ตอนที่ ๑๑
สองทุ่มครึ่งแล้ว และแม้ว่าเรื่องระหว่างวิริยะกับเชษฐ์ไชยจะลงเอยด้วยความเข้าใจกัน แต่เอาเข้าจริงเด็กหนุ่มรู้สึกแปลก วางตัวไม่ถูกเมื่อเห็นว่าเจ้าของสถานที่แห่งนี้ยังทำเป็นไม่รู้ร้อนรู้หนาว ไม่ยอมกลับไปที่พักของตัวเองสักที
เด็กหนุ่มเริ่มหาวเพราะตื่นตั้งแต่เช้า ยังไม่ง่วงนอนมากมายนักแต่ก็อยากนอนเล่นไปพลาง ๆ ก่อน แทนที่จะนั่งหลังแข็งมองคนหน้าหนวดตรงหน้าอย่างนี้ จู่ ๆ มีใครมานั่งจ้องตอนทำตัวสบาย ๆ เป็นใครก็ต้องรู้สึกเกร็งกันทั้งนั้น
“อาเชษฐ์ จะกลับรึยังครับ” เด็กหนุ่มถามขึ้น มองชายตัวใหญ่หน้ารกทำไม่รู้ไม่ชี้นั่งเขี่ยโทรศัพท์ไปเรื่อย
“ยัง ฝนยังตกอยู่เลย”
วิริยะถอนใจ “แต่ผมง่วงแล้วอ่ะ”
“ง่วงก็นอนสิ นอนเลย” เชษฐ์ไชยพยักพเยิดหน้า หากทว่าวิริยะกลับรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา
“ฝนตกแค่ปรอย ๆ เองนะครับ”
เจ้าของนัยน์ตาคมผละไปมองเด็กหนุ่ม “ทำไม อยากไล่ฉันออกไปเพราะนัดใครไว้รึไง”
“บ้า ไม่มีหรอก” วิริยะรีบตอบเพราะบริสุทธิ์ใจจริง ๆ เด็กหนุ่มมุ่ยหน้าเดินไปกางมุ้งและที่นอนเสร็จสรรพเป็นการไล่เชษฐ์ไชยโดยอ้อม บอกอีกฝ่ายว่าเขาอยากนอนเต็มแก่แล้ว แม้ว่าจริง ๆ ยังไม่ได้ง่วงขนาดนั้นก็เถอะ ซึ่งเมื่ออีกฝ่ายเห็นดังนั้นแทนที่จะลุกขึ้นล่ำลาหรือพูดอะไรสักอย่าง กลับเมินเฉยต่อเขาแล้วหมกมุ่นกับโทรศัพท์ในมือเสียอย่างนั้น
เสียงฟ้าร้องดังครืนอยู่ที่ไหนสักแห่ง แล้วฝนก็กระหน่ำลงมาใหม่ราวกับเป็นใจให้เชษฐ์ไชย จนวิริยะต้องถอนใจ หงุดหงิด “อาเชษฐ์อย่าเล่นโทรศัพท์ได้ไหม ไม่เห็นเหรอว่าฟ้าร้องอยู่ ฝนก็ตกอีกแล้ว ผมไม่ชอบ…”
พูดไม่ทันจบดี ไฟฟ้าทั้งหมดในบ้านก็ดับพรึ่บลง ทำเอาวิริยะเท้าชาวาบเพราะตกใจ เชษฐ์ไชยทำตามที่เด็กหนุ่มพูดอย่างว่าง่าย ปิดเครื่อง แล้วโยนมันไปที่ไหนสักแห่งในความมืดมิดของห้อง ท่ามกลางเสียงฝนเทกระหน่ำลงบนหลังคา
“อาเชษฐ์…”
วิริยะขานชื่อชายหนุ่มอยู่อีกมุม หากทว่าเชษฐ์ไชยไม่ได้ตอบในทันที “อาเชษฐ์ครับ…”
“อะไรเล่า เรียกทำไม”
“อยู่ตรงไหน” เสียงวิริยะอยู่ใกล้ ไม่ทันได้ตอบมือยาว ๆ ก็ควานมาแตะถึงตัวของชายหนุ่ม พร้อมกับเสียงถอนหายใจของคนกลัว โล่งอกที่เจอเขาจนได้ เชษฐ์ไชยยกยิ้มเมื่อรู้เช่นนั้น สัมผัสได้ว่าวิริยะทิ้งก้นนั่งข้างกายเขา ข้างกายชนิดที่ว่าเกือบจะนั่งอยู่บนตักแล้ว
ชายหนุ่มทำท่ารำคาญ พูดออกไปว่า “อะไรเนี่ย จะมาเบียดทำไม ร้อน”
วิริยะกระเถิบออกเล็กน้อยเท่านั้น “ร้อนตรงไหน อากาศเย็นจะตาย”
“แล้วจะมาเกาะแกะทำไม ที่นั่งมีเยอะแยะ”
“เดี๋ยวอาเชษฐ์กลัวไง” วิริยะทำเสียงล้อเลียน
“ใครกลัวกันแน่มิทราบ”
“หาว่าผมกลัวเหรอ ผมไม่ได้กลั๊ว” วิริยะบอกเสียงสูง เรียกรอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าของเชษฐ์ไชยอย่างเสียไม่ได้ ดีหน่อยที่ว่าตอนนี้ไฟดับจึงสามารถกลบเกลื่อนท่าทีตอนนี้ได้สนิท ไม่นานก็ได้ยินเสียงไฟฟ้าแล่นเข้ามาที่หลอดไฟด้านบนดังแกร๊ก และพัดลมที่เริ่มหมุน
“อุ๊ เหมือนไฟจะมาแล้วเลยอาเชษฐ์” วิริยะเขย่าแขนกำยำคนอายุมากกว่าอย่างดีใจและโล่งอกในคราเดียวกัน เมื่อเห็นไฟฟ้ากำลังกะพริบติดและพัดลมหมุน กระทั่งห้องทั้งหมดสว่างโร่แล้ววิระยะหันไปหาคนนั่งข้างที่ไม่สนองตอบต่อความดีใจของเด็กหนุ่ม ทว่า วิริยะเห็นใบหน้าของเชษฐ์ไชยตอนนี้ตาเหลือกเหลือเพียงตาขาว และหนังตาถูกพับปลิ้นขึ้นเป็นผีหลอกอยู่ “อ๊ากกกก!”
วิริยะร้องเหวอแล้วกระเถิบออกห่าง ตกใจท่ามกลางเสียงหัวเราะพอใจของคนอายุมากกว่าที่แกล้งได้
“อาเชษฐ์ ทำบ้าอะไรวะนั่น เอาตาลงดี ๆ เลย!” วิริยะกุมอกตัวเองเมื่อเรียกสติได้ หน้าจ๋อยเหลือสองนิ้วสิ้นลายคนอวดเก่ง ซึ่งเชษฐ์ไชยยังคงหัวเราะชอบใจ พูดว่า “ก็เห็นว่าคนแถวนี้ไม่กลัวผี”
“เป็นใครก็ตกใจมั้ย” เด็กหนุ่มยู่หน้า ลุกขึ้นยืน “กลับไปนอนเลย นี่มันถึงเวลานอนผมแล้ว”
“ฝนมันยังตกอยู่เลย”
“เอาไอ้นี่ไปใส่ก็ได้ ฝนตกเม็ดเล็ก ๆ เอง” วิริยะเดินไปหยิบถุงพลาสติกใส่ของที่ได้มาช่วงออกไปซื้อขนมกับดำ แล้วพับหูมันขึ้นเป็นหมวก ยกขึ้นไปครอบสวมให้คนตัวใหญ่กว่าที่นั่งอยู่บนพื้นอย่างเสร็จสรรพ “มันจะได้ยินเสียงป๊อกแป๊ก ๆ หน่อย แต่เหมาะกับอาเชษฐ์มากเลยนะ” คนตัวเล็กกว่ากลั้นขำบอกพลางยกนิ้วโป้งให้
“เพื่อนเล่นเหรอ”
เด็กหนุ่มที่กำลังสนุกยิ้มแหย ยอมเป็นคนถอดให้เองเมื่อได้ยินเช่นนั้น “ก็แค่หวังดีไง กลัวไม่สบายอะไรงี้”
“อ๋อ งั้นให้ค้างที่นี่สิ”
“อืม” เด็กหนุ่มพยักหน้า แล้วเหลือกตาย้อน “ห๊า...”
“ก็ไม่ได้อยากค้างหรอก แต่ฝนมันตก เดี๋ยวไม่สบาย เห็นอย่างนี้กระหม่อมฉันบางนะ…” พูดแล้วเชษฐ์ไชยก็เดินตรงไปยังที่นอนที่วิริยะตระเตรียมไว้ ถือวิสาสะมุดเข้าไปทิ้งตัวลงนอนภายในมุ้งสีฟ้าของเด็กหนุ่มราวกับว่ารอช่วงเวลานี้มานานมาก วิริยะหน้าเหวอ ไม่เข้าใจความคิดและการกระทำอันสวนทางของคนอายุมากกว่าตรงหน้าสักเท่าไร ซึ่งใครจะไปยอมให้ทำเช่นนั้นโดยง่ายกัน
ใครจะไปเชื่อว่าเชษฐ์ไชยจะไม่สบายเพียงแค่เพราะตากฝนนิด ๆ หน่อย ๆ ดูขนาดตัวสิ เด็กหนุ่มคิดแล้วมุดเข้าไปดึงให้คนตัวยักษ์ลุกขึ้นนั่ง “ไม่ได้ นี่มันที่นอนผม อาเชษฐ์ก็กลับไปนอนที่ห้องอาเชษฐ์สิ”
คนถูกเรียกทำหน้ารำคาญ “ก็ฝนมันตกไง พูดให้มันรู้เรื่องหน่อยสิ”
“ก็ตัวเองนั่นแหละพูดไม่รู้เรื่อง ที่นอนมันแคบจะนอนตรงนี้ได้ยังไง ผมทำงานหนักมาทั้งวัน อยากพักผ่อนแบบเต็มอิ่มจะได้มีแรงทำงาน ไม่ยกที่นอนให้อาเชษฐ์หรอกนะ กลับไปนอนบนเตียงนุ่ม ๆ ของตัวเองโน่น” วิริยะพูดพลางดึงแขนให้เชษฐ์ไชยขยับออกมานอกมุ้ง หากทว่าร่างใหญ่ไม่สะทกสะท้านกับแรงของเด็กหนุ่มเลยแม้แต่น้อย
ซึ่งเชษฐ์ไชยจะไม่มีทางยอมกลับไปแน่ หากเขายังไม่ได้รู้ว่าวิริยะนัดกับใคร และนอนกับใครตลอดช่วงที่ผ่านมา ชายหนุ่มนึกอะไรขึ้นมาได้จึงรีบพูดออกไปว่า
“เวลาฝนตกไฟมันชอบดับทั้งคืนเลย”
คนตั้งหน้าตั้งตาไล่เขาชะงักไปพักหนึ่ง แล้วละมือที่กระตุกดึงแขนหยุดชั่งใจอยู่ชั่วครู่ราวกับไม่เชื่อ แต่ก็ไม่ได้พยายามไล่เชษฐ์ไชยอย่างเคย
“ถ้าไม่ว่าอะไร เดี๋ยวของีบรอก่อนก็แล้วกัน ถ้าฝนหยุดตกเมื่อไรฉันจะกลับ”
ถ้ามันตกทั้งคืนจะทำยังไงเล่า วิริยะทำหน้างอพูดไม่ออก แต่ก็ไม่กล้าไล่ให้ไปตรง ๆ “ก็ได้…”
แม้ว่าภายนอกจะได้ยินเสียงเปาะแปะของเม็ดฝนที่ตกลงมาบนหลังคาอยู่ตลอด แต่ภายในที่มืดสลัวนั้นกลับเงียบไร้เสียงสนทนาอะไรทั้งสิ้น ยาวนานมาราวครึ่งชั่วโมงแล้ว วิริยะห่มผ้าห่มพลิกตัวนอนตะแคงหนี ไม่ยอมให้เชษฐ์ไชยนอนบนฟูกร่วมกันกับเขา ให้นอนในมุ้งแต่อยู่บนเสื่อน้ำมันเท่านั้น ซึ่งเมื่อดับไฟแล้ว ในห้องก็เกิดแสงสะท้อนสาดเข้ามาจากข้างนอกจนเห็นอยู่ลาง ๆ ว่าคนตัวใหญ่นอนหันหน้ามาทิศนี้
อีกฝ่ายนอนหนุนแขนตนเอง ไม่มีหมอนและผ้าห่ม นอนบนเสื่อน้ำมันเปล่าในมุ้งเดียวกันเท่านั้น เด็กหนุ่มไม่เข้าใจว่าเหตุใดเชษฐ์ไชยจึงไม่เรื่องมาก จะมีก็แต่เขาที่นอนเหงื่อแตกแต่ไม่กล้าออกจากผ้าห่ม ไม่กล้าที่จะหลับ
แต่อยู่ในความคิดเพียงครู่เดียวเท่านั้น วิริยะรู้สึกถึงลมอุ่นร้อนรดอยู่ที่หลังคอและใบหู
“อาเชษฐ์”
“หืม…” เสียงคนขานตอบเบาคล้ายใกล้จะหลับอยู่เต็มที แต่สามารถบอกวิริยะว่าอยู่ใกล้แค่คืบเดียวเท่านั้น เด็กหนุ่มเหลือกตาตกใจขึ้นกว่าเก่า “ลงไปนอนที่เดิมเลย”
“ก็พื้นมันแข็ง” คนพูดใช้เสียงอู้อี้
“มันเบียด”
“เดี๋ยวก็กลับแล้ว แค่แป๊บเดียวเอง” ได้ยินที่เชษฐ์ไชยบอกแล้ววิริยะอยากจะบ้า นี่มันแป๊บเดียวแบบไหนของเชษฐ์ไชยกัน ผ่านมาเป็นชั่วโมงแล้วไม่มีทีท่าว่าจะกลับเลยแม้แต่นิด เด็กหนุ่มมุ่นคิ้วขยับตัวกลับมานอนหงายเพราะอยากได้ที่นอนคืน ดุนดันให้คนตัวใหญ่กว่ากลิ้งออกไปจากฟูก แต่ที่ไหนได้ เมื่อคนนอนตะแคงหันมาทิศนี้ทำท่าจะหงายหลังไป มือกลับไวยิ่งกว่าสามจี เอื้อมมารั้งตัวกอดวิริยะเป็นหลักไว้ได้ทัน
เด็กหนุ่มพูดไม่ออกเมื่อกลายเป็นว่าถูกกอดเอาเสียได้ และระยะที่ใบหน้าคมคายในเงาสลัวอยู่นั้น ใกล้จนเขาต้องหยุดหายใจไปพักหนึ่ง แต่ไม่นานวิริยะก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าไม่ควรอยู่ในท่านี้นานนัก มันออกจะรู้สึกแปลก ๆ ไปหน่อย เด็กหนุ่มรีบลุกขึ้นนั่งปัดไล่ความรุมร้อนออกจากแก้ม แล้วหันไปหากอริลล่าตัวใหญ่ด้านหลัง “ไม่ไหวแล้วนะอาเชษฐ์ ถ้าจะนอนก็นอนที่ตัวเองสิ”
“ก็ไม่ได้อยากนอนด้วยนักหรอก แต่พื้นมันแข็งไง”
“ถึงได้บอกให้กลับไปนอนที่บ้านไงล่ะ”
“แต่ฝนมันตกนี่…”
“อาเชษฐ์ตัวเท่าควายจะไม่สบายง่าย ๆ แบบนี้น่ะเป็นไปไม่ได้หรอก”
“ก็มันเป็นไปแล้ว เนี่ย ตัวเริ่มร้อนแล้วเนี่ย…” ไม่พูดเปล่า ดึงหลังมือวิริยะไปแนบลำคอด้วย
“โว้ย…” เด็กหนุ่มกระตุกแขนกลับไปไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาพูดเพราะหน่ายใจ
“ไม่ดีรึไง ฉันอุตส่าห์ยอมนอนเป็นเพื่อนด้วย เกิดเจอดีขึ้นมาจะได้ไม่ต้องกลัว” คนพูดตีหน้ามึนไม่รู้สึกรู้สา
“ไม่กลัวหรอก ผมมีเพื่อนนอนแล้ว” วิริยะพูดตามตรงเพราะสุดทน แต่นั่นทำให้นายใหญ่ของไร่รุ่งอรุณีหน้าตึงขึ้นมา จากอารมณ์ดี ๆ ก็พลันมีน้ำโหหลังจากได้ยินกับหู ได้ฟังจากปากของวิริยะ คนตัวใหญ่ลุกขึ้นนั่งหลังตรงเพราะเริ่มอยู่ไม่ติด มองใบหน้าขาวใสภายใต้แสงสลัวของห้องสีหน้าเรียบนิ่ง
“นี่ไม่ไปนอนกับเขา ก็พาเขามานอนที่ห้องงั้นเหรอ” ชายหนุ่มย้อน ซึ่งวิริยะยักไหล่ไม่ได้รีบร้อนอธิบายอะไร
“ทุกคืนเลยแหละ…”
คนฟังพ่นลมหายใจฟืดฟาด ยกนิ้วชี้ชี้หน้าวิริยะออกคำสั่ง “ฉันขอสั่งเดี๋ยวนี้เลยนะว่าห้ามพาใครมานอนด้วยทั้งนั้น”
“ทำไมล่ะ ผมก็ไม่ไปนอนห้องพี่ดำแล้วไง” วิริยะรีบแย้ง
“ฉันไม่อนุญาต” วิริยะไม่รู้จะหาคำไหนมาเถียงอีกต่อไป เด็กหนุ่มย่นคิ้วมองคนตัวโตที่นั่งตรงกันข้ามอย่างนึกหงุดหงิดที่ไม่สามารถพูดอะไรได้ ก็เห็นอุตส่าห์เดินมาง้อ ขอโทษเขาแล้ว นึกว่าจะเป็นคนดีกว่าเดิม ที่ไหนได้ยังเอาแต่ใจไม่ยอมเปลี่ยน
ขณะที่ทั้งสองไม่ยอมพูดกันเพราะความไม่พอใจก็เกิดเสียงกุกกักขึ้น เรียกความสนใจของเชษฐ์ไชยและวิริยะไป เด็กหนุ่มเบิกตาเมื่อนึกอะไรได้ จะลุกออกจากมุ้งไปทว่าคนตัวโตกว่าไม่ยินยอม
“จะไปไหน” มือหนารั้งต้นแขนวิริยะ “มันมาแล้วใช่ไหม ถ้าฉันรู้ว่าเป็นใคร รับรองว่ามันไม่อยู่ดีแน่”
วิริยะฟังแล้วถอนใจเฮือกใหญ่ “ตามสบาย” ไม่ได้กลัวว่าคนคนนั้นจะเดือดร้อนด้วยสักนิด
เด็กหนุ่มดึงต้นแขนออกจากอาณัติของเชษฐ์ไชยไปเปิดไฟให้ภายในห้องสว่างขึ้น หนุ่มเจ้าของไร่รีบเดินตามหลัง หากทว่าวิริยะไม่ได้เดินมุ่งไปยังประตูห้องอย่างที่คิด กลับหันไปอีกทาง หยุดอยู่ใต้ฝ้าช่องที่เป็นรูอยู่ครู่หนึ่งราวกับกำลังรออะไร เชษฐ์ไชยมุ่นคิ้วเมื่อท้ายที่สุดก็ปรากฏผู้มาใหม่ พร้อมกับเลือดที่แล่นเข้าสู่ใบหน้าของชายหนุ่มจนแดงเป็นปื้น เมื่อเห็นเจ้าแมวตัวหนึ่งชะโงกหน้าลงมา ร้องเหมียว ๆ เรียก
“ว่าไง มาแล้วเหรอ” วิริยะร้องทักมัน
เชษฐ์ไชยยกมือขึ้นสางผมพร้อมกับความอับอายขายขี้หน้าประเดประดังเข้ามาไม่หยุด มองวิริยะอ้าแขนรับไอ้แมวลายเสือตัวอ้วนที่กระโดดลงมาราวกับคุ้นชินกันนักหนา นี่เขาเป็นเดือดเป็นร้อน ตั้งหน้าตั้งตาขัดขวางวิริยะ และกลายเป็นไอ้บ้าก็เพราะแมวตัวเดียวอย่างนั้นหรือ!
“แกนี่ชักตัวหนักขึ้นทุกวันแล้วนะ จะรับไม่ไหวแล้ว”
พูดกับพัดลมอย่างเป็นตุเป็นตะหรือแม้กระทั่งเสียน้ำตาให้ก็เคยมาแล้ว เชษฐ์ไชยเหงื่อแตก เชื่อว่าที่เพื่อนข้างห้องได้ยินนั้น ต้องเป็นตอนที่วิริยะกำลังพูดกับไอ้แมวตัวนี้อยู่เป็นแน่
“ทำไมวันนี้มาเร็วจัง พี่หลง” วิริยะอุ้มพลางลูบขนของมันเล่นราวสนิทสนม ก็คงใช่
ชายหนุ่มกลืนน้ำลาย ที่ผ่านมาเขาทำอะไรลงไปบ้างนี่ เชษฐ์ไชยคิดพลางมองเด็กหน้าใสตรงหน้าพูดคุยกับเจ้าเหมียวตาเฉี่ยว ช่วงวินาทีหนึ่งเขาเห็นว่าวิริยะผละมามอง แล้วยกยิ้มราวกับเป็นตัวร้ายในละครที่รู้เท่าทันว่าตอนนี้เขาขายขี้หน้าเพียงไหน แต่เขาคงวิตกไปเอง แบบวิริยะน่ะหรือจะยิ้มแบบนั้น
กระทั่งเด็กหนุ่มเดินผ่านเชษฐ์ไชยไป เขาถึงได้เห็นว่าหัวไหล่เล็ก ๆ เคลื่อนไหวขึ้นลง
พร้อมเสียงหัวเราะคิกคักของอีกฝ่าย!
เออ เขาโกรธจนหน้ามืดไม่ทันได้คิดให้ดี ใครจะไปรู้ว่าเป็นแมวกันเล่า!
“ถะ ถ้ามีเพื่อนนอนด้วยแล้ว ฉันกลับดีกว่า” คนหน้าแตกพูดขึ้น แล้วเดินดุ่มออกไปพร้อมรอยยิ้มที่ปิดไม่มิดของวิริยะ แต่ก่อนจะปิดประตู คนหน้าหนวดยังทำเป็นขึงขังหันกลับมาพูดด้วยว่า “เอ้อ ที่จริงไอ้แมวตัวนี้มันชื่อเสือ ไม่ได้ชื่อหลง…”
วิริยะละรอยยิ้ม “รู้ได้ไง”
คนตัวใหญ่นิ่ง แล้วพูดอ้อมแอ้ม “แมวฉันเอง”
แล้วก็ปิดประตูไป พร้อมกับความงงของเด็กหนุ่มหลังได้ยินประโยคสุดท้าย
ที่จริงวิริยะก็คิดอยู่ว่าหากมันมีปลอกคอก็ต้องมีเจ้านาย แต่ไม่คิดว่าไอ้พี่เสือผู้แวะมานอนเป็นเพื่อนของเขาทุกคืนนั้น จะเป็นของเชษฐ์ไชย คิดแล้วเด็กหนุ่มก็ก้มลงพินิจบนคอฟู ๆ ของมัน แหวกขนออก เพิ่งเห็นตัวหนังสือเท่าหม้อข้าวหม้อแกงเขียนไว้ว่า ‘แมวนายเชษฐ์’ นี่ตาเขาบอดหรือไงถึงไม่เคยเห็นสักครั้งเดียว คิดแล้วรอยยิ้มก็ผุดขึ้นบนใบหน้าเด็กหนุ่มอย่างไม่สามารถควบคุมได้ ยิ่งนึกถึงตอนเชษฐ์ไชยเหวอ ยิ่งตลก
“เอ้า นี่รางวัลที่หักหน้าอาเชษฐ์ได้” เด็กหนุ่มให้มันกินปลากระป๋องอย่างเช่นทุกคืน
เมื่อมันกินเสร็จก็เลียแข้งเลียขา เดินออดอ้อนอยู่ช่วงหนึ่งวิริยะก็อุ้มไปปิดไฟนอน
ความอบอุ่นยามพี่เสือแทรกตัวเข้ามาเคลียคลอแม้จะไม่มากเท่าร่างกายใหญ่โตเมื่อครู่ใหญ่ แต่ครั้นวิริยะได้พริ้มตาหลับ แล้วนึกถึงภาพเมื่อช่วงหัวค่ำตั้งแต่แรกเริ่มจนวินาทีที่เชษฐ์ไชยเดินออกไป เขาไม่ทันได้รู้ตัวเลย ว่ารอยยิ้มเปื้อนหน้าอยู่ตลอดจนหลับไป
“เจ้านายแกนี่น่ารักดีนะ พี่เสือ…”
--๕๐--
-------------------------------------------------
ไม่ไหวแล้ววววววว แก้มร้อนไปกับอาเชษฐ์และความน่ารักของน้องวิววิวหนักมาก
มีความปากแข็งและความอ้อนเมียไปอีกกกกก
หลังจากงอนง้อกัน ก็มีความสนิทกันเพิ่มขึ้น และคนพี่ก็อาการออกมากขึ้นไปอีกเท่าตัว มาดูว่าจะโป๊ะแตกเมื่อไหร่นะคะ ยังมีความน่ารักของทั้งสองอีกเยอะ อย่าลืมติดตามกันเน้อออ
เหมือนเดิมค่ะ กำลังใจหลักคือการได้นั่งอ่านความคิดเห็นของทุกคน