สนองนโยบายลดเรตของทางเล้า ตอนนี้เลยไม่มีฉากเรียกเลือดนะจ๊ะ
(ไม่ใช่หรอกค่ะ นิก็มีมุขตันมั่งเหมือนกันอ่ะค่ะ แหะๆ)
ตอนที่ 6 หน้าที่หลักของดวงจันทร์
แฮ่กๆ หอบเป็นหมาหอบแดด หลังทำกิจกรรมเข้าจังหวะรอบสองในรถจบ โชคยังดีที่ผมไม่ทำให้รถของมันเลอะเทอะอะไรนัก จึงไม่ต้องไปตามล้างตามเช็ดเหมือนอย่างที่มันขู่
“ใจคอจะเอากันบนรถทั้งคืนไม่หลับไม่นอนเลยใช่ไหม?” ผมถามอย่างเคืองขุ่น เมื่อไอ้ตุลย์ทิ้งกายทับผมไว้ไม่ยอมขยับเขยื้อน จนผมรู้สึกอึดอัดเต็มทน เนื่องด้วยไอ้ตุลย์มันตัวหนักครับ
“แล้วแต่มึงสิ ติดใจรถกูก็ไม่บอก” ห่าลาก.... คิดได้นะมึง!! อยากจะบอกมันเหลือเกินว่ากูก็เหนื่อยเป็นอะไรเป็น อุตส่าห์รอดพ้นออกจากห้องน้ำที่ร้านมาได้แต่กลับต้องมาติดแหง่กอยู่ในรถต่ออีกแบบนี้ ทำไมผมมันซวยปานนั้น
“สาด...กูประชด” ตอบกลับอย่างหัวเสียแต่ไอ้ตุลย์มันกลับหัวเราะหึๆ ในลำคออย่างน่าหมั่นไส้ที่สุด
“อ้าวเหรอ? นึกว่าติดใจอยากได้อีกสักรอบ”
“ห่า... ทำแต่ละที...รุนแรงจนรถโยก ถ้าเอาอีกรอบกูว่าบีเอ็มมึงยางแบนแน่ๆ”
“ฮ่าๆ สนป่ะล่ะ ไม่ต้องห่วงแทนกู ถ้ายางแบนก็เอาไปปะยาง เติมลม หรือเปลี่ยนเส้นใหม่ไปเลยก็ยังได้” อวดรวยจริงโว้ย ไม่รู้ว่าน่าอิจฉาหรือน่าหมั่นไส้มากกว่ากันแน่
“ล้อเล่น กูเองก็เมื่อยแล้วเหมือนกัน รถแม่งแคบว่ะ” รถมันแคบหรือมึงตัวโตวะ ไอ้ตุลย์ขยับกายขึ้นนั่งทำให้ผมรู้สบายขึ้นเยอะ
“มึงน่าจะรู้ตัวตั้งนานแล้วนะ ไอ้อ้วน” สะใจแฮะเพราะด่าว่าอะไรมันไม่สะทกสะท้านเพราะไอ้ตุลย์มันหน้าหนาดั่งคอนกรีตเสริมไยเหล็กแต่พอด่าว่าอ้วนทีเดียวแม่งหันขวับมองผมตาขวางเลย ความจริงอย่างไอ้ตุลย์เขาไม่เรียกว่าอ้วนหรอกครับเขาเรียกว่าล่ำมากกว่า แต่ในเมื่อผมไม่สามารถหล่อล่ำอย่างมันได้ ผมจะถือว่าการที่มันหุ่นเท่ห์เป็นปมด้อยของมัน
“ถ้าอย่างกูเรียกอ้วน มึงก็กระดูกเดินได้อ่ะ” ยังมีหน้ามาต่อปากต่อคำ เดี๋ยวพ่อตบหลังแหวนเลย แค่คิดนะครับ ผมไม่กล้าทำหรอก เพราะถ้ามันเตะสวนผมมีสิทธิ์คอหักตายได้ง่ายๆ เลย
“อย่างกูมันหุ่นนายแบบโว้ย” เถียงกลับอย่างมั่นอกมั่นใจ ทำลอยหน้าลอยตา
“เห็นด้วย... ยิ่งถ้ามึงไปถ่ายนู้ดนะ....กูว่าขายดี”
“สัด...” เค้นเสียงลอดไรฟันใส่ แม่ง....ปากหมา ยิ่งเห็นสายตาวาววับที่ทอดมองมาแล้วมันเขินจนทำอะไรไม่ถูก ผมรีบใส่เสื้อผ้ากลับเข้าที่โดยด่วน เพราะไม่อยากเห็นสายตาโรคจิตของไอ้ตุลย์อีกต่อไป กลัวใจมันครับ ไม่อยากเป็นต้นเหตุให้รถของมันยางแบนไปจริงๆ
“แต่ไม่ต้องคิดจะไปถ่ายนะ เพราะถ้าวางขายปุ๊บกูนี่แหละจะเหมาให้หมดร้าน ไม่ให้ใครมีโอกาสเอารูปมึงไปติดข้างฝาได้เด็ดขาด” เป็นงั้นไป
“มึงจะเอารูปกูไปติดฝาบ้านมึงแทนหรือไง” อย่าบอกนะโว้ยว่ามึงคลั่งไคล้กูขนาดนั้นน่ะ
“เปล่า... จะเหมาไปเผาทิ้ง” สันขวาน
“กวนตีน....รูปกูนี่มันไร้ค่าขนาดนั้นเลยเรอะไง เชี่ย....”
“ไม่ได้บอกว่าไร้ค่า แต่กูไม่จำเป็นต้องเก็บรูปมึงเอาไว้ข้างฝา หรือที่ไหนทั้งนั้น เพราะสิ่งที่กูต้องการมากกว่ารูปภาพพวกนั้น คือตัวเป็นๆ ที่มีเลือดเนื้อของมึงต่างหากที่กูอยากจะเก็บเอาไว้ข้างกาย”
ขนลุก!! ถ้าฟังคนอื่นพูดผมว่ามันคงโรแมนติกน่าดู แต่ฟังจากไอ้ตุลย์นี่ผมว่าฟังแล้วสยองมากกว่า เชี่ยนี่เคยคิดจะถามผมสักคำไหมว่าผมเต็มใจอยุ่ข้างกายมันหรือเปล่า...
ผมเปิดประตูรถออกไม่ลืมหยิบถุงเซเว่นออกมาด้วยเพราะมีบางอย่างก็ต้องแช่ตู้เย็น ป่านนี้นมบูดหมดแล้วรึเปล่าก็ไม่รู้ เดินมาหยุดอยู่หน้าบ้านแต่เข้าไปไม่ได้เพราะเจ้าของบ้านแม่งยังใส่เสื้อผ้าอยู่ในรถ
ครู่ใหญ่ต่อมาผมก็เดินตามตุลย์เข้าไปในบ้าน จะเดินเข้าครัวเอาของไปเก็บ
“เก็บของเสร็จแล้วมึงตามกูขึ้นไปข้างบนนะ”
“หึ...กูนอนข้างล่างก็ได้ มึงไปเถอะ”
“บอกให้ขึ้นมาก็ขึ้นมาอย่าให้กูโมโห” ดุจริง มึงเป็นกระต่ายป่าเลยไม่เชื่องหรือไงวะสาดดดดด
“แม่ง.... มึงจะทรมานกูไปถึงไหนเนี่ย แค่เดินธรรมดาก็ลำบากจะแย่ ยังจะให้กูขึ้นๆ ลงๆ บันไดสูงๆ บ้านมึงอีก สมองมึงนี่มีไว้กั้นหูจริงๆ เลย” ด่าแม่งไปตรงๆ ครับอย่าได้เก็บไว้ ไอ้ตุลย์เงียบไม่พูดอะไรเดินขึ้นบันไดบ้านมันไปซะงั้น ผมขมวดคิ้วนิดหนึ่งอย่างสงสัย อย่าบอกนะว่าไอ้ตุลย์มันโกรธที่ด่ามัน... คงไม่มั้ง ถึงใช่ก็ช่างมันปะไร เพราะมันเป็นเรื่องจริง.... ดีซะอีก ผมจะได้ปลอดภัยมากขึ้น
ผมเอาของที่ซื้อมาไปแช่ตู้เย็นแล้วกลับออกมานั่งที่โซฟาหน้าทีวี ไอ้ตุลย์เดินลงบันไดมาพร้อมผ้านวมผืนโต หมอนและผ้าห่ม
“เปลี่ยนบรรยากาศลงมานอนข้างล่างบ้างก็ดีเหมือนกันนะ” ไอ้ตุลย์ว่า ปูผ้านวมลงที่พื้นบ้านที่ว่างอยู่จัดหมอนสองใบและผ้าห่มเสร็จสรรพ พร้อมตบที่ว่างข้างๆ มัน
“มามะ...มานอนนี่มา...” รู้สึกสยองกับรอยยิ้มหวานของมันอย่างที่สุดจนต้องกลืนน้ำลายเอื๊อกอย่างไม่ไว้วางใจ ส่ายหน้าดิก
“มึงจะมาดีๆ หรือจะมาทั้งน้ำตา!!” เห็นไหม!! แม่ง...อามรมณ์แปรปรวนชิบเป้ง
ทำไงดีวะ!! จะยอมมอบตัวดีๆ หรือจะรอให้มันมาลากตัวไปดีกว่ากันก็ยังไม่รู้ ไอ้ตุลย์หันมามองจ้องผมเขม็งในขณะที่ผมยังนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับ
“กูจะนับหนึ่งถึงสิบถ้ามึงไม่มา มึงเจอดีแน่ หนึ่ง.... สอง.....สาม.......” แม่งนับเร็วจริงวะ
“สี่...............สิบ” เฮ้ย!!!! นอกจากกระต่ายจะตกวิชาภาษาไทยแม่งตกวิชาคณิตศาสตร์ด้วยครับ แล้วห้าถึงเก้ามันอันตรธานหายไปไหนเหรอไอ้เชี่ย.......TT_TT
พอมันนับสิบเรียบร้อยมันก็ลุกขึ้นมาลากผมจากโซฟาให้ลงไปนอนบนผ้านวมนั่นทันที มีการกดไหล่ผมให้นอนราบลงไปไม่ให้ขยับเขยื้อนอีกต่างหาก พอผมดิ้นรนขัดขืนมันก็ขึ้นมาคร่อมเอวผมไว้อีกตามเคย
“ทำไมชอบยั่วโมโหกูทุกทีเลยนะ มึงเนี่ย” ห่าลาก.... ใครยั่วใครกันแย่วะเนี่ย.....
“อะไรของมึง... กูอยู่ของกูดีๆ ยังไม่ได้ทำอะไรเลยมึงนั่นแหละหาเรื่อง”
“ก็บอกให้มาดีๆ ก็ไม่ฟัง อยากให้กูไปลากมึงมาเองทำไมล่ะ”
“มึงบอกจะนับหนึ่งถึงสิบ เมื่อกี้มึงนับข้ามนะมึง”
“ไม่ได้ข้าม แต่ตรงกลางกูนับในใจต่างหาก”
“กวนตีน” ด่าใส่หน้าแม่งเลยครับ
“กูอุตส่าห์ชวนมานอนด้วยดีๆ มึงก็ท้าทายไม่ยอมมา ดื้อแบบนี้คืนนี้ไม่ต้องนอนหรอก....” อ้าว......
“ไม่ให้นอนแล้วจะให้ทำอะไร....”
“ก็ทำงานของมึงไง”
“งานอะไรวะ!!”
“มึงไม่รู้เหรอ....” โอ๊ย กูเกลียดประโยคนี้ของแม่งจริงๆ เลย.... รู้อะไรวะ
“ว่าหน้าที่ของดวงจันทร์ คือการหมุนรอบโลกนะ....” ตายห่า......
ขอลาออกจากการเป็นดวงจันทร์ประจำตัวไอ้ตุลย์ทันไหมครับเนี่ย
แม่ง....ใช้แรงงานกูเยี่ยงทาสแบบนี้ เดี๋ยวกูก็ขออัพค่าตัวเพิ่มซะหรอก!!
...................................
.........................................................
.............................................................................
รู้สึกเหมือนจะนอนไปได้ไม่นาน และไม่อยากตื่นแม้แต่นิดเดียว แต่ก็ข่มตาหลับต่อไปไม่ไหว เมื่อได้ยินเสียงสรยุทธเล่าข่าวกรอกเต็มสองรูหู แม่ง....หงุดหงิดโว้ย.....
“ไอ้เชี่ย.....เมื่อคืนกูทั้งเหนื่อยทั้งนอนน้อย เช้ามาจะปล่อยให้กูนอนหลับสบายๆ หน่อยก็ไม่ได้นะ ยังอุตส่าห์เปิดทีวีแกล้งกูอีก ไอ้โรคจิต” ผมโวยวายใส่ไอ้ตุลย์ที่นั่งดูทีวีอยู่บนโซฟาเดียวกันกับที่ผมนอนตะแคงอยู่ ยังไม่พอเอนหลังมาทับเหมือนผมเป็นพนักพิงอีกต่างหาก
หลังจากถูกกระต่ายป่าจับกดไปอย่างไม่มีทางเลี่ยง.....ดวงจันทร์ผู้น่าสงสารก็ต้องทำงานหนักไปตามระเบียบ ไหนจะต้องหมุนรอบตัวเองไหนจะต้องหมุนรอบโลก กว่าจะได้หลับได้นอนก็แทบจะสลบ เท่านั้นยังไม่พอ หลังจากสลบไสลราวกับศพไปได้ไม่นาน ยังไม่สว่างดี...ไอ้ตุลย์เกิดนึกคึกลุกขึ้นมาล้างหน้าไก่กับผมอีกสองรอบผมก็ไม่ไหวจะทน พอมันหลับผมก็เลยต้องระเห็จมานอนบนโซฟาเพื่อหนีมันน่ะครับ
“สายแล้วมึง ตื่นเถอะ มีเรียนไหมเนี่ยวันนี้”
“ไม่มี....” ตอบกลับไปห้วนๆ ถึงมีกูก็ไม่ไปโว้ย กูอยากนอนต่อ....
“เหรอ... มึงไม่มีแต่กูมี เพราะงั้นมึงตื่นได้แล้ว เมื่อคืนมึงซื้ออะไรมาบ้าง มีของกินไหม กูกำลังหิวพอดี” อยากจะทุบหัวมันให้กะโหลกร้าว ปลุกผมขึ้นมาหาข้าวให้มันกินอย่างกับเป็นเมียแม่งเลย
“หรือมึงจะให้กูกินมึงแทนก็ตามใจ” เฮ้ย!!!!! ว่าไงนะ ผมรีบเด้งพรวดขึ้นมาทันควันเหมือนถูกไฟลนก้น เจอไม้นี้ ไม่อยากไปก็ต้องไปแล้วแหละครับ
โว้ย.....โมโหโว้ย..... เดินโยกเยกเข้าห้องน้ำอย่างมึนๆ ขอล้างหน้าล้างตาก่อนอย่างอื่นค่อยว่ากัน
หลังทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำอย่างแสนทรมาน....และรู้สึกว่าตัวเองตื่นเต็มตาแล้วก็เข้าครัวไปอุ่นข้าว เพราะตัวผมเองก็หิวเหมือนกันครับ หยิบขนมปังพร้อมแยมออกมาวางไว้ที่โต๊ะกระจกตรงหน้าตุลย์ ส่วนผมกะจะหม่ำข้าวกล่องน้อยที่ซื้อมาแช่ตู้ไว้
“อะไรเนี่ย” ผมล่ะหมั่นไส้ไอ้บ้าตุลย์เข้าเส้นเลือดจริงๆ ครับ แม่งเรื่องมาก
“มึงตาบอดเหรอไงถึงไม่เห็น หรือว่าโง่มากจนไม่รู้จักขนมปัง”
“ก็รู้...แต่ทำไมกูต้องกินขนมปังในขณะที่มึงกินข้าวด้วย”
“อ้าว ไอ้นี่ ก็มึงไม่ใช่เหรอที่บอกว่าชอบขนมปัง” ผมเถียงกลับไปทันที
ไอ้ตุลย์กลอกตาขึ้นบนเหมือนเหนื่อยใจอะไรบางอย่าง ถอนใจเซ็งๆ มันพึมพำในลำคอเสียงเบาจนผมไม่ได้ยินแต่พออ่านปากออกได้ว่า ‘ไอ้ซื่อบื้อเอ๊ย’ ห่านี่ด่ากูเหรอ?
“ก็ใช่ แต่เมื่อคืนกูกินขนมปังจนอิ่มแล้ว ตอนนี้กูเลยอยากกินข้าวมากกว่า” ผมขมวดคิ้วแล้วก็ต้องหน้าร้อนผ่าวกับความหมายแฝงที่มันต้องการสื่อ แล้วก็พลาดท่าปล่อยให้มันลากจานข้าวผัดกะเพราของผมไปอย่างหน้าด้านๆ
“กูไม่ให้ อยากกินมึงก็ไปทำเองเลยยังมีในตู้อีกตั้งสามกล่อง” พยายามดึงจานข้าวกลับคืนมา
“มึงนั่นแหละไป เพราะที่นี่บ้านกู ของที่อยู่ในบ้านกูย่อมเป็นของกูด้วย ไม่ว่าจะเป็นข้าวกล่องหรือตัวมึงก็ตาม เพราะฉะนั้นมึงต้องทำตามคำสั่งเจ้าของบ้านอย่างกูเป็นเรื่องถูกต้องที่สุด” ดูมัน!! ดูมัน!!! หนอย.....เจ็บใจโว้ย...... ผมมองจานข้าวด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์ แล้วลุกขึ้นยืนหายใจฟึดฟัด
ไอ้ฟายยยยยย ไอ้กระต่ายจอมตะกละ กำมือแน่นอย่างอย่างแค้นใจ ตัดสินใจเดินเข้าครัวไปอุ่นข้าวอีกกล่อง
“เออ... มึง” ผมหันขวับไปทำหน้าหงิกใส่มัน มึงจะสั่งอะไรกูอีกฮึ ไอ้กระต่ายฮิตเลอร์ “ไหนๆ ก็เข้าครัวแล้ววานทอดไข่ให้ฟองดิมึง” ขนาดทำตาขวางใส่แม่งยังสั่งได้ไม่เกรงใจเลยนะ หน้ามึนจริงมึง!!
หนอย..... ไอ้คุณชาย กูไม่ใช่คนรับใช้มึงนะโว้ย...... พยายามนับหนึ่งถึงร้อยอย่างระงับอารมณ์สุดชีวิต
แม้ภายในใจจะเคืองขัดเพียงใดแต่รักษาตัวรอดเป็นยอดดีครับ ผมก็เลยลงมือทอดไข่ดาวตามคำสั่ง โดยทอดให้ตัวเองด้วยฟองหนึ่ง แล้วกลับไปหาไอ้ตุลย์ที่นั่งรออยู่ที่เก่า
วางไข่ใส่จานข้าวไอ้ตุลย์เรียบร้อย มันหันมามองไข่ในจานของผมแล้วถามมา
“เฮ้ย...ทำไมไข่ดาวมึงขาวสวยอวบอึ๋ม ในขณะที่ของกูมันดำปี๋เป็นไข่ดาวนิโกรเลยวะ”
“ก็ตัวมึงดำ มึงก็ควรกินของดำๆ ไปสิ” ตอบไปอย่างกวนๆ
“หือ....ดูคำพูดคำจา ถึงกูจะดำแต่ก็กูชอบอะไรขาวๆ นะโว้ย ยกตัวอย่างเช่น มึงเป็นต้น” เชี่ยแล้ว!! ระหว่างที่กำลังทำตาโตนึกประหลาดใจกับคำพูดสยองขวัญของมัน ไอ้ตุลย์แม่งก็แย่งไข่ดาวฟองสวยของผมไปจากจานแล้วเอาไข่ดาวไหม้ในจานมันมาแลก
ฮึ่ย..... เซ็งวุ้ย....
พอกินข้าวหมด ก็รู้สึกได้เลยว่ายังไม่อิ่ม ก็คิดดูว่าข้าวกล่องเล็กนิดเดียวเองใช่ไหมล่ะครับ จะไปพอยาไส้อะไรล่ะครับ ไอ้ว่าจะไปอุ่นเพิ่มก็ขี้เกียจแล้วแหละ
“อ้ะ....” เสียงไอ้ตุลย์บอกพร้อมยื่นขนมปังที่ทาแยมแล้วคู่หนึ่งมาตรงหน้า ผมหันไปทำหน้างงใส่มัน
“ไม่กินเหรอ หรือข้าวกล่องแค่นี้มึงอิ่มแล้ว?” โห!! ไอ้ตุลย์มันสมองเสื่อมหรือเปล่าเนี่ย อยู่ดีๆ ถึงได้ทาแยมขนมปังให้ผมกิน แสดงว่าโลกใกล้จะแตกเต็มทีแล้วครับเนี่ย
แปลกใจแต่ก็รับขนมปังมากินครับ ....... อือ.... ก็อร่อยดีเหมือนกันนะ ถึงว่าสิ...ไอ้ตุลย์ถึงชอบกินขนมปัง....
ถึงผมกับไอ้ตุลย์จะเรียนคณะเดียวกันแต่ก็คนละเอกครับ ตารางเรียนเลยไม่เหมือนกัน ผมไม่มีเรียนก็จริง แต่ไอ้ตุลย์มันมีเรียน หลังกินอิ่มมันก็เลยขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวจะไปมหาวิทยาลัย แล้วจะพาผมไปส่งที่หอด้วย
ผมเดินออกมานอกตัวบ้านด้วยความอ่อนเปลี้ยเพลียแรงเนื่องจากสูญเสียพลังงานไปมากโขเมื่อคืนนี้ ยิ่งเมื่อเงยหน้าขึ้นเจอแสงแดดแรงๆ แล้วเหมือนลมจะจับเอาให้ได้ จากนั้นก็ได้แต่ยืนนิ่งแล้วหยีตาเหมือนคนสายตาสั้น...
“ตุลย์...มึงบอกกูที ...ว่าท้องฟ้าวันนี้สีอะไรวะ” ถามขึ้นเมื่อได้ยินเสียงก๊อกแก๊กจากการที่เจ้าของบ้านกำลังล็อกกุญแจบ้าน ตุลย์เดินมาเคียงข้างแล้วยิ้มให้
“ท้องฟ้าก็ต้องสีฟ้าสิวะ จะให้สีชมพูรึไง” ตุลย์ตอบมากวนๆ แล้วเดินผ่านผมไปประจำที่นั่งคนขับ
ผมล่ะนับถือตุลย์จริงๆครับ มันคงเกิดมาเพื่อสิ่งนี้จริงๆ มั้งเนี่ย นอกจากจะไม่อ่อนเพลียอย่างผม กลับดูกระชุ่มกระชวยอารมณ์ดีเสียด้วยซ้ำ ผมเดินตามไปนั่งคู่กับมันก่อนที่รถจะออกตัว
เป็นครั้งแรกที่คิดว่าสีธรรมชาติของท้องฟ้าช่างสวยเสียนี่กระไร
กำลังแปลกใจกันล่ะสิ...ว่าตอนนี้ผมไม่ได้มองเห็นท้องฟ้าเป็นสีธรรมชาติเหรอ?
คงธรรมชาติมั้งครับ ถ้าตามธรรมชาติ... ท้องฟ้าเป็นสีชา ออกน้ำตาลอ่อนๆ แบบนี้..... *O*
ไอ้บ้าตุลย์ ขอบใจนะมึงที่ทำให้กูเข้าใจว่า...
อาการฟ้าเหลืองเนี่ยมันเป็นอย่างนี่เอง…..สาด!!!!!!!
............................................................................
เอ่อ..... อ่านเอาฮาๆ นะคะ นิก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ไอ้ที่เขาว่า ฟ้าเหลืองเนี่ยมันยังไงแน่
แต่ไปอ่านมาตามที่โพสท์ๆ ไว้ ก็ประมาณว่า...
เมื่อปฏิบัติการทางเพศหลายครั้งติดต่อกัน ตับจะไม่สามารถ
หลั่งสารเคมีบางอย่างมาให้ร่างกายใช้ได้อย่างเพียงพอ ทำให้การมองเห็น
ในช่วงนั้นผิดพลาดไป ไม่ครบทุกสี
(บอกว่ามองไปตามที่ต่างๆก็ยังปกติแต่ที่ชัดสุดคือตอนมองท้องฟ้าที่มันสังเเกตุได้อ่ะนะ)
ไม่รู้ว่าทฤษฎีนี้ถูกต้องไหมนะคะ ใครเคยฟ้าเหลืองจริงๆ มาเล่าบ้างดิว่าเป็นไง เค้าอยากรู้ (ฮา)
ผลโหวต
ห้องนอนละกัน (เตียงหรือพื้นห้องมันก็ห้องนอนนะ ฮาๆ) 9=6.25%
ห้องน้ำดิ (ก็เค้าชอบท่ายืนกับอุ้มแตงไง ฮา) 12=10%
ในรถอ่ะ ตื่นเต้นๆ (แต่ถ้ารถเลอะขึ้นมาขอมะเช็ดได้ป่ะ) 8=6.66%
ระเบียง (โรคจิต ชอบโชว์ไปไหม?) 20=16.66%
ครัวละกัน ก็ตับหวานมันต้องทำในครัว(ใส่มุขผิดเรื่องละเจ๊ ฮา) 12=10%
โซฟาหน้าทีวี (เปิดหนังดูพร้อมสร้างหนังสดไปด้วยยิ่งเยี่ยม) 10=8.3%
หน้ากระจก (อันนี้รอไปก่อนนะ คิวยาว) 49=40.8%
หน้ากระจกชนะเลิศค่ะ......