนเมื่อโชว์บนเวทีเริ่มขึ้นความสนใจทั้งหมดก็ไปอยู่ทางนั้น

“ว่าไงเป้ พี่ดินร้องเพลงเพราะอย่างที่พี่บอกหรือเปล่า” ปณวัชพยักหน้ารับ มองลุงรหัสที่ร้องเพลงอยู่บนเวทีอย่างชื่นชม เขานึกชอบบรรยากาศของร้านนี้ ครึกครื้นแต่ไม่ได้ดูวุ่นวายเกินไป เขาแอบอมยิ้ม วันหลังลองชวนภัทรมาด้วยกันดีกว่า

“แล้วมึงก็คงเห็นว่านั่นพี่ต้น” พูรินกระทุ้งศอกไปยังเพื่อนตัวเองที่มัวแต่นั่งเคลิ้มมองหน้าพี่กีอยู่ได้ มันร้องโอ๊ยออกมาเบาๆ ก่อนจะหันมามองหน้าเขาอย่างไม่สบอารมณ์ พุทธโธรู้ดีว่าพี่ต้นเป็นใคร และรู้ด้วยว่าเป็นแฟนเก่าพี่กีเพราะไอ้หมีมันคอยย้ำอยู่ตลอด แต่เขาไม่แคร์ซะอย่าง แฟนเก่าก็ส่วนแฟนเก่า ไม่มีปัญญารักษาพี่กีเอาไว้เอง เขาจะต้องสนใจทำไม

“ผมชงให้ครับ” ว่าแล้วก็เอื้อมไปหยิบแก้วมาชงเหล้าส่งให้คนข้างตัว พี่กีกล่าวขอบคุณเล็กน้อยก่อนที่จะหันหน้าไปบนเวทีอีกครั้ง เขาแอบลอบถอนหายใจ แม้จะพยายามเพิกเฉยแค่ไหน แต่พุทธโธก็ยังเห็นสายตาที่อีกฝ่ายมองคนบนเวทีได้อย่างชัดเจน

ยังลืมไม่ได้สินะ

ส่ายหัวไล่ความคิดงี่เง่าออกไป ไม่ว่าจะต้องพยายามแค่ไหน เขานี่แหละที่จะทำให้พี่กีลืมอีกคนให้ได้เอง

.

.

.

เมื่อเพลงสุดท้ายจบลง ตั้งต้นและบดินทร์ก็fist bump ใส่กันก่อนที่จะเก็บของเคลียร์พื้นที่แล้วแยกย้ายกันลงเวที

“กูไปโต๊ะก่อนนะ สายกูรออยู่ มึงเก็บของเสร็จก็ตามมานะ”

“กูไปจะดีหรอว่ะ” ตั้งต้นลังเล เขารู้จากไอ้ดินมาก่อนแล้วว่าวันนี้กีจะมาด้วย

“ยังจะลังเลอะไร ช่วงปิดเทอมคือมึงไปเฝ้าหน้าบ้านเขาเกือบทุกวันเพื่อ?”

“เผื่อเขาไม่อยากเจอกู”

“เลิกเดาไอ้ต้น เก็บของแล้วตามมานะมึง” บดินทร์ตัดบทเดินลงเวทีไปก่อน ตั้งต้นเก็บกีต้าร์ลงเคสเรียบร้อย ก่อนจะเอาไปเก็บไว้ที่ห้องเก็บของ เดินเข้าไปล้างหน้าล้างมือในห้องน้ำ

“ไม่ต้องคิดแล้วไอ้ต้น” พูดกับเงาตัวเองที่สะท้อนมาจากกระจก “ถ้ามึงอยากได้เขากลับมา มึงก็ต้องพยายาม” ตบแก้มตัวเองเรียกขวัญกำลังใจก่อนจะเดินออกจากห้องน้ำ

พลั่ก!

“ขอโทษครับ” ตั้งต้นกล่าวเมื่อเดินออกมาจากห้องน้ำแล้วชนเข้ากับไหล่บางคนเข้าอย่างจัง

“อ่ะ ต้นเองหรอ” อีกฝ่ายกล่าวทัก เขาจึงหันไปมองหน้า ปรากฎว่าคือน้ำเดือนบัญชีที่เคยคุยด้วยเมื่อเทอมที่แล้ว

“อ้าว น้ำเองหรอ เจ็บหรือเปล่า ขอโทษทีนะไม่ทันได้มอง” เขาเห็นอีกฝ่ายเอามือกุมไหล่ ลูบไปมาจึงเอ่ยถาม เพราะเมื่อกี้ก็ชนกันแรงพอดู

“ไม่เป็นไรมากหรอก แต่ดีใจจังเลย ไม่ได้เจอกันตั้งแต่คราวนั้น” คนตรงหน้าพูดเสียงอ่อนเสียงหวานเน้นคำว่า ‘คราวนั้น’ อย่างมีความหมาย ก็ตั้งแต่ ‘คราวนั้น’ ที่มีอะไรกันยันเช้า เขาก็ไม่ได้ติดต่ออีกฝ่ายไปอีกเลย แต่มันก็คือความพอใจของคนทั้งคู่ ก็ตกลงกันก่อนแล้วว่าจะไม่ได้ผูกพันธ์อะไร

“อืม ต้นยุ่งๆ น่ะ” ต้นตอบกลับสั้นๆ ทั้งคู่เอี่ยวตัวหลบเมื่อมีคนเดินจะเข้าห้องน้ำ อีกฝ่ายถือโอกาสสวมกอดเขา เบียดตัวเข้ามาแนบชิดจนช่วงล่างของทั้งสองแนบติดกันสนิท

“นานแล้วนะที่ไม่ได้เจอกัน” คนตัวเล็กกว่าส่งเสียงออดอ้อน ช้อนตาขึ้นมาหาเขา

“เอ่อ..น้ำ..ปล่อยก่อนนะ” ตั้งต้นบอกอีกคนด้วยเสียงสุภาพ ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงจัดการรวบหัวรวบหางอีกฝ่ายไปแล้ว แต่ในวันนี้ที่จิตใจมั่นคงกับใครบางคน ร่างกายจึงรู้สึกอึดอัดที่โดนจู่โจมแบบนี้

“หืม..ใจร้ายจัง ต้นไม่คิดถึงกันเลยหรอ” เมื่อความอดทนถึงขีดจำกัด ตั้งต้นก็จับแขนอีกฝ่ายไว้มั่น ตั้งใจจะดึงออกจากเอวตัวเอง

“ขอโทษนะ” ไม่ทันได้ทำตามใจคิด เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาให้ต้องหันไปมอง ร่างสูงตกตะลึงเมื่อเห็นคนที่ไม่คาดคิดยืนอยู่ตรงนั้น สีหน้าไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ออกมา

“กี...” เขาเผลอเอ่ยเรียกชื่อออกไปอย่างลืมตัว คนมาใหม่ยกมุมปากขึ้นนิดนึง ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่ติดเกรงใจ

“เอ่อ คือเราจะเข้าห้องน้ำน่ะ ขอทางหน่อยได้ไหม” ไวกว่าความคิด คนตัวเล็กในอ้อมอกเขาก็ดันตัวเขาไปอีกด้านเพื่อหลีกทางให้ กีสบตาเขาแปปนึงแล้วจึงหันไปพงกหัวให้อีกคนเป็นการขอบคุณ ก่อนที่จะเดินเข้าไปในห้องน้ำ ตั้งต้นรีบดึงแขนอีกฝ่ายออกจากตัวอย่างรวดเร็ว

“ต้นไปก่อนนะ”

“เอ่า ต้นจะไปไหน~” เสียงอีกคนประท้วง

“แล้วไม่ต้องโทรหาล่ะ ต้นมีแฟนแล้ว” เจ้าตัวว่ารัวๆ ก่อนจะเดินเร็วๆ หายเข้าไปในห้องน้ำ ทิ้งให้อีกคนยืนอึ้งกับคำพูดของเขาอยู่ตรงนั้น

เมื่อไปถึงในห้องน้ำก็พบว่าตรงซิ้งล้างมือ และโถรวมไม่มีใครอยู่ เมื่อสำรวจห้องส้วมที่มีอยู่สามห้องก็เห็นว่ามีเพียงห้องเดียวที่ปิดประตู ชายหนุ่มยืนรออยู่ตรงซิ้งล้างมือด้วยใจเต้นตึกตัก ไม่นานเสียงปลดกลอนประตูก็ดังขึ้น คนที่เขารอด้วยใจจดจ่อก็เดินออกมาจากห้องนั้น เมื่ออีกฝ่ายเห็นเขาก็แอบชะงัก แต่มันก็แค่แวบเดียว อีกคนปรับสีหน้ากลับมาเป็นปกติได้อย่างรวดเร็ว

“อ้าว ต้น มาทำอะไรตรงนี้” กีรติกล่าวทักด้วยรอยยิ้ม “นึกว่าจะไปถึงไหนต่อไหนแล้วซะอีก” เขาเอ่ยแซวต่อ พยายามข่มใจทำน้ำเสียงให้ดูเป็นปกติที่สุด

“เมื่อกี้กีเข้าใจผิดนะ ต้นไม่ได้จะไปกับน้ำ ก็แค่บังเอ..”

“เห้ย ต้นไม่เห็นต้องมาอธิบายให้เราฟังหรอก” ตั้งต้นไม่ทันจะพูดจนจบประโยคก็โดนแทรกขึ้นมาเสียก่อน “อย่าลืมสิ เราไม่ได้เป็นแฟนกันแล้วนะ เราไม่ไปตามโวยวายหรอกน้า” ร่างเล็กว่ากลั้วหัวเราะพร้อมกับเอื้อมมือไปกดสบู่มาล้างมือ ตั้งต้นขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น รู้สึกไม่ชอบใจขึ้นมาทันที

“กี คือ...ต้น..ขอโทษนะ คุยกันก่อนได้ไหม” เขาไม่รู้ว่าจะเข้าเรื่องยังไง เลยได้แต่พูดอ้ำๆ อึ้งๆ ออกไป พอถามออกไปแล้วก็เอื้อมมือไปวางบนไหล่เล็กเบาๆ อีกคนที่ล้างมือเสร็จแล้วหันหน้ามายิ้มให้เขา

“จะขอโทษทำไม ต้นไม่ผิดสักหน่อย” กีรติว่า “ยอมรับนะว่าตอนแรกก็ช๊อค แต่พอมาคิดดูดีๆ ต้นก็ไม่ได้ทำอะไรผิด เราสัญญากันแค่เดือนเดียว พอหมดสัญญาแล้ว ต้นอยากจะไปคบ หรืออยากจะไปนอนกับใครมันก็ไม่เกี่ยวกับเราสักหน่อย” กีรติท่องคำพูดเหล่านี้มาแล้วเป็นร้อยๆ ครั้ง เขาคิดว่าเขาทำได้ดี แม้เสียงจะสั่นไปหน่อยก็เถอะ

“งั้นเราไปที่โต๊ะล่ะนะ หายมานานเดี๋ยวอินจะเป็นห่วง” ว่าแล้วก็ผละเดินไปที่ประตูทางออก แต่จู่ๆ ก็มีสองมือเข้ามารวบจากด้านหลัง รั้งให้เข้าไปชิดกับแผงอกกว้าง

“กี ขอร้องล่ะครับ คุยกันก่อนนะ อย่าประชดได้ไหม” ตั้งต้นเว้าวอนข้างหูอีกฝ่าย เผลอสูดดมกลิ่นที่แสนคิดถึงเข้าเต็มปอด อกอุ่นที่ว่างโหวงมีความร้อนอุ่นแทรกมาอีกครั้ง

“เราปล่าวประชดนะ เราพูดจริงๆ” อีกฝ่ายยังยืนยันด้วยเสียงใส ตั้งต้นจับไหล่อีกคนหมุนให้อีกฝ่ายหันหน้ามาประจันกัน เรียบมองใบหน้าที่ไม่ได้เห็นใกล้ๆ มานานอย่างถวิลหา อีกคนผอมลงไปเยอะ แก้มเริ่มขึ้นสีแดงเรื่อเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ ริมฝีปากแดงเจ่อที่ไม่ว่าจะประกบลงไปกี่ครั้งก็ไม่เคยพอ

“กี.. ต้นผิดไปแล้ว..ต้นขอโทษ” ตั้งต้นบีบไหล่อีกฝ่ายแน่น เอ่ยสิ่งที่อยู่ในใจมาตลอด

“ให้โอกาสต้นได้ไหม ฟังต้นอธิบายหน่อยเถอะ ต้นรู้ ต้นมันโง่ งี่เง่าที่สุด แต่ขอให้ต้นได้แก้ตัวได้ไหม”

“ต้นพอเถอะนะ” กีรติถอนหายใจ เอ่ยออกไปด้วยเสียงที่ราบเรียบ “ให้มันจบตอนนี้ ตอนที่ยังพอเป็นเพื่อนกันได้เถอนะ” กีรติสบตาคนตรงหน้า แม้จะอ่อนไหวกับคำพูดอีกฝ่ายไม่น้อย แต่เขาตัดสินใจแล้ว

“ไม่นะกี.. ต้นไม่ยอมนะ” ตั้งต้นยังดึงดัน “ช่วงเวลาที่มีกีอยู่ มันเป็นช่วงเวลาหนึ่งเดือนที่ดีที่สุดในชีวิตของต้นเลยนะ” ชายหนุ่มสารภาพหมดเปลือก ไม่มีแล้วซึ่งศักดิ์ศรีใดๆ

“อาจจะเป็นเพราะว่ามันแค่เดือนเดียวหรือเปล่ามันถึงได้ดีมาก” อีกฝ่ายกล่าวออกมาอย่างใจเย็น

“เพราะมีเวลาจำกัด เราทั้งสองถึงทุ่มเทกันเต็มที่แบบนั้น” ร่างบางว่าต่อ

“บางทีเราก็ควรจะเก็บมันไว้ ให้มันเป็นความทรงจำดีๆ ระหว่างเราสองคนดีกว่านะ” เพราะถ้าดันทุรังต่อไป ในที่สุดเราอาจจะเกลียดกันจริงๆ ก็ได้

คนตัวโตนิ่งฟัง กีรติคิดว่าเขาพูดหมดแล้ว เจ้าตัวยิ้มให้คนตรงหน้า เขาให้อภัยในสิ่งที่อีกคนทำได้แล้วจริงๆ ไม่คิดโกรธแค้นอะไร คนทุกคนมีสิทธิ์ที่จะไปในทางที่ตัวเลือก ในเมื่อวันนั้นเราสองคนเลือกทางที่ต่างกันเราถึงต้องแยกจาก ต่อไปก็แค่ต่างคนต่างอยู่ ใช้ชีวิตที่ตัวเองเลือกให้ดีที่สุด

“ไม่...” กีรติเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจเมื่อได้ยินอีกคนพึมพำออกมา

“แต่ต้นไม่อยากให้มันจบแบบนี้” อีกคนยังดึงดัน

“ต้น..เราว่านายอย่า...”

“อย่าห้ามกันได้ไหม” เขายังพูดไม่จบร่างสูงตรงหน้าก็แทรกเข้ามาก่อน

“ไม่ได้จะให้ยกโทษหรือขอให้กลับมาคบกันตอนนี้ แต่ต้นขอพิสูจน์ตัวเองได้ไหม”

“...”

“ต้นจะแสดงให้กีเห็นเองว่าต้นเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ”

“...”

“นะ”

กีรติถอนหายใจ ตั้งต้นก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม คนที่ทำอะไรตามใจตัวเองตลอด ถึงเขาจะห้ามยังไงอีกฝ่ายก็คงไม่ฟังอยู่ดี

“ก็ตามใจ”

ก็ในเมื่อเขาพูดสิ่งที่คิดไปหมดแล้ว

ต่อจากนี้อีกฝ่ายอยากทำอะไรก็ทำ

เพราะไม่ว่าจะทำอะไร

จะพลิกดินพลิกฟ้า จะเปลี่ยนนรกเป็นสวรรค์

เขาก็ไม่คิดจะสนใจอีกต่อไปแล้ว..





*********

มาแล้วจ้าาา น้องหนักแน่นพอไหมแม่จ้า แล้วตอนนี้มีคนมาใหม่เต็มเรื่องเลย หุหุ แล้วมีใครจำน้องเป้ได้บ้างหรือเปล่า น้องเป้นี่คือพระเอกคนแรกของเค้าเองแหละ เอาน้องเขามาใส่ในสายรหัสซะงั้น 5555 เรื่องของน้องคือ เรื่องเล็กๆ / A small story เป็นงานเขียนเรื่องแรกเลยค่ะ มีคนอ่านประมาณสิบคนได้ ก๊ากก ใครว่างแบบว่างมากๆ ก็เข้าไปลองอ่านกันได้นะคะ :)

ทวิตตต #ต้นคนรักไม่เป็น @maywrite1







ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ ซีเนียร์

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 767
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
ก็ลุ้นกันไป

ออฟไลน์ Kaamnutt

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 35
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
กุมใจจจจ #ทีมกี นะ

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
ไร้อะไร ไม่เท่าใจ ไร้รู้สึก
ไร้สำนึก เคยมีใจ ให้ใหลหลง
ถ้าเมื่อไหร่ ใจเอ่ยออก บอกให้ปลง
ประตูใจ มันปิดลง จงลืมเลือน

#สมน้ำหน้า#ไม่เห็นใจ#ควรสงสารเหรอ
หุหุ  :katai3:

ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
พยายามเข้านะต้น,,,

ออฟไลน์ I wait

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 1
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
งื้ออออ น้องกี  :sad4:

ออฟไลน์ Nung66669

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
ก็เข้าใจนะว่าเจอคนรอบข้างทำให้ผิดหวังมากเยอะแต่กับกีนี้คือคิดไปเองว่า"ฉันโดนทำร้ายอีกแล้ว" "ไม่มีใครรักฉันจริง"ไม่ถามไม่เข้าไปขอคำอธิบายแล้วยังประชดกีอีก มีปากก็ถามสิอย่าคิดไปเองแล้วเป็นไงทำร้ายตัวเองไม่พอยังจะทำร้ายคนที่ตัวเองรักอีก กีอย่าใจอ่อนง่ายๆนะ ดันนิสัยให้เข็ดไปเลย(รึจะให้เปลี่ยนพระเอกใหม่ดี o18)
#ทีมกี
ปล.ตามมาจากดินอิน :pig4: :L2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ OoniceoO

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 969
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-2
น้ำตาจะไหลแล้ว งือ

ออฟไลน์ Maywrite

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
.:บทเรียนที่ 5:.





ตั้งต้นคิดว่าเขาเป็นคนอารมณ์ดี

อย่างน้อยคนรอบข้างเขาก็มักจะว่าอย่างนั้น

เข้ากับคนง่าย อัธยาศัยดี

ใครทำให้โกรธได้ถือว่าเก่ง

เขาเองก็จำไม่ได้ว่าครั้งล่าสุดที่รู้สึกหงุดหงิดแบบนี้มันนานมากแค่ไหนแล้ว

รู้แค่ว่าอยากจะดึงคอเสื้อคนตรงหน้าเข้ามาใกล้ๆ แล้วเหวี่ยงมัดใส่เต็มแรงสักครั้ง





“พี่กีผมเติมเหล้าให้ครับ”

“พี่กีเอากับแกล้มเพิ่มอีกได้นะ”

“อ่ะ พี่กีเช็ดปากด้วยสิครับ กินเหมือนเด็กเลย”

“พี่กีออกไปเต้นกันนะครับ”

“พี่กีไหวหรือเปล่า เดี๋ยววันนี้ผมไปส่งบ้านนะครับ”

เขานั่งไขว้ห้างเอามือกอดอก สองมือกำแน่นเก็บกลั้นอารมณ์ครุกรุ่นในใจ ตาคมจ้องมองสองคนตรงหน้าที่ไม่ได้มีท่าทีจะหันมาสนใจเขาสักนิดอย่างหงุดหงิดงุ่นง่านในใจ ทั้งที่พยายามส่งสายตาอาฆาตออกไปโต้งๆ แบบนี้ทำไมถึงไม่มีใครหันมามองกันบ้างเลยนะ

“หมีพูห์มานั่งข้างพี่มา” พูรินเสียวสันหลังวาบเมื่อเพื่อนสนิทพี่รหัสตบเบาะข้างตัว เอ่ยเรียกเขาให้ไปนั่งข้างๆ ด้วยเสียงเย็นเฉียบจนหายใจหายคอไม่สะดวก คนเรียกยังไม่ได้หันมามองตอนที่เขาเดินมาหย่อนก้นลงข้างตัว สายตาที่เรียกว่าฆ่าคนได้จ้องไปที่หัวของเพื่อนสนิทเขาอย่างไอ้พุทธ งานนี้กูขอบอกเลยว่ามึงทำตัวเอง บอกแล้วว่าไม่ให้มา ไม่ให้มา มึงก็ยังรนมาหาที่ตายเอง งานนี้ถึงจะรักมึงแค่ไหนแต่ตอนนี้กูขอตัวใครตัวมันก่อนแล้วกัน

หมีพูห์บอกเลยว่าเรื่องนี้หมีพูห์ไม่ยุ่ง!

หมับ!

พูรินสะดุ้งสุดตัวเมื่อแขนหนักพาดลงมาที่บ่า มือหนาตบลงที่ไหล่ซ้ายหลายครั้งก่อนที่จะบีบมันแน่น พูรินห่อตัวจนเล็กลีบ คล้ายว่าวันนี้เขาได้แปลงร่างเป็นตะเกียบไปแล้วยังไงยังงั้น

“ไอ้นั่นมันเพื่อนมึงไม่ใช่หรอหมี” พี่ต้นพูดเสียงเย็น ปกติเวลาที่พี่แกเรียกเขาว่าหมีเขาจะเอ่ยท้วงขึ้นทุกครั้ง บอกกี่ครั้งก็ไม่รู้จักฟังกันว่าเขาชื่อหมีพูห์ หมีพูห์ เป็นเพราะไอ้พี่แทนแท้ๆ ที่พี่แม่งเที่ยวไปป่าวประกาศว่าจริงๆ เขาชื่อหมี แต่พอเข้ามหา’ ลัยก็มาตั้งเองว่าหมีพูห์ ใครๆ ถึงพากันเรียกตามพี่มัน แต่จะยังไงก็เถอะ วันนี้เขาไม่คิดจะทักท้วงอะไรทั้งสิ้น คำนวณจากแรงที่ได้รับจากการโดนบีบไหล่ วันนี้เขาตัดสินใจแล้วว่าควรจะสงบปากสงบคำไว้ดีกว่า ขอแค่มีชีวิตรอดกลับไปถึงหอให้ได้จะชื่อหมีชื่อควายเขาก็ไม่สนทั้งนั้น

“ครับพี่ต้น” ถ้าทำเสียงให้เบากว่านี้ได้ พูรินคงทำไปแล้ว ไอ้เชี่ยพุทธ!!

“มันจีบกีหรอ” คำถามสั้น ชัดเจนถูกเอ่ยออกมา พูรินอึกอัก ทั้งๆ ที่อยู่ในห้องที่เย็นหนาวเฉียบแต่เหงื่อออกเต็มแผ่นหลัง เมื่อเขาไม่ตอบพี่ต้นก็หันหน้ากลับมามอง ขาข้างที่ไขว้ห้างกลับมาตั้งตรงก่อนที่จะหันทั้งตัวมาที่เขาอย่างหาเรื่อง

“มึงจะมาคาดคั้นอะไรกับน้องกู”

สวรรค์มาโปรด!!! พี่นนท์!!

พูรินรีบเกาะแขนลุงรหัสตัวเองทันที รู้สึกขอบคุณสววรค์ที่วันนี้พี่แกมาด้วยกัน เขาแอบส่งสายตาน้อยอกน้อยใจไปให้พี่ดินที่นั่งอยู่กับแฟนจนไม่เห็นว่าน้องต้องเผชิญกับอะไรอยู่ ไม่ต้องถึงขั้นเข้าช่วยอะไรกัน แค่ส่งสายตาความเห็นใจมาให้กันบ้าง หรือแค่สังเกตว่าน้องยังอยู่ตรงนี้บ้าง แค่นี้น้องก็จะปลื้มใจตายแล้ว

“ไม่พอใจใครก็ไปลงที่คนนั้น หรือคุณทำไม่ได้ครับคุณตั้งต้น” คนแก่ที่สุดในโต๊ะว่ากลั้วหัวเราะ ตั้งต้นที่โมโหหนักอยู่แล้วเมื่อได้ยินรุ่นพี่ว่าอย่างนั้นก็ยิ่งอาการหนักเข้าไปใหญ่ แต่เขาทำอะไรได้ แค่ยังได้นั่งอยู่ตรงนี้ก็ดีแต่ไหนแล้ว

“ไปหมีพูห์ มึงจะกลับพร้อมพี่ไหม” ธนนท์ดื่มเหล้าจนหมดแก้วแล้ววางลงบนโต๊ะ กล่าวชวนพูรินกลับก่อนที่จะหันไปหาน้องเล็กสุด “ไปเป้ เดี๋ยวพี่ไปส่งเราที่หอ” ปณวัชพยักหน้ารับ ยกมือไหว้พี่ๆ รอบโต๊ะก่อนที่จะลุกขึ้นตามพี่ใหญ่ พูรินรีบลุกขึ้นทันที แต่ก่อนจะได้ก้าวออกไปก็ต้องเสียวสันหลังอีกรอบเมื่อมีกระแสอำมหิตส่งมากระแทกหลัง ไม่ต้องมองก็รู้ว่าต้นตอมาจากไหน

“อะ..ไอ้พุทธ!” พูรินเรียกเพื่อน “มึงทำไมไม่ลุก กูจะกลับแล้วนะ” พุทธโธหันมามองเพื่อนสนิทสลับกับรุ่นพี่ข้างตัวอย่างลังเล แล้วยิ่งเหลือบไปเห็นสายตาของอีกคนที่เขาพยายามเมินมาทั้งคืนแล้ว บอกตรงๆ ว่าเขาไม่อยากทิ้งพี่กีไว้กับมันเลย

“พี่กีให้ผมไปส่งไหมครับ ผมรอกลับพร้อมพี่ได้นะ” เอ่ยถามโดยไม่สนใจเสียงของคนที่พึมพำสบถออกมา

“ไม่เป็นไรหรอก มันดึกแล้ว เดี๋ยวพี่ว่าจะขอนอนคอนโดดิน เรานั่นแหละกลับไปพร้อมเพื่อนเถอะ” กีรติเอ่ยบอกน้อง ตลอดทั้งคืนเขาเองก็รู้สึกได้เหมือนกันถึงสายตาที่จ้องมองเขาทั้งคู่ ใจเขาก็อยากจะแกล้งอีกคนโดยการไปกับน้องมันให้รู้แล้วรู้รอดเหมือนกัน แต่ถ้าทำอย่างนั้นมันก็จะกลายเป็นเขาหลอกใช้น้องมันเปล่าๆ เขาบอกแล้วว่าเขาไม่อยากเอาใครเข้ามาเอี่ยวกับเรื่องนี้อีกแล้ว พุทธโธหน้าหงอยขึ้นมาทันทีแต่ก็ยอมตกลงโดยง่าย กล่าวลาพี่ๆ ในโต๊ะแล้วเดินออกไปพร้อมเพื่อนสนิท

“งั้นเดี๋ยวกูกลับล่ะ” เมื่อเห็นน้องๆ เดินออกไปจนพ้นสายตากีรติก็หันมาหาเพื่อน กระชับกระเป๋าเตรียมลุกจากที่นั่ง

“อ้าว ไหนจะนอนกับกู” อินทัชว่าอย่างงงๆ

“กูก็แค่พูดไปงั้น ไม่อยากให้น้องมันต้องลำบากไปส่ง” กีรติลุกขึ้นยืนเตรียมจะก้าวเท้าออกไปแต่เพื่อนสนิทก็ทำท่าเหมือนจะลุกตามขึ้นมา

“งั้นเดี๋ยวกูไปส่งขึ้นรถ” เขารีบจับไหล่เพื่อนดันลงไม่ให้มันลุกขึ้น “ไม่เป็นไร กูไปเองได้” กีรติพูดแบบนั้นเพราะวันนี้เห็นอินมันดื่มเยอะ ยังมีหน้าจะมาดูแลเขาอีก คนอย่างมันให้ดินนั่งดูแลอยู่แบบนี้น่ะดีแล้ว

“เดี๋ยวถึงบ้านกูไลน์บอก” พูดส่งท้าย ตบหลังเพื่อนหนึ่งทีเป็นการบอกลา ยกมือโบกไปมาเบาๆ ให้แฟนเพื่อนสนิทก่อนที่จะทำใจแข็งหันไปยิ้มสุภาพให้อีกคนที่มองมาอยู่ตลอดแล้วเดินออกไปจากร้าน

“ไม่ต้องตามไปเลยนะ” อินทัชพูดเมื่อเห็นชายหนุ่มร่างสูงลุกขึ้นตามเพื่อนเขา ตั้งต้นชะงักหันไปมองหน้าคนพูดที่จ้องมาทางเขาอย่างโกรธเคือง เขาลังเลอยู่นิด หันหน้าไปทางเพื่อนสนิทเหมือนขอคำปรึกษา เมื่อไอ้ดินพยักหน้ารับก็รีบเดินเร็วออกไปโดยไม่สนเสียงบ่นของอีกคน

“ดินไม่ต้องมาห้ามเลย” อินทัชว่าเมื่อแฟนตัวเองจับแขนเขาไว้ ไม่ยอมให้เขาตามสองคนนั้นไป

“น่า ต้นมันไม่ทำอะไรหรอก”

“ก็ลองทำสิ จะโดนทั้งคนทำคนช่วย” อินเอานิ้วชี้หน้าคาดโทษเขา บดินทร์ทำได้แค่ยิ้มเจื่อนๆ กลับไป

“ดินไม่ได้ทำอะไรเลยนะ”

“หึ อย่าคิดว่าอินไม่รู้นะว่าคอยรายงานความเคลื่อนไหวให้เพื่อนตัวเองฟังตลอด”

“โถ แต่คราวนี้ไอ้ต้นมันจริงจังนะ”

“คราวที่แล้วก็พูดแบบนี้ แล้วไงจริงจังจนเพื่อนอินเจียนตายเลยไหม” บดินทร์หน้าเสียทำได้แค่ยกแก้วเหล้าในมือมาจิบ เขาไม่มีหน้าไปแก้ตัวแทนมันจริงๆ หลักฐานคาตาขนาดนี้ ถ้ามันอยากจะลุยต่อมันก็ต้องอดทนพิสูจน์ตัวเองต่อไป

ก็ถ้ามันจะไม่ดีแตกไปซะก่อนน่ะนะ









กีรติเดินเร็วๆ ออกจากร้านจนขาแทบพันกัน เม้มปากแน่นกลั้นทุกความรู้สึกที่ล้นอกไว้ภายใน สองตาที่ปริ่มไปด้วยน้ำชื้นหรี่แน่นเก็บกักทุกห้วงอารมณ์อ่อนไหว เขาต้องก้าวไปให้ถึงแท็กซี่ให้เร็วที่สุด ก่อนที่ความอดทนเฮือกสุดท้ายจะหมดลง จริงๆ แล้วเขาอดชื่นชมตัวเองไม่ได้ ทุกบทที่เคยซ้อมหน้ากระจกถูกแสดงออกมาอย่างไม่มีที่ติ สายตาเพิกเฉยไร้หัวใจ ท่าทางสบายๆ เหมือนไม่แคร์เวลาอยู่ต่อหน้าที่ทำซ้ำจนเคยชิน เขาคิดว่าในที่สุดเขาก็หลอกทุกคนได้สำเร็จ ในที่สุดเขาก็เผชิญหน้ากับอีกฝ่ายได้อีกครั้ง อย่างน้อยเพื่อนๆ เขาจะได้สบายใจสักทีที่เห็นเขาดีขึ้นแบบนี้

“มึงทำดีแล้วกี” กล่าวชื่นชมให้กับความพยายามของตัวเอง ถึงจะขัดกับความรู้สึกภายในแต่เขาก็คิดว่าเขาทำดีที่สุดแล้ว

หมับ!

“ให้ต้นไปส่งนะ” ร่างบางชะงักเมื่อมีมือหนามาจับข้อศอกเขาแล้วดึงไว้เบาๆ หันกลับไปเขาก็เห็นคนที่เป็นสาเหตุของความเข้มแข็งจอมปลอมนี้ กีรติใจอ่อนวูบ ความดีใจที่ไม่ควรจะเกิดผุดขึ้นมาล้อมรอบใจที่อุ่นร้อน เขาสลัดมันออกมาในนาทีต่อมา ในตอนแรกที่คุยกันในห้องน้ำ เขาไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายกลับมาวุ่นวายกับเขาทำไม แต่พอมาที่โต๊ะเมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่สบอารมณ์ที่เห็นเขากับพุทธก็เข้าใจได้ทันที มันก็เหมือนที่พัทยาคืนนั้น มันก็แค่ความรู้สึกห้วงก้าง เขาก็เหมือนของเล่นที่อีกคนไม่เคยสนใจ

แต่พอมีคนมาขอไป กลับมีค่าขึ้นมาทันที

ยิ้มเยาะให้ตัวเองอีกครั้ง แค่แว๊บเดียวที่คิดว่าอีกคนมีใจให้กันก็มากพอแล้ว ยังโง่ไม่จำนะมึง..

“ไม่เป็นไร เรากลับเองได้” มือกำหมัดแน่น เพื่อให้เสียงที่พูดออกไปไม่สั่นจนอีกคนสังเกตได้

“นะ มันดึกแล้ว ต้นเป็นห่วง”

หึ เป็นห่วง.. คนเราทำไมพูดคำแบบนี้ได้พล่อยๆ ขนาดนี้นะ

“นะ..” คนตัวโตที่สังเกตเห็นแววตาวูบไหวของอีกฝ่ายใจชื้นขึ้นมาทันที แม้จะเป็นเพียงชั่ววูบเดียว แต่มันก็เพียงพอให้เขาเดินหน้าต่อ

“ให้โอกาสต้นได้ดูแลกีบ้างนะ” อีกคนใจกระตุก เบือนหน้าหนี ปากเรียวเม้มแน่นกักกั้นอารมณ์อ่อนไหว ทำเป็นมองถนนหาแท๊กซี่ที่ตนเรียกไว้

“เห้ย จะมาดูแลทำไม เราดูแลตัวเองได้” ยังพูดติดตลกเหมือนไม่ได้รู้สึกอะไร แต่ยังไม่กล้าสบตากับอีกคน

“กี...” ร่างที่สูงกว่าจับไหล่ทั้งสองของเขา หันให้มาประจันหน้ากัน กีรติรวบรวมสติ แม้จะหวั่นไหวเป็นที่สุดแต่เขาจะต้องไม่กลับไปเป็นของตายของใครอีกแล้ว

“ต้น...” เงยหน้าสบตาอีกฝ่ายที่มีรอยยิ้มบางส่งมาให้ “ปล่อยมือได้ไหม” รอยยิ้มนั้นหายวับไปทันทีแทนที่ด้วยสีหน้าตระหนกหวาดหวั่น

“ต้นไม่ปล่อย” อีกคนยังดึงดัน

“เราบอกให้ปล่อย”

“ตกลงว่าจะกลับกับต้นก่อนแล้วต้นถึงจะปล่อย”

“...”

“...” ร่างบางถอนหายใจหนัก

“นายทำให้เราอึดอัด” มือหนาดึงกลับไปทันทีที่เขาเอ่ยออกมา

“กี..ต้นขอโท...”

“บอกจะมาดูแล จะมาพิสูจน์ตัวเอง แต่นายก็เป็นคนเดิมอยู่ดี” เขาว่าต่อ “นายถือความรู้สึกตัวเองเป็นใหญ่ตลอด มีสักครั้งไหมที่จะคิดถึงความรู้สึกเรา มีสักครั้งไหมที่จะฟังสิ่งที่เราพูด”

คำจริงที่มากระแทกหน้าทำให้ร่างสูงแทบล้มทั้งยืน ทำได้แค่เพียงมองตามเมื่ออีกฝ่ายขึ้นไปนั่งบนแท๊กซี่ คำสุดท้ายที่อีกคนเอ่ยทิ้งไว้ยังดังสะท้อนก้องในหัว

“นายพูดขอโทษหลายครั้ง เราก็อยากรู้ว่านายรู้สึกอย่างที่พูดจริงๆ หรือเปล่า ถ้านายรู้สึกผิดจริงตามที่พูดสักนิด

ขอเถอะนะ.. อย่ามายุ่งกับเราอีกเลย”

.

.

.

.

.

.

.

หลังจากวางอกไก่ที่กริลล์เสร็จใหม่ๆ ลงในส่วนขวาของกล่องข้าวทั้งสองกล่อง กีรติก็เปิดหม้อหุงข้าวตักข้าวกล้องหนึ่งทัพพีลงในด้านที่ว่างอยู่ ลงท้ายด้วยการแต่งหน้าด้วยบล๊อคโคลี่และแครอทต้มที่หั่นเรียบร้อยแล้ว เขาปิดฝายัดกล่องข้าวทั้งสองลงถุงกันความร้อนที่เตรียมไว้ก่อนที่จะผละไปอาบน้ำแต่งตัว นี่ยังเพิ่งตีห้าครึ่งกว่าจะไปถึงหอไอ้อินแล้วรับมันไปสวนสาธารณะก็คงหกโมงครึ่งพอดี

Rrrrrrrrrrrrrrrrrrrr

“ว่าไงอิน” พอเข้ามาในห้องนอนหยิบผ้าขนหนูจะไปอาบน้ำ เสียงโทรศัพท์จากเพื่อนสนิทก็ดังขึ้นเสียก่อน

“กี นี่ดินนะ” เสียงจากปลายสายกล่าวขึ้น เมื่อเขารับคำอีกคนจึงว่าต่อ “วันนี้อินเหมือนไม่ค่อยสบายคงจะไปวิ่งด้วยไม่ได้ อินให้โทรมาบอก”

“อ้าวมันเป็นอะไรมากไหม เมาค้างหรอ” ถามออกไปอย่างเป็นห่วง เขาจำได้ว่าเมื่อคืนมันก็ดื่มเยอะอยู่เหมือนกัน

“อืม นิดหน่อยน่ะ” อีกคนว่าไงบดินทร์ก็ว่างั้นจะให้บอกความจริงไปได้ไงว่าเมื่อคืนเขาเล่นงานจนอีกฝ่ายไข้ขึ้นแบบนี้ เพิ่งจะได้นอนกันก็ตอนรุ่งเช้านี่เอง

“โอเค งัั้นเดี๋ยวเราวิ่งเสร็จขอเข้าไปหานะ บอกมันให้หน่อยว่าขอเข้าไปอาบน้ำก่อน แล้วค่อยออกไปเรียนพร้อมกัน” กรีติคุยกับปลายสายอีกเล็กน้อยก็กดวาง อาบน้ำแต่งชุดวอร์มเรียบร้อย จัดกระเป๋าเสื้อผ้าที่จะเอาไปเปลี่ยนหลังอาบน้ำที่ห้องอิน ไม่ลืมที่จะหยิบกล่องข้าวในถุงกันความร้อนใส่กระเป๋า ถึงไม่มีไอ้อิน ก็เอาไปแบ่งพุทธกับหมีพูห์แทนก็ได้ ไหนๆ ก็เจอกันประจำเวลาไปออกกำลังกายอยู่แล้ว









นี่มันเรื่องตลกอะไรเนี้ย

คำที่ผุดขึ้นมาในหัวเมื่อเขามาถึงสวนสาธารณะ เพราะแทนที่จะได้เจอรุ่นน้องที่เจอประจำอย่างที่คิดไว้เขากลับเจอใครบางคนที่ตาดไม่ถึงรออยู่ก่อนแล้ว ร่างสูงที่อยู่ในชุดวอร์มสีแดงกับรองเท้าผ้าใบสีขาวเรียบ ผมที่ปกติยาวประบ่าถูกมัดรวบไว้ด้านหลังอย่างน่ามอง ผู้ชายที่โดดเด่นจนทำให้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาในสวนหันมามองเป็นตาเดียวกันกำลังยืนส่งยิ้มสดใสมาให้เขาอยู่

“Good morning ครับกี”

“นายมาได้ไง” กีรติกระพริบตาถี่ๆ เขายังไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง ไม่อยากจะคิดว่าอีกคนมาดักรอกัน เพราะเมื่อคืนเขาว่าเขาพูดชัดแล้วแท้ๆ แต่จะให้คิดว่าอีกฝ่ายมาออกกำลังกายที่นี่แล้วมาเจอกันโดยบังเอิญมันก็น่าเหลือเชื่อไม่แพ้กัน

“ต้นก็มาออกกำลังกายเหมือนกัน” กีรติหรี่ตาลงมองอย่างเคลือบแคลง แอบหงุดหงิดที่ใจตัวเองเต้นรัวเมื่อเผลอคิดว่าเจ้าตัวมาดักเจอเขา

“อย่างนายเนี่ยนะ”

“ใช่ อย่างต้นเนี่ยล่ะ” เมื่ออีกฝ่ายยืนยันอย่างนั้น เขาเลยไม่คิดจะทู่ซี้ถามอะไรต่อ เอาเถอะ สวนก็ตั้งกว้างถ้าอยากจะวิ่งก็วิ่งไปสิ ว่าแล้วก็เดินจะไปเก็บกระเป๋าในล๊อคเกอร์ที่ให้เช่า ปกติไปห้องไอ้อินก่อนเลยไม่มีปัญหานี้ แต่วันนี้คงต้องใช้บริการที่นี่ไปก่อน ตอนที่กำลังจะยื่นมือรับกุญแจจากพนักงาน คนตัวใหญ่กว่าก็มาจับมือเขาไว้

“เอาไปไว้ในรถต้นก็ได้นะ” ปากพูดมือก็เอื้อมไปหยิบสายสะพายจากไหล่อีกคน แต่ไม่ทันจะได้ดึงออกมาถือก็โดนสะบัดหนีเสียก่อน

“ไม่เป็นไร” เจ้าของกระเป๋าว่าแล้วก็กระชับกอดกระเป๋าไว้กับตัวแน่น จ้องหน้าเขาอย่างกับจงอางหวงไข่ ตั้งต้นที่จตั้งใจจะตื้อต่อนิ่งมองหน้าอีกคน คำพูดเมื่อคืนย้อนกลับมาให้คิด

‘นายทำให้เราอึดอัด’

ไม่ว่าจะเป็นเจตนาดีหรือร้าย ถ้าคนรับไม่อยากได้เขาก็ไม่ควรจะฝืน ต้นผายมือขึ้นข้างตัวเป็นการยอมแพ้ เมื่ออีกคนเห็นดังนั้นก็คลายกระเป๋าออกจากตัวอีกครั้ง รับกุญแจจากพนักงานก่อนที่จะเอากระเป๋าไปเก็บ

กีรติอุ่นเครื่องอยู่ประมาณสิบนาทีก็ตัดสินใจเริ่มออกเดินเร็วๆ ตลอดเวลาที่ทำกิจกรรมดังกล่าวเขาสัมผัสได้ถึงสายตาคมที่จ้องมาที่เขาไม่วางตา ถึงจะรู้สึกทำตัวไม่ถูกบ้างแต่ก็ยอมปล่อยไป ไม่อยากจะโวยวายต่อปากต่อคำกับอีกคนให้เหนื่อยใจกันแต่เช้า

เดินเร็วๆ ไปได้สักพักจนเหงื่อเริ่มชื้นขึ้นตามหน้าผากและแผ่นหลังเล็ก เขาสังเกตได้ถึงเสียงฝีเท้าที่เหมือนจะเข้ามาใกล้ทุกขณะ พอหันไปดูก็เห็นว่าเป็นอย่างที่คิดจริงๆ ด้วย คนร่างสูงที่เคยดูอยู่ห่างๆ ตอนนี้เข้ามาใกล้จนอีกฝ่ายกลายเป็นเงาของเขาไปแล้ว กีรติเร่งฝีเท้าเร็วขึ้นหวังจะทิ้งห่าง แต่ช่วงขาที่ยาวกว่ามากของอีกคนทำให้เขาไม่ประสบความสำเร็จแถมตอนนี้เจ้าตัวยังเดินมาเบียดจนไหล่ทั้งสองแตะกันเป็นครั้งคราวตามจังหวะการเดิน

เขาตัดสินใจออกวิ่ง จากวิ่งเยาะๆ ก็เปลี่ยนเป็นวิ่งเต็มฝีเท้า ถ้าฟังไม่ผิดเขาได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ดังออกมาจากอีกคน ก่อนที่เสียงฝีเท้าของเจ้าตัวจะรัวเร็วขึ้นทำให้เขาต้องวิ่งหนีสุดกำลัง ความอยากเอาชนะทำให้วิ่งไม่คิด คิดในใจว่าถ้าวิ่งได้เร็วแบบนี้ตั้งแต่เด็กคงได้เป็นนักกีฬาจังหวัดไปแล้ว แต่ในที่สุดไม่ว่าเขาจะพยายามมากแค่ไหน ช่วงขาที่เสียเปรียบก็ยังคงพ่ายแพ้ เมื่อมาถึงจุดเริ่มต้นที่เขาตั้งใจจะให้เป็นเส้นชัย อีกคนก็เบียดแซงเขาไปเรียบร้อย กีรติทรุดนั่งลงบนพื้นหญ้า เอาหน้าซบลงบนเข่าอย่างเหนื่อยอ่อน หอบหายใจแรงพยายามเอาอากาศเข้าปอดให้มากและเร็วที่สุด

“ต้นชนะแล้ว” ร่างสูงทรุดลงนั่งข้างตัวเขา ยิ้มร่าก่อนพร้อมเอ่ยคำที่ทำให้เขาขมวดคิ้ว

“เราไปแข่งกับนายตอนไหน!!” เพราะสมองยังทำงานไม่ปกติดีจึงเผลอโวยวายออกไป อีกฝ่ายดูดีใจออกหน้าออกตาที่บางคนหลุดออกมาแบบนี้

“เมื่อกี้” คนหน้าด้านก็ยังหน้าด้านต่อไป

“ไม่แฟร์สักนิด เราไม่ได้ตกลงเลยนะ” คนชอบเถียงยังเถียงต่อ

“งั้นเอาใหม่ไหมล่ะ”

“ได้!!” ความชอบเอาชนะทำให้เผลอตอบตกลงโดยไม่คิดให้ถี่ถ้วน

“แต่รอบนี้ต้องมีรางวัลสำหรับผู้ชนะ แล้วก็บทลงโทษสำหรับผู้แพ้ด้วยนะ” ร่างเล็กชะงัก แอบคิดคำนวณอยู่แปปก็ส่ายหัว

“ไม่เอา เราเสียเปรียบ นายขายาวกว่า”

“จะต่อให้ 20 เมตรเลย” กีรติหรี่ตามองอย่างเคลือบแคลง ต่อให้ขนาดนี้กลัวอีกคนจะมีแผนการอะไรสักอย่างแอบแฝง

“กลัว? กลัวก็ไม่ต้องนะ”

“ไม่ได้กลัวสักหน่อย!” รีบตอบกลับโดยอัตโนมัติ “แต่รางวัลกับบทลงโทษ..” เขากลัวอีกคนจะมาขออะไรที่เขารับปากไม่ได้ “ต้องเป็นอะไรที่สมัครใจกันทั้งสองฝ่ายนะ” คนตัวโตพยักหน้ารับ เขาไม่ไก้อยากได้อะไรทั้งนั้น แค่ยังได้นั่งคุยกันแบบนี้ก็เหมือนฝันแล้ว ขอบคุณความดื้อด้านของตัวเองที่แม้เมื่อคืนจะโดนซะสะอึกก็ยังไม่ยอมแพ้ไป

เมื่อตกลงกันได้ทั้งสองก็ไปที่ลู่วิ่งออกกำลังกายอีกครั้งโดยคนตัวเล็กกว่าอยู่นำไปก่อน 30 เมตร (หลังจากการต่อรองกันไปมาหลายครั้ง) ตามที่ตกลงกันตั้งต้นจะยอมปล่อยให้อีกฝ่ายเริ่มออกวิ่งก่อนแล้วถึงจะวิ่งตาม พอกีรติออกตัวปุ๊ปเขาก็ทำดังนั้น เขายิ้มขำ วิ่งไปได้นิดก็แทบจะประชิดตัวอีกฝ่ายแล้วแต่เขาก็รักษาระยะห่างจนเมื่อเห็นว่าใกล้จะถึงเส้นชัยที่กำหนดกันไว้ถึงเริ่มเร่งเครื่องและแซงอีกฝ่ายไปอย่างเฉียดชิว เขามองคนที่ล้มกองลงกับพื้นหญ้า หน้าเล็กที่มีเหงื่อท่วมขึ้นสีแดงเรื่อ หอบหายใจอย่างติดขัด ปากเจ่อแดงที่เผยอขึ้นนิดเพื่อช่วยให้อากาศเข้าไปได้ง่ายขึ้น

จู่ๆ ภาพที่ไม่ควรคิดก็ซ้อนทับเข้ามา

ตั้งต้นรู้สึกปวดหนึบกลางกาย

“โอเค เราแพ้แล้ว..” เมื่อหายจากการหอบอย่างหนักกีรติก็เอ่ยออกมา ตั้งต้นเรียกสติตัวเองกลับมาอย่างรวดเร็ว รีบนั่งลงข้างตัวอีกฝ่ายอีกครั้ง

“แล้วอยากได้อะไร” เขาถามถึงรางวัลของผู้ชนะที่อีกคนอยากได้ ที่จริงมันคือสิ่งที่เขาสงสัยอยู่เหมือนกัน

“ต้นขอไม่เยอะหรอก ต้นแค่อยากมาออกกำลังกายด้วยกันได้ไหม” เมื่อได้ฟังคำอีกฝ่าย เขาก็ต้องเลิกคิ้วเพราะความแปลกใจ เขานึกว่าอีกคนจะขอให้เขายกโทษ ขอให้ให้โอกาส หรืออาจจะขอเริ่มต้นใหม่ อะไรแบบนั้น ถึงจะรู้สึกดีใจที่อีกฝ่ายไม่ขออะไรที่ทำให้เขาต้องปฏิเสธ แต่ไม่รู้เพราะอะไรใจกลับรู้สึกโหวงเหวงแปลกๆ เหมือนจะรู้สึก..รู้สึกผิดหวังหรือเปล่านะ?

“ก็ได้ ถ้าแค่จะมาออกกำลังกาย” กีรติหลับตาแน่นเมื่อคิดว่าพลาดไปแล้วที่ตอบแบบนั้น ถึงจะนึกรู้ว่ามันเป็นข้ออ้าง ถึงจะนึกรู้ว่าควรปฎิเสธ แต่ทำไมถึงยั้งปากตัวเองไม่ได้ ปากที่พูดในสิ่งที่ใจคิดโดนไม่ได้รับการกลั่นกรองจากสมอง เมื่อตั้งต้นได้ยินเขาว่าอย่างนั้นก็ยิ้มแป้นออกมา

“แล้วบทลงโทษของคนแพ้ล่ะ” ร่างสูงว่า กีรติแอบพึมพำออกมา ได้คืบจะเอาศอก คนตัวโตหัวเราะร่า

“แล้วนายอยากให้เราทำอะไรล่ะ”

“ขอให้คนแพ้เลี้ยงข้าวสักมื้อได้ไหม” เขาขอแค่ให้ได้ใช้เวลาร่วมกับคนตรงหน้าอีกนิดก็เพียงพอแล้ว เมื่อได้ฟังข้อเสนออีกฝ่ายก็นิ่งหยุดคิดก่อนที่จะผุดยิ้มออกมาแล้วพยักหน้าตอบตกลง ทั้งสองเดินกลับไปที่ล๊อคเกอร์เก็บกระเป๋า หยิบกระเป๋่าของอีกฝ่ายเอากุญแจไปคืนที่ร้านแล้วจ่ายเงินเรียบร้อย

“ไปนั่งใต้ต้นไม้ตรงนั้นกัน” แทนที่จะไปที่รถเพื่อไปหาอะไรกินตรมที่สัญญา กีรติชี้ไปที่ต้นชมพูพันทิพย์ที่อยู่ติดกับบึงเล็กๆ พอนั่งขัดสมาธิลงก็รูดซิปเปิดกระเป๋าตัวเอง หยิบถุงที่ห่อข้าวกล่องสองกล่องขึ้นมา ยื่นข้าวกล่องที่ยังอุ่นอยู่ให้กับอีกคน

“อ่ะ หายกันแล้วนะ” ตั้งต้นมองการกระทำทั้งหมดอย่างไม่เข้าใจจนได้กลิ่นของไก่ย่างลอยมาแตะจมูก

“นี่กีทำข้าวกล่องมากินเองหรอ” เอ่ยถามอย่างแปลกใจ

“อืม ปกติทำมาเผื่ออินด้วย แต่วันนี้มันไม่ได้มา” ตั้งต้นพยักหน้าเป็นการรับรู้ เขารีบเปิดกล่องออกมาดู ยิ้มกว้างอย่างปิดไม่มิดที่จะได้กินอาหารฝีมือของอีกคน

“อาจจะไม่ค่อยอร่อยนะ แต่ก็ถือว่าเลี้ยงแล้วนะ”

“แบบนี้ดีกว่าไปกินตามร้านซะอีก ขอบคุณนะครับ” อีกคนใจกระตุก พยายามกลั้นรอยยิ้มไม่ให้หลุดออกมา มองคนที่เริ่มเอามีดตัดไก่แล้วเคี้ยวกินอย่างเอร็ดอร่อย จนในไม่ช้าอาหารในกล่องก็ถูกกินจนเกลี้ยง

“แล้วทำไมไม่กินบล๊อคโคลี่” ถามเมื่อเห็นว่าทั้งกล่องเหลือแค่ผักสีเขียวอยู่สองสามชิ้น

“ต้นไม่ชอบ”

“มันมีประโยชน์ ถึงไม่ชอบก็ต้องกิน”

“...”

“บางครั้งคนเราก็จะเลือกทำแต่สิ่งที่ชอบไม่ได้หรอกนะ ถ้าเพื่ออะไรบางอย่างเราก็ต้องอดทนทำในสิ่งที่ไม่ชอบด้วย อย่างเราตอนนี้ ถึงจะอยากนอนเยอะๆ อยากกินของมันๆ แต่เพื่อสุขภาพแล้วเราก็ต้องรู้จักหักห้ามใจ กินแต่ของที่มีประโยชน์ เข้าใจไหม” คนพูดลืมตัวเอ่ยเสียงเจื้อยแจ้ว ลงท้ายด้วยการถือส้อมชี้มาที่เขาเพื่อถามความเข้าใจ เขามองจ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างเผลอตัว เขาคิดถึงคนตรงหน้าเหลือเกิน นานเท่าไหร่แล้วนะที่ไม่ได้พูดคุยกันแบบนี้ อยากให้มันเป็นแบบนี้ตลอดไป..

เหมือนอีกคนจะรู้ตัวว่าเผลอพูดเยอะไปแล้ว จึงรีบถอนตัวกลับ ก้มหน้ามองกล่องข้าวของตัวเอง

“เอ่อ ขอโทษนะ ไม่ใช่เรื่องของเราสักหน่อย” จะกินหรือไม่กินอะไร เขาก็ไม่มีสิทธิ์ไปยุ่งกับอีกฝ่ายแล้ว เมื่อได้ยินแบบนั้นร่างสูงก็เอาส้อมจิ้มผักที่อยู่ในกล่องข้าวเข้าปากฝืนเขี้ยวหลายทีก่อนที่จะกลืนลงคอไป อีกคนมองการกระทำดังกล่าวไม่วางตา ใจกระตุกอีกครั้ง

“ขอบคุณนะที่เตือนสติ ที่จริงรสชาติก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่” ส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้ กีรติพยักหน้ารับคำก่อนที่จะก้มหน้ากินข้าวต่อไป ดื่มด่ำไปกับอากาศบริสุทธิ์ยามเช้า

“เค้กอร่อยนะ” จู่ๆ ร่างสูงก็เอ่ยขึ้นมาทำลายความเงียบ เขาแอบแปลกใจไม่คิดว่าอีกคนจะกล้าเอ่ยถึงเรื่องวันนั้น แต่พอคิดไปถึงเค้กก้อนนั้นก็จำได้ดีว่าความรู้สึกขณะที่ทำมันเป็นเช่นไร

“อืม ถ้าชอบก็ดีใจ” ยิ้มให้อีกฝ่ายที่มองมาก่อนแล้ว

“ต้นไม่มีข้อแก้ตัว ทั้งหมดคือความผิดของต้นเอง”

“ช่างมันเถอะ เราไม่คิดอะไรแล้ว” เขาคิดอย่างนั้นจริงๆ เหนื่อยเกินที่จะเก็บความรู้สึกแย่ๆ ไว้กับตัวอีกต่อไป เขาอยากปล่อยมันให้พัดไปกับสายลมที่มาปะทะหน้า

“ช่างมันไม่ได้..”

หันหน้ามาสบตากันอีกครั้ง

“เรื่องของกี...ต้นช่างมันไม่ได้สักนิดเลย”

ใจของใครอีกคนกระตุก ความรู้สึกที่นอนรายเรียบอยู่ก้นบึ้งเหมือนตะกอนขุ่น ล่องลอยขึ้นมาด้านบนสะเปสะปะเหมือนโดนเอาไม้มากวนซ้ำแล้วซ้ำเหล่า

ไม่ดีเลย..

ใจที่เต้นแรงแบบนี้...มันไม่ดีสักนิดเลย









********************

หยุด!! แค่ใจกระตุกสองที่อย่าเพิ่งว่าน้อง 555 ตามกันยาวๆ เรื่องนี้เขียนแล้วมันส์มากเลยอ่ะ ขอบอก (><) หวังว่าทุกคนจะชอบนะคะ แต่เพราะงานเยอะเลยอาจจะอัพช้าหน่อย พยายามให้อาทิตย์นึงได้ 2-3 ตอนแล้วแต่สภาพและโอกาสเนาะ

ถ้านักอ่านเคยอ่านเรื่องอื่นของเรามาบ้างแล้วน่าจะพอสังเกตว่าเรื่องนี้ตอนนึงจะเนื้อหาเยอะขึ้น ลงรายละเอียดเพิ่มขึ้นมาก กลับไปดูเจ้าเป้ภัทร อ่านสองชั่วโมงจบเรื่อง 55 เห็นไหมว่าเราพยายามพัฒนาตัวเองจริงๆ น้า ไม่ได้โม้~

ขออ้อนขอกำลังใจหน่อยน้า ใครอ่านก็เม้นมาให้เห็นหน่อยเถอะน้า ยิ่งมีกันน้อยๆ อยู่ อ่านคอมเม้นแล้วบินได้จริงๆ จ้าาาา ตัวล๊อยย (><)

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Kaamnutt

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 35
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
มีคนใจอ่อนแล้วรึเปล่านะ :mew1:

ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
ใจแข็งอีกนิดนะกี,,,

ออฟไลน์ sailom_orn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
 :katai5:  พยายามเข้านายต้น น้องกีเจ็บมาเยอะ ต้องใช้เวลานานหน่อย

ออฟไลน์ Nung66669

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
กีอย่านะลูกกกกกก..อย่าใจอ่อนนะดัดนิสัยต้นเยอะๆนี้ยังไม่ได้ครึ่งเลย

คนเขียนสู้ๆรออ่านอยู่จ้า :L2: :mew1: :กอด1:

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
ทำก้มหน้า รับความผิด ติดตัวอยู่
ไอ่หน้ารู้ อยู่แก่ใจ ให้สงสาร
ทำอิดเอื้อน เหมืือนอิดออด ดอดขอทาน
เรื่องวันวาน ขอรับผิด คิดกลับใจ

โดนกระทำ ใจช้ำเจ็บ ยังเข็ดอยู่
เตือนให้รู้ จดจำภาพ นาบเคลื่อนไหว
มันติดตา กอดก่ายชู้ อยู่กับใคร
จะให้ลืม ได้อย่างไร ใจย้ำเตือน

#ยอมรับแบบแมนๆ#มุกนี้ไม่เวิร์ค#หน้าด้านมั้ยอ่ะ
#คิดเล่นๆ#ถ้าเห็นกีนัดคนอื่นมาเอากันที่ห้องแบบเต็มตาบ้าง#ตั้งต้นจะรู้สึกยังไง

นอกกายนอกใจ ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น#เลิกกันนะดีแล้ว
หุหุ

ออฟไลน์ Maywrite

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
.:บทเรียนที่ 6:.





วันนี้เขาตั้งใจจะมาเซอร์ไพร์แฟนสาว ตอนแรกที่เธอชวนมาที่ห้องเลยแกล้งบอกว่าไม่ว่างต้องไปทำธุระกับครอบครัว สองมือกุมดอกกุหลาบสีแดงช่อใหญ่ที่สั่งให้ที่ร้านทำเป็นพิเศษ

หกเดือนแล้วที่คบกัน

หลังจากที่รับรู้เรื่องแม่แล้วละลินก็กลายเป็นที่พึ่งทางใจแห่งเดียวของเขา เป็นคนๆ เดียวที่ยังทำให้เขาเชื่อว่าความรักยังมีอยู่จริง เขาอยากให้วันนี้เป็นวันที่น่าจดจำของเราสองคน

หน้าคุ้นๆ

ขณะที่เดินออกจากลิฟท์ เขาสวนกับชายคนนึงที่เดินเข้าไปด้านใน ด้วยความที่คนดังกล่าวเอาแต่ก้มหน้ามองมือถือทำให้เขามองเห็นหน้าตาอีกฝ่ายไม่ถนัด เขาละความสนใจ ความตื่นเต้นกับสิ่งที่ตัวเองกำลังจะทำมีมากกว่า นอกจากดอกไม้แล้วเขายังซื้อสร้อยคอทองคำขาวเส้นบางมีจี้เป็นรูปหัวใจเตรียมไว้อีกด้วย ตั้งใจจะให้มันเป็นของแทนใจชิ้นแรกจากเขา เด็กหนุ่มเดินเร็วๆ ไปที่ประตู เอื้อมมือกำลังจะกดกริ่งหน้าห้องแต่แล้วก็ชะงักมือตัวเองไว้ ไหนๆ จะทำเซอร์ไพร์ทั้งที เขาขอใช้กุญแจห้องที่อีกฝ่ายให้มาแทนดีกว่า คิดได้ดังนั้นก็เปิดกระเป๋าเป้ล้วงเข้าไปเอากุญแจที่ไม่เคยคิดจะใช้เพราะถือว่าห้องนี้เป็นพื้นที่ส่วนตัวของอีกฝ่าย ไขกุญแจเข้าไป ปิดประตูห้องอย่างเบามือ ถอดรองเท้าที่สวมใส่อยู่ก่อนจะเดินเข้าไปดูในห้องรับแขกแต่ปรากฎว่าไม่มีเงาของใครสักคนแม้ว่าไฟจะเปิดอยู่ ก็ไหนว่าจะอยู่ที่ห้อง

เสียงหัวเราะดังลอยมา เด็กหนุ่มรู้สึกเสียวสันหลังวูบเมื่อความทรงจำเลวร้ายที่ยังสดใหม่ย้อนกลับมา

ไม่นะ ไม่มีทาง

เขาเดินเข้าไปจนถึงหน้าประตูห้องนอนที่เป็นต้นตอของเสียง ประตูที่ถูกปิดไม่สนิททำให้เสียงเล็ดลอดออกมา ไม่คำนึงถึงมารยาทใดอีกต่อไป เขาแนบหูลงกับประตูเพื่อแอบฟัง

“นกแกนี่นะ” เสียงหัวเราะของลินดังขึ้น แต่เขาไม่ได้ยินเสียงตอบรับของอีกฝ่าย ความโล่งใจก่อเกิดขึ้นในอก แฟนเขากำลังคุยโทรศัพท์กับเพื่อนสนิทเจ้าตัว ยกมือปาดเหงื่อที่หน้าผากก่อนที่จะผลักเบาๆ เพื่อให้ประตูเปิดออก แต่ยังไม่ทันได้เปิดกว้างก็ต้องชะงักลงอีกครั้ง

“ต้าร์เพิ่งกลับไปเมื่อกี้เอง”

ต้าร์? ใช่แล้ว คนเมื่อกี้ที่เจอที่ลิฟท์ชื่อต้าร์ที่เรียนห้องห้า ถึงจะไม่เคยคุยกันแต่เขาก็พอคุ้นหน้าเพราะในโรงเรียนเจ้าตัวก็ดังพอตัว

“ชั้นไม่กล้าให้อยู่นานหรอก เผื่อต้นโผล่มาชั้นจะทำยังไง” ละลินว่ากลั้วหัวเราะ ตั้งต้นใจกะตุกเมื่อชื่อตัวเองถูกเอ่ยออกมา ชายหนุ่มขมวดคิ้วแน่นพยายามประมวลความหมายของประโยคก่อนหน้า

“โอ๊ยชั้นเลือกไม่ได้หรอกนะ ต้าร์น่ารักจะตาย เอาใจใส่สุดๆ กว่าชั้้นจะได้เบอร์มา กว่าจะจีบติดชั้นใช้เวลาไปเท่าไหร่แกก็รู้ อ่อยจนแทบจะแก้ผ้าต่อหน้าแล้ว” หญิงสาวยังพูดติดอารมณ์ขัน

“แล้วกับต้นแกก็รู้ ทั้งหล่อทั้งรวยแบบนั้น พอรู้ว่าเขาแอบปลื้มชั้นมานานชั้นก็ต้องเก็บเข้าสต๊อกสิ จะให้ปล่อยไปได้ไง”

เด็กหนุ่มกำช่อดอกไม้ในมือแน่น เดินห่างประตูออกมา เสียงหัวเราะของหญิงสาวยังตามหลอกหลอน เป็นอีกครั้งที่หัวใจของเขาโดนทดสอบ ความโมโหที่โดนหลอกลวงพุ่งพล่านในจิตใจ เขาอยากจะทำเหมือนวันนั้น ผลักประตูเปิดออกแรงๆ ถามหาเหตุผลของการกระทำที่ไร้เหตุผลของคนตรงหน้า แต่จากประสบการณ์ที่ยังสดใหม่ทำให้เขารู้ว่ามันไม่ช่วยอะไรเลย

เขาไม่อยากฟังเหตุผลที่ใช้อ้าง

ไม่อยากฟังคำแก้ตัว

ไม่อยากได้ยินคำขอร้องให้เห็นใจ

เขาวางช่อดอกไม้ในมือลงบนโต๊ะกินข้าว หยิบสร้อยคอที่เตรียมไว้วางข้างกัน ใจที่เจ็บปวดเริ่มด้านชา นั่นเป็นครั้งแรกที่ความคิดนฝที่เคยสับสนวุ่นวายได้บทสรุป

“พอแล้วไอ้ต้น ความรักมันไม่เหมาะกับมึง”













ปี๊ป ปิ๊ปปป

สติเขาคืนกลับมาเมื่อรถคันหลังบีบแตรไล่เพราะสัญญาณไฟเปลี่ยนจากแดงเป็นเขียวตั้งนานแล้ว ชายหนุ่มรีบเหยียบคันเร่ง พยายามสลัดความคิดฟุ้งซ่านในหัวออกไปให้หมด เช้าๆ แบบนี้ดีนะที่ถนนไม่ค่อยมีรถวิ่งเยอะ อันตรายชะมัดที่มาขับรถด้วยสมองที่ยังตื่นไม่เต็มที่แถมยังกลับไปคิดเรื่องไร้สาระนั่นอีก

เฮ้อ

เจ็บกว่าแม่มีชู้ก็ตอนที่โดนแฟนตัวเองทำนี่ล่ะ

หึ

แล้วมึงต่างอะไรกับคนพวกนั้นว่ะ

คิดไปถึงสิ่งที่เขาทำไว้กับอีกคนแล้วก็ยังปวดใจ ความเจ้าคิดเจ้าแค้น ความที่ไม่ยอมฟังเหตุผล ความเอาแต่ใจตัวเองมันทำให้ทุกเรื่องพังไปหมด เขารู้ตัวแล้วว่ารักอีกฝ่ายเข้าไปเต็มเปา เป็นความรักที่เคยคิดว่าชาตินี้คงไม่ได้สัมผัสอีกแล้ว แต่เพราะว่ามันดีเกินไป ดีจนหวั่นไหว ดีจนไม่ยอมเชื่อว่ามันตะเกิดขึ้นกับเขา และในที่สุดด้วยความฟุ้งซ่านของตัวเองก็ทำให้พลาดทำในสิ่งที่ไม่น่าอภัยลงไป

มันจะสายไปหรือเปล่า อีกฝ่ายจะยอมยกโทษให้เขาหรือไม่ เขาต้องทำยังไงถึงจะได้ใจอีกฝ่ายกลับคืนมา ที่ทำอยู่ทุกวันนี้ไม่รู้มันจะดีพอให้อีกคนกลับมาหากันอีกหรือเปล่า

คิดไปก็ไม่ได้อะไร ไม่ใช่เวลามาท้อ ไม่ว่ายังไงก็จะเอาอีกคนกลับมา ไม่ว่ายังไงก็จะไม่ยอมปล่อยให้ไปไหนอีกแล้ว

รถยุโรปสีดำเลียบจอดตรงหน้าบ้านสองชั้นหลังหนึ่ง ชายหนุ่มลงจากรถเปิดรั้วบ้านเข้าไปประตูด้านในอย่างคุ้นเคยก่อนที่กดออดตรงประตูทางเข้า ที่ถือวิสาสะเข้ามาได้ขนาดนี้เพราะเขาได้รับอนุญาตโดยตรงจากเจ้าของบ้านตัวจริงแล้ว

“อ้าว ต้นมาแล้วหรอ” จีระนันท์เอ่ยทักทายใบหน้ายิ้มแย้มถูกส่งมาให้คนที่คอยมารับน้องชายไปออกกำลังกายทุกวัน ถึงจะพยายามคาดคั้นถึงสถานะแต่ไอ้กีมันก็ไม่ยอมตอบเขา แต่แม้จะไม่พูดอะไรเขาก็พอเดาได้จากท่าทางของมันว่าคนนี้คงไม่ใช่แค่เพื่อนธรรมดา

“อรุณสวัสดิ์ครับพี่จี ขอโทษนะครับ มารบกวนแต่เช้าเลย” ทักทายคนที่อนุญาตให้เขามาเมื่อไหร่ก็ได้อย่างยิ้มแย้ม

“รบกวนอะไร จะเข้ามาก่อนไหม กีมันแต่งตัวอยู่”

“ไม่เป็นไรดีกว่าครับ เดี๋ยวผมรอที่รถ พี่แค่ช่วยบอกให้หน่อยได้ไหมว่าผมมาแล้ว”

พูดคุยกันอีกเล็กน้อยเขาก็กลับไปนั่งรอในรถ เขาไม่อยากเข้าไปรอในบ้าน ที่ดึงดันขอมารับเจ้าตัวทุกเช้าแบบนี้ก็มากเกินพอแล้ว เขาไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้สึกอึดอัดจนพาลไม่อยากเห็นหน้ากันอีก

ไอ้คำไล่ที่แสนเจ็บปวด ได้ยินครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว

รอไม่นานคนน่ารักก็เดินออกมาพร้อมกระเป๋าสะพาย เจ้าตัวเปิดรถและเข้ามานั่งด้วยหน้าตาเรียบนิ่งเหมือนเคย

“เราบอกแล้วว่าไม่ต้องมารับ” กีรติเอ่ยเสียงขุ่น หน้าตายังบึ้งตึงทั้งๆ ที่ในใจหวั่นไหวเต็มที

“มอนิ่งครับกี” คนตัวโตไม่คิดจะต่อคำ เลี่ยงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา เหยียบคันเร่งออกรถเมื่อเห็นอีกฝ่ายรัดเข็มขัดเรียบร้อย

“วันนี้ทำข้าวเช้ามาหรือเปล่า” คนขับว่าต่อ

“ก็เมื่อวานแพ้ ไม่งั้นก็ไม่ได้อยากทำมาให้หรอกนะ” อีกคนหน้ามุ่ยพึมพำออกมา ตั้งต้นแค่ยิ้มรับไม่ได้ว่าอะไร เขาอดนึกถึงเกมส์ที่แข่งกันเมื่อวานไม่ได้ โดนท้าให้แข่งขว้างหินในบึงด้วยหน้าตามั่นอกมั่นใจ พอเขาขว้างได้ไกลกว่าก็โวยวายลั่น แต่กีก็ยังเป็นกีแพ้แล้วก็ยังยอมรับบทลงโทษแต่โดยดี เขาจึงขอให้อีกคนทำอาหารเช้าเผื่อเขาด้วยเป็นการตอบแทน

กีรติแอบลอบมองเสี้ยวหน้าของคนขับ หน้าตาที่ดูอิดโรยจากการนอนน้อย เขารู้ว่าอีกคนต้องไปเล่นที่ร้านจนดึกดื่นแล้วยังต้องขับรถมาตั้งไกลเพื่อมารับเขาไปออกกำลังกายแต่เช้า วันแรกที่มารับเขาก็พยายามปฎิเสธเสียงแข็ง แต่บังเอิญว่าพี่จีอยู่ก็เลยต้องยอมไปด้วยเพราะไม่อยากให้พี่รู้เรื่องที่เกิดขึ้น คิดเองว่าเดี๋ยวอีกฝ่ายก็เบื่อไปเอง แต่กลับกันผ่านมาเป็นเดือนแล้วเจ้าตัวกลับมารับเขาทุกเช้าไม่เคยขาด แถมยังสนิทกับพี่จีอย่างกับอะไร กีรติมองตามคนที่หาววอดเอามือปิดปาก ไม่อยากยอมรับแต่เขาใจอ่อนยวบให้อีกคนไปแล้ว ความกลัวเกาะแน่นในหัวใจ พอเป็นคนๆ นี้ทีไรเหมือนหัวใจเขาจะไม่เคยสนตรรกะใดๆ ทั้งนั้น

“ต้นตัดสินใจแล้วนะ” หลุดออกจากห้วงความคิดเมื่อได้ยินอีกคนเอ่ยออกมา ทั้งสองหันหน้ามาหากัน

“ต้นว่าจะเลิกบุหรี่” เขาตาโตไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ได้ยิน บทสนทนาเมื่อวานก่อนผุดขึ้นมา

‘สูบบุหรี่แต่เช้าเลยหรอ’

‘อืม หลังอาหารน่ะ’ หลังจากจัดการข้าวในกล่องจนเกลี้ยงเขาก็หยิบบุหรี่ม้วนนึงมาสูบเหมือนที่ทำเป็นประจำ เขาไม่ใช่คนสูบจัด เขามักจะชอบสูบบางเวลาอย่าง หลังกินข้าวเสร็จใหม่ๆ ไม่ก็ตอนกินเหล้าหรือหลังมีเซ็กส์

‘นายก็น่าจะรู้ว่ามันไม่ดี เหม็นจะตาย’

‘ครับ ต้นพยายามจะไม่สูบตอนอยู่ด้วยกันนะ’

‘เราไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นสักหน่อย..’

‘...’

‘เราไม่ได้บอกเพราะเราเหม็น’

‘...’

‘แต่เพราะมันไม่ดีต่อตัวนายเอง’

‘...’

“นายต้องเลิกทำอะไรที่เป็นผลเสียต่อตัวเองได้แล้ว’

‘...’

‘แหะๆ เรายุ่งเกินไปอีกแล้ว’ เขาส่ายหน้าปฎิเสธ ส่งยิ้มให้คนที่ก้มหน้ามองพื้น

‘ขอบคุณนะครับ’

‘...’

‘ขอบคุณที่ยังห่วงกัน’









“จะเลิกจริงๆ หรอ” กีรติถามออกไปอย่างไม่อยากเชื่อ ถึงจะไม่เคยสูบแต่ก็รู้ว่ามันไม่ง่ายเลยที่จะเลิก ในใจเต้นตึกตักที่คิดว่าอีกฝ่ายอาจจะตัดสินใจเลิกบุหรี่ตามคำเตือนของเขา

“อะไรที่ไม่ดีต้นก็ไม่อยากทำแล้ว” ตั้งต้นหันหน้ามาสบตา เขาสะดุ้งสุดตัวเมื่อเจ้าตัวเอื้อมมือมากุมมือเขาไว้ “ขอแค่กีบอก” คนตัวโตว่าต่อ “อะไรที่ไม่ดี ต้นจะเลิกให้หมดทุกอย่างเลย”

“ละ..แล้วนายจะมาเชื่อเราทำไม นายต้องรู้ดีที่สุดสิว่าอะไรดีไม่ดีสำหรับตัวเอง”

“กี”

“ห๊ะ?”

“สำหรับต้นกีดีที่สุด”

“...”

“เพราะงั้นไม่ว่ากีจะว่าอะไร ต้นก็เชื่อตามนั้น”

.

.

.

.

.

.

.

เสียงเพลงจังหวะสนุกที่ลอยละล่องอยู่ในอากาศปลุกบรรยากาศยามค่ำคืนให้สดใสมากขึ้น กลุ่มเพื่อนสนิทที่ไม่ได้เจอกันสักพักพูดคุยกันเสียงดังอยู่ตรงที่นั่งประจำของพวกเขาเวลามาเที่ยวที่ผับกึ่งร้านอาหารแถวสามย่านแห่งนี้

“คือสรุปว่ามึงฟิตมาก” ธันวาเอ่ยแซวเพื่อนที่ตอนนี้ผอมลงเยอะ ตอนแรกเขาคิดว่าเป็นเพราะมันกินไม่ได้นอนไม่หลับเพราะความรัก แต่ดูจากหน้าตามีน้ำมีนวลของมันและกล้ามแขนที่โผล่ออกมาจากเสื้อยืดตัวโคร่งเขาก็คิดว่าไม่ใช่แค่ไม่ได้นั่งตรอมใจ แต่ตอนนี้คือมันดูดีกว่าเมื่อก่อนหลายเท่าด้วยซ้ำ

“อืม มันออกกำลังกายทุกเช้า กินคลีนด้วยนะพวกมึง” อินทัชเอ่ยเสริม “แรกๆ มันก็มาปลุกกูทุกเช้า หลังๆ นี่ทิ้งกูไปคนเดียวตลอด” พูดเหมือนบ่นแต่จริงๆ เขาดีใจมากกว่า ด้วยความที่ไม่ชอบออกกำลังกายเป็นทุนเดิม แล้วยังต้องรอดินกลับห้องดึกๆ ทุกคืน ถ้าต้องตื่นไปออกกำลังกายแต่เช้าเป็นเพื่อนมันแบบนั้นตลอดเขาก็คงไม่ค่อยไหวเหมือนกัน พอมันบอกว่ามันชินแล้วไปเองได้เขาก็เลยปล่อยไป

“กูเกรงใจผัวมึงไง” กีรติตอบกลับจนอินทัชสำลักเหล้าที่กำลังดื่ม หน้าแดงขึ้นมากับคำที่เพื่อนใช้เรียกแฟนตัวเอง

“ผะ..ผัว เผอ อะไร มึงเรียกดีๆ”

“หรือจะบอกว่าดินเป็นเมียมึง” คราวนี้ธันวาเป็นคนพูดขึ้น หัวเราะก๊าก ก่อนที่ทั้งโต๊ะจะเริ่มรุมคนขี้อายให้ยิ่งอายหนักกว่าเดิม

“แล้วมึงเป็นไงบ้างกี โอเคขึ้นหรือยัง” เมื่อเล่นงานอินทัชจนเหนื่อย หัวข้อสนทนาก็วกกลับมาหาคนที่นั่งเหม่ออยู่

“ก็..กูโอเคแล้ว” กียิ้มเจื่อน หลบสายตาที่เต็มไปด้วยความห่วงใยของเพื่อนๆ เขารู้สึกผิด ถ้าเพื่อนรู้ว่าเขาให้อีกคนมาใกล้ตัวขนาดนี้พวกมันจะผิดหวังในตัวเขามากแค่ไหนกันนะ ถ้ามันรู้ว่าใจที่ควรเข้มแข็งโอนอ่อนไปตามอีกคนอีกแล้ว เขาจะถูกหัวเราะเยาะหรือเปล่า

“ไงสหาย ไม่ได้เจอกันนานคิดถึ๊งงง” สองคนที่เดินมาร่วมโต๊ะเอ่ยทักทายคนที่นั่งอยู่ก่อนแล้ว ธารานั่งลงตรงเบาะที่ว่างข้างกีรติ ส่วนทิวานั่งลงข้างอินทัชเอ่ยทักทายถามสารทุกข์สุกดิบกันเจื้อยแจ้ว ก็เขาไม่ได้เจอกลุ่มนี้มานานมากแล้วตั้งแต่งานวันเกิดดินนี่น่า

“แหม๋อีทิว อีลูกน้ำ กว่าพวกมึงจะมา ปล่อยให้พวกกูรอซะอยากจะกลับอยู่แล้ว” ธันวาเอ่ยโต้กลับไปมือก็หยิบแก้วขึ้นมาสองใบจัดแจงชงเหล้าให้คนมาใหม่

“เออ โทษทีมึง ยังไงวันนี้กูเป็นเจ้าภาพเอง” เมื่อธาราว่าอย่างนั้นทั้งโต๊ะก็เฮลั่น “เจ้ลูกน้ำๆ ๆ”

“แล้วมาไงกัน วันนี้แฟนไม่มาคุมหรอ” ทิวาเอ่ยขึ้น เขารู้สึกสนิทใจกับอินทัชจนเอ่ยแซวได้โดยไม่รู้สึกอะไรแล้ว บอกเลยตอนนี้รักอินมากกว่าดินเสียอีก

“เออ สมบัติห้องกูอยู่ไหน” ธาราว่าต่อ “ไหนดินพ่อบ้านใจกล้า” พูดพร้อมหันไปหาอินทัช “ไหนตั้งต้นคนหน้าม่อ” หันไปสบตากับกีที่ยิ้มเจื่อนทำหน้าไม่ถูก

“อีน้ำหยุดเล่น” ธันวาเอ่ยเตือน แต่คนยังไม่รู้ตื้นลึกหนาบางยังว่าต่อ “แหม แตะนิดแตะหน่อยไม่ได้เลยนะ หวงกันจังเลย”

“คือกูกับต้นเลิกกันแล้วน่ะ” เมื่อเห็นเพื่อนๆ ทำท่าอ้ำๆ อึ้งๆ กีรติเลยตัดสินใจเอ่ยออกไปตรงๆ ทั้งโต๊ะเกิดเดสแอร์ขึ้นมาทันที ต่างฝ่ายต่างมองหน้ากัน จนในที่สุดทิวาก็เป็นคนทำลายความเงียบ

“เราถามได้ไหม” เมื่อกีรติพยักหน้าเขาจึงว่าต่อ “อย่าบอกว่ามันนอกใจ?” กีรติสบตาคนพูด เม้มปากกลั้นความรู้สึก เมื่อเห็นดังนั้นเขาจึงถอนหายใจ

“เราก็เคยอยากจะเตือนเหมือนกัน มันก็เป็นแบบนั้นมาแต่ไหนแต่ไร แต่ก็คิดว่ารักกันดีเลยไม่อยากเข้าไปยุ่ง” คนที่รู้จักนิสัยตั้งต้นดีรู้ดีว่าผู้ชายคนนี้ไม่เคยจริงจังกับใคร ตั้งแต่เลิกกับลินต้นมันไม่เคยมีแฟนเป็นตัวเป็นตน แต่พอมาเห็นมันบอกว่าเป็นแฟนเขาก็นึกว่าอีกฝ่ายจะเป็นข้อยกเว้น เป็นคนที่มันจริงจังด้วยเสียอีก

“หมดเวรหมดกรรมแล้วนะมึง” ธาราเอ่ยต่อ

“ถือว่าฟาดเคราะห์แล้วกันนะมึง” นัชชาผู้หญิงคนเดียวในโต๊ะเอ่ยขึ้นบ้าง

“แต่คือ...” กีรติเม้มปากแน่น ดูก็รู้ว่าเพื่อนเขาโล่งใจแค่ไหนที่เลิกกันได้ เขานั่งไม่สุข ตอนนี้เขาอยากจะเอ่ยเล่าให้เพื่อนฟังกับสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงหนึ่งเดือน

อีกคนที่กลับมาง้อ

อีกคนที่ยอมรับผิดทุกอย่าง

อีกคนที่บอกจะยอมเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อเขา

แล้วเขา..

ทั้งที่ไม่ควร เขาดันคิดจะให้โอกาส..

ขณะที่ยังลังเลสายตาก็ไปสะดุดกับคนคนนึงที่กำลังจะเดินออกไปนอกร้าน กีรติรีบขอตัวแล้วลุกตามไป เขาพลาดไม่ได้ คนคนนั้นเป็นคนเดียวที่จะไขปัญหาที่ค้างคาอยู่ในใจเขาได้

“เดี๋ยวก่อน” เขาเอ่ยเรียก คนด้านหน้าหันกลับมาจ้องเขาอยู่แปปนึงก็ยกยิ้มเยาะเย้ยมุมปากเพราะจำได้แล้วว่าเขาคือใคร

“ไง” รวินเอ่ยทักด้วยท่าทางสบายๆ “วันนี้จะมาตามระรานอะไรอีก” เขาหน้าชากับคำตอบกลับและเสียงหัวเราะในลำคอของอีกฝ่าย เจ้าตัวหันไปบอกเพื่อนให้เดินนำไปก่อน แล้วจึงหันหลังเดินกลับมาหาเขาอีกครั้ง

“แค่มีอะไรจะถามน่ะ” เขาเกริ่น คนตรงหน้ายกมือขึ้นเกาหัวอย่างรำคาญใจก่อนที่จะเอ่ยขึ้นมา

“เฮ้อ จะบอกให้เอาบุญนะ คนอย่างต้นน่ะ ถ้าไม่เอาก็คือไม่เอา ไปหาเอาใหม่เถอะนะ ทำแบบนี้มันจะลดคุณค่าตัวเองเปล่า หรือยังเจ็บไม่พอ” คำพูดร้ายเสียดแทงในใจ ภาพเหตุการณ์ในวันนั้นย้อนกลับมาอีกครั้ง กีรติกัดฟัน ยังไงเขายังอยากรู้ความจริงอยู่ดี

“ระ..เราแค่อยากรู้เรื่องวันนั้น..”

“หืม?”

“มันน่าแปลก ทั้งๆ ที่วันนั้นเขานัดกับเราแล้วเขากับนาย..” กีรติพูดตะกุกตะกัก “มันบังเอิญเกินไป” ทั้งๆ ที่เห็นตำตาแต่ใจยังอยากเชื่อว่ามันเป็นเรื่องเข้าใจผิด ยังหวังให้มันมีอะไรสักอย่างที่มาเป็นเหตุผลให้เขาอภัยให้อีกคนได้

รวินยืนสำรวจคนตรงหน้า คนแบบนี้ไม่ใช่คนรักสนุกแบบเขา คงปล่อยตัวปล่อยใจให้คนเจ้าชู้ไปหมดแล้วถึงได้มีสภาพแบบนี้ จะเรียกว่าอะไรดีนะ น่าสมเพช? ก็ไม่ถึงขนาดนั้น แต่ก็น่าสงสารจนอยากเข้าไปช่วย

ช่วยให้ตัดใจจากคนแบบนั้นได้สักที

รวินควักโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋า กดหาเบอร์คนที่อยู่ในบทสนทนาก่อนจะโทรออก ไม่นานปลายสายก็กดรับ

[ครับ]

“ต้นนี่ริวนะ”

[ครับริว มีอะไรหรือเปล่า]

“คืนนี้ว่างไหม”

[...]

“ริวมีเรื่องอยากคุยด้วย ขอเข้าไปหาได้ไหม”

[โอเค ต้นก็มีเรื่องอยากจะคุยกับริวเหมือนกัน]

“งั้นเจอกันนะ”

กีรติกำมือแน่น บทสนทนาสั้นๆ ทำให้สมองขาวโพลน อาการเจ็บอกที่เคยเป็นตอนนี้มันหายไปแล้ว

เหมือนหัวใจมันไม่เต้นอีกต่อไปแล้ว

รวินกดวางสาย ยกมือตบไหล่คนที่ยืนนิ่งอยู่หนึ่งทีเป็นการปลอบใจ

“ชัดแล้วนะ ตั้งต้นมันก็ง่ายแค่นี้แหละ” ว่าแล้วเจ้าตัวก็เดินหันหลังออกไป รวินคิดว่าเขาช่วยพอแล้ว เขาไม่คิดจะเข้าไปยุ่งมากกว่านี้ ทีเหลือก็เป็นหน้าที่ของเจ้าตัวว่าจะเอายังไงต่อ

ฟันขบแน่นจนได้กลิ่นเลือดเคล้าอยู่ในน้ำลายที่ฝืนกลืนอย่างยากลำบาก ตัวที่ยืนนิ่งสั่นไหวจนต้องทิ้งน้ำหนักลงไปที่พนังร้านข้างตัว เขาปิดเปลือกตาทั้งสองลงอย่างอ่อนล้า

หึ

ชัดพอไหม

ไม่รู้ว่าเขาเอาความมั่นใจมาจากไหน

ทำไมยังอยากจะเชื่อ..

เฝ้าหลอกตัวเองว่ามันไม่ได้เป็นอย่างที่คิด

ครั้งนี้นี่แหละที่เขาจะสุขสมหวังสักที

แต่มันไม่ใช่..

ไม่ใช่เลยสักนิด..

เพราะถ้ามันใช่..

มันควรจะรู้สึกเจ็บซ้ำไปซ้ำมาแบบนี้หรือ...





**********

เวลาเรื่องมันเครียดจะแต่งไม่ค่อยได้เลยน่ะ (>~<) เครียดตามน้องจริงๆ ตอนนี้ คืออย่าด่าน้องเยอะเราผิดเอง 5555 คือน้องรักอ่ะ คือคนเราแบบพอมันรักแล้วมันตัดฉับไม่ได้นะ แล้วยิ่งอีกฝ่ายมาทำดีด้วยมันก็ต้องไขว่เขว้เป็นธรรมดา จนต้องโดนซ้ำไปอีกทีนี่แหละถึงจะแบบ เออ คือมันไม่ใช่จริงๆ ใจมันถึงจะได้แข็งเป็นหินสักที ~ งงในงง 5555

แล้วคือตั้งต้น นอกจากดินแล้วไม่มีพวกสักคนในโลก 55555 หาพวกเพิ่มแปปปป





ทักทายในทวิตเตอร์ได้เน้อ @Maywrite1



ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
"กำ" ของไอ่ต้น เจอตัวแม่อย่างริว
หุหุ

ติดจรวด กวดจี๋ วิ่งรี่ใส่
กรรมของใคร เวรคนนั้น ช่างสรรหา
ทำอะไร ย้อนเข้าตัว ทุกเวลา
อยากหัวเราะ ฮ่าฮ่าฮ่า น้ำหน้ามึง

เคยคิดทำ เค้าช้ำใจ เข้าใจผิด
ไม่เคยถาม เค้าซักนิด เพราะพิษหึง
โดนซะบ้าง อย่างเค้า ผิดดันดึง
กรรมมาถึง อย่าอึ้งแดก และแปลกใจ

ถึงตาตัวเองบ้างแล้วนะตั้งต้น ถ้าริวจะทำให้กีเข้าใจผิดไปใหญ่โต
ถือซะว่าเป็นเวรกรรมแล้วกัน เคยทำอะไรไว้มันย้อนเข้าตัวเองหมดเลย ฮ่าฮ่า

เราก็แอบใจอ่อนให้ตั้งต้นบ้างแล้ว..แต่นิดเดียวนะ จริงจริ๊ง

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ sailom_orn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
คนแต่งใจร้ายอ่ะ รีบหาพวกให้ต้นเลย

ออฟไลน์ Nung66669

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
ตอนนี้ไม่รู้จะสงสารใครกว่ากันต้นโดนหนักเลยที่นี้ แถมไม่มีใครช่วยอะไรได้อีกเห็นใจนะยังไงก็พยายามถ้ายังอยากให้กีกับมา

ออฟไลน์ Maywrite

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
.:บทเรียนที่ 7:.





ติ๊ด ติ๊ด...ติ๊ด ติ๊ด...

มือหนาโผล่ออกมานอกผ้าห่ม สะเปสะปะควานหาต้นเสียงที่ทำให้เขาตื่น พอเจอโทรศัพท์ก็คว้าหมับก่อนจะหดแขนเข้าไปในผ้าห่มตามเดิม ข่มใจเปิดเปลือกตาขึ้นอย่างแสนทรมาน

05.30

ชายหนุ่มลุกขึ้นนั่งบนเตียงเกาหัวไปมา เมื่อคืนมีเล่นที่ร้านกว่าจะถึงห้องก็ตีหนึ่งกว่าแล้ว ได้นอนจริงๆ ไม่ถึงสี่ชั่วโมงด้วยซ้ำ แต่ถึงจะมีความง่วงมาคอยผลักดันให้ล้มลงบนเตียงนอนอีกครั้ง แต่เขาก็ต้องทำใจลุก วันนี้ความตั้งใจเขาแน่วแน่ยังไงก็ต้องไปดักรอเจอคนที่ไม่ได้เจอมาอาทิตย์กว่าแล้วให้ได้

ตั้งแต่วันจันทร์เขาก็ไปรับกีที่บ้านเหมือนเคยแต่พอไปถึงพี่จีก็ออกมาบอกเขาว่าอีกคนออกไปแล้ว วันอังคารก็ยังเป็นแบบเดิม ถึงจะตามไปที่สวนที่อีกฝ่ายออกกำลังกายเป็นประจำก็ยังไม่เจอ โทรศัพท์หาก็ไม่รับ ส่งข้อความไปก็ไม่ตอบ ไอ้สองอย่างหลังมันเรื่องปกติอยู่แล้ว แต่ที่ไปดักเจอจนถึงวันศุกร์แล้วยังไม่เจอมันทำให้เขาหวั่นใจจริงๆ จะให้ไปดักรอที่คณะก็กลัวจะโดนโกรธ จนในที่สุดวันนี้ถึงได้ตั้งใจตื่นเช้ากว่าที่เคย มีเรียนก็ไม่มี ปกติเสาร์อาทิตย์ก็ไปออกกำลังกายสายกว่าปกติ ยังไงวันนี้ถ้าไม่เจอก็จะไม่กลับจริงๆ

ตั้งต้นบิดขี้เกียจสองสามทีเดินตรงไปยังห้องครัว เมื่อวานเย็นก่อนที่จะไปร้านเขาเสิร์ทอินเตอร์เนตนานสองนานหาสูตรอาหารคลีนที่พอจะทำเองได้ พอได้สูตรที่พอใจก็ไปห้างสรรพสินค้าที่ใกล้ที่สุดเลือกซื้อผักผลไม้ออกานิคและเครื่องปรุงจำเป็นจนครบ เขาตั้งใจว่าหลังจากที่ได้กินฝีมืออีกฝ่ายมาหลายครั้งแล้ว ต่อไปนี้เขาจะหัดทำข้าวกล่องให้อีกคนกินบ้าง ตอนดูในอินเตอร์เนตแอบไฟแรงอยากทำข้าวกล่องเบนโตะน่ารักๆ แต่ก็ต้องเลิกล้มความตั้งใจแทบจะทันทีเพราะแค่อ่านสูตรกับชื่ออุปกรณ์เขายังไม่สามารถทำความเข้าใจได้สักนิด แต่เขายังไม่ย่อท้อ อาทิตย์ที่แล้วจึงสั่งซื้อกล่องข้าวลายมินเนี่ยนมาเพื่อหวังจะเพิ่มความน่ารักให้กับอาหารธรรมดาๆ ที่ตัวเองตั้งใจจะทำแทน

หึ

ถ้าไอ้ดินกับพี่มินมาเห็นผู้ชายตัวควายๆ อย่างเขาทำตัวมุ้งมิ้งแบบนี้ มันคงเอาไปเล่าให้คนในตระกูลมันฟังจนถึงรุ่นเหลน

ตั้งต้นเปิดตู้เย็นค้นผักผลไม้ออกมาวางบนเคาร์เตอร์ในครัว กวาดตามองของทุกอย่างแล้วก็แอบถอนหายใจ ทั้งชีวิตเขาไม่เคยเข้าครัวเลยสักครั้ง ไข่เจียวทำยังไงก็ยังไม่รู้ ถึงความตั้งใจจะมีมากแต่เขาเองก็แอบกลัวเหมือนกันว่ามันจะกินได้ไหม หวังอย่างเดียวว่าคงไม่ทำให้อีกคนท้องเสียไปเสียก่อน

ไอ้ต้น มึงจะมาท้อตั้งแต่ยังไม่เริ่มไม่ได้

เขาหยิบหม้อที่เพิ่งซื้อมาใหม่เพราะในห้องไม่มีเครื่องครัวเลยสักชิ้นขึ้นมาใส่น้ำเปล่าและตั้งไฟ ใส่เกลือลงไปนิดรอให้น้ำเดือดก่อนที่จะหยิบไข่ไก่ออกมา 4 ฟองล้างน้ำจนสะอาดแล้วใส่ลงในหม้อรวดเดียว

“โอ้ย!” เขาร้องเมื่อน้ำร้อนกระเด็นโดนแขน ลูบไปมาให้หายเแสบก่อนที่จะเริ่มจับเวลา 6 นาที ตามสูตรที่อ่านมา ระหว่างรอเขาหันไปทำสลัดอะโวคาโด้ เขาหยิบอะโวคาโด้ออกมาหนึ่งลูก มะเขือเทศสองลูก หอมแขกสองหัว จัดการล้างทุกอย่างจนสะอาดเอี่ยมอ่อง จากสูตรทุกอย่างต้องหั่นเต๋า

“โอ้ย!” ขณะที่เพ่งสมาธิก็ดันหั่นมือตัวเองซะงั้น ดีนะที่แค่ถากไปนิดๆ ได้เลือดหน่อยๆ สงสัยวันนี้คงต้องเปลี่ยนเป็นยำเลือดสดซะแล้วมั้ง เขาตัดสินใจลืมเรื่องความสวยงามที่ควรจะเป็น ดูจากสถานการณ์แล้วแค่มันยังพอเป็นชิ้นไม่เละไปตามมือเขาก็ถือว่าใช้ได้แล้ว เมื่อหั่นทุกอย่างลงถ้วยเขาก็เทน้ำมันมะกอก น้ำผึ้ง มะนาว เกลือและพริกไทยลงไป ใช้ช้อนคลุกไปมาก่อนที่จะตักขึ้นมาชิม

“หืม..ก็ไม่แย่หรือเปล่านะ” เหมือนจะขาดเค็ม เอ๊ะหรือขาดเปรี้ยว ไม่ๆ ออกจะขาดหวานนิดๆ ...

ช่างแม่งเถอะ

เมื่อตัดสินใจไม่ได้ก็เลยเติมเครื่องปรุงทุกอย่างลงไปอีกหน่อยตักแบ่งลงข้าวกล่องเรียบร้อย ตัดสินใจให้กีเป็นคนตัดสินแทนดีกว่าว่ามันใช้ได้ไหม ตอนกำลังเอาขนมปังโฮลวีทใส่ไปในกล่องก็ต้องตกใจเพราะเสียงเตือนจากโทรศัพท์

“เชี่ย!!! ร้อนๆ” ไม่ทันระวังใช้สองมือจับหูหม้อต้มไข่จะยกไปเทน้ำแต่เพราะว่ามันร้อนจัดจึงทนไม่ไหวทิ้งหม้อทั้งหม้อลงไปที่ซิ้งค์ล้างจานซะอย่างนั้น ไข่ด้านในร่วงออกมากระจัดกระจาย บางใบมีรอยแตก บางใบถึงกับแบ่งออกเป็นสองส่วน

“ทำไมมันยากจังวะ” เขาหลับตาลงพ่นลมหายใจเข้าออก อดสบถในลำคออย่างอารมณ์เสียไม่ได้ เอื้อมมือไปเปิดเอามือผ่านน้ำเย็นให้อาการแสบตามนิ้วมือบรรเทาลง หยิบไข่ขึ้นมาปอกเปลือกจนเกลี้ยงเกลา ผ่าครึ่งด้วยมีดคมก่อนจะจัดวางลงในกล่อง เขามองข้าวกล่องที่ตั้งใจทำอย่างพิจารณา ถึงจะดูเละเทะไปสักหน่อย แต่ก็อดยิ้มอย่างภูมิใจไม่ได้อยู่ดี

“เพราะมันไม่ง่าย มันถึงยิ่งมีคุณค่าทางจิตใจ”

เขาคิดถึงหน้าคนที่อยากให้ชิมอาหารมื้อนี้

“และเพราะเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิต..ไม่ว่าจะยากแค่ไหนต้นก็จะพยายาม”

.

.

.

.

.

.





“วันนี้ก็คงออกมาเจอไม่ได้ กีมันไม่ค่อยสบายน่ะ” พี่จีที่วันนี้ใส่เครื่องแบบแอร์ฮอสเตสสีฟ้าเข้มเต็มยศบอกเมื่อเดินมาเปิดประตูให้เขา เจ้าตัวพูดตะกุกตะกัก หลบสายตาเขา ชายหนุ่มขมวดคิ้วแน่นก่อนจะถอนหายใจ เป็นเหมือนกันทั้งพี่ทั้งน้อง โกหกไม่เนียนทั้งคู่ ตอนนี้เขารับรู้ได้แน่ชัดแล้วว่าอีกคนพยายามเลี่ยงไม่อยากเจอเขาจริงๆ ด้วย

“จริงหรอครับ ผมขอขึ้นไปดูได้ไหม” จิระนันท์เบิกตาโต ลังเลอยู่นิดก่อนจะถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน เปิดประตูกว้างขึ้นพยักหน้าเชิญอีกฝ่ายให้เข้ามาในบ้าน

“มีปัญหาอะไรกันทำไมไม่คุยกันดีๆ อาทิตย์นี้พี่พูดปดจนเสียผู้ใหญ่หมดแล้ว” หญิงสาวเอ่ยถาม

“ก็..คือ..” ตั้งต้นไม่รู้จะตอบยังไง เขาก็ไม่แน่ใจว่าทำไมอยู่ๆ อีกคนถึงไม่อยากเจอ จะว่าเป็นเพราะเรื่องเมื่อก่อนก็ไม่น่าจะใช่ เพราะไม่งั้นเจ้าตัวคงไม่ยอมให้เขามารับมาส่งอยู่เป็นเดือนๆ แบบนี้ เขาสำรวจมองคนตรงหน้า ดูก็รู้ว่าพี่สาวคนนี้ยังไม่รู้เรื่องที่เขาเคยทำไว้ ไม่งั้นเขาคงจะไม่ได้รับการต้อนขับสู่ที่ดีขนาดนี้ จู่ๆ เขานึกอยากเล่าให้อีกฝ่ายฟัง ถึงจะเสี่ยงไปสักหน่อย แต่อยากน้อยมันก็จะได้เป็นเครื่องแสดงความจริงใจของเขา

“เอาเถอะ ถ้ายังไม่อยากเล่าก็ไม่เป็นไร จะขึ้นไปก็ขึ้น เคลียร์กันดีๆ แล้วกัน” หญิงสาวก้าวเข้ามาใกล้ มองตรงมาที่เขาหน้าตาเคร่งขรึม

“พี่ไว้ใจเราได้ใช่ไหม” เมื่อเห็นอีกฝ่ายพยักหน้ารับหญิงสาวก็โล่งใจ “ยังไงพี่ฝากดูมันหน่อยนะ พี่ต้องออกไปแล้ว พี่มีบินวันนี้ กว่าจะกลับก็วันอังคารแน่ะ” เจ้าตัวว่าพร้อมลากกระเป๋าเดินทางใบเล็กออกไปที่ประตูทางออก

“เอ่อ พี่จีครับ” เขาเรียกตอนที่อีกคนกำลังเดินออกไปพ้นประตู อีกฝ่ายหันกลับมามองอย่างสงสัย

“ถ้าพี่มีเวลาสักห้านาที ขอคุยด้วยหน่อยได้ไหมครับ”

















ตั้งต้นเดินขึ้นชั้นสองไปยังห้องที่เคยมาแล้วครั้งนึง เขาเปิดประตูออกอย่างเบามือ ห้องที่ปิดม่านสนิทจนมืดทึบมองไม่เห็นอะไรสักอย่าง สองแก้มสัมผัสได้ถึงอากาศเย็นเฉียบจากเครื่องปรับอากาศที่มาปะทะทันทีที่เดินเข้าไป เมื่อสายตาชินกับความมืด เขาก็มองเห็นก้อนผ้าห่มขนาดใหญ่กองอยู่บนเตียง ชายหนุ่มยกยิ้ม สองขาก้าวเดินเข้าไปประชิดขอบเตียง ทรุดตัวลงนอนข้างๆ ก้อนวัตถุนั้นก่อนที่จะถือวิสาสะเอามือโอบรัดแน่น กลิ่นของแป้งเด็กที่คุ้นเคยลอยฟุ้งใกล้จมูก เอียงหัวเข้าไปซบกับก้อนกลมที่เริ่มขยับไปมาเล็กน้อย

“พี่จี วันนี้วันเสาร์น้องขอนอนตื่นสายนะ” เสียงที่แหบพร่าเอ่ยออกมา คนในผ้าห่มเทน้ำหนักตัวมาทางเขา ชายหนุ่มยิ้มกระหย่องได้แต่พยักหน้ารับแรงๆ ผ่านผ้าห่มแทนคำตอบ

“ไหนบอกว่าวันนี้มีบิน ไม่ไปตอนนี้จะทันหรอ” อีกฝ่ายถามต่อคราวนี้เขาส่ายหัวแทนคำตอบ

“ทำไมไม่ตอบน้องล่ะ” ตั้งต้นหลุดยิ้ม ทำไมไม่ยอมเลิกราง่ายๆ นะ ขอนอนต่อไม่ใช่หรอ อยู่เงียบๆ ให้เขาทำเนียนนอนกอดแบบนี้ไปอีกนิดไม่ได้หรือไงนะ

“พี่จี?” อีกฝ่ายยังรั้น เขานิ่งไม่ยอมว่าอะไรแต่รัดตัวอีกฝ่ายแน่นขึ้น จนในที่สุดคนที่ทนไม่ไหวก็ขยับสองสามทีก่อนที่จะผุดหัวออกมาจากผ้าห่ม

“นายมาได้ยังไง!!” เมื่อเห็นชัดว่าเป็นใครที่นอนยิ้มอยู่ข้างตัวร่างเล็กก็เหยียดตัวขึ้นยืนบนเตียงก่อนที่จะเหยียดสุดแขนใช้นิ้วชี้ชี้หน้าเขา ตะโกนถามออกไปสุดเสียง ตั้งต้นขยับขึ้นนั่งบนเตียง ดึงอีกคนที่ยืนอยู่ให้ล้มลงมาบนตัก กอดรัดไว้แบบนั้นแม้อีกฝ่ายจะพยายามขัดขืน

“ก็พี่จีบอกว่าไม่สบาย ต้นเป็นห่วง” ว่าแล้วก็เอื้อมเอามือแตะหน้าผากอีกฝ่าย “ก็ไม่เห็นมีไข้นี่ ปวดหัวหรอครับ” กีรติหดคอห่อไหล่เข้าเมื่อโดนกระซิบข้างหูเสียงพร่า พยายามดิ้นรนยังไงก็ไม่หลุดจากอ้อมกอดอีกฝ่ายเสียที

“ปะ..ปล่อย”

“ต้นไม่ปล่อย จนกว่ากีจะบอกว่าเป็นอะไร” จับคางอีกฝ่ายเชิดขึ้นเบาๆ อยู่ใกล้กันแบบนี้เขาสังเกตเห็นตาที่บวมฉึ่งของอีกฝ่ายได้ชัดเจน มันไม่ใช่ตาที่บวมเหมือนคนตื่นนอนใหม่แต่มันเหมือนตาของคนที่ผ่านการร้องไห้มาตลอดทั้งคืนต่างหาก แม้กระทั่งตอนนี้ตอนที่สบตากันใกล้ๆ ในความมืดเขายังเห็นแววตาเรื่อวูบไหวเหมือนมีน้ำตาที่พร้อมจะร่วงหล่นลงมาทุกเมื่อ ความร้อนรุ่มก่อเกิดขึ้นในใจ เขาสงสัยเหลือเกิน คนตรงหน้าเขาเป็นอะไรกันแน่

“บอกต้นได้ไหม” ร่างสูงยังเว้าวอน “ทำไมถึงหลบหน้ากันแบบนี้” ทั้งๆ ที่เรื่องเหมือนจะเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ แล้วแท้ๆ

“ที่ร้องไห้แบบนี้ นี่เป็นเพราะต้นหรือเปล่า” อดไม่ได้ที่จะก้มลงประทับริมฝีปากลงบนเปลือกตาที่ร้อนชื้น คนที่เพิ่งตื่นนอนยังคงงวยงงเหมือนอยู่ในความฝัน มันก็เหมือนทุกวันที่ร้องไห้จนหลับ ฝันถึงคนคนนี้และตื่นมาพร้อมน้ำตา มีเพียงสัมผัสร้อนที่มากระทบผิวเย็นที่ทำให้รู้ว่านี่ไม่ใช่ฝัน ความร้อนที่แตะลงมาที่เปลือกตา เลื่อนไล้ลงมาที่ข้างแก้ม ต่ำลงมาเรื่อยๆ

“ยะ..หยุดนะ” สองมือผลักร่างสูงออกเต็มแรงในจังหวะที่ริมฝีปากทั้งสองกำลังจะสัมผัสกัน อีกฝ่ายยอมปล่อยปลายคางเขาออกแต่โดยดี แต่มือที่รั้งเอวบางไว้ยังคงกระชับแน่น

“ใช่ ทั้งหมดมันเป็นเพราะนาย” คนตัวเล็กเอ่ยเสียงสั่น พยายามสุดกำลังที่จะดันตัวออกจากอีกฝ่าย แต่ไม่ว่ายังไงมือหนาก็ยังไม่ยอมปล่อย

“นะ..นายทำให้เราอึดอัด เราเคยบอกนายแล้ว” กีรติท่องสิ่งที่อยู่ในใจออกไป “เราเคยบอกไปแล้ว แต่นายไม่ฟัง จะให้พูดซ้ำ ให้ไล่บ่อยๆ เราก็เกรงใจ แต่เราก็ทนไม่ไหวแล้ว” สองตาจ้องที่แผ่นอกอีกฝ่าย สองมือที่ตอนแรกพยายามผลักออกเปลี่ยนเป็นกำเสื้อยืดของคนตรงหน้า ฝืนตัวเองให้พูดสิ่งที่ควรพูดออกไป

“ขอร้องล่ะ เราไม่อยากเป็นคนใจร้าย แต่เรารำคาญเต็มทนแล้ว ต่อไปนี้อย่ามาให้เห็นหน้าอีกเลยนะ ขอให้เรื่องของเราจบลงสักที” กีรติหลับตา เม้มปากแน่น เขาพูดมันออกไปแล้ว พูดโดยที่ไม่ร้องไห้เลยสักแอ๊ะ อย่างช้าๆ อีกคนยอมปล่อยมือออกจากเอวเขา

ในที่สุด...

จบกันสักที...

“ต้นไม่เชื่อ” กีรติลืมตาขึ้นมาอีกครั้งสบตาเข้าอย่างจังกับคนที่มองมาอยู่ก่อนแล้ว “กีโกหก บอกมาสิว่ากีโกหก”

“อยากคิดยังไงก็ตามใจนาย..แต่เราพูดสิ่งที่เราคิดไปหมดแล้ว” ร่างเล็กยันตัวเองลุกขึ้นออกจากเตียงตั้งใจจะเดินหนีไปทางห้องน้ำ เม้มปากแน่นกลั้นน้ำตาทั้งหมดไม่ให้ไหลออกมา คนตัวโตรีบยืนตามดึงแขนคว้าอีกคนเข้ามาประชิดแนบอก แขนแกร่งข้างหนึ่งสอดรัดเอวสอบแน่น ก่อนจะใช้มือที่ว่างดันคางอีกคนให้สบกันอีกครั้ง

“พูดใหม่ทั้งหมดสิ มองตาต้นแล้วพูดซิว่ารำคาญ พูดซิว่าไม่อยากเจอกันแล้ว” ร่างสูงเสียงสั่นเครือ ความกลัวแผ่ซ่านเต็มหัวใจ ถึงจะโดนอีกฝ่ายเอ่ยปากไล่มาครั้งแล้วคนั้งเล่า แต่ไม่มีครั้งไหนที่เหมือนครั้งนี้ ถ้าเขาปล่อยอีกคนไปมันเหมือนว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายสำหรับเขาแล้วจริงๆ

“กลับไปซะ..” เขาตาโตเมื่อได้ยินสิ่งที่ออกมาจากริมฝีปากบาง “อย่าทำให้เรารำคาญไปมากกว่านี้” หยาดน้ำใสร่วงหล่นออกมาจากตากลมแต่เจ้าตัวยังไม่คิดจะหลบสายตา ชายหนุ่มรู้สึกจุกในอก ความเจ็บปวดทำให้กระบอกตาเร่าร้อนในที่สุดน้ำชื้นที่ผุดขึ้นมาก็ไหลลงสองแก้ม

“ไม่จริง” เอ่ยออกไปเสียงสั่น “ต้นรู้ กีรักต้น กีรักต้นที่สุด” เขาจับไหล่สองข้างอีกฝ่ายเขย่าไปมาแต่ก็โดนสะบัดออกในทันที

“ใช่! เรารักนาย! แล้วนายคิดสิว่านายตอบแทนความรักของเรายังไง!” เหมือนคนที่พยายามนิ่งก็หมดความอดทน

“ยังทำเราเจ็บไปพอหรอ ต้องการอะไรจากเราอีก ทำไมไม่ปล่อยให้เราไปตามทางของเราสักที” เมื่อพูดจบกีรติก็ร้องไห้โฮทรุดลงนั่งบนที่นอน

เขาพยายามแล้ว

พยายามจะจบมันด้วยดี

พยายามไม่โวยวายให้เป็นเรื่องใหญ่

แต่ทำไม ทั้งที่เคยขอร้องกันดีๆ ในเมื่อไม่รักกัน แล้วจะยังเข้ามาให้เขาเจ็บซ้ำไปซ้ำมาทำไม

“ต้นปล่อยกีไปไม่ได้ ต้นรักกีนะ ต้นรักกีจริงๆ” ร่างสูงทรุดชันเข่าลงที่พื้น กอดสองขาอีกฝ่ายแน่น ซบแก้มลงบนตัก อีกคนชะงักในการกระทำของอีกคน คิดสมเพชตัวเองเหลือเกินที่แค่ได้ยินคำรักก็ใจอ่อนวูบอีกแล้ว

“ปล่อยนะ! เราบอกให้ปล่อย! ปล่อยสิว่ะ” สองมือผลักไหล่หนาเต็มแรง สองขาสะบัดไปมาพยายามถีบอีกฝ่ายออกไป แต่คนตัวโตยังรัดไว้แน่น

“ตีต้นเลย ลงโทษต้นเลย แต่ต้นจะไม่ปล่อยกีไปไหนอีกแล้ว” เงยหน้าขึ้นมาสบตากันอีกครั้ง “ต้นรักกีจริงๆ นะครับ”

เพี๊ยะ!

ตั้งต้นหน้าชาเพราะแรงที่มากระทบ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ยอมหลบตาอีกฝ่าย สองมือยังเกาะขาเรียวแน่น

“อึก...เลิกพูดพล่อยๆ ได้แล้ว” คนบนเตียงกล่าว “คำว่ารัก..อึก..มันไม่ได้เอามาใช้..อึก..เรี่ยราดแบบนี้หรอกนะ” พูดไปทั้งที่ยังสะอึกสะอื้น “แค่จะรั้งกันไว้..อึก..แล้วจะมาพูดจา..อึก...ไร้ความรับผิดชอบ...แบบนี้ไม่ได้หรอกนะ”

คนตัวโตรีบส่ายหน้าปฎิเสธเอามือข้างนึงอังแก้มอีกฝ่าย “ไม่นะครับ” รีบกล่าวอย่างร้อนรน “ต้นรู้ตัวแล้ว ต้นรักกี รักกีคนเดียว ต้นอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีกี กีเชื่อต้นนะ” หยดน้ำตาไหลร่วงจากตาคม เขาไม่มีอะไรจะพิสูจน์มีแต่คำพูดที่ไม่รู้เหมือนกันว่าจะน่าเชื่อถือแค่ไหน

“เราไม่อยากรับรู้อะไรแล้ว” ร่างบางส่ายหน้า “จะจริงหรือไม่จริงเราก็ไม่อยากจะรับรู้อะไรแล้ว” กีรติร้องไห้ตัวโยน เขาเหนื่อย เหนื่อยเกินไปจนไม่อยากเอาตัวเข้าไปเสี่ยงกับความรักครั้งนี้อีกแล้ว

“ไม่ ไม่นะ ขอโอกาสให้ต้นอีกครั้งนะครับ” คนตัวโตกว่าคว้าสองมือมาแนบแก้ม “ขอแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว ต้นสัญญาว่าจะไม่ทำผิดพลาดอีก ต้นสัญญาว่าจะไม่ทำให้กีผิดหวัง” กีรติมองร่างสูงที่ฟูมฟายไม่หยุด คนที่ร้องไห้กอดขาอ้อนวอนขอให้เขากลับไป แต่ก็เป็นคนเดียวกับคนที่ทำให้เขาเจ็บเจียนตาย

เขาไม่เชื่อ...

เขาไม่ควรจะเชื่อ...

แต่เขายังอยากเชื่อ...

ในที่สุดเขาก็ยังแพ้หัวใจที่เจ็บไม่เคยจำของตัวเองอยู่ดี

“ครั้งสุดท้าย..” ร่างสูงเงยหน้าขึ้นมาสบตาอย่างรวดเร็วเมื่อเขาเอ่ยขึ้น

“ขอให้มันเป็นครั้งสุดท้าย...

แล้วถ้านายยังรักษามันไว้ไม่ได้...”

ร่างบางสะอื้นจนตัวโยน

เราขอร้องล่ะ..อึก...ปล่อยเราไปเถอนะ”

พูดไม่ทันจบประโยคดี คนที่ชันเข่าอยู่ที่พื้นก็ฉุดแขนเขาให้เข้าไปประชิด สอดสองแขนมาโอบแผ่นหลังเขาแนบสนิท ซบหน้าลงที่บ่าข้างหนึ่ง เขาสัมผัสได้ถึงความเปียกแฉะที่ไหล่ ร่างสูงใหญ่ไหวเล็กน้อย อีกคนกำลังร้องไห้

“มันจะไม่มีวันนั้น ต้นสัญญา ต้นสัญญา”

เขารู้แล้ว..

ใจที่เคยคิดว่าเข้มแข็งขึ้น ที่จริงมันไม่เคยเป็นแบบนั้นเลย แขนเรียวยกขึ้นโอบกอดแผ่นหลังหนา

เขาคิดถึง.. กลิ่นที่คุ้นเคย...ความอบอุ่นของอ้อมกอดนี้.. เขาคิดถึงมันเหลือเกิน

.

.

.

.

.

.

“นี่นายทำเองหรอ” ดูจากหน้าตาอาหารก็น่าจะพอเดาได้อยู่แล้ว แต่ถึงมันจะน่าเกลียดยังไงมันก็ยังไม่น่าเชื่ออยู่ดีว่าอีกฝ่ายจะลงมือทำเอง

แล้วยังกล่องข้าวอีก

กีรติอมยิ้มมองฝากล่องข้าวรูปมินเนี่ยน ดูยังไงก็ขัดกับผู้ชายร่างใหญ่ตรงหน้าเหลือเกิน เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปก่อนที่จะใช้ส้อมจิ้มอะโวคาโด้เข้าปาก

“ชอบจนต้องถ่ายรูปเก็บไว้เลยหรอ” ร่างสูงที่นั่งกอดอกมองเขาเอ่ยแซวออกมา ตาที่ยังบวมฉึ่งเป็นหลักฐานว่าเจ้าตัวร้องไห้หนักแค่ไหน

“จะเอาไปประจาน” ร่างเล็กเอ่ยออกไปให้อีกคนหัวเราะร่า พูดไปแบบนั้นแต่ที่จริงตั้งใจจะถ่ายเก็บไว้ ก็มันเป็นข้าวกล่องกล่องแรกที่อีกฝ่ายทำให้นี่น่า

“อร่อยดีนะ ขอบใจที่อุตส่าห์ทำให้” พึมพำออกมา อีกคนฉีกยิ้มกลับส่งสายตาหวานซึ้งจนต้องเสมองไปทางอื่น พอดีกับที่ตาไปสบกับอะไรบางอย่างเข้าอย่างจัง

“โดนมีดบาดหรอ” พอจิตใจสงบลงก็สังเกตเห็นนิ้วสองนิ้วที่มีพลาสเตอร์พันอยู่ อีกฝ่ายปล่อยแขนลงข้างลำตัวเหมือนไม่อยากให้เห็น เขาไม่อยากให้อีกคนเป็นห่วง

“นิดหน่อยนะ ครั้งแรกมันก็เจ็บแบบนี้แหละ” สายตาเจ้าเล่ห์กับคำพูดกำกวมทำให้อีกคนหน้าแดง “ถ้าได้อาจารย์ดีๆ เหมือนที่กีได้ ครั้งแรกก็คงไม่เจ็บแบบนี้” คนตัวโตยังยียวน

“ทะลึ่ง!” กีรติตะโกนว่าจนอีกคนหัวเราะ

“คิดอะไรเนี้ย หมายถึงอาจารย์สอนทำอาหารไง” เขาไม่อยากต่อปากต่อคำเลยได้แต่กินข้าวในกล่องต่อไปเงียบๆ คนทำเองก็เริ่มหยิบส้อมขึ้นมาตักอาหารเข้าปาก พลางเอ่ยชมตัวเองจนอดขำไม่ได้ มันคงจะไม่ง่ายที่จะกลับไปคุยเล่นกับอีกฝ่ายเหมือนเดิม และแม้จะยังมีความกังวลกับการตัดสินใจของตัวเองอยู่ก็เถอะ แต่เขาก็ตัดสินใจแล้ว ไม่ว่าจะดูงี่เง่าแค่ไหน เขาขอทำตามใจหัวใจที่มันไม่รักดีดวงนี้อีกครั้ง

“เจ็บมากหรือเปล่า” เอ่ยถามอีกฝ่ายตอนที่สังเกตเห็นแก้มที่เริ่มบวมแดงขึ้น “ขอโทษนะที่ตบไปเมื่อกี้” อีกคนส่ายหน้า ชี้นิ้วให้ดูรอยที่มุมปาก

“มือพี่กีหมัดหนักกว่าอีก” พูดกลั้วขำออกมา ทำเขาเบิกตากว้าง รอยหมัดที่มุมปากเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงอมม่วง

“พี่จีหรอ? พี่จีต่อยนายทำไม” คิ้วหมวดเข้าหากันแน่น ถามออกไปอย่างไม่อยากจะเชื่อ

“เมื่อเช้าต้นเล่าให้พี่จีฟังแล้ว ว่าเคยทำอะไรไว้” ตากลมโตยิ่งเบิกกว้างกว่าเดิม “กับสิ่งที่ต้นเคยทำ แค่หมัดเดียวยังไม่พอเลย”

“ต้น..นายนี่มัน..” เขาส่ายหน้า ร่างสูงเอื้อมมาคว้ามือเขาไว้

“ต้นรู้ว่าตัวเองแย่ รู้ว่าไม่คู่ควรจะมาขอความเห็นใจ แต่ต้นก็เป็นแค่คนเห็นแก่ตัวคนหนึ่ง ต้นไม่อยากปล่อยให้กีไปให้ใครอีกแล้ว” ทั้งสองสบตากัน นอกจากยอมเชื่อใจแล้ว พวกเขาไม่สามารถทำอะไรได้เลย มันก็มีเพียงเวลาเท่านั้นที่จะเป็นเครื่องพิสูจน์ทุกอย่าง

“มันก็ไม่ได้ยากอะไรหรอกนะ..” ร่างเล็กเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นบ้าง “การที่จะทำให้เราอยู่ตรงนี้ มันไม่ได้ยากอะไรเลย”





นายก็แค่ต้องรักเรา.. แค่รักเราคนเดียว...









***********

โอ้ยยย เหนื่อยยย อีต้นนนนนน 55555 ไม่รู้จะถูกใจกันหรือเปล่านะคะ แต่ฉากนี้คือเป็นฉากที่อยู่ในหัวฉากแรกๆ เลยตอนที่ตั้งใจจะเขียนเรื่องนี้ขึ้นมา คือตอนที่คิดเนื้อเรื่องก็คิดไว้หลายแบบ คืออยากให้น้องแก้แค้น อยากให้น้องแกล้ง ถึงขนาดอยากให้น้องหลอกกลับไปเป็นแฟนแล้วคบซ้อนให้ต้นช้ำใจไรงี้ แต่พอคิดไปคิดมาคือตัวตั้งต้นมันเป็นคนมีปมเนาะ คนที่ไม่เชื่อในความรักแบบนางคืออยากให้เจอคนที่รัก แบบรักมากๆ จนในที่สุดคนอย่างมันก็จะได้รู้ว่ารักแท้มันยังมีอยู่จริง และช่วยให้นางคลายปมที่มีอยู่ในอดีตมาตลอดให้ได้ ด้วยเหตุนี้ น้องก็เลยดูง้อง่ายไปนิด เหมือนจะตัดจะตัดแต่ทำไม่ได้ อย่าว่าน้องเลยนะคะ เก๊าผิดเอง!!

แหม๋ สปอยขนาดนี้ไปเขียนตอนหน้าให้เสร็จดีกว่ามั้ง 555 บอกไว้แต่แรกแล้วนะคะ เรื่องนี้จะสั้นกว่ารักมือสองนี่ก็ประมาณครึ่งเรื่องแล้วค่ะขอบคุณนะคะที่เข้ามาอ่าน อยู่ด้วยกันไปจนจบเลยน้า รักกก

ติดตามความเคลื่อนไหวในทวิตเตอร์จ้า @maywrite1 #ต้นคนรักไม่เป็น







ออฟไลน์ sailom_orn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
 :katai1: อแต่เเรกก็แค้นต้น แต่อยากให้เคลียร์กันดีแี นุ้งกีควรบอกวาทำไมถึงหลบหน้า ต้นก็บอกได้แล้วว่าเข้าใจผิดนุ้งกีเรื่องอะไร

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
 :m3:
คือว่ารักกัน



จะมีใคร..งานเข้าอีกไม๊หว่า
มารมีเยอะ มาตลอดดดดดด
หุุหุ



ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
อุปสรรคเยอะจริงๆนะครับ,,,

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ Nung66669

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
ใหนๆก็อ้อนวอนขนาดนี้แล้วเคลียร์ทุกอย่างด้วยนะต้น โอกาสมีแค่ครั้งเดียวนะอย่าให้มันค้างคา

ออฟไลน์ Maywrite

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
มาแอบแจ้งตอนพิเศษของรักมือสองค่า

Special 1: ดาว✨

https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70324.90

ฝากด้วยนะคะะะ :)

ออฟไลน์ Maywrite

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
.:บทเรียนที่ 8:.


“พร้อมหรือยังครับ”
“พร้อมตั้งนานแล้ว” ว่าแล้วก็ยกแผ่นกระดาษที่เขียนข้อความจนแน่นล้นหน้าให้ดู
“ต้นเริ่มไม่พร้อมแล้วแฮะ”
“ลากมาถึงพัทยาแล้วยังมีหน้ามาเปลี่ยนใจ?”
“ล้อเล่นครับ ล้อเล่น งั้นเริ่มกันเลย ม่ะ!” ตั้งต้นขึ้นมานั่งขัดสมาธิบนเตียง ประจันหน้ากับคนที่นั่งท่าเดียวกันอยู่ก่อนแล้ว คนตัวเล็กตรงหน้ายิ้มเจ้าเล่ห์ส่งมาให้ก่อนที่จะเริ่มอ่านสิ่งที่ตั้งใจเขียนมาตลอดทาง
กีรติยิ้ม หลังจากเมื่อเช้าที่ตกลงใจจะให้โอกาสอีกคน เจ้าตัวก็เป็นฝ่ายชวนเขาขับรถมาเที่ยวพัทยา ตอนแรกเขาหรี่ตามองเจ้าของไอเดียอย่างไม่ไว้วางใจ นี่ยอมใจอ่อนให้ปุ๊ปก็คิดจะลากเขาขึ้นเตียงปั๊ปเลยหรือไงนะ แต่พออีกฝ่ายให้เหตุผลน่าฟังว่า
“อยากมีเวลาอยู่ด้วยกันสองคนจริงๆจังๆ”
“อยากคุยทุกเรื่อง อยากเล่าให้กีฟังทุกอย่าง”
“อยากให้เราเปิดใจกันมากขึ้น”
“เพราะที่แห่งนั้นเป็นที่ที่ทำให้ต้นเริ่มรู้ใจตัวเอง”
เมื่อได้ฟังเหตุผลที่ฟังขึ้นบ้างไม่ขึ้นบ้างของอีกคนเขาก็เลยยอมตกลงเพราะใจอ่อนกับความมุ่งมั่นสรรหาคำ ที่จริงเขาก็คิดนะ ที่ผ่านมาเราไม่เคยได้มานั่งคุยกันจริงจัง อาจจะเป็นเพราะระยะเวลาที่เป็นตัวกำหนด เราจึงเลือกที่จะไม่ใส่ใจรายละเอียดใดๆ ไม่ชอบก็มองผ่านไม่คิดจะคุยกันให้เข้าใจ แต่ถ้าต่อไปจะลองคบหากันเป็นเรื่องเป็นราวจริงๆแล้วล่ะก็ เราก็ควรที่จะคุยกันมากขึ้น และเขาเองก็มีคำถามค้างคาอยู่มากมายในใจ จนระหว่างที่นั่งมาบนรถแทบจะไม่ได้เงยหน้าไปคุยกับคนขับ นั่งจดสิ่งที่อยากจะคุยกับคนตรงหน้ามาตลอดทาง
“ข้อแรกที่อยากรู้มากที่สุด” เขาเริ่มอ่านข้อความในกระดาษ ตาแอบเหล่มองคนที่นั่งเกร็งฝืนกลืนน้ำลายดังเอือก
“ทั้งๆที่วันนั้นนัดกับเรา ทำไมถึงมีคนอื่นอยู่ที่นั่นได้”
อยากจะพูดว่า ‘ทำไมพาคนมาเอาที่ห้อง’ ก็แอบเกรงใจ มองคนตัวสูงกว่าที่นั่งปาดเหงื่อที่ไหลออกมาตอนไหนไม่รู้ ยิ้มเจื่อนเหมือนไม่รู้จะเริ่มตอบว่ายังไงดี
“รู้ใช่ไหมว่าเลว” เป็นเขาที่ว่าต่อ จริงๆอยากด่ามานานแล้วแต่นั่งร้องไห้เป็นนางเอกตาหวานอยู่
“ระ..รู้ครับ”
“รู้แล้วทำทำไม” กอดอกแน่นพูดกระแทกกระทั่น ร่างสูงมองเลิกลั่ก คิดอยู่ครู่ก่อนที่จะกลั้นใจพึมพำออกมา
“ประ..ชด” เบาจนเขาต้องเหงี่ยหูฟัง “อะไรนะ?”
“ก็แค่อยากประชด”
“ห๊ะ”
“ก็แค่อยากประชด”
“ได้ยินแล้ว แต่ไม่เข้าใจ ประชดอะไร” เขาคิ้วขมวดแน่นอย่างไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง ผู้ชายมั่นใจตรงหน้าล่อกแล่กไปมา จนในสุดก็ยอมเอ่ยเล่าเรื่องที่ไปเจอเขากับนทที่ผับคืนนั้น เขาอ้าปากจะพูดแทรกแต่ก็งับลงอีกครั้ง ก่อนจะทำแบบเดิมซ้ำๆไปมาจนอีกฝ่ายเล่าจบ รู้สึกปวดขมับขึ้นมาทันที อะไรจะคิดเองเออเองเก่งเบอร์นี้
“ปัญญาอ่อน”
“หืม?”
“เราด่าว่านายปัญญาอ่อน”
“โถ..กี” อีกคนเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงปนน้อยใจ
“แล้วทำไมไม่เดินเข้าไปถาม?”
“...”
“หรืออย่างน้อยก็เดินเข้าไปต่อย” ก็ถ้าจะทำแบบที่ทำลงไป เดินมาต่อยหน้ากันยังจะเจ็บน้อยกว่า
“เฮ้อ หมดคำพูดจริงๆ” เขาส่ายหัวไปมาอย่างสิ้นหวัง ยกมือขึ้นไปนวดขมับ ไม่อยากจะเชื่อว่าที่เรื่องมาถึงขนาดนี้ เป็นเพราะอะไรแค่นี้จริงๆ
ก็ถ้ามันจะไม่ใช่แค่ข้ออ้างน่ะนะ
“แล้วหลังจากเรากลับไป ได้มีอะไรกันไหม” ถามลองเชิงไปงั้น คิดจริงๆว่ามีเรื่องกันขนาดนั้นเจ้าตัวคงไม่มีอารมณ์ต่อหรอก แต่พออีกคนไม่ตอบนั่งก้มหน้าหลุบตาลง ก็ต้องตาโต หน้าร้อนด้วยความโมโห
อีต้น~ มึงนี่นะ
เอื้อมไปดึงติ่งหูอีกฝ่ายลงแรงๆ
“โอ้ยยยยย กี...ต้นเจ็บ”อีกคนได้แต่โอดครวญแต่ไม่กล้าเอามือมาจับให้เขาหยุด
“นายอยากตายหรือไงห๊ะ” เหมือนจะยังไม่สะใจ เอามืออีกข้างมาจับติ่งหูที่ว่างอยู่ บิดดึงลงพร้อมกันให้ต้องร้องลั่นกว่าเดิม
“พอแล้วๆๆ แค่เกือบๆ แค่เกือบๆเอง” ร้องแก้ตัวออกไป เพราะเริ่มจะทนต่อความเจ็บไม่ได้แล้ว
“ตัดทิ้งเลยดีไหมนะ” ยิ่งพูดยิ่งโมโห
“ไม่ได้มีอะไรจริงๆ แค่เห็นเค้กก็ละอายใจไม่ไหวแล้ว”
“นี่ถ้าไม่มีเค้กก็เสร็จไปแล้วงั้นสิ”
“ไม่มีๆๆ ยอมแล้วๆๆๆ”
“ไม่ต้องมาแก้ตัว รู้หรอกนะว่าไม่ได้เจอกันแค่วันนั้นน่ะ” พอพูดไปอย่างนั้นอีกฝ่ายก็หันมาสบตาด้วยสีหน้าประหลาดใจ จับสองแขนเขาให้อยู่นิ่ง
“กีรู้..รู้ได้ไง” อีต้น~ มันน่านัก!!!
“รู้สิ แล้วก็ไม่ได้เข้าใจผิดแบบนายด้วยนะ ตอนนัดกันก็ยืนฟังอยู่ข้างๆนั่นแหละ”
“มันก็ใช่..คือ ไม่ใช่นะ!!!” รีบแก้ตัวเมื่ออีกฝ่ายกลอกตาขึ้นบน ทำปากยื่นอย่างคนหงุดหงิดอย่างสุดจะทน
“คือไปเจอกันจริงๆ ริวอยากมาเจอ แต่ไม่ได้มีอะไรเกินเลยจริงๆนะ” ตั้งต้นรีบว่าต่อไม่อยากโดนเข้าใจผิดอีก อีกฝ่ายหรี่ตามองอย่างไม่คิดเชื่อคำพูดเขา
“ตั้งแต่วันนั้น ต้นก็ไม่ได้ไปยุ่งกับใครอีกเลยนะ” พูดย้ำเพราะอยากให้อีกคนมั่นใจ แม้จะรู้ดีว่าคำพูดขอเขามันคงไม่มีน้ำหนักมากมายอะไรนัก
“แล้วคุยกันถึงไหนต่อไหนล่ะ” ร่างเล็กอดประชดออกไปไม่ได้ ก็ประวัติดีเหลือเกินคนนี้
“ก็ไม่ได้อะไร ตอนที่ริวมาที่ห้อง เขาก็เข้าใจผิดนึกว่าจะทำเหมือนเคย..โธ่.. กี...ฟังก่อนสิครับ” เมื่อคนร่างสูงเริ่มเล่าก็เหมือนอีกคนจะเริ่มทนไม่ไหวเบือนหน้าหนีจนเขาต้องเอื้อมมือไปจับให้หันหน้ามาคุยกันดีๆ
“แต่ต้นตัดสินใจแล้ว ต้นบอกแล้วไงว่าต้นมีแค่กี”
“แล้วถ้าไม่คิดอะไรแต่แรก ก็บอกปัดไปตั้งแต่คุยโทรศัพท์สิ จะให้มาถึงห้องทำไม”
“ก็ริวเป็นเพื่อน ไม่อยากพูดตัดไปทางโทรศัพท์” ถ้าเป็นคนอื่นเขาคงเอ่ยปากตัดโดยไม่มีเยื่อใยไปแล้ว แต่อีกคนดันเป็นเพื่อนที่รู้จักกันมาก่อน ถ้าไม่เรียกมาคุยต่อไปอาจจะมองหน้ากันไม่ติด

‘หึื ตกลงว่าตัวจริงว่างั้น’
‘อืม คนนี้ต้นจริงจัง’
‘เป็นแฟนกันแล้ว?’
‘ก็พยายามง้ออยู่’
‘ก็ไม่น่าจะยากนี่ ดูอยากจะกลับมาจนตัวสั่นขนาดนั่น’
‘หืม?’
‘เปล่า’
‘...’
‘ไม่ได้ใจดีขนาดจะมาช่วยพูดให้ดีกันหรอกนะ’


“แล้วน้ำเดือนบัญชีล่ะ” กีรติยังจี้ต่อ ขีดฆ่าประเด็นที่ถามไปแล้วออก รายชื่อมันยาวเหลือเกินจนไม่รู้ว่าวันนี้จะถามจบไหม
“วันนั้นต้นก็บอกแล้วว่าไม่มีอะไร”
“แต่ก็เคยมี”
“ครั้งเดียวเอง โอ๊ย!!” พูดไม่ทันขาดคำก็โดนดึงหูอีกแล้ว วันนี้สงสัยเขาจะหูขาดแน่ๆ
“พูดออกมาได้ ครั้งเดียวเองๆๆ” นึกหมั่นไส้จนไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว ในที่สุดคนที่ทนเจ็บต่อไปไม่ไหวก็จับเขารัดแน่นในวงแขน
“ต้นขอโทษครับ ต้นมันงี่เง่าเอง”
“ก็รู้ตัวดีนิ”
“ต้นรู้ว่าต้นมันเลว อดีตเยอะจนไม่รู้จะแก้ตัวยังไงไหว ถ้าทำได้ต้นก็ไม่อยากทำ แต่ต้นกลับไปแก้ไขอดีตไม่ได้เลย”
คนพูดใช้น้ำเสียงออดอ้อนที่เขารู้ดีว่าไม่ควรจะหลงคารม
“แต่ต้นสัญญากับเรื่องอนาคตได้ ต้นจะไม่มีวันทำอีก ด้วยเกียรติของคนคนหนึ่ง ต้นจะรักและมีแค่กีคนเดียว”
แต่ทั้งที่รู้ดี ใจคนฟังก็ยังอ่อนยวบลงไปอย่างช่วยไม่ได้เหมือนทุกครั้ง
“...”
“นะกีนะ เป็นแฟนกับต้นอีกครั้งนะครับ”
ใจกระตุก คำถามที่เคยสงสัยมาตลอดว่าเจ้าตัวจะเอ่ยออกมาไหม ถูกพูดออกมาให้หน้าร้อนผ่าว
“ถ้ากีไม่ตอบตกลง ต้นจะนั่งกอดกีไปแบบนี้จนตัวแห้งตายเลย” เขาขำหึในลำคอ หันไปสบตาคนที่พูดเสียงเล็กเสียงน้อย ปากยื่นปากยาว นึกว่าตัวเองตัวน้อยตัวนิดมากนักหรือไง
“จะกอดอะไรนักหนา แม่ไม่รักปะเนี่ย” เขาก็แค่พูดหยอกกล้อแก้เขินออกไปแบบไม่คิด แต่ก็ต้องตกใจเพราะอยู่ๆหน้าอีกฝ่ายกลับมาตึงเรียบทันที
“ก็ไม่รักแหละ” อีกฝ่ายยิ้มเจื่อนพึมพำออกมา เขาแทบอยากจะยกมือขึ้นตบปากตัวเอง พึ่งนึกขึ้นได้ว่าเพื่อนเจ้าตัวเคยเล่าให้ฟังว่าพ่อแม่อีกฝ่ายเลิกกันตั้งแต่เด็ก
“เอ่อ..เราขอโทษนะ เราปากไวไปหน่อย” เอื้อมมือไปจับมืออีกคนไว้ “ไม่ได้ตั้งใจจะหมายความว่าอย่างนั้นจริงๆนะ” อีกคนยิ้มรับ ส่ายหน้าปฎิเสธกลับมา
“หือ ไม่เป็นไรหรอก ก็กีไม่รู้นี่” กอดเขาแน่นขึ้น เอาคางเกยกับไหล่เล็ก ยิ่งอีกฝ่ายไม่โกรธเขายิ่งรู้สึกผิด
“ต้นเป็นคนทำให้ทั้งสองเลิกกันเองแหละ” อีกคนว่าต่อ เขาตะลึงกับสิ่งที่ได้ยิน ไม่รู้ว่าเจ้าตัวเอ่ยออกมาด้วยอารมณ์แบบไหน
“ทะ..ทำไมล่ะ..” เพราะใจที่อยากรู้เรื่องของอีกคนจนทนไม่ไหวจึงเอ่ยถามออกไปอย่างกล้าๆกลัวๆ “แต่ถ้านายไม่อยากเล่า..”
“เล่าได้”
“ต้นอยากให้กีรู้” อยากให้รู้ทุกอย่าง อยากให้รับได้ในตัวตนของเขา
“อยากรู้ทุกเรื่องของกี และอยากให้กีรู้เรื่องทุกอย่างของต้น ไม่อยากมีความลับกับกีอีกแล้ว” คนฟังยกยิ้ม สิ่งที่ได้ฟังมันทำให้ใจดวงน้อยอุ่นร้อนไปหมด
“ต้นจับได้ว่าแม่มีชู้” เสียงที่เอ่ยออกแทบจะเรียบสนิทเหมือนไร้ความรู้สึก
“ต้นบอกว่าถ้ายังรักต้นอยู่บ้าง ก็ขอให้เลิกแกล้งรักกัน ขอให้เลิกกับพ่อ” เขานิ่งฟัง รู้สึกสงสารอีกคนขึ้นมาจับใจ เริ่มเข้าใจแล้วว่าอะไรทำให้ผู้ชายที่เพียบพร้อมทุกอย่างขาดความมั่นใจเรื่องความรักได้ขนาดนี้ ขนาดที่ไม่กล้าเดินมาถามหาความจริงจากเขาในวันที่เข้าใจผิด คิดแบบนั้นแล้วก็ได้แต่ยกมือขึ้นกอดหลังอีกฝ่ายไว้แน่น
“รู้ใช่ไหมว่าเราไม่ได้มีอะไรกับนท” คนที่ซบไหล่เขาอยู่พยักหน้ารับ “ต้นขอโทษนะ”
“กับน้องพุทธก็ไม่มีอะไร” เขายังว่าต่อ “ต้นรู้ ต้นมันงี่เง่าเอง”
“เชื่อเราไหม ถ้าเราบอกว่าเราจะไม่มีวันทรยศนาย” เขาผละออกมาห่าง พอให้สามารถสบตากัน ได้ “เราขอแค่อย่างเดียว มีอะไรก็คุยกันตรงๆ ถ้าวันไหนอยากไปก็ขอให้บอก จะไม่รั้งเอาไว้เลย”
อีกคนรั้งเขาเข้าไปกอดแน่นอีกที ส่่ายหัวไปมาแรงๆ “ครับ ต้นจะบอกกีทุกอย่าง แต่มันจะไม่มีวันนั้น” วันที่เขาจะหันหลังให้คนคนนี้
ร่างบางยิ้มรับ ผละออกมาอีกครั้ง มือเรียวยกขึ้นไปอังแก้มของคนตรงหน้า สบตากับตาอีกคู่ที่มีภาพเขาอยู่ข้างใน เอ่ยสิ่งที่อยากพูดและคิดว่าอีกคนอยากฟังมากที่สุดออกไป
“เป็นแฟนกันนะ”
คนฟังนิ่งประมวลผลสิ่งที่ได้ยิน เมื่อแน่ใจแล้วก็โผเข้าไปสวมกอดคนตรงหน้าด้วยความอิ่มเอมใจ
ในที่สุด ในที่สุดก็ได้ครอบครองสิ่งที่คิดว่าคงไม่ได้กลับคืนมาอีกครั้ง
และมันจะไม่มีวันนั้นหรอก วันที่เขาจะปล่อยคนตรงหน้าไปไหนอีก มันจะไม่มีวันนั้นแน่นอน

.
.
.
.
.
.
.
.
“น้องกี คิดถึงจังเลย” ภูผาเดินเข้ามาโอบไหล่ร่างบางทันทีที่ทั้งสองคนเดินเข้ามาในร้าน คนโดนโอบทำหน้าตาไม่ถูก ครั้งที่แล้วที่อยู่ใกล้กันขนาดนี้ เขาเกือบจะโดนคนตรงหน้าทำมิดีมิร้ายอยู่แล้วถ้าต้นไม่เข้ามาช่วยไว้ก่อน แต่จะว่าอะไรมากก็ไม่ได้ เพราะมันก็เป็นเขาเองนั่นแหละที่ดึงดันจะมาที่นี่อีกครั้งให้ได้ นอกจากเรื่องนท ต้นยังเข้าใจผิดว่าเขามีใจให้ภูผาอีก ดังนั้นเขาถึงอยากจะมาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจให้เห็นกันไปเลย แต่มือที่มาเกาะกันเป็นปลาหมึกแบบนี้ไม่ได้ช่วยให้การพิสูจน์ง่ายขี้นสักนิดเลย
หมับ!
ตั้งต้นจับต้นแขนเพื่อนสะบัดเหวี่ยงออกไปอย่างแรงจนภูผาหัวเราะร่า ร่างสูงสอดมือรัดเอวบางเข้ามาประชิดตัวแน่นจนทำให้คนโดนกอดปลายจมูกร้อน หลุดยิ้มออกมา
“โอ้ย หวงจริงนะครับคุณ ไหนบอกแค่เพื่อนกัน”
“ เพื่อนพ่-ง นี่แฟนกู” ก็จำได้ว่าย้ำตั้งหลายครั้งยังจะมากวนตีนกันอยู่ได้
“โอ้ คุณตั้งต้น แอบอ้างหรือเปล่า ถามเจ้าตัวเขาหรือยัง” ว่าแล้วก็หันมายักคิ้วให้กับคนที่ก้มหน้าซุกตัวอยู่ในอกอีกคน เขาชอบต้นแบบนี้ กร๊าวใจที่สุด~
ร่างสูงเมินไม่ตอบ เดินนำอีกคนขึ้นไปชั้นวีไอพีที่เคยมาแล้วครั้งนึงแบบไม่คิดจะรอเจ้าของร้าน
“บอกแล้วไม่ใช่หรอว่าอย่ามา” เอ่ยต่อว่าคนข้างตัวอย่างอดรนทนไม่ได้
“ทำไม กลัวสาวๆที่มองอยู่จะเสียใจหรือไงที่นายมีแฟนแล้ว” ร่างเล็กกวาดตามองสาวน้อยสาวใหญ่ รวมไปถึงสายตาวิบวับของหนุ่มๆร่างบางที่มองแฟนเขาเป็นตาเดียวกัน รู้หรอกว่าหน้าตาดี แต่อะไรมันจะป๊อปขนาดนั้น มือเรียวกำชายเสื้ออีกคนแน่นจนเจ้าตัวสังเกตได้ โน้มหน้าลงมากระซิบข้างหู
“ก็ต้นบอกแล้ว ว่าจะ ‘เอา’ แค่กี จะคิดมากทำไมคนอื่นก็ได้แต่มอง” เสียงพร่าที่ส่งมาทำให้อีกคนเสียววาบ พยายามผละออกมาหวังให้มีระยะห่างในการหายใจเพิ่มขึ้นอีกนิด แต่เหมือนจะสู้แรงอีกคนแทบไม่ได้เลย ตอนนี้ถึงได้ใกล้กันจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจของอีกฝ่ายชัดเจน
“ให้มันแน่เถอะ” ทำเป็นพูดขู่ ทั้งที่หน้าแดงก่ำจนไม่สามารถหันไปสบตาอีกฝ่ายได้แล้ว
ทั้งสองนั่งลงตรงที่ว่างในมุมหนึ่งของชั้น ตั้งต้นจัดแจงสั่งเครื่องดื่มและกับแกล้มสองสามอย่างที่คิดว่าอีกฝ่ายน่าจะชอบ พอนั่งดื่มนั่งคุยกันไปได้สักพัก ร่างเล็กก็ชวนกันออกไปเต้นที่ฟลอร์ อาจจะเป็นเพราะบรรยากาศที่พาไป พร้อมกับแอลกอฮอลในเลือดที่ทำให้คนที่จมอยู่ความเศร้ามานานสนุกเกินเหตุ โยกซ้ายส่ายขวา ยิ้มหัวเราะเริงร่าจนความน่ารักสะดุดตาเสือสิงห์รอบตัว คนที่ตามมาคุมอย่างเขาเริ่มหงุดหงิด สายตาคมคอยสอดส่องคนรอบข้างที่ส่งตาหวานเยิ้มมาให้คนที่ยังไม่รู้ตัวสักนิด
“มองคนอื่นอยู่ได้ เดี๋ยวจะโดน” คนที่ยังไม่รู้ตเรื่องว่าเป็นเป้าสายตาเริ่มโวยวายเมื่อเห็นร่างสูงมองคนนั้นคนนี้ไม่หยุด ความโมโหปนน้อยใจปะทุขึ้นในใจอีกครั้ง
“ถ้าอยากจะไปก็ทิ้งกันไปเลย ไม่ใช่..อื้ม!!” พูดไม่ทันจบประโยคก็โดนปากอีกฝ่ายประกบลงมา ยกมือสองข้างทุบอกคนที่ทำอะไรไม่ดูสถานที่ให้ปล่อย แต่ยิ่งทุบแรงเท่าไหร่ก็เหมือนอีกคนจะยิ่งกดจูบเข้ามาร้อนแรงมากขึ้นกว่าเดิม
“ทำแบบนี้ตั้งแต่แรกก็สิ้นเรื่อง แค่นี้ก็ไม่มีใครกล้ายุ่งกับแฟนต้นแล้ว” ว่าหน้าตายพร้อมกับเอานิ้วโป้งเกลี่ยเช็ดริมฝีปากนุ่มของอีกฝ่าย
“พอเลย คนฉวยโอกาส..” พึมพำกลับไปเบาๆ ผละออกมาหันหลังจะเดินกลับไปที่โต๊ะ อีกคนก็รีบสอดมือจากด้านหลังมาที่เอวบาง แสดงความเป็นเจ้าของเต็มที่
“ไอ้ต้น!” ใครสักคนเอ่ยเรียกเมื่อพวกเขาเดินผ่าน ทั้งสองหันไปมอง ร่างสูงเมื่อจำได้ว่าเป็นเพื่อนที่รู้จักก็ยกมือกล่าวทักทาย
“จะไปหาเพื่อนก่อนก็ได้นะ เดี๋ยวเรารอที่โต๊ะ” เมื่อเห็นอีกคนลังเลเขาจึงว่าอย่่างนั้น
“ไปด้วยกันไหม”
“หือ ไปเถอะ เรารอได้” เมื่อได้ยินดังนั้นอีกคนจึงว่าต่ออย่างเกรงใจ
“เดี๋ยวต้นมานะ แป๊ปเดียวจริงๆ” เมื่อมาส่งเขาที่โต๊ะ เจ้าตัวก็เดินไปทักทายเพื่อน เขามองตามอีกนิดก่อนจะละความสนใจ คว้ามือถือตัวเองขึ้นมากดเข้ากลุ่มแชทของเพื่อนสนิท
“เป็นไงเป็นกันวะ”

ถึงร้ายก็รัก (4)
กีร่า: มึงๆ นอนกันยัง
ธันย่า: ว่า?
แน้ตตี้: ยังจ้าา ว่าไงมึง
หนูอิน: นอนแล้วววว
ธันย่า: มึงนอนแล้วมึงตอบได้ไง อีหนูอิน
แน้ตตี้: 55555
หนูอิน: 555 ว่าแต่มึงมีอะไรกี
กีร่า: คือกูมีเรื่องจะบอก ให้กูพิมพ์จบก่อนนะอย่าพึ่งแทรก

เขาหายใจเข้าออกแรงๆ กลั้นใจพิมพ์จนจบรวดเดียว
กีร่า: คือตอนนี้กูคืนดีกับตั้งต้นแล้ว กูอยู่พัทยากับมัน กูรู้ว่าพวกมึงจะด่ากู แต่ค่อยกลับไปด่ากูวันอาทิตย์เย็นที่บ้านกูนะ เดี๋ยวกูซื้อข้้าวหลามหนองมนไปฝาก รักพวกมึงทุกคนที่สุด
เมื่อกดส่งเขาก็รีบปิดกดเครื่องก่อนที่จะมีสายโทรเข้ามา ถึงจะรู้สึกผิดต่อมันแต่ก็อดหัวเราะไม่ได้เมื่อคิดว่าเพื่อนเขาจะช๊อคมากแค่ไหน รู้ดีว่ามันคงด่าเขาไปเป็นอาทิตย์ แต่ก็แค่อาทิตย์เดียวนั่นแหละ ยังไงเดี๋ยวก็ใจอ่อนให้เขากันอยู่ดี
“ไง” เขาหันไปมองตามเสียง เห็นเจ้าของร้านหน้าตาคุ้นเคยยืนส่งยิ้มมาให้ เขายิ้มเจื่อนกลับไปยังไงก็ยังไม่สะดวกใจอยู่ดีเวลาอยู่กันสองต่อสอง แต่ก็นะยังไงก็ต้องรักษามารยาท เขาขยับตัวเล็กน้อยให้เบาะกว้างขึ้นเป็นการแบ่งที่นั่งให้อีกฝ่าย เบาะยวบลงทันทีที่อีกฝ่ายทรุดตัวลงมา สองมือมีแก้วค็อกเทลสีสวยอยู่ในมือ หนึ่งในนั้นถูกยื่นมาให้เขา
“พี่รู้ว่าครั้งที่แล้วไม่น่าจดจำเท่าไหร่”
เขาแปลกใจกับคำแทนตัวที่เปลี่ยนไปของอีกฝ่าย ถึงจะรู้ว่าอีกฝ่ายอายุมากกว่าหลายปีก็เถอะ แต่คราวที่แล้วเจ้าตัวไม่ได้แทนตัวแบบนี้นี่น่า
“แต่มาเริ่มทำความรู้จักกันใหม่ได้ไหม”
สายตาที่ส่งมาอ่อนโยนปราศจากสิ่งใดเคลือบแฝง ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้เรดาห์จับคนเจ้าชู้ในหัวดังสนั่นหวั่นไหวเมื่อเจอคนตรงหน้า ตอนนี้เขากลับแน่ใจว่าอีกฝ่ายไม่ได้เข้ามาแบบนั้น เขาส่งยิ้มเล็กๆกลับไป ก่อนจะเอื้อมรับแก้วในมืออีกฝ่ายขึ้นมาจิบ
“ผมเองก็ต้องขอโทษ..” เอ่ยออกไปเสียงเบา “ที่ทำตัวเสียมารยาท..ขอโทษนะครับพี่ภู”
อีกฝ่ายส่งยิ้มกลับมา ขยับตัวพิงแผ่นหลังกว้างกับพนักพิง สายตามองไปยังรุ่นน้องที่สนิท
“ดีกับมันแล้วหรอ” เอ่ยถามพร้อมกับยกแก้วในมือขึ้นจิบ เมื่ออีกคนพยักหน้ารับเขาก็ว่าต่อ “เหนื่อยหน่อยนะ น้องพี่มันเป็นคนคิดมาก”
เขาไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ได้แต่ลอบมองคนที่มองแฟนเขาด้วยแววตาเอ็นดู ต้นเคยบอกว่าร๔้จักเพื่อนคนนี้มานาน เป็นคนที่ไง้ใจมากที่สุดคนหนึ่ง ตอนนี้เขาคิดว่าอีกฝ่ายก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน
“มันเจ็บมาเยอะ มันเลยไม่เคยรักใคร ไม่ใช่สิ ไม่กล้าที่จะรักใคร” ภูผาว่าต่อ
“มันอาจจะยังรักไม่ค่อยเป็น แต่พี่รู้ว่ามันพยายามอยู่” คนเป็นพี่หันหน้ามาหาเขา “ให้โอกาสมันหน่อยเถอะนะ”
กีรติเขาพยักหน้ารับ “ผมให้ไปแล้ว” มองคนที่คุยกับเพื่อนหัวเราะร่าอย่างเด็กๆ ตาจ้องมองรอยยิ้มที่นึกอยากให้มันเป็นของเขาตลอดไป
“พี่แน่ใจได้เลยว่า ตราบใดที่เขารักษาสัญญาที่ให้ไว้กับผม ผมจะไม่มีวันทิ้งเขาแน่นอน”

********
อยากได้เฮียภู 555 เรื่องนี้เขียนแล้วหมดพลังมากเลยอ่ะ มันเครียดเยอะ แต่ก็เป็นเรื่องที่ย้อนกลับไปอ่านแล้วชอบที่สุดเลย เขียนเอง อ่านเอง อินเองอี๊ก 555 (>~<) อ่านแล้วเป็นยังไงบ้างค่ะ หวังว่าจะชอบเหมือนกันนะคะ
แล้ว เนี่ยๆๆๆ ถ้าใครไม่ได้อ่านรักมือสองก็จะไม่รู้หรอกว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นระหว่างกีกับเฮียภูรอบที่แล้ว ถึงจะเล่าคร่าวๆในตอน แต่มันจะสู้กลับไปอ่านเองได้ไง ละเอียดยิบกว่ากันเยอะ 555
#ต้นคนรักไม่เป็น
ใครยังไม่ได้อ่านตอนพิเศษอินดินอย่างลืมไปอ่านเด้อ หวานอยู่น้า ~ #รักมือสองอินดิน

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด