วันเปี่ยมรัก.10
“คนในหมู่บ้านมีเป็นร้อย ทำไมถึงต้องเป็นเรา”
“คนในหมู่บ้านมีเป็นร้อย แต่เวลาเราต้องการความช่วยเหลือเรื่องส่วนตัวเราก็ไม่รู้จะไปขอให้ใครช่วย บางทีมันก็พูดไม่ออก”
แบบนี้มันไม่น่าใช่นะ
“ผู้ใหญ่ก็แค่เอ่ยปากบอกไป ว่าช่วยตัดผมให้หน่อย มันยากตรงไหน"
“มันก็ยากตรงเอ่ยปากนี่แหละ”
แปลก...แปลกมาก ทั้งที่เป็นผู้ใหญ่บ้าน มีหน้าที่ดูแลลูกบ้าน แต่เรื่องของตัวเองกลับไม่กล้าขอให้ใครช่วย แบบนี้มันไม่แปลกเกินไปหรือไง
“ผู้ใหญ่นี่ท่าจะเพี้ยนนะ”
“อืม นั่นสิ สงสัยจะเพี้ยนจริง ๆ นั่นแหละ”
ไม่เข้าใจว่าทำไมคนที่เอากรรไกร มาให้ตัดผมถึงที่บ้าน ถึงไม่กล้าขอความช่วยเหลือจากใคร ระหว่างที่ใช้กรรไกรเล็มผมของผู้ใหญ่เปี่ยมให้เท่ากันก็มีโอกาสพูดคุยกันบ้างและศิวัฒน์ก็ได้รู้เรื่องที่ไม่เข้าใจเพิ่มขึ้นอีกหลายเรื่อง
“บางที เรื่องบางเรื่องเราก็ไม่รู้จะพูดกับคนอื่นยังไง”
“เราก็คนอื่นเหมือนกัน ทำไมผู้ใหญ่ถึงกล้าพูดกับเราล่ะ”
นั่นสิ ทำไมถึงกล้าล่ะ
“ก็วันไม่เหมือนคนอื่น ไม่พอใจหรือไม่ชอบอะไรก็พูดกับเราตรง ๆ คนอื่นเห็นเราเป็นผู้ใหญ่บ้าน แต่วันเห็นเราเป็นอะไรก็ไม่รู้”
“นี่ชมหรือด่า”
“ไม่ได้ชมหรือด่าแค่จะบอกว่า เวลาคุยกับวันเราไม่ต้องเป็นผู้ใหญ่เปี่ยมก็ได้ เราไม่ต้องวางฟอร์ม ไม่ต้องสวมหัวโขน เพราะถึงเราจะพยายามวางฟอร์มใส่วันยังไง วันก็ด่าเราว่ากวนตีนได้ โดยไม่สนใจความรู้สึกของเราเลย”
แบบนั้นเรียกว่าหลอกด่านะ
“หูนี่จะเอาไว้มั้ยผู้ใหญ่ ดูแล้วน่าตัดทิ้งมาก”
โดนพูดใส่แบบนั้น แล้วผู้ใหญ่เปี่ยมก็หัวเราะออกมาด้วยความขำกับสิ่งที่ได้ยิน
“นี่ไง แบบนี้แหละที่เรากำลังบอก รู้มั้ย วันเป็นคนเดียวในหมู่บ้านที่พูดกับเราแบบนี้”
อ่อ สงสัยจะชอบให้ร้ายด้วย แล้วก็ไม่บอก ว่าชอบให้ใช้ความรุนแรง
“ผู้ใหญ่นี่ท่าจะบ้า”
“บางทีเราก็ไม่ได้อยากเป็นผู้ใหญ่บ้านตลอดเวลาหรอกนะ เราก็อยากเป็นเราแบบตอนนี้บ้างแค่นั้น”
ส่ายหน้าให้กับสิ่งที่ผู้ใหญ่เปี่ยมพูด และมองไปที่ผมด้านหน้าที่ดูดีขึ้นบ้าง แล้วศิวัฒน์ก็ใช้มือปัดเศษผมที่อยู่บนใบหน้าของผู้ใหญ่เปี่ยมออก
“หลับตา”
ทำตามที่คนที่ตัดผมให้บอก และผู้ใหญ่เปี่ยมก็จับเอวของศิวัฒน์เอาไว้
“จะจับทำไมเนี่ย”
“ก็วันปัดซะแรง จมูกเราหลุดติดมือไปแล้วมั้ง”
“อย่าพูดมากได้มั้ย บอกให้หลับตาจะลืมตาขึ้นมาทำไม”
โดนเอ็ดอีกครั้ง และต้องยอมอยู่นิ่งให้คนที่อยู่ตรงหน้าปัดเศษผมออกจากใบหน้าให้จนหมด
“เสร็จแล้ว”
เพราะว่าไม่เหลือเศษเส้นผมที่ใบหน้าแล้วถึงลืมตาขึ้นและมองหน้าของคนที่ช่วยตัดผมให้
“ขอบใจมากนะวัน”
พูดคำขอบคุณจากความรู้สึกจริง ๆ และศิวัฒน์ก็เบะหน้าใส่
“ไม่ต้องขอบใจ เพราะเราไม่ได้อยากทำ”
“เป็นแบบนี้ตลอดเลยนะวัน ทำไมถึงเป็นคนขวางโลกนักนะ”
ตัดผมให้แล้ว แต่โดนว่าเป็นคนขวางโลก แบบนี้มันเกินไปหน่อยแล้ว ไม่รู้จะเอาคืนคำพูดแบบนั้นของผู้ใหญ่เปี่ยมยังไง ก็เลยจับผมด้านหน้าของผู้ใหญ่เปี่ยมและยีแรง ๆ จนผมเสียทรง
“วัน ทำไมทำแบบนี้”
“ก็ผู้ใหญ่เป็นคนบอกเองว่าให้เรายุ่งกับหัวของผู้ใหญ่ได้ เราก็ทำแล้วไง”
หมดปัญญาจะเถียงด้วย และผู้ใหญ่เปี่ยมก็ทำได้แค่ส่ายหน้ากับพฤติกรรมไม่ดีที่คนที่อยู่ตรงหน้าทำ
“แม่เรางอนเรามาสองสามวันแล้ว”
“แล้วจะบอกเราทำไม เราไม่อยากรู้”
“งั้นเราไปกินผัดไทกันมั้ย แต่ต้องขี่มอเตอร์ไซค์ไปนะ ไปกินร้านไกล ๆ”
“มันเกี่ยวกันตรงไหน แม่ผู้ใหญ่งอนกับไปกินผัดไท”
เอ่ยถามด้วยความสงสัย และศิวัฒน์ก็เห็นผู้ใหญ่เปี่ยมทำหน้ายุ่ง และพยายามจะเสยผมให้เข้าที่ตอนที่กำลังอธิบาย
“ก็แม่เราบ่นเรื่องไม่เป็นเรื่อง แล้วเราก็ไม่ยอมทำตาม เขาก็เลยไม่ยอมพูดกับเรา ข้าวก็ไม่ทำให้เรากิน วันเห็นตอนที่เรากลับมามั้ยล่ะ แม่เราเดินหนีเข้าบ้านไปเฉยเลย”
นอกจากตัดผมให้แล้วยังต้องมาฟังเรื่องปัญหาชีวิตครอบครัวของผู้ใหญ่เปี่ยมกับแม่อีกเหรอ มันใช่เรื่องมั้ย
“เราต้องไปซื้อบะหมี่มาต้มกินเอง ตอนไปซื้อที่ร้านค้า เขาก็ทักว่า กับข้าวที่บ้านไม่อร่อยเหรอ เราก็ไม่กล้าพูดว่าแม่เราไม่ทำกับข้าวให้เรากิน”
บางทีเรื่องราวชีวิตของคนเป็นผู้ใหญ่บ้านก็ดูรันทดจนเกินไป
“แล้วเรื่องแบบนี้ เราจะกล้าพูดกับใครได้ล่ะวัน”
“ผู้ใหญ่ก็เลยต้องพูดกับเรางั้นเหรอ”
“อือ”
อย่ารับคำง่าย ๆ แบบนั้น อย่าทำหน้าแบบนั้นด้วย นี่ลืมไปแล้วหรือไงว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่บ้านที่น่าเคารพสำหรับลูกบ้าน
“เรากินบะหมี่ต้มอีกวันไม่ไหวแล้วนะ เอียนมาก จะอ้วก”
ได้ยินสิ่งที่ผู้ใหญ่เปี่ยมบ่นแล้วก็นึกขำจนต้องหัวเราะออกมาและก็โดนมองหน้า
“ไม่มีกับข้าวกิน มันไม่ใช่เรื่องน่าขำนะวัน”
โดนต่อว่าอีกแล้ว ผู้ใหญ่เปี่ยมเป็นคนน่าสงสารมาก ทะเลาะกับแม่และไม่มีข้าวกิน บางทีเรื่องแบบนี้คงไม่กล้าไปพูดกับใครจริง ๆ
“ตกลงจะไปกินผัดไทเป็นเพื่อนเรามั้ย”
โดนถามย้ำอีกครั้ง และศิวัฒน์ก็กอดอกและเลิกคิ้วขึ้นสูง กำลังคิดหาคำตอบและผู้ใหญ่เปี่ยมก็ได้แต่นั่งหน้าจ๋อยรอคอยคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ
“แล้วถ้าเราไม่ไปล่ะ”
“ถ้าวันไม่ไป เราก็จะไปขุดเผือกขุดมันกิน ถ้าต้องต้มบะหมี่กินอีกเราคงขาดสารอาหารจนหัวโต”
ได้ฟังคำตอบแล้วก็ได้แต่หัวเราะออกมา
“ผู้ใหญ่ไปง้อแม่ง่ายกว่ามั้ย”
“จะให้ง้อยังไง เขาให้เราหาเมียเข้าบ้าน แล้วเราจะไปหามาจากที่ไหน ไม่ใช่ขุดได้เหมือนเผือกมันนะ”
เรื่องนี้ยิ่งแล้วใหญ่ และศิวัฒน์ก็เงยหน้าขึ้นและระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างสุดจะกลั้น
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า โอ้ย ขำ”
“วัน มันไม่ใช่เรื่องตลกเลยนะ”
เออ ก็ไม่ได้ตลกหรอกนะ พอจะนึกออกว่าแม่ของผู้ใหญ่เปี่ยมพูดเรื่องนี้ยังไง เพราะตอนที่ไปนั่งรอผู้ใหญ่เปี่ยมที่บ้าน ก็เห็นแม่ของผู้ใหญ่เปี่ยมกำลังนั่งปรับทุกข์กับป้าอีกคนเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน
“ผู้ใหญ่ก็หาให้แม่สักคนสิ จะไปยากอะไร”
“วันก็หาให้ย่าแพงบ้างสิ จะไปยากอะไร”
โดนย้อนกลับด้วยคำพูดแบบเดียวกัน และศิวัฒน์ก็หุบปากเงียบทันที
“ไงล่ะ เราเห็นย่าแพงพูดอยู่เหมือนกันว่าวันไม่ยอมหาหลานสะใภ้เข้าบ้านสักที”
เห็นรอยยิ้มและสายตาของผู้ใหญ่เปี่ยมที่มองมาก็ทำให้รู้สึกหงุดหงิดโมโหขึ้นมาทันที
“ไม่ต้องกินแล้วแหละผัดไทอะไรนั่น”
“ไปเถอะนะ ถ้าเราไปกินคนเดียว ก็โดนถามอีกว่าทำไมมาคนเดียว เราขี้เกียจตอบ”
แบบนี้มันไม่น่าใช่เรื่องที่ควรทำ แต่เห็นคนที่ยกมือขึ้นลูบท้องแล้วทำหน้าเศร้าก็อดสงสารไม่ได้
“เออ ก็ได้”
“เย่”
“..........”
บางทีผู้ใหญ่เปี่ยมควรรักษามาดบ้าง ไม่ต้องยกมือขึ้นสองข้างและทำท่าเหมือนได้รับชัยชนะขนาดนั้นก็ได้
“เคยมีคนบอกผู้ใหญ่มั้ย”
“บอกว่า?”
“ก็บอกว่าผู้ใหญ่เหมือนเด็กสามขวบ”
“ไม่มีนะ คำพูดพวกนี้เราก็เพิ่งจะได้ยินจากปากวันคนแรกนี่แหละ”
นี่ชมหรือด่า อยากจะถาม แต่ก็เท่านั้น ไม่ถามดีกว่า เพราะผู้ใหญ่เปี่ยมลุกขึ้นเดินไปที่รถมอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่แล้ว เห็นแก่ความอดอยากของผู้ใหญ่เปี่ยมที่น่าสงสาร จะยอมไปกินผัดไทเป็นเพื่อนก็ได้ ถึงจะไม่ค่อยอยากเจอหน้าผู้คนในหมู่บ้านสักเท่าไหร่ แต่ก็ถือว่าช่วยผู้ใหญ่เปี่ยมที่ทะเลาะกับแม่ให้ได้กินอิ่มหนึ่งมื้อ คงจะได้กุศลแรง
TBC.