ปานตะวัน
บทที่ ๑๑
ระหว่างเรา
สิ่งแรกที่เห็นหลังลืมตาตื่นขึ้นมาคือฝ้าเพดานสีขาว ภายในห้องเย็นฉ่ำจากเครื่องปรับอากาศ ปานตะวันกะพริบตาพลางสงสัยว่าที่นี่ที่ไหน...ไม่ใช่บ้านเขาแน่ๆ ล่ะ
สิ่งต่อมาที่รู้สึกคือความเจ็บปวดที่แล่นริ้วมาตามแขนและลำตัว เด็กหนุ่มครางออกมาเบาๆ พลางยกมือกุมศีรษะ ตอนนั้นเองที่ปลายนิ้วสัมผัสเข้ากับผ้าพันแผลสีขาวที่พันอยู่รอบ รวมทั้งผ้าปิดแผลขนาดใหญ่ที่แปะอยู่ตรงหน้าผาก
“เกิดอะไรขึ้นเนี่ย” ปานตะวันพึมพำกับตัวเองแล้วก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อเห็นว่าขาซ้ายของตัวถูกหุ้มเฝือกเอาไว้ ชายหนุ่มกวาดตามองไปรอบห้องแล้วก็รู้ในที่สุดว่าตัวเองกำลังนอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาล
โรงพยาบาล...จริงสิ ก่อนหน้านี้มันเป็นเพราะเจ้าขาววิ่งแจ้นออกไปนอกรั้ว หลานชายเขาที่ตกใจก็รีบไล่ตามไป เขาเลยออกวิ่งไปด้วย หนูเจียไปกำลังจะข้ามไปจับเจ้าขาวที่เผ่นไปอีกฝั่งของถนนแล้วตอนนั้นเองที่มีรถมอเตอร์ไซค์โผล่ออกมา
แล้วหนูเจียล่ะ!
ปานตะวันผุดลุกแต่ความเจ็บเสียดตามร่างกายทำให้ต้องล้มตัวลงนอนต่อ เขาอยู่ในห้องผู้ป่วยนี้คนเดียว หนูเจียไม่อยู่ ราเมศไม่อยู่ หลานเขาล่ะ หลังจากเขาโดนชนแล้วหลานเขาเป็นยังไงบ้าง
ชายหนุ่มพยายามมองหาโทรศัพท์แต่ก็ไม่พบ ความตื่นตกใจเกาะกุมหัวใจเต็มที่ แล้ววินาทีที่เขาใกล้จะสติแตกนั้นเองประตูห้องผู้ป่วยก็เปิดออก เผยให้เห็นร่างสูงใหญ่ของราเมศที่หิ้วกระเป๋าเสื้อผ้าด้วยมือซ้าย ส่วนมือขวาก็จูงหนูเจียเข้ามา วินาทีที่เห็นหลานปลอดภัยไร้รอยขีดข่วนความรู้สึกหนักในอกก็มลายหายไปทันที
“น้าตะวัน!” หนูเจียที่เห็นเขาตื่นแล้วร้องออกมา เด็กน้อยวิ่งจี๋มาเกาะของเตียง ปลายจมูกเล็กและดวงตากลมของหนูน้อยแดงระเรื่อ “น้าตะวัน ฮือ น้าตะวันตื่นแล้ว”
“ครับ น้าตะวันตื่นแล้ว” ปานตะวันลูบผม ลูบแก้มหลานชาย หนูเจียที่น้ำตาร่วงเผาะๆ เอียงแก้มซุกเข้าหามือของเขาอย่างออดอ้อน
“หนูเจียเจ็บตรงไหนหรือเปล่า ไม่เป็นไรใช่ไหม”
“ไม่เป็นไร..ฮึก...หนูเจียไม่เป็นไร แต่น้าตะวันเจ็บ หนูเจียขอโทษนะ หนูเจียจะไม่วิ่งออกไปที่ถนนแบบนั้นแล้ว หนูเจียขอโทษนะครับ”
ยิ่งพูดน้ำตาเม็ดโตก็ยิ่งไหล ร่างเล็กของหนูน้อยวัยสี่ขวบสั่นสะท้านและแล้วหนูเจียก็ร้องไห้โฮออกมา ปานตะวันจะลุกไปกอดปลอบหลานก็ทำไม่ได้ ได้แต่ส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปที่ราเมศ ชายหนุ่มร่างใหญ่จึงรามือจากการหยิบของออกจากกระเป๋าแล้วตรงไปอุ้มหลานชายตัวเล็กขึ้นมาทันที
“โอ๋ๆ หนูเจีย ไม่ร้องนะครับ ไม่ร้องนะ” ปานตะวันเอ่ยปลอบไปด้วย เขาอยากเป็นคนเช็ดน้ำตาให้หลานจะแย่ แต่ติดที่ตัวเองนอนเดี้ยงอยู่แบบนี้เลยทำอะไรไม่ได้นอกจากส่งเสียงปลอบ หนูเจียสะอื้นฮัก ซุกหน้าลงกับบ่าราเมศที่ลูบหลังให้อยู่
“หนูเจียกลัว...มีเลือดเต็มไปหมดเลย หนูเจียขอโทษ ฮึก...ขอโทษ...หนูเจียจะไม่ดื้อแล้ว”
“ครับ น้าตะวันรู้ว่าหนูเจียของน้าเป็นเด็กดี ไม่ร้องนะ โอ๋ๆ นะครับ มามะ มาให้น้าหอมหน่อย เด็กดีของน้าตะวัน”
ราเมศย่อตัวลงให้เจียหลินยื่นหน้าไปหาปานตะวันได้ แต่แทนที่คนเป็นน้าจะจุ๊บปลอบใจหลานกลับเป็นหลานที่ไล่จุ๊บไปตามแก้ม หน้าผาก ปลายจมูกของน้าชายแทน จากนั้นเสียงเล็กที่สั่นพร่าก็พูดว่า
“ขอ...ขอให้น้าตะวันไม่เจ็บ...เพี้ยงๆๆ”
ท่าทางน่ารักนั้นทำให้ปานตะวันอยากจะจับหนูเจียมาฟัดให้หายอยาก เจ้าตัวเล็กคลี่ยิ้มออกมาได้นิดหน่อยแล้วหลังจากปี่แตกมานาน เห็นดังนั้นสองหนุ่มในห้องจึงวางใจ ราเมศปล่อยให้หลานชายลงยืนแล้วกระซิบว่าให้ไปรื้อของออกจากกระเป๋าเสื้อผ้ามาเรียงให้เรียบร้อย เจียหลินจึงผละออกไป
หลานไปแล้ว คราวนี้ก็ถึงตาราเมศบ้าง
คนนี้สิน่ากลัวของจริง
ชายหนุ่มผมน้ำตาลลอบกลืนน้ำลายตอนที่ราเมศลากเก้าอี้มานั่งข้างเตียงแล้วก็จ้องเขาด้วยสายตาดุๆ ตอนแรกปานตะวันก็
ฝืนสบตาด้วยอยู่หรอกแต่สุดท้ายก็สู้ไม่ไหว จำต้องเสหลบตาไปก่อน ตอนนั้นแหละที่คนหน้าดุเอ่ยคำพูดออกมาด้วยเสียงอ่อนระโหย
“นายรู้ไหมว่าพี่ตกใจขนาดไหนตอนโรงพยาบาลโทรมาบอกว่านายโดนรถมอเตอร์ไซค์ชน นายหมดสติไปเลยนะ ดีที่คนขี่มอเตอร์ไซค์ไม่หนีไปไหนแต่พามาส่งโรงพยาบาล ตอนพี่มาถึงหนูเจียร้องไห้ไม่หยุดเลย หลานบอกเห็นน้าตะวันมีเลือดออกเยอะแยะ เรียกก็ไม่ตื่น หลานกลัวมาก...พี่ก็กลัวมากเลยรู้หรือเปล่า”
ตอนนั้นราเมศกำลังทำงานอยู่ที่ร้าน คนไม่เยอะเท่าไหร่เขาเลยกำลังคิดว่าจะผละไปดูสองน้าหลานที่อยู่บ้านสักเดี๋ยว แต่ทันใดนั้นเองพนักงานคนหนึ่งก็วิ่งหน้าตาตื่นมาหา ในมือมีโทรศัพท์ของราเมศอยู่ด้วย ฝ่ายนั้นละล่ำละลักว่าคนจากโรงพยาบาลโทรเข้ามา แจ้งว่าปานตะวันโดนรถชน
วินาทีนั้นเหมือนกับโลกเอียงไปวูบหนึ่ง
พอตั้งสติได้ราเมศก็ทิ้งทุกอย่างในมือแล้วตรงดิ่งไปที่โรงพยาบาลทันที ภาพแรกที่เห็นคือหลานชายยืนอยู่ข้างนางพยาบาลกำลังร้องไห้จ้า พอเห็นเขาหนูเจียก็วิ่งมาหาทันที
เด็กน้อยสะอึกสะอื้นพูดว่าน้าตะวันเจ็บ มีเลือดท่วมเต็มไปหมด
ได้ยินแบบนั้นแล้วหัวใจเขาแทบหยุดเต้น
ราเมศกอดหนูเจียแน่น...จนกระทั่งหมอเดินออกมาแล้วบอกกับเขาว่าปานตะวันปลอดภัยดี สมองไม่ได้รับการกระทบกระเทือน อวัยวะภายในไม่เสียหาย มีแค่ขาหัก หัวแตก และรอยขีดข่วนฟกช้ำตามตัวเท่านั้น
“พี่กลัวแค่ไหน...นายนึกไม่ออกหรอก”
กลัวว่าจะเสียเด็กตรงหน้าไป...กลัวว่าจะไม่ได้เห็นรอยยิ้มของปานตะวันอีก
กลัว...แล้วก็ตั้งใจว่าถ้าปานตะวันลืมตาตื่นเมื่อไหร่เขาจะไม่ให้เด็กคนนี้คลาดสายตาไปทำอะไรตามใจตัวแบบนี้อีกแล้ว
น้ำเสียงห้าวทุ้มสั่นพร่าจนปานตะวันรู้สึกผิดแม้มันจะไม่ใช่ความผิดเขาก็เถอะ
“ตะวันขอโทษนะ”
“ไม่ต้องขอโทษ มันไม่ใช่ความผิดนาย มันเป็นอุบัติเหตุ”
“ไม่ใช่...ตะวันขอโทษ...ที่ทำให้เป็นห่วง”
ราเมศถอนใจ สิ่งที่เขาไม่ได้บอกปานตะวันก็คือ ตอนที่มาถึงโรงพยาบาลเขารู้สึกเหมือนภาพในอดีตวนกลับมาซ้อนทับ...เหตุการณ์ตอนจันทร์จ้าวเสียก็คล้ายๆ แบบนี้
โรงพยาบาลโทรมา เขาไปที่นั่นพร้อมกับหลานชาย จากนั้นก็กอดปลอบเด็กน้อยที่ร้องไห้ไม่หยุดแล้วก็เรียกชื่อมารดาผู้จากไปอย่างไม่มีวันกลัวเอาไว้แน่น
โชคดีเหลือเกินที่ปานตะวันไม่เป็นอะไร
เพราะไม่อย่างนั้นแล้ว ราเมศก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะทนรับความเจ็บปวดได้อีกแค่ไหน
“อย่าทำให้เป็นห่วงอีกก็พอ”
ถึงปากจะดุแต่ฝ่ามือใหญ่ก็เลื่อนมากอบกุมมือของปานตะวันไว้อย่างแผ่วเบา ปลายนิ้วไล้ไปตามรอยฟกช้ำตามตัว
“เจ็บมากไหม” คราวนี้เสียงอ่อนลงกว่าเดิมสิบระดับ
คนป่วยที่เห็นว่ารอดพ้นการโดนด่าแล้วเลยรีบตีหน้าเศร้าทันที
“เจ็บดิพี่ เนี่ย ช้ำไปทั้งตัว”
ราเมศมองคนทำตาใสอย่างหมั่นไส้ อยากเคาะเหม่งมันสักทีแต่ติดที่ช้ำไปทั้งตัวแล้ว จะไปซ้ำก็สงสาร เลยได้ถอนหายใจ
“คราวหลังก็ทะเล่อทะล่าวิ่งออกไปกลางถนนสิ”
“ไม่วิ่งไปรถก็ชนหลานผมดิ แล้วนี่ไอ้ตัวต้นเรื่องอยู่ไหน”
“พานายมาส่งโรงพยาบาลแล้วก็ไปโรงพักแล้ว พี่เคลียร์เรื่องให้เรียบร้อย”
ราเมศพูดถึงคนขี่มอเตอร์ไซค์ ที่รู้ทั้งรู้ว่าซอยนั้นมันแคบและมีคนอยู่แต่ก็ยังขี่เร็วกว่าที่ควรทำให้เกิดอุบัติเหตุแบบนี้
“เปล่า ผมหมายถึงไอ้ขาวน่ะ มันอยู่ไหนแล้ว” ต้นเหตุของเรื่องนี้เพราะไอ้แมวนั่นแท้ๆ เลย ราเมศหรี่ตามองคนเจ็บแล้วถามหยั่งเชิงว่า
“ทำไม จะให้พี่เอาไปปล่อยเหรอ”
“ได้ที่ไหนเล่า! มันยังเล็กนะ เดี๋ยวก็อดตายหรอก ที่ถามเพราะกลัวมันเจ็บหรือหายไปไหนต่างหาก”
“อ้อ อย่างนี้นี่เอง งั้นก็สบายใจได้ พี่ให้มันอยู่กับถุงทองที่บ้านนั่นแหละ เดี๋ยวเย็นๆ แวะไปให้อาหาร”
“เป็นห่วงชะมัด”
“เอาตัวเองให้รอดเถอะไอ้เด็กแสบ”
ปานตะวันย่นจมูกใส่อีกฝ่าย ก่อนจะซักถามต่อว่า “แล้วโทรศัพท์ผมล่ะ”
“พี่เก็บมาให้แล้ว อ้อ พี่โทรไปรายงานแม่กับเพื่อนนายเรียบร้อยแล้ว แม่เธอบ่นหูชาเลย ส่วนกันต์จะมาเยี่ยมวันหลัง งานทำขนมกับหลงพี่ก็ลาให้เรียบร้อยแล้วเหมือนกัน”
“ขอโทษนะพี่ที่ทำให้ลำบาก”
ราเมศยิ้มพลางเหลือบตาไปมองหลานชายที่ถูกของเล่นในกระเป๋าดึงความสนใจไปแล้วก็โน้มตัวไปฉกจูบลงข้างแก้มคนเจ็บเบาๆ ก่อนจะกระซิบว่า
“ไม่ลำบากหรอก เต็มใจทำให้”
เท่านั้นแหละ ดวงตากลมโตก็วาววับขึ้น แก้มขาวขึ้นสีแดงก่ำเหมือนมะเขือเทศสุกจนคนอายุมากกว่าอดหัวเราะเบาๆ ไม่ได้ อยากจะแกล้งให้มากกว่านี้แต่ติดที่คุณหมอกับพยาบาลเข้ามาตรวจอาการปานตะวันทันที สรุปแล้วคุณหมออยากให้นอนอยู่โรง
พยาบาลเพื่อดูอาการอีกคืน ถ้าเห็นว่าปลอดภัยแล้วก็จะให้กลับบ้านได้
ราเมศอาสาเป็นคนเฝ้าปานตะวันเอง ชายหนุ่มจัดการช่วยพยาบาลเช็ดตัวให้คนป่วย พาเข้าห้องน้ำ ดูแลดีจนคนตัวเล็กชักเขินอายปนเกรงใจนิดๆ
“นี่ ไม่ต้องขนาดนี้ก็ได้มั้ง” ชายหนุ่มผมน้ำตาลโวยออกมาเมื่ออาหารเย็นถูกยกมาให้แล้วราเมศหยิบช้อนเตรียมจะป้อนข้าวเขา
เขาขาเจ็บนะไม่ได้เป็นง่อยสักหน่อย!
“ก็เห็นเจ็บอยู่ กลัวกินไม่สะดวก”
“ผมกินได้ เอาช้อนมาเลย”
ทำท่าจะเอื้อมมือไปคว้าแต่คนตัวโตกลับยกช้อนหนี ดวงตาคมสีนิลพราวระยับก่อนจะยื่นช้อนมาจ่อที่ปากเขาแล้วพูดเสียงนุ่มว่า “ปานตะวัน อ้าปาก”
คนถูกเรียกชื่อถลึงตาใส่ ปานตะวันเม้มริมฝีปาก สะบัดหน้าหนีเป็นการประท้วง เอาสิ ไม่ให้กินเองงั้นเขาก็ไม่กิน!
ราเมศมองลูกแมวป่วยที่เริ่มแผลงฤทธิ์อย่างอ่อน ชายหนุ่มวางช้อนลงแต่ยังไม่ยอมปล่อยมือ คนตัวโตหันไปหาหลานชายที่นั่งอ่านหนังสือนิทานบนโซฟาแล้วก็พูดว่า
“หนูเจียครับ มานี่หน่อยเร็ว”
หนูเจียตัวน้อยเงยหน้ามองคนเรียก ยอมวางหนังสือแล้วเดินมาหาอย่างว่าง่าย หนูเจียปีนขึ้นไปนั่งตักราเมศแล้วก็เงยหน้า
มองอย่าสงสัยว่าเรียกเขามาทำไม
“น้าตะวันไม่ยอมกินข้าวที่น้าเมศป้อน ถ้าไม่กินน้าตะวันจะไม่หาย หนูเจียบอกน้าตะวันทีครับว่าให้ทานข้าว”
คราวนี้ปานตะวันหันขวับมาทันที
ไอ้พี่เมศมันร้าย! ตัวเองสู้ไม่ได้ก็เอาหลานเข้าสู้แทน รู้สินะว่าเขาน่ะแพ้ทางลูกอ้อนเจียหลิน!
“น้าตะวันครับบบ” นั่นไง มาแล้วไง เสียงใสๆ อ้อนๆ แบบนี้ ปานตะวันก้มลงมองหลานชายแล้วก็อยากจะยกมือกุมอกกับดวงตากลมแป๋วและยิ้มกว้างอวดฟันกระต่ายของเด็กน้อย
น่ารักเหลือเกิน ฮือ อยากได้กล้องมาถ่ายรูปไว้
“น้าตะวันต้องกินข้าวน้า หนูเจียอยากให้น้าตะวันแข็งแรง ไม่กินจะไม่หายเอานะครับ” เด็กน้อยยกสองมือประกบแก้มแล้วก็อ้าปากกว้างพร้อมพูดว่า “อ้ามมม”
“ว่าไงปานตะวัน อ้ามไหม” ราเมศตักข้าวขึ้นมาเป่าให้หายร้อนแล้วก็จ่อปากคนเจ็บที่นั่งแก้มแดงอยู่บนเตียง
“น้าตะวัน อ้ามมม” มีหน่วยสนับสนุนเป็นหลานชายสุดน่ารัก
แล้ว...แล้วจะให้เขาทนต่อไปได้ยังไง!
ยอมก็ได้วะ
“อ่ะ รู้แล้วๆ ทั้งคู่นั้นแหละ เอ้า อ้ามก็อ้าม”
ปานตะวันยอมอ้าปากรับข้าวเข้าไป พอเขากลืนคำแรกหนูเจียก็ปรบมือแล้วก็ชมว่า “น้าตะวันเก่งมาก” มีการยกนิ้วโป้งให้ด้วย ปานตะวันกับราเมศถึงกับอมยิ้มเพราะรู้ดีว่าท่าทางแบบนั้นเจ้าตัวเลียนแบบมาจากพวกเขานี่แหละ ก็เวลาหนูเจียงอแงไม่กิน
ผักแล้วปานตะวันหลอกล่อให้กินได้สำเร็จจะต้องตบท้ายด้วยประโยคว่า ‘หนูเจียเก่งมาก’ ตลอดเลยนี่นา
“เอ้า อีกคำเร็ว ตะวันอ้าม”
“น้าตะวันเก่งมากกก”
อีกคำ อีกคำ แล้วก็อีกคำ
รู้ตัวอีกทีปานตะวันก็ยอมให้ราเมศป้อนข้าวจนหมด
หลังทานข้าว ทานยา และจัดการธุระส่วนตัวเรียบร้อย ปานตะวันก็นั่งเอนหลังอยู่บนเตียงโดยพื้นที่และโต๊ะเล็กข้างเตียงที่ใช้วางถาดอาหารถูกจับจองโดยราเมศกับหนูเจีย เด็กน้อยกำลังนั่งวาดรูประบายสีอยู่ ปานตะวันมองภาพที่หลานชายตั้งใจวาดแล้วก็ยิ้ม
“หนูเจียวาดอะไรครับ”
“วาดรูปครอบครัวส่งคุณครูครับ”
“หืม ไหนให้น้าตะวันดูหน่อย”
หนูเจียยิ้มกว้างจนตาหยี ส่งกระดาษมาให้แล้วก็อธิบายว่า “นี่คือน้าเมศ น้าตะวัน ส่วนนี่หนูเจีย ข้างหลังเป็นบ้าน เป็นส่วน มีถุงทองกับขาวด้วย” นิ้วป้อมๆ ชี้ไปตามรูปโย้เย้ในกระดาษที่บางรูปดูแทบไม่ออก ปานตะวันเป็นผู้ชายคอยาวสองคนในภาพ คงเป็นเขากับราเมศ ส่วนเด็กคอยาวตรงกลางที่ผมตั้งๆ เป็นหนูเจีย ทุกคนมียิ้มกว้างประดับใบหน้า ด้านหลังพวกเขามีบ้านหลังคาแหลมๆ แล้วก็มีปล่องไฟ...ทำไมรูปบ้านเด็กเกือบทุกคนต้องมีปล่องไฟด้วยนะ ข้างๆ บ้านมีพุ่มไม้ ดอกไม้หลายสี แล้วก็แมวหน้าตาประหลาดสองตัว
ที่บนฟ้ามีก้อนเมฆ ดวงอาทิตย์ กับลายเส้นยึกยือที่ยังวาดไม่เสร็จ
“แล้วนี่ล่ะครับ หนูเจียจะวาดอะไร”
“ตรงนี้เป็นแม่จันทร์ หนูเจียจะวาดแม่จันทร์มีปีก เป็นนางฟ้า”
เด็กน้อยตอบกลางรับกระดาษกลับไป ปานตะวันหันไปสบตากับราเมศแวบหนึ่งแล้วก็ได้รอยยิ้มอ่อนโยนกลับมา ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นในใจขึ้นมามากโข
“อื้ม แม่จันทร์ต้องเป็นนางฟ้าแน่ๆ แล้วก็มองดูพวกเราอยู่”
ปานตะวันลูบหัวหลานชาย เด็กน้อยนิ่งไปจากนั้นก็วางดินสอสีลงแล้วดึงมือปานตะวันมาจับเล่น พลางถามว่า “น้าตะวัน แม่จันทร์จะโกรธหนูเจียไหมครับ”
“แล้วแม่จันทร์จะโกรธหนูเจียทำไมล่ะครับ หืม”
“ก็...ก็หนูเจียทำให้น้าตะวันเจ็บ แม่จันทร์ต้องโกรธแน่เลย”
ความเอ็นดูพุ่งเข้าจับใจทันที ปานตะวันลูบผมหลานชายเบาๆ “แม่จันทร์ไม่โกรธหรอกครับ แม่จันทร์จะดีใจมากกว่าที่หนูเจียไม่เจ็บ แต่แม่จันทร์ก้ไม่อยากให้หนูเจียวิ่งออกไปนอกบ้านแบบนั้นอีก มันอันตราย สัญญาสิครับว่าจะไม่ทำแบบนั้นอีกแล้ว”
นิ้วก้อยของปานตะวันยื่นไปตรงหน้าหนูเจีย เด็กน้อยมองเขาสลับกับนิ้วก้อยแล้วก็พยักหน้า เกี่ยวนิ้วเล็กๆ เข้ากับนิ้วปานตะวัน
“หนูเจียสัญญา”
“คนเก่งของน้า”
บรรยากาศอบอุ่นระหว่างสองน้าหลานต้องหยุดลงเมื่อราเมศบอกว่าดึกแล้วหนูเจียต้องอาบน้ำนอนได้แล้ว เด็กน้อยจึงยอมวางสีในมือลงแล้วเข้าห้องน้ำไปพร้อมน้าเมศ ปานตะวันได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักของหนูเจียลอดออกมาสักพักสองน้าหลานก็ออกมาด้วยสภาพตัวหอมฟุ้งกันทั้งคู่
ชายหนุ่มผิวขาวมองราเมศพาหนูเจียไปนอนที่โซฟา ตอนแรกปานตะวันตั้งใจจะให้ราเมศพาหลานกลับไปนอนบ้านแต่หนูเจียไม่ยอม ยังไงก็จะนอนกับน้าตะวัน สุดท้ายเลยต้องค้างที่โรงพยาบาลกันหมดทั้งสามคน
มือใหญ่ห่มผ้าให้เด็กน้อย เหน็บเก็บชายให้เรียบร้อย จากนั้นราเมศก็รับหน้าที่อ่านหนังสือนิทานให้หนูเจียฟัง จนกระทั่งดวงตากลมค่อยๆ ปรือลงแล้วก็ปิดสนิทไป เมื่อเห็นหลานหลับสนิทราเมศก็ลุกไปปิดไฟ ตอนนี้ภายในห้องเหลือเพียงแสงจากภายนอกที่ส่องลอดรอยแยกของผ้าม่านมาเท่านั้น
“พี่เมศ มานี่หน่อย”
ราเมศค่อยๆ เดินไปหย่อนตัวลงนั่งที่เก้าอี้ข้างเตียงตามเสียงกระซิบ แสงสลัวรางในห้องทำให้เขาเห็นหน้าปานตะวันได้บ้างแม้จะไม่ชัดเจน
ชายหนุ่มรับรู้ถึงฝ่ามือบางค่อยๆ ไล้ตามผิวแก้มของเขาอย่างแผ่วเบา
“แป้งติดหน้าพี่แน่ะ”
“ขอบใจ”
“ไม่เป็นไรครับ”
พวกเขาเงียบกันไป ภายในห้องเหลือเพียงเสียงลมหายใจแผ่วเบาและเสียงเครื่องปรับอากาศเท่านั้น จนกระทั่งปานตะวันทำลายความเงียบขึ้นมา
“พี่...ขอบคุณนะสำหรับทุกอย่างเลย ไม่ได้พี่ผมคงแย่แน่ๆ แล้วก็ขอโทษที่ทำให้ลำบาก”
“ไม่ได้ลำบาก บอกแล้วว่าเต็มใจ”
“พี่ไม่ได้ลำบากแต่ก็ทำเพื่อพี่จันทร์ ผม แล้วก็หลานมามาก”
ทั้งคอยดูแล คอยช่วยเหลือในด้านต่างๆ จนบางครั้งเขายังอดเกรงใจไม่ได้
“พี่ดูแลพวกเราดีมาก...จนผมอดรู้สึกไม่ได้ว่านี่มาเกาะพี่กินหรือเปล่านะ” ปานตะวันพูดเสียงเรียบเรื่อยแต่ราเมศจับความ
หวั่นไหวในใจอีกฝ่ายได้
“พี่รู้ไหมว่าผมอยากเรียนให้จบ อยากมีงานดีๆ ทำ อยากเป็นที่พึ่งให้หลานได้ อยากช่วยพี่ได้บ้าง...ไม่ใช่ให้พี่ช่วยอยู่แค่ฝ่ายเดียว”
ฝ่ามือใหญ่ของราเมศถูกยกขึ้นมาแนบแก้ม ปานตะวันยิ้มให้กับความอบอุ่นสัมผัสเขาอยู่
“พี่กับหลานทำให้ตะวันอยากเป็นคนที่ดีกว่าเดิม ตะวันจะไม่สัญญานะ แต่หลังจากนี้ตะวันจะทำให้พี่เห็นให้ได้ พี่เมศ ขอบคุณสำหรับทุกๆ อย่างที่ผ่านมาแล้วก็ต่อจากนี้ด้วยนะ”
ภายในห้อง นอกจากเสียงลมหายใจแล้ว ราเมศคิดว่ามันคงมีเสียงหัวใจเขาด้วยอีกอย่างหนึ่งที่ดังจนคนตรงหน้าได้ยิน ชายหนุ่มอยากจะรวบตัวปานตะวันมากอดเสียจริงๆ แต่ติดที่เจ้าตัวเจ็บอยู่ เขาจึงได้แตะจูบลงที่หลังมืออีกฝ่าย
“พี่บอกไปแล้วว่าเต็มใจทำให้ แล้วก็นะ...พี่ไม่ได้ทำแบบไม่หวังผลด้วย”
“แล้วพี่เมศอยากได้อะไร”
เขาน่ะหรือ...เขาอยากได้...
“ถ้าพี่พูดไปแล้วนายให้พี่ได้ไหม”
“ก็ถ้าตะวันให้ได้ตะวันก็จะให้”
ราเมศสูดลมหายใจเข้าลึกๆ อันที่จริงเขาคิดว่ามาตั้งแต่ตอนเกิดอุบัติเหตุแล้ว ว่าชีวิตมันไม่แน่นอน ไม่เคยมีอะไรแน่นอน
ถ้าหากว่าวันนี้ปานตะวันไม่ได้ตื่นขึ้นมาล่ะ
ถ้าหากว่าวันนี้เด็กคนนั้นหลับไปตลอดกาล...เขาจะเสียใจขนาดไหนที่ไม่ทำอะไรให้มันชัดเจนและถูกต้อง
ไม่ได้พูดคำนั้นออกไปตอนที่ยังบอกได้
ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจแล้ว ไม่ว่าวันนี้จะเป็นอย่างไรราเมศก็จะบอกความรู้สึกของตัวเองออกไปให้ได้
“ถ้าพี่บอกว่าพี่อยากได้หัวใจของนาย นายจะให้พี่ไหม”
...จบประโยคนั้น ทุกอย่างก็ตกอยู่ในความเงียบงันอีกครั้ง...
ราเมศรู้ดี ว่าที่ผ่านมาระหว่างเขากับปานตะวันมีความรู้สึกที่ตรงกัน ความรู้สึกผูกพันที่เพิ่มให้กันทีละเล็กทีละน้อย แต่พวกเขาก็ยังรีรอที่จะบอก รีรอที่จะขยับความสัมพันธ์แม้จะ ’รัก’ กัน
ปานตะวันกลัวว่าเขาจะคิดไปเอง เพราะในหัวใจของเขาเคยมีจันทร์จ้าวอยู่ เด็กคนนั้นกลัวว่าเขาจะยึดเอาตัวเองเป็นตัวแทนพี่สาวแล้วก็เข้าใจไปว่าสิ่งนั้นคือความรักที่มีให้ ถึงได้ยืดเวลาบอกรักกันมาจนถึงตอนนี้ แต่ราเมศคิดดีแล้ว เขาทบทวนตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าเขารักใคร ปานตะวันหรือจันทร์จ้าว และคำตอบก็ออกมาชัดเจนทุกครั้งว่าเป็นปานตะวัน
เด็กคนนั้นยึดครองพื้นที่ในหัวใจของเขาได้สำเร็จ และราเมศจะไม่ปล่อยให้ตะวันดวงนี้หลุดมือไป
“พี่ไม่คิดว่ามันเร็วไปเหรอ พี่แน่ใจตัวเองแล้วจริงๆ เหรอ”
พวกเขาเพิ่งจะรู้จักกันได้ไม่เท่าไหร่เอง แค่เดือนหนึ่งเกือบๆ สองเดือน มันนานพอที่จะทำให้ใครคนหนึ่งลืมคนที่เคยรักสุดหัวใจได้หรือ
หนึ่งเดือน...จะทำให้รักกันได้จริงๆ น่ะเหรอ
ปานตะวันไม่ใช่ไม่อยากเชื่อ แต่เขากลัวที่จะเชื่อ
เขาไม่อยากเจ็บปวดกับความรักอีกแล้ว
“ตะวันว่าพี่เมศลองกลับไปคิดดู- -”
“ไม่!”
เสียงทุ้มดังจนปานตะวันสะดุ้ง ชายหนุ่มรีบยกนิ้วชี้ทาบริมฝีปาก เหลือบตาไปมองหลานชายที่หลับปุ๋ยอยู่บนโซฟา กลัวเด็กน้อยจะตื่นมาร้องไห้
“ชู่ว์ เบาๆ สิพี่ เดี๋ยวหนูเจียก็ตื่น”
“โทษที”
คราวนี้ราเมศลดเสียงลงเป็นกระซิบ หากแต่คำตอบยังคงเป็นการปฏิเสธ
“พี่ไม่อยากกลับไปทบทวนแล้ว พี่คิดดีแล้วจริงๆ”
“พี่ลืมพี่จันทร์ได้แล้วเหรอ”
“ไม่ได้ลืมจันทร์...แต่แค่ไม่ได้รักอีกแล้ว แน่ล่ะว่าถ้าเป็นแบบเพื่อนก็ยังรักอยู่ แต่รักแบบที่อยากอยู่ด้วยกัน อยากครอบ
ครอง ก็ไม่แล้ว”
นัยน์ตาสองคู่สบกันผ่านความมืด ปานตะวันมองเห็นแววจริงใจในดวงตาของราเมศได้ชัดเจน
“พี่รักนาย ปานตะวัน”
คำพูดแค่ประโยคเดียวของราเมศ ทลายกำแพงและความกลัวที่ปานตะวันสร้างไว้ไปจนหมด อีกฝ่ายขยับเข้ามาใกล้ใน
ขณะที่เอ่ยต่อว่า
“พี่ยินดีช่วยเหลือนาย อยากให้นายพึ่งพาพี่ อยากดูแล อยากแบ่งปันทุกอย่างด้วยกัน พี่อยากให้ระหว่างเรามันก้าวหน้าไปมากกว่านี้ อยากเป็นคนแรกที่นายนึกถึง อยากเป็นคนที่ได้ดูแลหนูเจียไปพร้อมกับนาย”
“อยากให้เราเป็นครอบครัวเดียวกัน”
ปานตะวันนิ่งเงียบหากแต่หัวใจของเขากลับเต้นรัวในอกกับคำสารภาพจากผู้ชายหน้าดุคนนี้ แน่นอนว่าทุกอย่างที่ราเมศพูดออกมาก็คือสิ่งที่อยู่ในใจเขาเช่นกัน
อยากให้เป็นครอบครัวเดียวกัน
“แล้วนายล่ะ อยากให้พี่เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวนายไหม”
กระบอกตาแสบร้อน กว่าที่จะรู้ตัวหยดน้ำตาก็ร่วงลงมาแล้ว ปานตะวันเม้มริมฝีปาก ไม่อยากหลุดเสียงสะอื้นออกไป แต่ราเมศกลับห้ามไม่ให้เขาทำแบบนั้นด้วยการกดริมฝีปากลงมา
ดวงตากลมเบิกกว้างอย่างตกใจ แต่เมื่อริมฝีปากได้รูปขยับไล้ไปมาแผ่วเบาราวผีเสื้อขยับปีก ปานตะวันก็รู้สึกเหมือนสติกำลังจะหายไป น้ำตาหยุดไหลไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ฝ่ามือใหญ่ประคองใบหน้าเขาไว้ ทาบทับริมฝีปากให้แนบสนิท
ปานตะวันเผยอริมฝีปากให้อีกฝ่ายรุกล้ำเข้าไปได้ ลมหายใจเริ่มถี่กระชั้นทีละนิด รู้ตัวอีกทีจูบของพวกเขาก็เริ่มทวีความรุ่มร้อนขึ้น
มือเล็กยกขึ้นสอดเข้าไปในกลุ่มผมสีดำของราเมศ ชายหนุ่มเท้าแขนคร่อมตัวปานตะวันไว้ งับริมฝีปากล่างเจ้าเด็กน้อยเบาๆ เป็นเชิงหยอกล้อจากนั้นก็ป้อนจูบหวานให้อีกครั้งทำเอาคนอ่อนกว่าถึงกับหัวหมุน
ปานตะวันไม่ได้ไม่ประสากับการจูบ แต่พอเป็นจูบที่ทำกับ ‘คนที่ชอบ’ เขาก็ประหม่าจนเหมือนกลับไปเป็นเด็กน้อยเพิ่งมีจูบแรกอีกครั้ง
“ว่าไง ตกลงไหม”
คนตัวโตผละออกไปแล้วแต่ก็ไม่ได้ไปไหนไกล อีกฝ่ายกระซิบทีริมฝีปากพวกเขาก็เฉียดโดนกันทีพาให้ใจสั่น
“ต...ตกลง...ตกลงอะไร”
“อย่ามาทำเบลอ เพิ่งสารภาพรักไปหยกๆ แต่เอาจริงๆ จูบตอบขนาดนี้ก็ไม่ต้องรอคำตอบแล้วก็ได้มั้ง”
“ตลก!”
พอเขาว่าเข้าให้อีกฝ่ายก็เลยจับจูบอีกรอบจนคนฤทธิ์มากอ่อนระทวยในอ้อมแขน ราเมศยิ้มขำ ไล้นิ้วไปตามริมฝีปากแดงช้ำเบาๆ
“ว่าไง ตกลงไหม”
“พี่เมศขี้โกง”
จุ๊บ
“ฉวยโอกาส”
จุ๊บ
“พอเลย ปากผมช้ำหมดแล้ว”
“ก็ตกลงก่อนสิ”
“นี่มันมัดมือชกแล้วนะ!”
ราเมศหัวเราะแผ่วๆ จูบลงที่หว่างคิ้วคนทำหน้ายุ่งเบาๆ “ว่าไงตะวัน นายจะยอมให้พี่เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวได้ไหม”
พี่เมศไม่ได้ถามว่าเป็นแฟนกันได้ไหม...แต่ถามว่าปานตะวันจะยอมรับอีกฝ่ายเป็นครอบครัวเดียวกันไหม
ความหมายที่ราเมศแฝงมากับประโยคนั้นลึกซึ้ง...เช่นเดียวกับน้ำหนักความสัมพันธ์ที่อีกฝ่ายต้องการ
ไม่ใช่แฟนแต่เป็นครอบครัว
เป็นครอบครัวที่จะแบ่งปันทุกข์และสุขร่วมกัน
“เป็นครอบครัวเดียวกับตะวันน่ะเหนื่อยนะ หลานก็ต้องส่ง ตะวันก็ต้องเรียน งานก็ต้องทำ”
“เพราะรู้ว่าเหนื่อยถึงได้อยากอยู่ข้างๆ ไง”
เล่นพูดมาแบบนี้แล้ว...เขาจะทำอะไรได้ล่ะ ปานตะวันขยับตัวซุกเข้าหาอ้อมกอดของคนตรงหน้า ร่างกายสูงใหญ่แข็งแรงให้ความรู้สึกปลอดภัยและอบอุ่น
พี่เมศเป็นคนดุแต่ดุเพราะอยากให้ได้ดี เป็นคนปากแข็งแต่ใจอ่อน เป็นคนเข้าอกเข้าใจคนอื่น แม้จะไม่ค่อยพูดแต่ก็สัมผัสได้ว่าผู้ชายคนนี้เป็นห่วงเป็นใยตัวเองและหนูเจียอยู่ตลอดเวลา
ปานตะวันแพ้ราเมศ...แพ้ความดีของเขาคนนี้แบบหมดหัวใจ
“เอ้า ยอมก็ได้”
คนตัวเล็กอุบอิบแต่ราเมศได้ยินชัดเจน และแน่นอนว่าปานตะวันก็ได้ยินเสียงหัวใจของเขาเช่นกัน เพราะภายในห้องมันมืด
ทำให้เห็นไม่ค่อยชัดแต่ราเมศแน่ใจว่าปานตะวันต้องหน้าแดงอยู่แน่ๆ ชายหนุ่มไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านั้นหากแต่โน้มตัวลงไปสัมผัสริมฝีปากของคนตัวเล็กด้วยความอ่อนโยนราวกับจะแทนความรู้สึกมากมายที่เอ่อล้นอยู่ในใจ
ทั้งความรู้สึกรัก เป็นห่วง ขอโทษ และขอบคุณ
ส่งผ่านไปให้ได้รับรู้
“ขอบคุณที่ยอมให้รักกัน”
“ฮื่อ ตะวันต่างหากต้องขอบคุณพี่ ขอบคุณจริงๆที่รักกัน”
ขอบคุณที่ยอมให้ระหว่างเรากลายเป็น ‘ครอบครัว’ ขอบคุณ...จากหัวใจ
*******************************************************
เรื่องยังไม่จบนะคะ 555555 แม้เขียนตอนนี้แล้วจะรู้สึกว่าอารมณ์ให้ขึ้นคำว่า แฮปปี้เอนดิ้งซะเหลือเกิน
ในที่สุดดดด เขาก็ได้เป็นครอบครัวเดียวกันนน ฮาาา พี่เมศก้ยังคงเลี้ยงแมวสี่ตัวต่อไป...เป็นผู้ชายที่ทุ่มเทจริงๆค่ะ!
พอหมอสงกรานต์แล้วก็ได้กลับมานั่งอืดเขียนนิยาย ฮาาา การเขียนเรื่องที่มีเด็กคืออะไรที่ฮีลตัวเองสุดๆ
หลายครั้งที่รู้สึกว่าหนูเจียกำลังแย่งซีนพี่เมศ ;w; แต่เรารักเด็กค่ะ เราจะปล่อยผ่าน
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ คิดเห็นยังไงติชมได้เต็มที่เลย ใครอยากสกรีมในทวิตติดแท็ก #พี่เมศทาสแมว ได้นะคะ
เราจะตามไปส่องด้วย ฮาาา ส่วนใครอยากมาเม้าท์มอยกันหลังไมค์ก็ติดตามได้ที่เพจ AzureDream เลยค่ะ
แล้วพบกันใหม่ตอนหน้านะคะ จุ๊บบ