(1)
Wax Museum
- Chapter 1 -
“ใกล้เสร็จแล้วจ้ะยาย”
อิน เด็กหนุ่มวัยสิบแปดปี กำลังกรอกเสียงนุ่มใส่โทรศัพท์มือถือเครื่องเก่า แม้จะรู้สึกเหนื่อยล้าจากการเช็ดถูพื้นที่ขนาดใหญ่ ทว่าใบหน้าของเขายังคงเปื้อนยิ้ม คงเพราะปลายสายคือยายแท้ๆ ที่เลี้ยงดูเขามาตั้งแต่เกิด
“เดี๋ยวอินรีบกลับนะ”
เขาอาศัยอยู่กับยายเพียงสองคนในบ้านเช่าหลังเล็กๆ ความยากจนผลักดันให้ทุกวันของเขาเริ่มต้นด้วยการรับหน้าที่เป็นพนักงานเสิร์ฟประจำร้านอาหารแห่งหนึ่งซึ่งไม่ไกลจากที่พัก ก่อนจะเข้ามาทำความสะอาดพิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งแห่งนี้หลังจากหกโมงเย็นเป็นต้นไป
“ถ้ายายง่วงก็ไม่ต้องรออินนะจ้ะ อินมีกุญแจบ้าน”
อันที่จริง เขาควรจะถึงบ้านตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงที่แล้ว แต่ด้วยความซุ่มซ่าม เผลอทำน้ำยาถูพื้นหกและไหลเลอะเป็นบริเวณกว้าง งานของเขาจึงล่าช้ากว่าเดิมอย่างช่วยไม่ได้
“จ้ะยาย”
เด็กหนุ่มทิ้งท้ายกับปลายสายไว้เท่านั้น ก่อนจะหย่อนโทรศัพท์ลงในกระเป๋ากางเกงแล้วลงมือทำความสะอาดอย่างแข็งขันอีกครั้ง เวลาผ่านไปไม่นานนัก เขาก็จัดการพื้นไม้เก่า รวมถึงเช็ดกระจกและเคาน์เตอร์รับรองลูกค้าจนเสร็จสิ้น เหลือเพียงขั้นตอนสุดท้าย นั่นคือการสำรวจและปิดล็อกประตูหน้าต่างทุกบานก่อนจะออกจากพิพิธภัณฑ์ ตามที่ผู้เป็นเจ้าของเคยกำชับไว้
“แก๊ก...”
อินกวาดสายตาไปรอบๆ เมื่อหมุนลูกบิดหน้าต่างบานสุดท้ายลงล็อก ยอมรับว่ารู้สึกหวาดหวั่นไม่น้อยเมื่อต้องอยู่เพียงลำพังในอาคารไม้สักหลังเก่าที่บรรจุหุ่นขี้ผึ้งซึ่งมีลักษณะและขนาดเสมือนคนจริงๆ ไว้มากมาย
เขาเคยได้ยินเรื่องราวของสถานที่แห่งนี้มาบ้าง พิพิธภัณฑ์อันเกิดขึ้นจากศิลปินชาวยุโรปคนหนึ่งที่ย้ายมาสร้างครอบครัวในประเทศไทย และได้ปั้นหุ่นขี้ผึ้งเลียนแบบคนหลากหลายวัยในอิริยาบถต่างๆ ไว้เกือบหนึ่งร้อยชิ้น เมื่อผู้เป็นพ่อจากไป ลูกชายของเขาจึงปรับแต่งบ้านให้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ และนำผลงานเหล่านั้นมาจัดแสดงในท้ายที่สุด
ในตอนแรก เจ้าของตั้งใจไว้ว่าจะกำหนดช่วงเวลาให้บริการไม่แตกต่างจากสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ แต่หลังจากพิพิธภัณฑ์เปิดตัว กลับมีข่าวลือหนาหูว่าวัยรุ่นทั้งชายและหญิงหลายคนหายตัวไปอย่างลึกลับ และจุดสุดท้ายที่มีคนพบพวกเขาคือที่นี่ แม้ตำรวจที่เข้ามาค้นหาจะยืนยันว่าพิพิธภัณฑ์ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสูญหาย แต่เพื่อป้องกันคำครหาถึงความไม่ปลอดภัยต่อผู้เข้าชม เจ้าของจึงตัดสินใจเลื่อนเวลาปิดให้เร็วขึ้นจากสามทุ่มเป็นหกโมงเย็น ก่อนที่พระอาทิตย์จะตกดิน
แต่อินเป็นพนักงานทำความสะอาดที่ต้องเริ่มงานหลังจากนั้น ทั้งยังต้องอยู่ในพิพิธภัณฑ์เป็นคนสุดท้าย ความรู้สึกหวาดกลัวต่อบรรยากาศที่ต้องพบเจอทุกวันคงไม่เป็นผลดีเท่าไหร่นัก เขาจึงส่ายหน้าถี่ๆ เพื่อขับไล่ความคิดฟุ้งซ่าน แล้วเริ่มก้าวเดินออกไปโดยมีจุดหมายคือทางเข้าด้านหน้า ตั้งใจไว้ว่าจะรีบคล้องโซ่เข้ากับที่จับประตู กดล็อกด้วยแม่กุญแจขนาดใหญ่ แล้วเดินทางกลับบ้านทันที
ถ้าเสียงหนึ่งไม่ดังขึ้นเสียก่อน...
“ติ๊ง!”
เด็กหนุ่มหยุดชะงัก เมื่อเสียงที่ได้ยินน่าจะมาจากแกรนด์เปียโนหลังใหญ่ซึ่งตั้งอยู่ด้านในสุดของอาคาร ยิ่งมั่นใจว่าไม่มีใครอยู่ที่นี่นอกจากตัวเขาเอง ความตื่นตระหนกยิ่งพุ่งสูงขึ้นโดยอัตโนมัติ
แต่ไม่หรอกหน่า คงไม่มีอะไรหรอก...
ร่างเล็กสูดลมหายใจเข้าจนลึกเพื่อรวบรวมความกล้า แล้วก้าวเท้าช้าๆ ไปยังแหล่งที่มาของเสียง ก่อนที่ในอีกไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น ดวงตากลมโตจะสะท้อนภาพของหุ่นขี้ผึ้งรูปชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ในสูททรงหรูสีดำสนิท เช่นเดียวกับกางเกงสแล็คและเสื้อคอเต่าด้านใน สองมือลอยอยู่เหนือคีย์บอร์ดเปียโนราวกับกำลังบรรเลงเพลงแสนไพเราะ หากแต่ใบหน้าคมกลับหันออกมาทางเด็กหนุ่มแทนที่จะจับจ้องโน้ตเพลงตรงหน้า
เหมือนคนมาก… เหมือนจนอินยอมรับตามตรง ว่าถ้าไม่เคยเดินผ่านหุ่นตัวนี้มาก่อน ต้องเข้าใจว่ามีคนลักลอบเข้ามาในพิพิธภัณฑ์อย่างแน่นอน
ไม่เพียงแต่รูปร่างที่ถูกต้องตามสัดส่วน ผิวพรรณที่แม้จะขาวซีดแต่กลับดูยวบหยุ่นไม่แข็งทื่อ หรือดวงตาสีแดงที่ดูเหมือนมีแวววิบไหวอยู่ด้านใน แต่ใบหน้าของหุ่นยังหล่อเหลาไร้ที่ติราวกับหลุดออกมาจากเทพนิยาย
และนั่นเองที่ทำให้เขาจ้องมองอยู่แบบนั้น
จะเรียกว่า ตกอยู่ในภวังค์ คงไม่ผิดนัก เพราะเด็กหนุ่มยังคงยืนนิ่ง และไม่หันเหสายตาไปทางอื่น สมองที่เคยเต็มล้นไปด้วยความคิดกลับว่างเปล่าไปเสียเฉยๆ ไม่สั่งการ ไม่ค้นหาเหตุผล ไม่หลงเหลือแม้แต่ข้อสงสัยในเสียงเปียโนปริศนา หรือภาพของยายอันเป็นที่รัก
“ติ๊ง...”
และในนาทีนั้นเอง...
“ติ๊ง... ติง… ติ๊ง… ติง…”
ที่เสียงเพลงจากเครื่องดนตรีตรงหน้าดังขึ้นอีกครั้งทั้งที่ไม่มีผู้เล่น
หากแต่ใบหน้าเล็กรีกลับนิ่งสนิท ไม่มีความตื่นกลัวในแววตา สองเท้าไม่ถอยห่างและรีบออกไปจากที่นี่ตามที่ควรจะเป็น ซ้ำยังทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม นั่นคือการก้าวข้ามเชือกกั้นสีแดงเข้าไปด้านใน…
และหายตัวไปจากพิพิธภัณฑ์ทันที!
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
เด็กหนุ่มที่เพิ่งเดินข้ามเส้นเชือกเข้ามาใช้เวลาครู่ใหญ่กว่าจะรวบรวมสติได้เพียงพอ แต่นั่นก็ยังไม่ทำให้เขาเข้าใจอยู่ดี ว่าเหตุใดหุ่นขี้ผึ้งตัวเดิมที่เขายังคงเพ่งมองจึงเลื่อนนิ้วไปตามคีย์บอร์ดได้อย่างคล่องแคล่ว ทั้งยังเผยรอยยิ้มน้อยๆ บนมุมปากได้ราวกับมีชีวิต
เช่นเดียวกับตำแหน่งที่เขายืนอยู่ในขณะนี้ นึกไม่ออกเลยว่าทำไมพื้นที่รอบตัวจึงไม่ใช่บ้านไม้ที่ถูกดัดแปลงเป็นพิพิธภัณฑ์ แต่กลับเป็นคฤหาสน์ขนาดใหญ่ที่ทุกตารางนิ้วถูกปกคลุมด้วยบรรยากาศลึกลับและน่าเกรงขาม ทั้งจากสถาปัตยกรรมสไตล์กอทิก และโทนสีมืดทึมที่กลืนกินทั้งโครงสร้าง เสา ผนัง หรือแม้แต่ชิ้นงานศิลปะที่ถูกใช้เพื่อประดับตกแต่ง
เขาอยู่ที่ไหน… และมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร...
เด็กหนุ่มไม่อาจคาดเดาคำตอบได้เลย
“ตกใจเหรอ”
อินสะดุ้งตัวโยนพลางหันไปทางเจ้าของเสียงโดยอัตโนมัติ ก่อนจะพบกับใบหน้าที่งดงามราวกับภาพวาดของชายหนุ่มคนเดิม จากที่เคยนั่งอยู่บนแกรนด์เปียโน ตอนนี้ ร่างสูงกำลังจ้องมองเขาในระยะประชิด
“เอ่อ…”
“เธอชื่ออะไร”
“อ… อิน ครับ”
“อินเหรอ…” คู่สนทนาทวนคำพลางกวาดดวงตาสีเลือดมองตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
“เอ่อ… นี่… ผมอยู่ที่…”
“เราไปกันเถอะ” ชายหนุ่มตัดบทโดยไม่สนใจคำถาม “อย่าเสียเวลาอยู่เลย”
ก่อนจะใช้แขนแกร่งช้อนร่างเล็กให้ลอยขึ้นเหนือพื้น
นั่นเป็นอีกเรื่องที่อินยังคงสับสน…
ทำไมเขาถึงไม่ซักไซ้ ทั้งที่ชายหนุ่มยังไม่ตอบข้อสงสัย ทำไมเขาถึงไม่ขัดขืน ทั้งที่กำลังถูกชายแปลกหน้าอุ้มแนบอก และพาขึ้นมายังชั้นสองซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่ทางออกของคฤหาสน์หลังนี้
ราวกับว่าสมองไม่สามารถสั่งการหรือควบคุมร่างกายได้ตามปกติอย่างนั้น...
.
.
.
“ฟุบ!”
รวมถึงเวลานี้ ที่ร่างของอินถูกวางลงบนเตียงนอนขนาดใหญ่ และชายตรงหน้ากำลังโยนสูทสีดำออกจากตัว เขาก็ยังคงนอนนิ่งอยู่เช่นเดิม ไม่พยายามลุกหนีหรือแม้แต่จะส่งเสียงร้องเพื่อขอความช่วยเหลือ ซ้ำยังปล่อยให้สายตาสะท้อนภาพของร่างสูงใหญ่ที่กำลังรูดซิปกางเกงอย่างไม่กระดากอาย
เขาไม่เคยวูบไหวเมื่อเห็นร่างเปลือยเปล่าของผู้ชายแบบนี้ ไม่เคยดันน้ำลายอึกใหญ่ลงคอเมื่อเห็นมัดกล้ามกำยำแบบนี้
และไม่เคยรู้สึก ‘ต้องการ’ เมื่อเห็นแก่นกายที่มีขนาดใหญ่กว่าท่อนแขนของตัวเองแบบนี้
เจ้าของดวงตาสีแดงเหยียดยิ้ม แล้วใช้สองมือฉีกทึ้งเครื่องแต่งกายของเด็กหนุ่มจนขาดวิ่นและกระชากออกอย่างรวดเร็ว ก่อนจะพบว่าเล็บยาวแหลมของตัวเองทำให้รอยข่วนลึกปรากฏขึ้นบนผิวเนียน ซ้ำยังมีเลือดซึมออกมาจากบาดแผล
แต่นั่นไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มหยุดการกระทำ อันที่จริง มันผลักดันให้อารมณ์พลุ่งพล่านขึ้นเสียด้วยซ้ำ จึงก้าวขึ้นเตียงนอนอย่างไม่รีรอ ก่อนจะโน้มตัวเข้าหาร่างเล็กแล้วดูดเลียเลือดที่ผุดออกมาราวกับหิวกระหาย
“อ้ะ…” อินสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อลิ้นสากลากผ่านร่างกาย ทั้งยังสัมผัสได้ถึงคมเขี้ยวของชายบนร่างจากการดูดกลืนของเหลวสีแดงสด
แต่น่าแปลก… ที่ความเจ็บแสบไม่ทำให้เขาอยากเอ่ยทักท้วงเลยสักนิด
“ค… คุณ… เป็นใคร...”
ใช่… อินควรสงสัย ทั้งสีของดวงตา ความแหลมคมของซี่ฟัน ผิวพรรณซีดขาว รูปร่างสูงใหญ่กว่าคนทั่วไป และที่สำคัญ แม้จะไม่เคยมีความสัมพันธ์กับใครมาก่อน แต่เขาก็มั่นใจ ว่าการดูดกินเลือดของอีกฝ่ายไม่ใช่การเล้าโลมตามปกติอย่างแน่นอน
“ฉันน่ะเหรอ” ชายหนุ่มดันตัวขึ้นเล็กน้อยเพื่อตอบคำถาม “ก็เจ้าของเธอไงล่ะ”
“จ… เจ้าข…”
แต่ยังไม่ทันได้ทวนคำ ร่างสูงก็สอดลิ้นร้อนเข้ามาในโพรงปากของเขาอย่างรวดเร็ว
แม้จะรู้สึกได้ว่าลิ้นที่กำลังไล้ผ่านกระพุ้งแก้ม ไรฟัน จนถึงเพดานปาก มีรูปทรงและขนาดแตกต่างจากคนทั่วไป ทั้งความยาวที่ทำให้ส่วนปลายเรียวล้วงลึกเข้าไปได้ถึงช่องคอ ขณะที่ส่วนโคนใหญ่หนาอัดแน่นคับช่องปากจนอินเริ่มหายใจไม่ออก แต่ขนอ่อนบนท่อนแขนของเขากลับลุกชัน ราวกับว่าร่างกายไม่ตระหนักถึงความน่าสะพรึงกลัวนั้น ซ้ำยังพร้อมตอบสนองคนบนร่างอย่างเต็มใจ
ใบหน้าคมถอนลิ้นที่พันเกี่ยวเพื่อเปิดทางให้เด็กหนุ่มได้สูดอากาศอีกครั้ง แล้วเลื่อนลงมาดูดเม้มทั่วซอกคอและแผงอกของเขาจนเกิดรอยแดงช้ำ
“อืม…” เสียงครางเล็ดลอดออกมาเบาๆ เมื่อชายหนุ่มลากลิ้นหมุนวนบนฐานอกสีชมพู ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นเสียงร้องเมื่อเขี้ยวคมขบส่วนยอดที่แข็งเป็นไต
“อ… อ้ะ…”
คนบนร่างยกยิ้มได้ใจขณะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เงามืดจากร่างใหญ่ทาบทับคนตัวเล็กจนกลืนหายไปกับผ้าปูที่นอนสีเข้มแม้พระจันทร์ดวงใหญ่ด้านนอกจะส่องสว่าง
เช่นเดียวกับเด็กน้อยผู้ไม่ประสีประสา ที่กำลังถูกปลุกเร้าจนจิตใจขาวสะอาดเริ่มแปรเปลี่ยน เพียงชายหนุ่มใช้ปลายเท้าเขี่ยส่วนอ่อนไหว แท่งกลางลำตัวของเขาก็ตั้งชันขึ้นทันที
แต่นั่นเป็นแค่การหยอกเย้าเท่านั้น เมื่อร่างสูงฉุดสองแขนเรียวขึ้นเพื่อให้อินอยู่ในท่านั่ง ซึ่งแน่นอน แค่เขาขยับตัวเพียงเล็กน้อย แก่นกายขนาดยักษ์ก็จ่ออยู่ที่ใบหน้าของเด็กหนุ่มอย่างพอดิบพอดี
นี่ต่างหาก…
คือสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น
“อ้าปากสิ”
เด็กน้อยเงยหน้าขึ้นมองผู้ออกคำสั่ง แม้สีหน้าจะบ่งบอกถึงความหวาดหวั่นต่อท่อนเอ็นปูดโปน แต่ปากเล็กๆ กลับอ้ารับส่วนหัวเข้าไปอย่างช้าๆ
“อืม…”
ชายหนุ่มส่งเสียงครางเบาๆ เมื่อรู้สึกถึงความอุ่นและเปียกชื้น ทั้งยังคับแน่นจนสัมผัสได้ว่าแก่นกายกำลังเบียดแทรกผ่านกระพุ้งแก้มและเพดานปาก
ก่อนที่เสียงอู้อี้ของอินจะบ่งบอกว่าส่วนปลายของเขาชนกับผนังลำคอแล้ว ทั้งที่แท่งเนื้อยังเข้าไปได้ไม่ถึงครึ่ง ปากเล็กนั่นก็ไม่ขยับเขยื้อนตามที่ควรจะเป็นด้วยเช่นกัน
แต่ไม่เป็นไร…
เด็กน้อยเพียงแต่ใสซื่อกว่าที่คิด และคงไม่ใช่เรื่องยากที่จะสั่งสอน
“ทำแบบนี้นะ”
เขาใช้มือหนึ่งจับด้านหลังศีรษะของอินไว้ ดึงออกห่างจากตัวเพื่อให้แก่นกายรูดผ่านช่องปากออกมาจนเกือบสุดลำ แล้วดันศีรษะของเด็กหนุ่มกลับมาเพื่อให้มันผลุบหายเข้าไปอีกครั้ง
“อืม… ดี…”
คนตัวเล็กเชื่อฟังเขาเป็นอย่างดี ปากเรียวนั่นกำลังรูดแท่งเนื้อของเขาจากโคนสู่ปลาย
“อื้ม…”
ชายหนุ่มกัดฟันกรอดด้วยความเสียวซ่าน เมื่อเด็กน้อยผงกศีรษะเพื่อเร่งจังหวะตามการควบคุมของเขา ยิ่งรู้ว่าตัวเองใกล้ถึงจุดหมาย มือแกร่งยิ่งกดท้ายทอยไว้แน่นขณะที่สะโพกเด้งสวนเข้าหาใบหน้าเล็กจนแก่นกายพุ่งลึกเข้าไปเรื่อยๆ
“อา…”
จนในที่สุด ของเหลวรสฝาดคาวของเขาก็พุ่งเข้าท่วมโพรงปากของอิน แม้บางส่วนจะล้นทะลักออกมาด้านข้าง เปรอะเปื้อนใบหน้าและไหลลงสู่ลำคอ แต่ส่วนใหญ่ก็มีปริมาณมากพอที่จะทำให้เด็กหนุ่มเกิดอาการสำลัก
แต่หน้าที่ของร่างบางไม่จบลงเพียงเท่านี้ แม้ปลายจมูกและขอบตาจะแดงก่ำจากเหตุการณ์เมื่อครู่
มือแกร่งพลิกร่างของเขาให้นอนคว่ำหน้า ช้อนสะโพกนิ่มลอยขึ้นเหนือผืนเตียง ยกสองแขนไร้เรี่ยวแรงขึ้นเหนือศีรษะ แล้วมัดไว้จนแน่นด้วยริบบิ้นผ้าสีดำที่ปลายด้านหนึ่งถูกผูกติดกับหัวเตียงเหล็กดัดโค้ง
เด็กน้อยจึงอยู่ในท่าคุกเข่า แขนเรียวยืดตรงจากการถูกตรึง ทว่าบั้นท้ายกลมกลึงแอ่นขึ้นสู้สายตา
และนั่นทำให้ท่อนเอ็นของเขาขยายใหญ่ราวกับพร้อมใช้งานอีกครั้ง แม้จะรู้ดีว่าช่องทางแคบเล็กตรงหน้ายังคงแห้งผาด แต่เขาไม่เคยใช้ตัวช่วยอื่นใด...
“อ… อ้ะ…”
นอกจากน้ำลาย
ใช่… ชายหนุ่มกำลังสอดสองนิ้วที่เปียกชื้นจากของเหลวในปากเข้าไปในร่างเล็ก
“อึก…”
มันคับแน่น ซ้ำยังตอดรัดจนแทบดันเข้าไปไม่ได้ ทว่าอารมณ์ที่ยังคงคุกรุ่นจำต้องปลดเปลื้องให้หมดสิ้น นิ้วที่สามจึงถูกส่งตามเข้าไป ก่อนจะเริ่มขยับเข้าออกพร้อมกับหมุนควงไปรอบๆ อย่างชำนาญ
ผนังอ่อนนุ่มถูกปลายเล็บแหลมขูดข่วนจนเด็กหนุ่มสะดุ้งและบิดเร้าอย่างเจ็บแปลบ โดยไม่รู้เลยว่า นั่นเทียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่เขากำลังจะเผชิญ
“อะ… อ๊า…”
เสียงกรีดร้องดังลั่นเมื่อชายหนุ่มดึงนิ้วทั้งสามออกมา แล้วดันแก่นกายขนาดยักษ์เข้าไปแทนที่
ไม่ง่ายอย่างที่คิด สองมือจึงเลื่อนลงสู่ข้อเท้าเล็ก แล้วจับมันแยกห่างจากกัน ก่อนจะแนบร่างชิดบั้นท้ายของเด็กหนุ่มแล้วกดแท่งเนื้อเข้าสู่รูแคบนั่นอีกครั้ง
“อ้ะ... อื้อ…”
รอยยิ้มปรากฏขึ้นเล็กน้อยเมื่อส่วนปลายผลุบหายเข้าไปในร่างบางได้สำเร็จ แม้เด็กน้อยจะร้องครวญครางด้วยความทรมาน
คงเจ็บปวดมากราวกับร่างถูกฉีกออกจากกันเลยสินะ
เพราะอินไม่ใช่ ‘มนุษย์’ คนแรกที่เขาเป็นเจ้าของ และช่องกลางบั้นท้ายที่กำลังฉีกกว้างก็ไม่ใช่ ‘ช่องทาง’ แรกที่เขาเคยครอบครอง จึงไม่แปลกที่ชายหนุ่มจะเข้าใจความรู้สึกของเด็กหนุ่มได้เป็นอย่างดี…
เพียงแต่ไม่สนใจ
ร่างเล็กเป็นของเขาแล้ว เขาจะทำอะไรก็ย่อมได้ สะโพกแกร่งจึงเริ่มขยับเพื่อแทรกกายเข้าไปทีละน้อย
ร่างใหญ่เป่าปากเมื่อถูกโพรงนุ่มตอดรัดอย่างรุนแรง หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เขาอาจปลดปล่อยก่อนจะถึงจุดหมาย จึงรูดแก่นกายที่อัดแน่นอยู่ด้านในออกมาจนเกือบสุดลำ แล้วกระแทกกลับเข้าไปเต็มแรง
“อื้อ…”
เด็กหนุ่มสะดุ้งเฮือก ดวงตาเหลือกค้างไม่อาจฝืนกลั้นน้ำใสที่คลอรื้นไว้ได้อีก จึงปล่อยให้มันไหลอาบทั่วใบหน้า แต่ชายหนุ่มยังคงสาวท่อนเอ็นออกมาแล้วกดกลับเข้าไปอย่างหนักหน่วง
แม้กลิ่นคาวเลือดจะคละคลุ้ง ทว่าร่างใหญ่กลับเคลื่อนไหวซ้ำแล้วซ้ำเล่า คงเพราะการกระทำที่ฝืนต่อธรรมชาตินั้นแลกมาด้วยแท่งเนื้อยักษ์ที่ทะลวงลึกเข้าไปจนเกือบสุดโคน
ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือ ‘อมนุษย์’ ก็ย่อมต้องการให้อีกฝ่าย ‘กลืนกิน’ จนหมดด้วยกันทั้งนั้น
ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอก…
“อ้ะ… อื้อ…”
ห้วงอารมณ์ของเด็กหนุ่มในตอนนี้เสียอีก ที่ควรถูกนิยามด้วยคำนั้น
แม้ในช่วงเวลาที่อาจเรียกได้ว่าเจียนตาย ด้วยความเจ็บแสบและปวดจุกราวกับทั้งร่างกำลังแหลกละเอียด แต่เด็กน้อยกลับรู้สึกเสียวสะท้านอย่างประหลาด ร่างบอบบางที่ทรุดลงบนเตียงนอนอย่างหมดเรี่ยวแรงสั่นระริก ดวงตาชุ่มชื้นลอยคว้างไร้จุดหมาย ยิ่งเส้นเอ็นปูดโปนครูดผ่านโพรงนุ่มและช่องทางคับแคบที่ฉีกขาดเป็นวงกว้าง ยิ่งผลักดันให้เสียงครางหวานดังกระเส่า
“อ้ะ… อ้ะ…”
และนั่นยิ่งเร้าให้ชายหนุ่มเร่งจังหวะบดบี้บั้นเอวขึ้นเรื่อยๆ ซ้ำยังใช้สองมือยกสะโพกของเด็กน้อยขึ้นมาแล้วกระทุ้งสวนเข้าไปอย่างดุดัน
“อืม…”
เสียงลอดไรฟันดังขึ้นอย่างพึงใจเมื่อเขาใกล้ถึงจุดหมาย ความถี่รัวและหนักหน่วงจึงยิ่งโถมกระหน่ำใส่ช่องทางตรงหน้าอย่างไม่ลดละ ขณะที่ร่างเล็กโยกคลอนไปตามแรง สองขาแยกกว้างจนแทบแนบขนานไปกับผืนเตียง
แต่ถึงแบบนั้น หยาดน้ำจากปลายแท่งของตัวเองก็ปริ่มออกมาราวกับว่าใกล้จะถึงปลายทางด้วยเช่นกัน
“อื้อ…”
และไม่กี่อึดใจหลังจากนั้น เสียงครางเปี่ยมสุขของทั้งชายหนุ่มและตัวเขาก็ดังขึ้นพร้อมๆ กัน ร่างบางกระตุกเกร็งเมื่อแก่นกายพ่นน้ำสีขุ่นออกมา แต่นั่นเทียบไม่ได้เลยกับของเหลวเหนียวข้นที่ฉีดพุ่งเข้าสู่ช่องทางบวมแดงของเขา
แค่โพรงอุ่นตอดตุบ มันก็ล้นทะลักออกมาพร้อมกับเลือดจากบาดแผลภายในร่าง
ดวงตาฉ่ำหวานค่อยๆ หรี่เล็กลงเมื่อค่ำคืนอันยาวนานใกล้มาถึงจุดสิ้นสุด แต่ก่อนที่สำนึกสุดท้ายของอินจะหมดลง เสียงเย็นยะเยือกของชายหนุ่มกลับดังขึ้น
“อย่าเพิ่งตายนะ”
ตาย…
เหตุใดชายหนุ่มจึงพูดเช่นนั้น
สภาพของเขาแหลกเหลวเกินกว่าจะเยียวยาแล้วอย่างนั้นเหรอ
หรือเป็นเพราะว่าเคยมีใครตายจากการถูกกระทำแบบนี้
เด็กหนุ่มไม่อาจคาดเดาได้เลย…
.
.
.
“เรายังต้องทำอะไรสนุกๆ ด้วยกันอีกเยอะ”