แตกพิเศษ
Men Talks
‘เฮ้ย เมษ! มึงเจ๋งว่ะสอบเลขชนะไอ้คณิตห้องคิงได้ด้วย!”
’จริงอ่ะ แม่งงงงง สะใจฉิบหาย!’
‘เมษๆ ไปเยาะเย้ยมันกันไหม เดี๋ยวกูไปเป็นเพื่อนเอง’
‘ใครเป็นเพื่อนพวกคุณกันหรอครับ’
‘...!!’
‘ผมจำไม่เห็นได้เลยว่าเคยคบเพื่อนที่ทำอะไรไม่ได้นอกเห่าเหมือนหมา พวกคุณคิดไปเองแบบนี้...ผมก็แย่สิครับ’และนั่นก็คือบทสนทนาแรกที่เมษาพูดกับเพื่อนร่วมห้อง...
ชายหนุ่มเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาและดวงตาคมกริบไม่ต่างจากเหยียวหวนคิดถึงอดีตเมื่อบาร์ชื่อดังริมแม่น้ำเจ้าพระยาเปิดเพลง Those Good Old Days ของ Jimmy Cliff ขึ้นมา แม้ว่าความทรงจำที่เขานึกถึงจะไม่สวยงามอย่างในเพลงว่า แต่สิ่งที่ตามมาหลังจากเหตุการณ์เหล่านั้นต่างหากที่ทำให้เมษาลืมไม่ลงแน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องที่เขากับเพื่อนร่วมห้องเกือบจะต่อยกันตายถ้าหากไม่ได้ครูประจำชั้นมาคอยห้ามไว้ แต่เป็นเรื่องที่เมษาตัดสินใจตามหาชายที่ชื่อว่า 'คณิต' ซึ่งถูกหยิบขึ้นมาพูดถึงเสมอในฐานะคนที่เขาพ่ายแพ้ให้กับเขา
ตลกน่า...แค่เขาเก่งกว่าหมอนั่นมันแปลกตรงไหน
เพราะตั้งแต่เกิดมาเมษก็รู้จักแต่คำว่าชนะ
“แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้วสินะ”
ชายหนุ่มที่ซัดวอดก้าไปหลายแก้วรำพันกับตัวเองแต่ถึงอย่างนั้นสติของเมษากลับยังคงอยู่ครบถ้วน เขาไม่ใช่คนเมาง่าย ไม่สิ ไม่เคยเมาเลยมากกว่า แต่ถึงมันจะไร้ประโยชน์เมษาก็ยังคงดื่มเหล้าดีกรีแรงพวกนี้ต่อไปทั้งที่มันรังแต่จะทำลายสุขภาพก็เท่านั้น เหมือนกับความรู้สึกบางอย่างที่มันทั้งไร้ค่าและทำให้เจ็บปวดแต่เขาก็ยังคงรู้สึกถึงมัน...จนน่าเจ็บใจ
เมษาเหลือบมองโทรศัพท์ราคาแพงที่กำลังแสดงรูปงานเลี้ยงสังสรรค์ที่บ้านของคณิตซึ่งถูกอัพขึ้นอินสตรแกรมของร่างสูงไปตั้งแต่เดือนที่แล้ว ในภาพๆนั้นไม่ได้สวยงามหรือมีอะไรที่พิเศษแต่กลับทำให้คนที่มีงานล้นมือนั่งมองมันไปเรื่อยๆราวกับต้องการจดจำรายละเอียดต่างๆให้ขึ้นใจ...ภาพของคณิตที่กำลังยืนยิ้มอยู่เคียงข้างเด็กที่ชื่อปูน...ภาพของคนพิเศษที่กำลังโอบกอดคนที่ไร้ค่าในความรู้สึกของเขาเอาไว้
ผิวกายขาวละเอียด ใบหน้าที่น่ารัก ดวงตาร้ายๆที่บางครั้งก็ส่อแววไร้เดียวสา และขนาดตัวที่น่ากอดนั่นล้วนแต่เป็นสิ่งที่ปูนมีแต่เมษาไม่มี แต่ถึงอย่างนั้นเมษาก็ไม่เคยคิดเลยว่าร่างกายที่สูงใหญ่สมชาย ใบหน้าที่คมเข้มและดวงตาที่แสดงความเจ้าเล่ห์แทบจะตลอดเวลาเป็นสิ่งที่ทำให้คุณค่าในตัวของเขาลดน้อยลงไป เขาภูมิใจในสิ่งที่ตนมี แต่เขากลับไม่ได้ในสิ่งที่ควรได้...พื้นที่ข้างกายของคณิตที่เมษาสูญเสียมันไปให้กับคนที่ไม่มีอะไรดีเลยนอกจากตัว
“เฮ้ย! นั่นไอ้เมษนี่หว่า หวัดดีเพื่อน!”
เมษาที่กำลังจมอยู่ในความคิดของตัวเองหันไปหาคนที่ถือวิสาสะเรียกเขาว่าเพื่อนแล้วก็ต้องขมวดคิ้วแน่น ผู้ชายตัวสูงใหญ่พอๆกันสองคนที่มองยังไงก็ไม่คุ้นหน้าสักนิดกำลังเดินมาทางนี้ โดยไอ้คนที่ตะโกนเรียกเขาซะเสียงดังลั่นร้านกำลังทำหน้าเหมือนกับได้เจอเพื่อนเก่าที่ไม่ได้พบกันมานานทั้งๆที่เขาไม่เคยรู้จักมันด้วยซ้ำ...ไม่เข้าใจจริงๆ ทำไมชีวิตนี้ถึงมีคนมาโมเมเป็นเพื่อนกับเขาบ่อยนักนะ
“เป็นไงบ้างวะมึง ไม่ได้เจอกันนานเลยสบายดีไหม แล้วนี่มาทำอะไรที่กรุงเทพวะ ดูงานหรอ หรือว่ามาหาสาว”
คนที่ดูร่าเริงเป็นพิเศษพล่ามไม่หยุดตั้งแต่เดินมาถึงโต๊ะที่เมษากำลังนั่งอยู่ ชายหนุ่มที่ต้องการความสงบเริ่มไม่สบอารมณ์แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังแสร้างทำหน้านิ่งต่อไปตามการวางตัวที่ถูกสั่งสอนมาอย่างดี
“มึงนี่นะ เมษเขาตกใจหมด...ขอโทษที่ทำให้แปลกใจนะเมษ นี่โต้งกับขิงเพื่อนของไอ้คณิตไง จำได้ไหม”
ชายอีกคนที่ไม่ได้พูดอะไรในทีแรกเอ่ยขึ้นพร้อมกับหันมายิ้มให้เมษาด้วยท่าทางเป็นมิตรแต่ก็ยังไว้ตัว คำพูดของชายคนนี้ทำให้เมษาต้องมองหน้าอีกฝ่ายอย่างพิจารณาอีกครั้ง เขามองทั้งสองคนสลับกันไปมาก่อนจะหยุดลงที่ชายคนแรกแล้วระลึกขึ้นได้ว่าเคยเห็นใบหน้าแบบนี้ที่ไหนมาก่อน
“อ่อ คนที่ถูกมัดมือมัดเท้านี่เอง”
“จำบ้าอะไรว่ะนั่น!!!”
ขิงร้องเสียงหลงจนโต้งที่ยืนอยู่ข้างกันหัวเราะจนหน้าแดงตัวงอ ผิดกับคนก่อเรื่องอย่างเมษาที่ยังคงนั่งนิ่งมองคนแปลกหน้าสองคนไปมาด้วยความสงสัย ว่าทำไมเพื่อนของคณิตที่เขาไม่เจอรู้จักถึงได้รู้จักเขา และสองคนนี้ต้องการอะไร
“ฮ่าๆ เจ๋งนี่หว่า งั้นพวกกูขอนั่งด้วยได้ไหม โต๊ะอื่นไม่ว่างพอดี”
โต้งว่าพลางปาดน้ำตรงหางตาออกเบาๆ แต่แทนที่จะรอฟังคำตอบจิตแพทย์หนุ่มที่เพิ่งออกเวรมาก็ถือวิสาสะนั่งลงตรงเก้าอี้ทางฝั่งซ้ายของเมษาในขณะที่ขิงก็รีบปรี่ไปจับจองเก้าอี้ทางด้านขวาจนกลายเป็นว่า เมษาที่ยังงงๆถูกขนาบข้างด้วยแขกไม่ได้รับเชิญทั้งสองไปโดยปริยาย
ทายาทเจ้าของโรงแรมดังเริ่มรู้สึกถึงอารมณ์กรุ่นๆที่เริ่มก่อตัวขึ้นในอก เขารักความเป็นส่วนตัว แต่ที่รักยิ่งกว่าก็คือความเกรงขามที่ทำให้ผู้คนเชื่อฟัง ซึ่งดูเหมือนว่าทั้งโต้งและขิงจะไม่รู้สึกถึงมันในตัวของเมษาเลย
“โต้ง มึงเอาอะไรวะ เหมือนเดิมป่ะ”
“อืม มึงเอาด้วยไหมเมษ”
“ไม่ต้องถามหรอกน่า จัดมาเยอะๆเลยแล้วกัน”
ขิงที่ไม่รอให้เมษาตอบหันไปสั่งเครื่องดื่มกับบริกรที่ยืนรอออเดอร์อยู่แล้วด้วยน้ำเสียงและสีหน้าร่างเริงผิดกับคนข้างๆ คนที่ถูกกวนอารมณ์อย่างหนักเริ่มหน้างอ เมษหันไปหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองหวังจะโทรเรียกเลขาให้ส่งรถมารับเร็วกว่าที่เคยบอกไว้ แต่ยังไม่ทันที่จะได้ทำโทรศัพท์ของเขาก็ถูกแย่งไปโดยเจ้าของรอยยิ้มที่นั่งประกบอยู่อีกข้าง
“นี่มันรูปพวกกูที่ถ่ายเมื่อเดือนก่อนนี่หว่า ฮ่าๆ ตลกชะมัด”
โต้งเลื่อนหน้าจอมือถือของเมษาเพื่อดูรูปอื่นที่ปรากฎอยู่บนอินสตราแกรมของคณิตซึ่งเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่เมษากดติดตามไว้ แม้จะเคยเห็นรูปพวกนี้มาแล้ว แถมบางรูปพวกเขาก็อยู่ร่วมเฟรมเสียด้วยซ้ำแต่โต้งกลับยังคงชอบมันเสียจนเผลอกดไลค์ไปทั้งๆที่ไม่ใช่แอคเค้าท์ของตัวเอง
“เอาคืนมา”
“...?”
“กูบอกให้เอาคืนมาไง”
ไม่รู้ว่าเพราะแอลกอฮอลล์ที่อยู่ในกระแสเลือดหรือเพราะความหวงแหนสมบัติเมษาจึงแสดงน้ำเสียงโกรธเกรี้ยวออกไปทั้งๆที่ผิดวิสัยของตัวเอง เขาไม่ใช่คนใจร้อน ไม่เคยแม้แต่จะตกหลุมพรางโง่ๆที่คนอื่นขุดขึ้นมาแต่ไม่ใช่กับครั้งนี้...เมษารู้ตัวว่าเขาพลาดเมื่อเห็นรอยยิ้มมุมปากถูกจุดขึ้นบนใบหน้าของโต้ง
“นี่แหละๆ คุยกับเพื่อนมันต้องประมานนี้ล่ะเนอะ”
เมษาเบิกตาขึ้น เพราะทันทีที่โต้งพูดจบเบียร์เย็นๆก็ถูกเลื่อนมาวางตรงหน้าเขาทั้งขวด โดยไม่มีแก้วสักใบ โต้งและขิงที่เคยชินกับการดื่มแบบนี้ดีหันมาชนขวดกันก่อนจะพร้อมใจยกมันขึ้นดื่มรวดเดียวหมดไปเกือบครึ่ง
“อ๊าาาาา ชื่นใจจริงโว้ย!”
ขิงร้องออกมาอย่างสุดกลั้น แต่ก็อย่างว่าเบียร์ดีๆมันต้องมีกับแกล้มด้วย ชายหนุ่มผู้ไม่เคยเกรงกลัวอะไรจึงหันไปคว้าเสต็กเนื้อที่เมษากินค้างไว้มาเข้าปาก
“กูกลับล่ะ”
ดูเหมือนว่าความอดทนของเมษาจะมีไม่มากพอ เขากระชากเอาโทรศัพท์ของตัวเองคืนมาจากโต้งก่อนจะหุนหันลุกขึ้นโดยไม่คิดจะสนใจใครทั้งนั้น แต่ยังไม่ทันที่ร่างสูงจะได้ก้าวขาออกไปมือที่มีกำลังมากของขิงกลับคว้าไหล่ของเมษาเอาไว้แล้วออกแรงกดมันลงมาจนเมษาต้องกลับมานั่งที่เดิมด้วยความไม่เต็มใจ
“พวกกูล้อเล่นนิดเดียวอย่าหงุดหงิดสิวะ ขอโทษๆ อ่ะ กูยอมให้มึงกินเอ็นไก่ทอดของกูก็ได้”
ขิงว่ายิ้มๆก่อนจะเลื่อนจานเอ็นไก่ทอดที่เมษาจำได้ว่าไม่เคยเห็นมันในเมนูมาให้ โดยโต้งที่นั่งอยู่ถัดไปก็จิ้มมันกินด้วยท่าทางไม่ทุกข์ร้อน
“ฮ่าๆ กูรู้หรอกน่าว่ามึงจำพวกกูไม่ได้ แค่แกล้งเล่นน่ะ อย่าคิดมากสิ”
“มึงพูดเหมือนกูเคยเจอพวกมึงมาก่อน”
“ก็น่ะใช่สิ งานรับปริญญามึงกูยังไปอยู่เลย จำไม่ได้แล้วรึไง”
ถึงปากจะบ่นแต่ใบหน้าของโต้งกลับประดับด้วยรอยยิ้ม คราวนี้เขาหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาเขี่ยๆมันอยู่สักครู่ก่อนจะยื่นรูปถ่ายเมื่อหลายปีก่อนไปให้ดู มันเป็นภาพงานวันรับปริญญาของมหาวิทยาลัยที่เมษาเรียนอยู่ คนที่จำอะไรไม่ได้เลยขมวดคิ้วแน่นเพราะเห็นเหมือนกันว่าในรูปนั้นนอกจากคณิตแล้วยังมีสองคนนี้ยืนอยู่ด้วยแถมคนชื่อขิงกำลังโอบไหล่ของเขาไว้อีกต่างหาก
“น้อยใจชะมัดไอ้สัด เจอกันแค่ครั้งเดียวกูยังไม่เคยลืมมึงเลยแท้ๆ”
“มึงก็เว่อร์ไปขิง คนที่จำเมษได้ก่อนน่ะมันกูไม่ใช่รึไง”
คนที่เป็นฝ่ายชี้ให้ขิงหันไปมองเมษาพูดขึ้นราวกับต้องการจะอวดอ้าง แต่มันก็ไม่สำคัญอะไรเลยกับเมษาที่ไม่รู้สึกยินดีกับการเจอกันครั้งนี้เลยสักนิด เขามองหาทางหนีทีไล่ด้วยการส่งข้อความไปหาเลขาส่วนตัวในจังหวะที่ขิงและโต้งกำลังเถียงกันอยู่ ซึ่งอีกฝ่ายก็ตอบกลับมาว่าจะมาถึงที่นี่ในอีกไม่เกิน15นาที
“ขอโทษด้วยแล้วกันสำหรับเรื่องนั้น พวกมึงกินกันไปเถอะ กูกลับล่ะ”
“เฮ้ยอะไรวะ พวกกูเพิ่งมาถึงเองนะเว้ย”
“ก็กินกันต่อไปสิ ต่างคนต่างมาตั้งแต่แรกอยู่แล้วไม่ใช่รึไง”
เมษาพูดด้วยท่าทางไม่ยี่หระ แต่ในขณะที่เขากำลังจะลุกขึ้นยื่นอีกครั้ง เบียร์ขวดเดิมที่ยังไม่ถูกแตะต้องก็ถูกยื่นมาให้เมษาพร้อมกับรอยยิ้มของโต้งที่เขาสัมผัสได้ว่ามันแปลกไปจากเดิม
“อย่างน้อยดื่มเบียร์ให้หมดก่อนได้ไหม อย่าให้พวกกูรู้สึกเสียน้ำใจเลย”
“...”
“ถึงเราจะไม่ใช่เพื่อนกัน แต่อย่างน้อยพวกกูก็เป็นเพื่อนของไอ้คณิตนะ อย่าลืมสิ”
คำพูดของโต้งทำให้คิ้วของเมษากระตุกด้วยความโมโหและความสงสัยบางอย่าง แต่มันก็ทำให้คนที่เกลียดความวุ่นวายตัดสินใจนั่งลงแล้วหยิบแก้วที่ใช้ใส่ว็อดก้าที่หมดลงไปแล้วมารินเบียร์ลงไปแทนก่อนจะดื่มมัน
“แค่ขวดนี้เท่านั้น เข้าใจไหม”
“อ่าฮะ แค่ขวดเดียวก็พอแล้ว”
โต้งยิ้มพรายแล้วหันไปคุยกับขิงเกี่ยวกับการแข่งขันฟุตบอลนัดสำคัญที่จะถูกจัดขึ้นในช่วงสุดสัปดาห์นี้ แม้จะเป็นเรื่องที่เมษาสนใจอยู่ไม่น้อยแต่เขากลับนั่งเงียบๆดื่มด่ำกับวิวของแม่น้ำตรงหน้าทำเป็นไม่สนใจเสียงนกเสียงกาที่ได้ยินผ่านหูทั้งที่ไม่ต้องการ แต่ถึงอย่างนั้นขิงและโต้งก็ยังพยายามชวนคนมาดเยอะให้เข้ามามีส่วนร่วมอยู่เรื่อยๆ
“จะว่าไปเมื่อวานไอ้คณิตแม่งโทรมาหากูด้วยว่ะ”
“มึงด้วยหรอ ของกูแม่งโทรมาตอนกูกำลังตรวจคนไข้ กูนึกว่ามีเรื่องสำคัญอะไร ที่ไหนได้แม่งบอกให้กูแวะไปดูปูนที่คอนโดให้หน่อย กูแม่งจะบ้า”
บทสนทนาของสองคนนั้นทำให้มือที่กำลังยกเบียร์แก้วสุดท้ายเข้าปากหยุดชะงัก โดยไม่รู้ตัวเมษาค่อยๆลดมือลงแล้ววางมันไว้ทั้งที่ความตั้งใจเดิมคือดื่มมันให้หมดๆไปจะได้กลับบ้าน
“คราวนี้มีปัญหาอะไรอีกวะ อาทิตย์ก่อนก็ทีหนึ่งแล้ว”
“เห็นว่าปูนไม่ยอมเอารถที่ให้ไว้ไปใช้น่ะ มันกลัวน้องจะลำบากเลยให้กูไปช่วยกล่อม ให้ตายสิ ไอ้นิดมันลืมไปแล้วรึไงว่าปูนชินกับถนนหนทางในกรุงเทพมากกว่าตัวมันซะอีก”
“ฮ่าๆ เออว่ะ แต่กูว่ามันก็แค่เป็นห่วงนั่นแหละ อยู่ใกล้แค่นี้จะไปหาก็ไม่ได้ ถึงพ่อมันจะไม่ห้ามแต่เล่นเอางานใหญ่มาให้ทำตลอดแทบจะไม่ได้พัก คณิตมันจะปลีกตัวออกไปได้ยังไง”
“ผู้ใหญ่เขาก็มีเหตุผลของตัวเองแหละน่า ว่าไหมเมษ”
โต้งหันมาถามคนที่แอบฟังอยู่เงียบๆเชิงถามความคิดเห็น เมษาหันมาสบตากับคนที่ทำเหมือนกับว่ารู้ทุกอย่างอยู่สักครู่ ก่อนจะตอบออกมา
“โง่”
“...?”
“คณิตกับเด็กนั่นน่ะ โง่ชะมัด”
โง่ที่หลับหูหลับตาเลือกความรัก ทั้งๆที่รู้อยู่แล้วว่ามันไม่มีทางสมหวังเหมือนในนิยาย อยากให้ครอบครัวยอมรับงั้นหรอ...หึ...มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วไม่ใช่รึไง ลูกชายที่เป็นยิ่งกว่าความหวังของบ้านอย่างพวกเขาน่ะ โอกาสที่จะคิดถึงเรื่องของตัวเองก่อนคนอื่นมันยังไม่มีเลย
“นั่นสินะ ก็โง่จริงๆนั่นแหละ”
“...!!”
“ไม่รู้สิ บางทีกูก็ไม่ค่อยเข้าใจพวกที่อินกับความรักมากๆเหมือนกันนะ...ว่าตอนที่ตัดสินใจทำแบบนั้นมันคิดอะไรอยุ่”
เมษาที่เชื่อมั่นในความคิดของตัวเองหันไปมองหน้าขิงที่พูดสิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายออกมา เขาคิดว่าคนตรงหน้าจะเถียงกลับแล้วยืนยันว่าความรักของเพื่อนเป็นเรื่องสวยงามและถูกต้อง แต่มันกลับไม่ใช่...
“กูก็ไม่ได้คิดว่าปูนไม่ดีนะ น้องแม่งโคตรน่ารักแล้วก็รักไอ้นิดมากๆ เพื่อนเราก็เหมือนกัน แต่พอเห็นสิ่งที่พวกมันทำแล้วกูก็ไม่เข้าใจว่ามันจะทุ่มเทให้ความรักมากถึงขนาดนี้ไปเพื่ออะไร...ในเมื่อผลตอบแทนของมันไม่ได้มีแต่ความสุข”
ขิงพูดขึ้นพร้อมกับคิดถึงกระทู้ในโลกโซเชียลที่เขาบังเอิญเปิดไปเจอมันเมื่อไม่กี่วันก่อน แน่นอนว่าการเปิดตัวของคณิตจะไม่ได้สร้างผลกระทบมากมายอย่างที่พวกเขากลัวแต่มันก็ใช่ว่าจะไม่มี...
คำพูดว่าร้ายส่อเสียดของผู้คนที่เร้นกายอยู่ข้างหลังคีย์บอร์ดทำให้คนรักเพื่อนอย่างเขารู้สึกไม่พอใจอย่างมาก พวกวิปริตบ้างล่ะ น่าสมเพชบ้างล่ะ หรือแม้แต่คำปรามาสว่าเสียชาติเกิดเขาก็อ่านมันมาหมดแล้ว และขิงก็เกลียดมัน...เขาเกลียดคำพูดของคนพวกนั้นที่นอกจากทำร้ายคนอื่นแล้วก็ไม่มีค่าใดๆเลย
“ความรักไม่ใช่เรื่องผิด กูเชื่อว่าเราทุกคนมีสิทธิที่จะรักเท่าที่ใจอยากจะรัก แต่ในโลกแบบนี้สังคมแบบนี้มันโอเคจริงๆหรอวะกับการแสดงออกแบบไม่สนใจใครแล้วต้องมานั่งเสียใจกับผลที่ตามมา กูไม่ได้หมายความว่าคนที่ด่าเพื่อนเรามันทำถูก แต่ก็เพราะเราห้ามความคิดของพวกเขาไม่ได้ไง แม้แต่ความรักเรายังห้ามมันไม่ได้นับประสาอะไรกับความเกลียดชังพวกนั้นกัน”
ขิงยิ้มขืน เขาเจ็บใจกับความเป็นจริงที่แสนเจ็บปวดนี้ ขิงยินดีกับความรักของเพื่อน แต่ในขณะเดียวกันเขาก็เจ็บปวดเพราะมัน ไม่มีใครหรอกที่จะยิ้มได้เมื่อต้องเห็นคนที่ตัวเองรักถูกทำร้าย เพราะฉะนั้นขิงถึงเข้าใจว่าทำไมครอบครัวของคณิตถึงยังพยายามทำให้ลูกชายคนโตตระหนักถึงผลที่จะตามมาอย่างถี่ถ้วน
“อาจจะฟังดูใจร้ายแต่บางครั้งกูก็อยากให้ไอ้นิดกับปูนหันมามองความเป็นจริงมากกว่านี้...หันมามองอย่างอื่นนอกจากความรักบ้าง เพราะถ้าเกิดวันหนึ่งความรักของมันไม่แข็งแรงพอสำหรับเรื่องนี้ขึ้นมา อย่างน้อยตอนนั้นพวกมันจะสามารถเดินต่อไปได้แม้ว่าจะไม่เหมือนเดิมก็เถอะ”
เมษามองใบหน้าด้านข้างของคนที่เพิ่งพูดเรื่องจริงจังออกมาทั้งที่บุคคลิกภายนอกนั้นไม่ใช่ เขาไม่รู้หรอกว่าแท้จริงแล้วขิงเป็นคนแบบไหน เป็นพวกบ้าๆบอๆหรือจริงจัง ฉลาดเฉลียวหรือโง่เง่าเหมือนที่เมษาเคยคิด แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าคำพูดของขิงคือสิ่งที่เขาใช้เตือนตัวเองอยู่ตลอดเวลา
อย่าได้ก้าวเข้าไปในโลกใบนั้น
โลกที่จะมีแต่ความเจ็บปวดและผิดหวังรออยู่
โลกที่เขาจะเป็นผู้แพ้...แพ้ให้กับความผิดหวังในตัวเอง
โต้งที่นั่งฟังขิงพูดทุกคำอย่างตั้งใจ ยื่นเบียร์ขวดที่สามไปให้เพื่อนที่ยังคงแสดงความกังวลออกมาทางใบหน้า ในขณะที่แก้วของเมษาก็ยังคงเต็มไปด้วยน้ำสีเหลืองอำพันที่จางลงเหมือนกับบรรยากาศโดยรอบ
“กูเข้าใจสิ่งที่มึงพูดนะ เพราะบางครั้งกูเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน...แต่ที่กูรู้สึกมากกว่าก็คือกูชื่นชมคณิตที่กล้าลุกขึ้นมาทำตามหัวใจของตัวเอง”
ในเสี้ยววินาทีเมษารู้สึกว่าเขาเห็นโต้งหันมามองทางนี้ด้วยสีหน้าที่ชวนให้หงุดหงิดใจ แววตาที่เหมือนกับสามารถมองทะลุร่างกายของเขาได้ และริมฝีปากที่ยกขึ้นคล้ายจะปลอบใจ แต่มันก็เพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้น
“มนุษย์เป็นสัตว์สังคมก็จริง แต่สังคมก็ไม่ใช่ทุกอย่างในชีวิตเราหรอกนะ...มันก็เป็นแค่กรอบๆหนึ่งที่คนเราสร้างขึ้นมาเพื่อให้ตัวเองรู้สึกว่ามีที่พึ่ง กูไม่ได้บอกว่าการใช้ชีวิตอยู่ในกรอบเป็นเรื่องผิด กูแค่คิดว่ามันน่าเสียดายถ้าเราจะต้องใช้ชีวิตแบบที่คนอื่นมองว่าดีทั้งที่หัวใจเราปฏิเสธว่ามันไม่ใช่”
โต้งสังเกตมาตลอด ไม่ใช่แค่คราวของคณิตหากแต่ยังรวมถึงคนอื่นๆที่มีความรักแบบนี้ ทั้งนิล และรัตติกาลที่แทบจะไม่ฟังเสียงของคนอื่นเลยนอกจากตัวเอง ให้ตายสิ ไอ้พวกนี้มันยอดมนุษย์ชัดๆ
“ไอ้กาลมันเคยบอกกูว่าบนโลกของเรามีกฎอยู่สองอย่าง คือสิ่งที่เราควรทำกับสิ่งที่เราไม่ควรทำ ถ้าหากว่าเราอยากจะมีชีวิตที่ปกติ เราก็แค่ทำสิ่งที่ควรทำทและไม่ทำในสิ่งที่อยู่นอกเหนือจากนั้น แต่คนเราสมัยนี้กลับใช้ชีวิตเหมือนกบในกะลาเข้าไปทุกที”
“กบในกะลา?”
“อืม เปรียบเทียบง่ายๆตัวมึงก็คือกบ ที่อาศัยอยู่ในกะลาที่เป็นเหมือนกรอบของสิ่งที่มึงควรทำ ในขณะที่โลกภายนอกคือสิ่งที่มึงไม่สมควรทำ”
“เอ้า แบบนั้นมันก็ถูกแล้วไม่ใช่รึไงวะ”
“อืม มันถูกแต่ว่าความรู้สึกมันก็ต่างกันออกไปใช่ไหมล่ะ”
ขิงที่ไม่ค่อยจะสนปรัชญาชีวิตเหมือนเพื่อนคนอื่นงงหนัก ในขณะที่เมษาได้แต่นั่งฟังเงียบๆแล้วนึกภาพตาม หากเขาเป็นกบตัวนั้นที่อาศัยอยู่ภายใต้กะลาที่ทั้งชื้นและมืดมิดอยู่เพียงลำพัง ความรู้สึกที่มีต่อโลกภายนอกที่ไม่เคยมองเห็นเลยนั้น...มันจะเป็นยังไงนะ
เขาคง...กลัวล่ะมั้ง
“ชีวิตที่ถูกตีกรอบด้วยสิ่งที่ทำไม่ได้ กับชีวิตที่เป็นอิสระจากความรู้สึกพวกนั้น ถ้ามึงเป็นกบในกะลามึงก็จะมีชีวิตเท่าที่ในกะลาใบนั้นมีให้ แต่ถ้ามึงเป็นกบที่ไม่อยู่ในกะลาแล้วมองโลกใบใหญ่นี่เป็นสิ่งที่ทำได้ในขณะที่กะลาใบนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำมันจะไม่ดีกว่าหรอวะ”
ชีวิตที่จะทำอะไรก็ได้ขอแค่ไม่ไปเบียดเบียนใครก็เหมือนกับกบตัวน้อยที่สามารถท่องเที่ยวไปได้ในทุกๆที่มันอยากจะไป โลกที่แสนสว่างและสดใสต่างจากกะลาใบน้อยที่เคยอาศัยอยู่ จะดีแค่ไหนกันนะถ้าหากทุกคนเป็นเหมือนกับตัวนั้น ไม่สิ...จะยากแค่ไหนกันนะกับการที่จะกล้าหาญเพื่อที่จะคิดแบบนั้นได้
“คนที่ว่าร้ายเพื่อนเราก็เป็นเหมือนกบที่อาศัยอยู่ในกรอบเล็กๆของตัวเอง ใช้ชีวิตโดยที่คิดถึงแต่สิ่งที่ทำไม่ได้และหวาดระแวงไปซะหมดเพราะเห็นโลกใบนี้ไม่กว้างพอ เขามองว่าสิ่งที่ตัวเองทำคือสิ่งที่ถูก แต่กลับตัดสินว่าสิ่งที่ตัวเองไม่คุ้นเคยเป็นสิ่งที่ผิดทั้งๆที่มันไม่ใช่...ความรักของคนแบบคณิตกับปูนไม่เคยทำร้ายใคร ต่อให้มันจะรักกันหรือเลิกกันก็ไม่ช่วยให้ชีวิตของพวกเขาดีขึ้นแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังถูกมองว่ามันเป็นเรื่องผิด ไม่ยุติธรรมเอาซะเลยว่าไหม”
เบียร์ขวดที่สามหมดไปหลังจากโต้งพูดจบ ความเงียบที่ไม่อัดอัดเกิดขึ้นอยู่รอบๆตัวพวกเขา โต้งรู้สึกโชคดีที่ขิงถึงจะทึ่มไปบ้างแต่ก็เป็นคนยอมรับอะไรได้โดยง่าย เขาไม่รู้สึกแย่หรอกที่ได้รับรู้ว่าเพื่อนมีความคิดแบบนี้ เพราะความจริงแล้วตัวเขาและคนอื่นๆบางมุมต่างก็เป็นกบในกะลาด้วยกันทั้งนั้น ไม่มีใครฉลาดเฉลียวในการใช้ชีวิตได้ซะทุกเรื่อง...ก็เพราะพวกเขายังคงเป็นมนุษย์นี่เนอะ
“กูก็ไม่ได้ว่าสิ่งที่มึงคิดมันผิดหรอกนะขิง เพราะสิ่งที่มึงว่าก็คือความจริงที่คณิตกับน้องปูนต้องเผชิญมันต่อไปถ้าคิดว่าจะอยู่ด้วยกัน ชีวิตคนเรามันไม่ง่ายแต่กูว่ามันก็ไม่ได้ยากขนาดนั้น เอาเป็นว่าแค่เพื่อนเรามันได้เดินอยู่บนทางที่ตัวเองเลือกแค่นั้นมันก็พอแล้วไม่ใช่รึไงวะ”
โต้งพูดทิ้งท้ายก่อนจะยื่นเบียร์ขวดใหม่ไปให้เมษาที่ใช้ดวงตาคมกริบคู่เดิมมองมาที่เขา แน่นอนว่ามันไม่ได้ดูเป็นมิตรขึ้นหรอกหลังจากที่นั่งคุยกันเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่โต้งก็คิดว่าตัวเขานั้นได้ทำในสิ่งที่สมควรทำลงไปแล้ว
“ไม่ล่ะ เดี๋ยวกูจะกลับแล้ว”
เมษาปฏิเสธความหวังดีของโต้ง ด้วยการยกเบียร์ที่ชืดจนไม่เหลือรสชาติขึ้นดื่มจะหมดก่อนจะวางเงินส่วนที่ตัวเองต้องจ่ายลงบนโต๊ะแล้วเดินจากไปโดยไม่ได้ร่ำลา ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความบังเอิญหรือเปล่า ที่เพลง Those Good Old Days ของ Jimmy Cliff ถูกเปิดขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมกับภาพความทรงจำในวันวานที่ย้อนกลับเข้ามาให้คิดถึง
‘ไอ้เมษ มึงไม่คิดจะมีแฟนบ้างหรอวะ’
‘ถามทำไมวะ’
‘เปล่า กูเห็นว่ามึงไม่ยอมมีใครสักที เห็นกูกับแก้มไปไหนมาไหนด้วยกันแบบนี้ไม่เหงาบ้างรึไง’
‘ก็ไม่นี่ อีกอย่างตอนนี้มึงก็อยู่กับกูไม่ใช่หรอ’
‘ก็ใช่แต่กูคงไม่ได้อยู่กับมึงตลอดไปหรอกนะรู้ใช่ไหม’
‘…’
‘ถ้ามึงชอบใครอย่าปิดบังกูนะเว้ย กูจะได้ช่วยมึงจีบเขา มึงจะได้ไม่ต้องอยู่คนเดียวต่อไปไง ดีไหม’ไม่...เมษาปฏิเสธคำถามที่สะท้อนถึงความว่างเปล่าในตัวเขาไปนับครั้งไม่ถ้วน จะให้เขาบอกออกไปหรอว่ารู้สึกยังไง หึ ตลกแล้ว เขาไม่ใช่คนบ้ายอมควักหัวใจตัวเองออกมาเพื่อให้ความเจ็บปวดที่เผชิญจบลงง่ายๆหรอกนะ แต่ถึงอย่างนั้นเรื่องราวของกบในกะลาที่โต้งเล่าให้ฟังยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของเขา สิ่งที่เมษายึดถึงและสิ่งที่เขากลัว...มันทำให้ร่างสูงอดที่จะถามตัวเองอีกครั้งไม่ได้ว่า ถ้าหากวันนั้นเขาลองมองข้ามโลกของตัวเองออกไป...วันนี้เขาและคณิตจะเป็นยังไงกันนะ
“เป็นความคิดที่โง่ชะมัด”
เมษาพูดกับตัวเองและความคิดไร้สาระที่แวบเข้ามาในหัว ต้องอยู่คนเดียวแล้วยังไงล่ะ แม้จะเป็นเพียงกะลาแคบๆอย่างที่คนอื่นกล่าวอ้างแต่ถ้ามันเป็นโลกที่ปกป้องเขาได้มันก็ดีแล้วไม่ใช่หรอ และแล้วเมษาก็สามารถให้คำตอบกับตัวเองได้ว่าสิ่งที่ปูนและคณิตมีแต่เขาไม่มีนั้นคืออะไร...
ความโง่ไง...ความโง่ที่ยอมออกไปเผชิญโลกที่โหดร้ายเพื่อแลกกับอิสระภาพที่เขาไม่เคยมี แต่ก็ไม่เป็นไร ตราบใดที่เขาสามารถถ่มความว่างเปล่านั้นด้วยปณิธานของตัวเองได้มันก็เพียงพอแล้ว
“เมษ!!”
ในขณะที่เมษากำลังก้าวเดินไปด้วยความมั่นคงในแบบของตัวเองเสียงตะโกนของขิงก็ดังขึ้นอีกครั้ง ชายหนุ่มเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาใช้ดวงตาคมกริบไม่ต่างจากเหยียวหันไปมองทางต้นเสียงที่กำลังโบกมือมาทางนี้อย่างร่าเริง
“ขับรถกลับบ้านดีๆนะเว้ย ไว้คราวหน้ามาดื่มกันอีกนะเพื่อน!!”
รอยยิ้มถูกจุดขึ้นบนใบหน้าของเมษาเป็นครั้งแรกซึ่งมันสร้างความแปลกใจและยินดีให้ขิงเป็นอย่างมาก ในขณะที่โต้งกลับเสหน้าหนีไปทางอื่นราวรู้อยู่แล้วว่าเมษากำลังจะพูดอะไร
“กูจำไม่เห็นได้เลยว่าเคยคบมึงเป็นเพื่อน”
“...!!”
“คิดไปเองแบบนี้...กูก็แย่น่ะสิ”
แล้วเมษาก็เดินจากไปพร้อมกับเสียงโวยวายของขิง
และเสียงถอนหายใจของโต้ง...
“เฮ้อ...ปากแข็งจริงๆ”
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!!
เสร็จสิ้นเรื่องสารนิพนธ์แล้วเลยได้ฤกษ์เอาตัวพิเศษมาให้อ่านแก้คิดถึงกัน แต่ถึงอย่างนั้นเช่กลับเลือกตอนของบอยแบนด์ 'เมษโต้งขิง' มาให้อ่านเพราะอยากให้เข้าใจตัวตนของสามคนนี้มากขึ้นนะคับ โดยเฉพาะเมษาที่บางคนบอกว่าร้ายไม่สุดเลย ก็แน่ล่ะ เช่ไม่ได้วางบทตัวร้ายให้พี่เมษของเราซะหน่อย เขาเป็นแค่ผู้ชายที่ pride สูงทะลุเพดาน ถึงจะดูเหมือนพวกที่ใช้ชีวิตในกรอบของครอบครัวและสังคมแต่ก็ใช่ว่าจะเป็นแบบนั้นโดยไม่เข้าใจตัวเองเลย เป็นผู้ชายแบบที่เช่คิดว่ามีเสน่ห์สุดๆเลยคับ ส่วนพี่โต้งไม่ต้องพูดไรมาก อบอุ่นและฉลาดเช่นเดิม ที่ผิดคาดที่สุดคงเป็นพี่ขิง ที่เป็นตัวฮาคอยลดแรงดราม่าของเรื่อง แต่ภายใต้บุคคลิกอย่างนั้นจริงๆแล้วเป็นคนมีหัวคิด เอ้ย! คิดมากเหมือนกันนะ ตอนพิเศษตอนนี้เป็นตอนที่เช่เขียนไปยิ้มไป ให้ความรู้สึกเหมือนกับนั่งก๊งเหล้าอยู่กับสามคนนี้เลย ^^
ส่วนตอนพิเศษป๋าปูน(จริงๆ)ทุกคนคิดถึง ติดตามได้ในเล่มเลยนะคับ บอกตรงๆว่าเลือกตอนพิเศษมาลงเว็บยาก เพราะตอนพิเศษแต่ละตอนเหมือนเป็นการเล่าเรื่องของป๋าปูนหลังจากตอนหลัง คล้ายๆกับตอนจบที่แท้จริงนั่นแหละ ปูนกลับไปเรียนแล้วเป็นไง ปูนเข้ากับที่บ้านป๋าได้ไหม บอยพลัสได้กลับมาเจอกันอีกครั้งรึเปล่า ปูนกับพี่กาลล่ะ(ข้อนี้สำคัญมาก!) แนะนำว่าไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวงเลยคับ! ใครสนใจก็พรีได้ตามลิ้งนี้เลย https://goo.gl/forms/a6BVqLlj4CgPaE1f2 (พิเศษเฉพาะรอบจอง รับมินิโนเวลตอนพิเศษหวานๆเพิ่มไปอีก3ตอนเลยจ้า!!!)
ป.ล. เป็น talk ที่ Hard Sale มากกกกกกกกกกกกกกกกกกก (อุดหนุนเค้าเป็นค่าน้ำค่าขนมนุ้งปูนหน่อยยยยย)
ป.ล.ล. เดี๋ยวมีตอนพิเศษมาลงอีก แต่ตอนไหนติดตามได้อีกทีนะคับ
ป.ล.ล.ล. Midnight กลับมาอัพเดือนหน้าจ้า