ก้าวที่สาม
จุดอ่อน
โปรดเตรียมใจก่อนอ่าน... ความมืดยามค่ำคืนของคณะสถาปัตย์เป็นที่เลื่องลือแต่ยามนี้กลับน่ากลัวน้อยกว่าคนข้างๆ
…ที่ทำให้เขาประหม่าได้มากพอๆกับเพิ่งรู้ว่าจะต้องสอบในรายวิชาที่ไม่ถนัด
เฉกเช่นเดียวกัน การสอบมีคำตอบเป็นตัวเลือก และเวลานี้เขามีเพียงสองตัวเลือกที่จะต้องทำคือ…
ชวนคุย หรือเงียบต่อไปดี แต่ถ้าหากสถานะตอนนี้กำลังเอ่ยเตือนว่าเขาเป็นเพื่อนร่วมรุ่นของมันอยู่ล่ะก็ เขาคงจะต้องหาเรื่องมาคุยกับมันอย่างช่วยไม่ได้
แล้วควรคุย…
เรื่องอะไร?
“เอ่อ…”
“หนาวเนอะ”
ความกล้าที่รวบรวมมาเกือบสิบวินาทีถูกร่างสูงเบรคดังเอี๊ยด เมื่อสายป่านเป็นคนทำลายความเงียบด้วยการเริ่มบทสนทนาก่อน
“เอาผ้าคลุมเรามั้ย”
พูดออกไปด้วยความเป็นห่วง แต่ประเด็นมันอยู่ตรงที่ว่าเขาไม่ได้พกผ้าคลุมไหล่มาเสียหน่อย มันยังคงถูกตากไว้หลังห้องตรงระเบียงตอนนี้และคงรับลมหนาวจนเย็นเยือกถ้าหากมันมีความรู้สึก
“ไม่เป็นไรๆ”
โชคยังดีที่มันปฏิเสธ
เฮ้อ เขาถอนหายใจอย่างโล่งอก ถ้าเกิดร่างสูงบ้าจี้ขอยืมขึ้นมาจริงๆ เขาก็ไม่รู้จะไปเอามาจากที่ไหน
“อีกอย่างนะ”
“ฮะ ว่าไง…ครับ”
คำว่าครับถูกเปล่งออกมาด้วยความลังเล นั่นเป็นเพราะเขาไม่แน่ใจว่าควรจะใส่มันไว้ท้ายประโยคดีหรือไม่
เขารู้ว่าปกติเพื่อนร่วมรุ่นต้องคุยกันแบบไหน แต่เขาไม่รู้ว่าเพื่อนร่วมรุ่นที่ไม่เคยคุยกันจริงจังเลยแบบมัน ต้องคุยแบบไหนต่างหาก
“เวลาพูดกับกู พูดปกติเหมือนพูดกับเพื่อนมึงเถอะ เรารุ่นเดียวกัน”
ปกติแบบที่เขาพูดคุยกับเพื่อนร่วมรุ่นคนอื่นๆสินะ อืม
“โอเค เราจะพูดปกตินะ”
แต่สายตาที่จ้องเขม็งมาแม่งบอกว่าคงไม่โอเค
“เพื่อนสนิทมึงดิ” มันว่า
“อ๋อ ไม่ต้องสุภาพแล้ว”
เป๊าะ มันดีดนิ้วตรงหน้าเขา พร้อมขยิบตาหนึ่งข้างโชว์เท่ห์
“เอ่อ มีอะไรติดหน้ากูป่ะ”
เขาไม่ได้เข้าข้างตัวเองนะ เมื่อเห็นร่างสูงจ้องเขานิ่งอยู่นานเกือบสามสิบวินาที จนเขาต้องร้องท้วง
“เปล่า เอาจริงๆกูรู้จักชื่อมึงนะ แต่แม่งไม่รู้สึกคุ้นหน้ามึงเลยว่ะ”
เขาไม่แปลกใจหรอกที่มันจะพูดแบบนั้น และไม่เสียใจด้วย ไม่ๆ ไม่ได้คิดแบบนั้นจริงๆนะ เปล่าสักหน่อย หัวใจแฟบๆนี้มันไม่ได้เฉาลงเพราะคำพูดของมันเมื่อครู่หรอกนะ
“กูก็ไม่คุ้นหน้ามึงเหมือนกันล่ะ”
เขาว่าเสียงห้วนด้วยอารมณ์ผสมปนเป ทั้งโกรธ น้อยใจ และตื่นเต้น พร้อมแอบเอานิ้วไขว้กันข้างหลัง โกหกจะตกนรกมั้ยเนี่ย
ถ้าเขาไม่คุ้นหน้ามัน ก็ไม่มีใครให้เขาคุ้นเคยอีกแล้วล่ะในคณะนี้ ยกเว้นกลุ่มเพื่อนสนิทที่จำชนิดไฝติดบนหน้าก็จำได้
“ที่กูจำข้อมูลมึงได้ เพราะแม่งโดนบังคับให้ท่อง”
พอมันพูดประโยคนี้มา ความทรงจำเก่าๆก็กลับมาทักทายในหัวเลย ตอนนั้นเป็นช่วงรับน้อง อยู่ในกระบวนการที่เรียกว่าการขัดเกลาสู่สังคมใหม่ อันนี้รุ่นพี่เรียกให้สวยหรูเท่านั้น แต่จริงๆแล้วมันก็คือการว้ากซึ่งเป็นระบบควบคุมคนให้มาทำงานก็เท่านั้นเอง พวกเราทั้งรุ่นถูกสั่งให้ไปจำข้อมูลเพื่อนในรุ่น ซึ่งมีทั้งหมดสามร้อยยี่สิบแปดคน ที่ข้อมูลเป๊ะขนาดนี้เพราะพวกเราใช้ใจจำ มันถึงจำได้ทุกคน เอาจริงๆมั้ย โห โดนว้ากไม่รู้กี่รอบเพราะจำข้อมูลไม่ได้ ทั้งลงโทษ ทั้งสั่งให้ไปทำภารกิจตามคำสั่ง เพื่อแลกกับการขอโอกาสจำใหม่ บลาๆ
จนสุดท้าย ก็ผ่านกันมาได้ ความสำเร็จก็คือช็อปสีน้ำตาลที่เรียกกันว่าผ้าคลุมไหล่เด็กสถาปัตย์ เป็นทั้งสัญลักษณ์แสดงถึงความอดทน รักเพื่อน และเสียสละ และความรับผิดชอบที่จะต้องแบกไว้กับรุ่นในปีที่ขึ้นเป็นปีว้าก
ทุกๆสิ่ง ทุกๆอย่าง แม้เขาจะได้มันมา แต่ก็ไม่ทั้งหมดที่เขาเห็นด้วย หรืออาจไม่ยอมรับไปเลยก็ได้
แต่เขาเชื่อว่า ระบบทุกอย่างมันจะค่อยๆเปลี่ยนไปเป็นรูปแบบใหม่และพัฒนาจากรุ่นสู่รุ่นให้เหมาะสมตามยุคสมัย เขาก็แค่อยากรอดูการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวก็เท่านั้นเอง
“แม่ง มึงชวนคุยหน่อยดิ อย่าเงียบเหมือนกูพูดอยู่คนเดียวได้มั้ยวะ บรรยากาศน่าขนลุกชะมัดคณะเรา”
เขาเห็นด้วยกับสายป่านที่ว่าคณะเราโคตรน่ากลัว นี่ขนาดยังไม่ถึงสี่ทุ่มนะ ยังวังเวงได้ขนาดนี้ เงาต้นไม้ใหญ่พาดทับลงมาที่หลังคาเหมือนปีศาจร้าย แล้วพอลมพัดมาทีก็ปลิวไสวแบบไม่กลัวพวกเราสองคนจะหัวใจวายตายเลย
“งั้น ระหว่างเดินลงบันได ลองมาทวนข้อมูลเก่าๆของเราสองคนดูดีมั้ย”
บันไดทางลงคณะเป็นบันไดยาวสุดลูกหูลูกตา และระหว่างสองข้างทาง ถ้าคิดว่าทางเดินอื่นๆน่ากลัวแล้ว ต้องลองมาเดินชมธรรมชาติยามเย็นย่ำค่ำคืนที่บันไดทางลงนี้ดู ทางที่ดีที่สุดที่จะไม่ต้องมองมันคือหันเหความสนใจไปคุยกับคนที่มาด้วย และเพราะเป็นสายป่านที่เขาโคตรไม่สนิทและไม่รู้จะคุยอะไร เลยหยิบเรื่องข้อมูลเพื่อนขึ้นมาเล่นแล้วกัน
เขามั่นใจว่าตัวเองจำของมันได้ทั้งหมด และจำเป็นอย่างดีด้วย เหมือนเขาเพิ่งเปิดอ่านข้อมูลทั้งหมดเมื่อวันวานยังไงยังงั้นเลยล่ะ
“เล่นเฉยๆแม่งน่าเบื่อ ใครแพ้เลี้ยงข้าวนะ ตกลงป่ะ”
“…”
“เริ่มจากรหัสนะ มึง รหัส 289”
เฮ้ย เขายังไม่ทันตอบตกลงข้อกติกาเลย
แต่ไม่ว่าใครจะแพ้ ถ้อยคำก็ได้สัญญากับเราแล้วว่า ในเร็วๆนี้เขากับสายป่านจะได้เจอกันอีกครั้ง
ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่เขาโคตรดีใจ
“สายป่าน 291”
“สายหน้าตาดี”
พอได้คุยจริงๆแล้ว เขาขอถอนคำพูดที่เคยบริภาษมันไว้ตอนปีหนึ่งว่ามันกวนตีน
เป็นว่ามันโคตรหลงตัวเองแทน
และเขา โคตรหลงมันเลยในเวลานี้
รอยยิ้มเล็กๆที่ปรากฏตรงมุมปากเวลามันเผยยิ้มชวนให้ต้องจ้องมองอย่างไม่อาจหันหนีไปไหนได้
“อืม”
จนเผลอตอบรับเบาๆในลำคอตามคำมันว่า โชคดีที่เสียงมันแผ่วเบาจนไม่มีใครได้ยิน
“เอาโรงเรียนเดิมที่จบมาบ้าง”
แน่นอนว่าพวกเราทั้งคู่ตอบมันได้ แต่ไม่มีใครสงสัยในตัวของกันและกันเลยว่า ทำไมพวกเราถึงยังจดจำสิ่งที่ผ่านมานานเกือบหนึ่งปีเหมือนมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวันก่อนได้แบบชัดเจนขนาดนี้
หรือเพียงเพราะว่า เรานำข้ออ้างที่ไม่มีอยู่ตั้งแต่ต้นมาให้เหตุผลไปแล้ว
ความจริงแล้วเขาคนหนึ่งล่ะที่ไม่เชื่อว่าเพราะคำสั่งรุ่นพี่เขาถึงยังจดจำมันได้ เพราะเขาหลงลืมข้อมูลรายชื่อเพื่อนคนอื่นๆในรุ่นไปหมดสิ้นแล้ว บางคนที่ยังพอจำได้ก็ช่างเลือนรางเหลือเกิน
แม้ปากเขาจะพูดว่าเห็นด้วยกับสายป่านที่ว่าเราท่องจำมันมาเกือบร้อยรอบจนจำได้ และผ่านการทดสอบจากรุ่นพี่
แต่ลึกๆแล้ว เป็นเพราะเขาอยากจำต่างหาก ถึงได้จำได้ และจำจนขึ้นใจ
เหตุผลข้อนี้เขารู้ดีที่สุด
กึก!
เท้าของเราสองคนหยุดลง และเบื้องหน้าคือประตูทางออก ที่ๆเขาทั้งสองจะต้องแยกจากกันตรงนี้
และคำถามสุดท้ายจะตัดสินผู้แพ้ชนะของเกมส์
“ข้อสุดท้ายแล้ว ข้อมูลหอพัก”
โจทย์ที่ใช้ตัดสินมาจากปากของสายป่าน โดยไม่ต้องคิด เขาตอบอย่างมั่นใจ
“หอหกชาย ชั้นสอง ห้อง 219”
พร้อมกับร่างสูงที่สวนกลับมาทันที
“ผิด”
“…”
“ผิดแล้วล่ะ”
มือหนาถือวิสาสะจับมือเขาขึ้นมาแบตรงหน้ามัน แล้วยัดกระดาษสีขาวใบเล็กใส่มา
“นี่ที่อยู่ปัจจุบันกู”
“…”
“เผื่อมึงอยากเลี้ยงข้าวเมื่อไหร่ ก็นัดมาละกัน”
เดี๋ยวนะ สรุปว่าเขาแพ้เหรอ
นี่มันไม่แฟร์นี่ มันไม่ได้บอกสักหน่อยว่าถามที่อยู่ปัจจุบัน เขาเลยตอบที่อยู่ตอนปีหนึ่งออกไป
พรึบ!
โดยไม่รู้ตัว บัตรนักศึกษาของเขาที่หยิบออกมาจากกระเป๋ากางเกงก็ถูกมันฉวยเอาไปไว้ในมือ พร้อมกับโชว์ขึ้นมาโบกไปมาตรงหน้า
“บัตรนักศึกษา เป็นค่าประกัน”
“เฮ้ย เดี๋ยว”
ไม่ทันแล้ว มันหนีไปพร้อมกับบัตรนักศึกษาที่สำคัญที่สุดและมีเพียงใบเดียวของเขา
ทิ้งเขาไว้กับความเงียบสงัด ความหนาวเย็นของลมที่พัดมา และประตูทางเข้าที่กำลังจะปิดลง
เดี๋ยวนะ นี่เขา ต้องรีบวิ่งออกไปใช่มั้ย
ก็เขาไม่มีบัตรให้สแกนออกไปแล้วนี่ เฮ้ยยยยยยยยยยย
❤
ตอนดึกคืนนั้นเขากลับมานั่งคิดย้อนถึงเหตุการณ์ทั้งหมดในวันนี้
เหมือนกับคำถามที่เขาเฝ้าถามตัวเองมาตลอดชีวิตปีหนึ่งว่าเมื่อไหร่ และจะมีสักครั้งมั้ยที่เขากับมันจะได้คุยกันสักหนึ่งประโยค
มาวันนี้คำถามนั้นได้รับคำตอบแล้ว
คำตอบไม่ได้ช่วยให้เขาหายสงสัย ดังเช่นคำตอบทั่วไปในคำถามทั่วไป
กลับกัน มันยิ่งทำให้เขาอยากถามมากขึ้นเรื่อยๆ
จากเมื่อก่อนเขาเฝ้าถามว่าจะมีสักประโยคมั้ยที่เราจะได้คุยกัน
ตอนนี้กลับยิ่งละโมบ และกลายเป็นคำถามใหม่ว่า เราจะได้คุยกันแบบนี้ไปอีกเรื่อยๆมั้ย
คงมีสิ่งเดียวมั้งที่เขายังไม่โลภมากขนาดที่ว่าอยากคุยกันไปเรื่อยๆแบบ…คนรู้ใจ
เขาก็กล้าจะคิดเนอะ
ขอก้าวออกมาจากโลกในมโนทัศน์แล้วมามองความวุ่นวายของโลกแห่งความเป็นจริงก่อนนะ ที่ตอนนี้เดือดได้ที่แล้ว จากการเปิดประเด็นของมายด์ในแชทกลุ่ม
My Mine มันยังไงอ่ะ เด็กนี่คือต้องการอะไรจากสังคมวะ
และคนที่มาปั่นต่อคือฟ้า…
NAMEPHA นี่มึงยังไม่รู้อีกเหรอว่ามันหวังอะไร
ตามมาด้วยจิ๊บ…
จิ๊บ. หวังอะไรก็หวังได้ แต่อย่ามาหวังได้แฟนเพื่อนกูไปแดก
จากที่คบกันมา ไม่ต้องตื่นตกใจ พอรู้สันดานกันแล้วต้องบอกได้เลยว่า มองหน้าแล้วไม่ใช่คนดีสักคน
แม้เราจะเคยพูดแทนชื่อเล่นกับกลุ่มและคนนอกฟังแล้วดูน่ารัก
แม้ยุคหนึ่งเราจะเคยพูดแทนสรรพนาม เรากับเธอ จนอาจกระดากปากบ้างในบางที
และแม้บางครั้งในสายตาเพื่อนร่วมรุ่นเราอาจจะเคยดูเป็นกลุ่มคนที่สุภาพที่สุด
แต่อย่าได้ถามหาความสุภาพตลอดไป เพราะพอขึ้นปีสอง แต่ละคนก็เหมือนลืมมันไว้ที่บ้านกันหมด
ไม่เว้นแม้แต่ตัวเขาเอง
My Mine คือไม่ใช่อยากมีเรื่องเว้ยมึง แต่มาเม้นใต้โพสต์กูทุกโพสต์ มาเม้นแซะ คืออะไรวะ ออกตัวแรงไปมั้ย
เขารีบกดเข้าไปดูกลัวตามเพื่อนไม่ทัน ไม่ใช่อะไร เรียกว่าเสือกนั่นเอง
และโพสต์ล่าสุดของมายด์ก็ตอบโจทย์ความเผือกของเขาได้เป็นอย่างดี
มันเป็นภาพบรรยากาศในมอ ที่มีต้นไม้ และท้องฟ้าสีคราม พร้อมแคปชั่นธรรมดาๆของเพื่อนเขาว่า…
ต้นไม้ ท้องฟ้า แสงแดด คนกดไลค์ก็ปกติธรรมดา และมันจะไม่มีอะไรเลยถ้าหากว่าไม่มีเม้นหนึ่งที่อ่านแล้วค่อนไปทางลบแบบสุดๆ
บางอย่างก็เหมือนกับ ต้นไม้ที่ขึ้นทั่วไปนะคะ ที่แม้จะเอาชื่อไปเขียนติดไว้ แต่สุดท้ายมันก็ไม่ใช่ของใครอยู่ดี พบคนเชื่อมโยงเก่งแบบผิดๆหนึ่งอัตรา
ตึ๊ง
และในขณะที่เขากำลังจะเข้ากลุ่มแชทไปปั่นไฟให้โหมกระหน่ำเป็นประเด็นต่อความยาวสาวความยืด ร่วมด้วยช่วยกันกระพือลมให้ไฟลุกท่วมกลุ่ม ก็มีบางสิ่งบางอย่างดึงความสนใจไป
ไม่ใช่ใครที่ไหน
ไม่มีอะไรน่าสนใจพอให้เขาออกมาจากแชทกลุ่มได้ ยกเว้น…
สายป่าน 291 ที่ขึ้นแจ้งเตือนว่ากำลังไลฟ์ในเฟซบุ๊กอยู่
“ไอ้เหี้ยป่าน แม่ง เมาแล้วเรื้อนค้นกระเป๋าตัวเองว่ะ”
เป็นภาพที่ต้องขึ้นแจ้งเตือนว่าเด็กอายุไม่เกิน 18 ปี ควรได้รับคำแนะนำ ปกติคนกินเหล้ามันไม่มีใครเข้ามาดูหรอก เว้นเสียแต่ว่ามันจะเป็นไอ้สายป่านที่หน้าตาดีโคตรๆ เพราะแม้ลึกๆจะรู้ว่าเป็นเรื่องเหลวไหลแต่เราก็ปฏิเสธตรรกะที่ว่าคนหล่อทำอะไรก็ไม่น่าเกลียดไม่ได้อยู่ดี
ก็คนหล่อ เมาแล้วโคตรน่ารัก
“เฮ้ยๆ มึงจะควักเงินออกมาเปย์สาวเหรอวะ”
เพื่อนแทบห้ามไม่ทันเมื่อสายป่านทำท่าจะหยิบเงินในกระเป๋าสตางค์ออกมาโปรยเล่น
โชคยังดีที่เพื่อนของมันเก็บไปไว้ได้ก่อน ไม่งั้นเสียป่านก็เสี่ยป่านเถอะ ตื่นมาขนหน้าแข้งร่วงแน่ๆ ไม่รู้เงินทั้งกระเป๋าหายไปไหน
ใครจะหาว่ามันอวดรวยแกล้งเมาโชว์เงินในไลฟ์ยังไง แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมาเราทั้งรุ่นต่างรู้ดีถึงกิตติศัพท์ของฉายาเสี่ยป่าน ที่เพื่อนร่วมรุ่นทุกคนต่างมอบมงและเรียกขานด้วยความภาคภูมิใจที่มีคนแบบนี้ในรุ่นเพราะเท่ากับว่าหากเราหาสปอนเซอร์ที่ไหนไม่ได้ สปอนเซอร์วงในก็พร้อมซัพพอร์ตตลอดเวลา นั่นคือเสียป่าน เสี่ยที่แท้ทรู คนรวยสองพันสิบแปดที่แท้จริงของเราชาวสถาปัตย์นั่นเอง
“เดี๋ยวๆ แม่งจับมือมันไว้ดิ๊ เลื้อยไปนั่นมานี่”
ในเมื่อผองเพื่อนไม่ยอมให้มันค้นกระเป๋าตัวเอง มันเลยหันไปหยิบกระเป๋าผ้าสีเทาที่ข้างๆเก้าอี้นั่งขึ้นมา
และเริ่มเอาของแต่ละชิ้นในกระเป๋า ออกมาตั้งโชว์ในวงเหล้า
อาจเป็นของที่ดูธรรมดาเช่น กระเป๋าดินสอ ปากกา แต่รวมๆแล้วราคาเหยียบหมื่น
“ได้ มึงจะทำอะไรก็ทำเลย กูยอมแพ้”
“นี่ของกู”
สายป่านเริ่มหยิบของในกระเป๋าดินสอออกมาแล้วชูขึ้นหากล้อง
อันแรกเป็นยางลบ
“นี่ของกู”
ต่อมาคือบัตรนักศึกษาของมัน
และตามมาด้วยบัตรประชาชนที่แม่งคิดได้ไงเอาทั้งสองไปไว้ในกระเป๋าดินสอวะ
ไหน เขาจะรอดูว่ามันจะเอาอะไรพีคๆไปยัดไว้ในกระเป๋าดินสอได้อีก
อาจจะเป็น แว่นตาแฟชั่นมั้ย หรือประติมากรรมนูนสูงรูปปั้นเทพีเสรีภาพขนาดเล็กมั้ย หรือจะเป็น…
“นี่ก็ของกู”
บัตรนักศึกษาของเขาที่มันยึดไปได้เมื่อตอนค่ำ
งั้นเหรอ
!!!
“เดี๋ยวนะ นี่มึงไปฉกบัตรใครมาวะ”
สายป่านไม่ตอบ แต่กลับหันมาหากล้อง แล้วย้ำประโยคเมื่อครู่ที่ออกมาจากปากมันอีกรอบว่า…
“นี่ของกู”
แล้วใช้มืออีกข้างที่ว่างชี้นิ้วเป็นการบอกว่าหมายถึงบัตรนักศึกษาของเขาที่มันถือโชว์อยู่
“เดี๋ยวๆ ไอ้ฉิบหาย”
“แม่งไปเอาบัตรใครมาวะ”
“ของกูๆๆๆๆๆๆๆ”
ภาพในจอสั่น เหตุเพราะสายป่านกำลังยื้อแย่งกล้องไอโฟนของมันจากคนที่ถืออยู่
แล้วภาพก็ดำสนิท กับข้อความสีขาวที่ปรากฏขึ้น…
สิ้นสุดการไลฟ์ มันไปแล้ว…
แต่หัวใจที่ยังเต้นแรงไม่เป็นส่ำบอกกับเขาว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันไม่ใช่แค่ชั่วฝันตื่น
ชั่ววูบหนึ่งเขาหลงดีใจกับคำว่าของกู ที่อีกฝ่ายพูด
เพราะเขามั่นใจมานานแล้วว่าหัวใจดวงนี้เป็นของสายป่าน
และตัวเขาเองก็เป็นของสายป่าน
เป็นของสายป่านคนเดียว
ใช่แล้วล่ะ มันไม่ใช่ความฝันก็จริง แต่มันก็ไม่อาจเป็นความจริงได้เช่นเดียวกัน
บางครั้งคนเมาก็พูดสิ่งที่อยู่ในจิตใต้สำนึก
แต่บางครั้ง คนเมาก็ไม่ได้พูดความจริง
My Mine สรุปจะเอายังไงพูด
แชทกลุ่มเด้งขึ้นมา เขาเกือบลืมไปเลยว่าเพื่อนกำลังมีประเด็น
Mod Kittikun ยังไม่จบเรื่องแย่งแฟนอีกเหรอ
My Mine มึงน่ะสิแย่งแฟน ใครแย่งใคร เขาเคลียร์กันจบไปตั้งแต่ข้อความไหนแล้ว
Mod Kittikun อ้าว
จิ๊บ. งดเรื่องไร้สาระก่อน ตอนนี้วิชา 205 เซคของอาจารย์ประภาภรจะเอาไงอ่ะ ย้ายมั้ย หรือจะไม่ลงตัวเมเจอร์แล้ว เวลามันชนกัน
อ๋อ เปิดประเด็นใหม่แล้วว่างั้น
Mod Kittikun กูว่าลงตัวเดิมแหละ กลัวย้ายแล้วไม่ติดอีกแย่เลยนะ
ระบบมอนี้จะแปลกๆหน่อย ตรงที่ประมวลผลเป็นแบบสุ่ม คือไม่ว่าใครจะลงก่อนหรือลงหลัง ก็มีสิทธิ์ลงเรียนติดในกระบวนวิชานั้นๆเท่าๆกัน
และเขายังไม่พร้อมจะเสี่ยงโชคในเทอมนี้
NAMEPHA ช้าไปแล้ว กูไปเม้นชื่อเราในกลุ่มรุ่นแล้ว
ฟ้ากลับมาพร้อมรูปที่แคปเอาไว้
มีใครจะลงตัวเมเจอร์มั้ยครับ อาจารย์ขอรายชื่อเพื่อเปิดเซคให้เราเรียน
เขาเห็นตั้งแต่เมื่อวานแล้วล่ะ แต่เลื่อนผ่านๆไป พอวันนี้มาดูชัดๆอีกที มันเป็นโพสต์ที่โพสต์โดยสายป่าน
และเม้นตอบล่าสุดคือคอมเม้นของฟ้าที่ไปเม้นตอบชื่อของพวกเรา
เท่านั้นล่ะ แชทกลุ่มก็เต็มไปด้วยความวุ่นวายจากการแย่งกันพิมพ์แซวใครบางคนที่อ่านดูก็รู้ว่ามันคนนั้นคือเขาเอง
My Mine ฮั่นนนนนน มีคนเงียบไปว่ะ มันเกิดอะไรกับหัวจายยยยยยยย
NAMEPHA เฮ้ยไม่ต้องเขิน จะได้เรียนเซคเดียวกันแล้ว
จิ๊บ. วี๊ดดดด กูเขินแทนได้มั้ย ต้องจองที่นั่งล่วงหน้าไว้มั้ย แต่มีคนคิดจะจองที่นั่งคู่กันว่ะ
Mod Kittikun พวกมึงคิดกันไปเอง
นั่งแชทกันอยู่คนละที่นะ แต่ไหงกลับตอบมาพร้อมกันได้ว่า
เหรออออออออออออออออออออ !!!
❤
ตอนเช้าเขามีเรียนสองวิชา แต่เป็นสองวิชาที่แม่งทำไมต้องมีสามชั่วโมงเป็นกึ่งกลางขั้นไว้ด้วย จะกลับไปหลับที่ห้องก็ยังไงอยู่ ขี้เหนียวด้วยแหละเปลืองน้ำมัน แต่ความขี้เกียจขี่รถกลับมันมีมากกว่า ไม่อยากคิดเลยว่าท้องถนนเวลาเร่งรีบแบบนี้คงเต็มไปด้วยรถราที่เบียดกันแน่น ถ้าขับรถกลับหอ พอไปถึงคงจวนจะหมดเวลาพักแล้วล่ะ
เลยตัดสินใจมานั่งที่ใต้ตึกคณะ กินลมชมวิว เจอคนรู้จักผ่านมาก็ทักทายกันตามประสา
แล้วก็พบว่าตัวเองคิดผิดจริงๆที่ไม่กลับหอ
“มดดดดดดดดดดด”
เพราะงานวุ่นๆกับเรื่องหนักใจได้ตามมาหลอกหลอนถึงที่นี่แล้ว
“ฮาโหลววววววว ทำหน้าเหนื่อยหน่ายแบบนั้นทักทายเพื่อนเหรอคะมึง”
พร้อมๆกับการปรากฏตัวของเพื่อนสาวประเภทสอง ที่เขาไม่อยากเจอที่สุดในรั้วมหา’ลัย
“ดูว่างๆเนอะปีสอง มีเรียนกี่ตัวอ่ะ”
มาถึงมันไม่พูดพร่ำทำเพลง รีบถามตารางเรียนเขาก่อนเลย และเขารู้ว่ามันหมายถึงอะไร
“สองตัว แค่วันนี้ วันอื่นๆตารางแน่นเอี๊ยด รีบเก็บหน่วยกิต กลัวไม่จบ”
“แหม แต่วันพุธ เสาร์ และอาทิตย์ก็ว่างเหมือนเดิมใช่มั้ยล่ะ”
มันเบียดกระแซะเขาเข้ามา พร้อมทำเสียงอ้อนี่เขาฟังแล้วลงความเห็นว่าอ้อนตีนที่สุดในโลก
“ไม่เอา ไม่ทำอีกแล้ว เหนื่อย”
“เฮ้ยย่ะ อย่าตัดรอนกันแบบนี้สิพ่อ”
มันเอานิ้วชี้จิ้มจึ๊กๆที่แขนเขา ขนาดกระเถิบหนีมันยังตามมาจนเขาจะตกม้านั่งอยู่แล้ว
“ให้ปีหนึ่งทำ งานของปีหนึ่ง”
เขาเหนื่อยจริงๆนะ และไม่อยากทำงานนั้นอีกแล้ว มันไม่มีเวลาว่างทำเหี้ยอะไรเลย ตกเย็นซ้อม ซ้อมจนดึก เช้าก็เข้าเรียนตามปกติ เพราะไม่อยากโดดกลัวเสียการเรียน ชีวิตวนเวียนแบบนี้ จนไม่มีเวลาไหนที่เรียกว่าเฟรชชี่จริงๆเลย
ชีวิตเด็กกิจกรรมในรั้วมหา’ลัยมันแตกต่างจากตอนมัธยมแบบสุดขั้ว ทั้งกดดันจากรุ่นพี่ กดดันจากผลงานว่าจะทำออกมาได้ดีมั้ย รองรับอารมณ์คนมากมาย
และสุดท้ายออกมาร้องไห้คนเดียวที่หน้าตึก
เขายังจำเหตุการณ์ในวันนั้นได้ดีเลยล่ะ
มันโคตรท้อ เหนื่อย แล้วก็ย้ำถามตัวเองหลายๆรอบว่าเขามาที่นี่เพื่อมาทำอะไร มานั่งร้องไห้แบบนี้เหรอ สภาพดูไม่ได้ เหมือนศพ โทรมก็โทรม
แถมยังมาโดนด่าถ้างานออกมาไม่ดีพออีก
“แต่ละครเวทีจะขาดผู้ช่วยผู้กำกับไม่ได้นะ”
ใช่ ใช่แล้วล่ะ
งานที่เขาหลวมตัวไปทำตอนปีหนึ่งคืองานละครเวทีที่จัดประกวดในนามของคณะกรรมการหอพักนักศึกษา หรือก็คือหอพักอาศัยที่จัดไว้ให้นักศึกษาที่เราเรียกว่าหอใน เป็นผู้ส่งเสริมโครงการ และรณรงค์ให้เด็กๆกล้าคิด กล้าทำ ด้วยการแสดงต่อหน้าสื่อผ่านละครเวทีที่จะสามารถแสดงศักยภาพของนักศึกษาออกมาผ่านทุกบทบาท เรื่องราว และความคิดที่ใส่ไว้ในละครเวที
ฟังดูสนุกมากๆนะ แต่คนทำเบื้องหลังมันทั้งเหนื่อย แล้วก็โคตรท้อใจ แต่พอเห็นว่ากระแสตอบรับ และฟีดแบคที่ส่งกลับมาดีจนถึงดีมากๆ แค่นี้ก็พอทำให้เขาลืมว่าตลอดวันเวลากว่าจะมาเป็นละครเวทีเรื่องๆหนึ่งที่แสดงออกมาให้คนดูได้ชื่นชม มันต้องผ่านอะไรมาบ้าง
รอยยิ้ม หยาดเหงื่อ หยดน้ำตา
ที่พูดมาไม่มีอะไรเกินจริงเลย
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเขาได้เพื่อนได้พี่ก็เพราะงานนี้นั่นแหละ
รวมทั้งเพื่อนที่แสนดีต่างคณะ และตลกโปกฮาแม้จะมีช่วงเวลาที่ทำให้เขารำคาญไปบ้างอย่างโฟร์ ศึกษา ด้วย
“งั้นก็ช่วยไม่ได้สินะ ในเมื่อมึงยืนกรานหนักแน่นขนาดนี้”
มันปล่อยแขนเขาให้เป็นอิสระ แล้วก้มลงกดไอโฟนจึ๊กๆ ปากก็พึมพำเบาๆ แต่ดังพอให้เขาได้ยินว่า…
“ทำยังไงดีว้า แล้วจะเข้าทางเดือนคณะสถาปัตย์ยังไงดี”
“อะ อะไรนะ”
หูผึ่งทันที เมื่อได้ยินคำว่าเดือนคณะสถาปัตย์
“ก็ปีนี้ ว่าจะชวนสายป่านมาเป็นเกสต์ของเราน่ะสิ กะว่าถ้าชวนมึงมาทำละครด้วยกันได้ ก็ให้มึงไปโน้มน้าวสายป่านมา”
มันจีบปากจีบคอพูด นึกว่าเขาไม่รู้กลลวงของมันเหรอ
“ตกลงจะเอาสายป่านเป็นเกสต์ปีนี้จริงๆใช่มั้ย”
แม้จะรู้ว่าเขากำลังตกหลุมพราง แต่มันก็ช่วยไม่ได้ถ้าเป็นเรื่องของสายป่าน
“อือ ว่าไงจ๊ะ เปลี่ยนใจมาเป็นผู้ช่วยผู้กำกับให้พวกเราหรือยัง”
เอาสายป่านมาล่อเขาให้ตอบตกลง
เพื่อนโฟร์ มึงร้ายกาจจริงๆ
“ขอสวัสดิการดีๆก็แล้วกัน”
แล้วเขาจะไปไหนรอด
นอกจากก้าวลงหลุมที่มันขุดไว้ด้วยความจำยอม
ยิ่งมีคนรู้จุดอ่อนของเรามากเท่าไหร่ มันยิ่งไม่ใช่เรื่องดีเลยจริงๆ
- T B C . -พอโดนล่อด้วยสายป่านนี่ใครจูงไปไหนไปหมดเลยนะมด 555
พบกันอาทิตย์หน้าหน้า นะคะ เพราะมิวติดสอบ แง้ววววววว