26 – ทำร้าย บางครั้งที่เป็นไทไม่แน่ใจว่าความรู้สึกว่างเปล่ากับความเจ็บปวด แบบไหนดีกว่ากัน เพราะถ้าหวนย้อนนึกถึงตอนเป็นเด็ก แน่นอนว่าเขาเกลียดความเจ็บปวดทั้งทางกายและทางใจ แต่บางครั้งถ้าเขาเจ็บรวดร้าวอยู่ภายใน เขาจะทำร้ายภายนอกของตัวเองให้เจ็บยิ่งกว่า หรือบางขณะที่ไม่รู้สึกถึงตัวตนของตนเอง นั่นแหละ เป็นไทก็จะทำร้ายตัวเองเพื่อให้รู้สึกว่ามีชีวิตอยู่ ต่อให้จะเกลียดความเจ็บปวดก็ตาม
เมื่อโตขึ้น เมื่อหลุดพ้นจากต้นเหตุความเจ็บปวดที่เป็นพ่อของเขาเองได้ พฤติกรรมทำร้ายตนเองก็หายไป ที่คงอยู่คือปกติของมนุษย์ที่เป็นไทไม่ชอบเวลารู้สึกว่าตนเองว่างเปล่า ไม่มีค่า ไม่ว่าจะจากทางตรงหรือทางอ้อม โดยเฉพาะจากแม่ แม่ที่สร้างความสับสนให้เขาในหลายๆ ครั้งว่าแม่นั้นห่วงเขาหรือแค่ห่วงตัวเองกันแน่ แต่ก็เพราะเขาโตแล้ว โตพอที่จะมองข้ามปลีกย่อยเหล่านั้น จึงผ่านมันไปได้อย่างปกติธรรมดาและไม่คิดทำร้ายตัวเอง
“ไท แม่ขอยืมเงินไปลงทุนรอบนี้หน่อยได้ไหม”
“อ้าว เดือนที่แล้วแม่ก็ไม่ได้ขาดทุนนี่”
“กานต์ขอเอาเงินไปหมุน—”
“แม่”
“เป็นไท แม่รู้ว่าลูกจะพูดอะไร แต่กานต์เป็นเพื่อนแม่มาตั้งกี่ปีแล้วนะ”
เป็นไทได้แต่ถอนหายใจเมื่อแม่ยืนกรานสิ่งที่ตัวเองคิด สิ่งที่ตัวเองเชื่อ โดยน้อยครั้งที่ฟังเขา สุดท้ายเป็นไทก็ได้แต่ทำตามความต้องการของแม่ ถอนเงินที่เป็นเงินเก็บของตัวเองออกมาให้แม่ยืมตามที่ร้องขอ
“จะทำอะไรก็อย่าลืมเก็บหลักฐานเอาไว้ดีๆ อะแม่”
“จ้า”
แม่ตอบรับแค่นั้น แสดงความรักด้วยการลูบหัวเขาทีหนึ่งซึ่งเขาก็ดึงออก ไม่ใช่แค่รู้สึกไม่ชอบเพราะโตแล้ว แต่เป็นไทรู้สึกไม่ชอบการกระทำเหล่านั้นของแม่จริงๆ
เป็นไทนึกไม่ค่อยออกว่าคนครอบครัวอื่นที่เขาแสดงความรักต่อกันได้อย่างไม่กระอักกระอ่วนนั้นต้องมีหรือไม่มีสิ่งใดในความสัมพันธ์ ต้องไม่เคยถูกทำร้ายหรือ ต้องไม่เคยถูกมองข้ามหรือ เรื่องง่ายๆ แค่นี้เขากลับนึกไม่ออกจริงๆ และก็น่าขันที่เขานึกลามไปถึงครอบครัวของใจเย็น มีอยู่หลายครั้งที่เขาเห็นคุณเกษราเข้ามาพูดคุยกับลูกชาย บางครั้งบทสนทนานึกจะหวานรักก็หวาน แต่เป็นไทไม่เห็นความกระอักกระอ่วนในนั้น มันแค่ดำเนินไปเรียบง่าย แต่เรียบง่ายนั้นแหละที่ชวนน่าอิจฉา
หากพอคิดลามไปถึงคนพ่อที่เป็นไทไม่เคยเห็นเลยสักครั้ง เขาก็คิดว่าใจเย็นอาจจะไม่น่าอิจฉาก็ได้ พลันก็ต้องระงับความคิดตนเอง เขาไม่อยากคิดแทนคนอื่น และที่สำคัญใจเย็นก็ไม่เคยแสดงท่าทีเป็นเดือดเป็นร้อนอะไร หรือไม่ ก็เพราะไม่เข้าใจอะไรเลยจึงไม่เคยเป็นเดือดเป็นร้อน
เป็นไทยังจำวันที่ใจเย็นพูดถึงความไม่เข้าใจต่อการมีรักเดียวใจเดียวได้ดี มันเป็นวันที่เขาร้าวลึกอยู่ข้างใน และทั้งที่คิดว่าเข้าใจได้ดีว่าทำไมถึงเจ็บปวดขนาดนั้น แต่ระยะหลังๆ มานี้เขาก็เริ่มมองข้ามมันเหมือนรายละเอียดปลีกย่อยซับซ้อนต่างๆ ที่เขาชอบมองข้าม เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเจ็บปวด ง่ายดายเพียงนั้น
ความสัมพันธ์ที่เขามีกับใจเย็นตอนนี้จึงเรียบเรื่อย นานๆ ครั้งจะมีกลิ่นดอกไม้ลอยอวลในบรรยากาศเหมือนกับนานๆ ครั้งที่เขาจะได้เจอกับใจเย็น และบางครั้งที่นึกครึ้มอะไรไม่รู้ได้ เขาก็จะเปิดโทรทัศน์เลือกดูรายการสารคดีสัตว์โลกที่ใจเย็นชอบดู
เป็นไทคิดว่าเป็นแบบนี้น่ะดีแล้ว นานครั้งเจอกันก็เพียงเพื่อได้รู้ว่าต่างฝ่ายต่างยังสุขสบายดีก็น่าจะพอ แต่บางทีก็เหมือนว่านานเกินไป เพราะรู้ตัวอีกที ใจเย็นก็จะไม่หวนกลับไปใส่เครื่องแบบนักเรียนอีกแล้ว
เป็นไทไม่เคยนึกภาพใจเย็นในชุดนักศึกษามาก่อน ภาพใจเย็นที่ชินตานั้นมีแต่ใส่เสื้อยืดคอกลมแขนยาวไม่ก็ชุดนักเรียนไปเลย ดังนั้นการที่ได้เห็นใจเย็นลองเสื้อนักศึกษาอยู่ตรงหน้าจึงแปลกตาไม่น้อย
“มึงจะเป็นเด็กช่างหรือไง ไหล่ตกจะถึงศอกละ”
“เผื่อโตไงครับ” ใจเย็นหันมายิ้ม ก่อนจะถอดชุดนักศึกษาที่ลองสวมทับออก ดูก็รู้ว่าเจ้าตัวแค่หยิบมาลองเล่นๆ
“ทำตัวเป็นเด็กประถมไปได้”
“ก็ผมอยากตัวใหญ่กว่านี้นี่ครับ”
เอ่ยบอกก่อนจะเลือกเสื้อที่ขนาดเหมาะกับตัวเองมาลองสวม ครั้งนี้ดูไม่ขัดหูขัดตาเพราะพอดีตัว
“เออ ตัวนี้แหละ”
เขาบอกใจเย็น ซึ่งเจ้าตัวได้ฟังก็ลองยกแขน สับเปลี่ยนอิริยาบถ ดูตัวเองหน้ากระจกอยู่เล็กน้อยก็ตกลงปลงใจกับขนาดที่ใส่อยู่ ส่วนกางเกงก็ใช้เวลาเลือกไม่นานนักเพราะไม่ได้หยิบมาลองเล่นแบบเสื้อ และเมื่อใจเย็นใส่ชุดนักศึกษาทั้งชุดเดินออกจากห้องลองเสื้อก็ยิ่งทำให้เป็นไทรู้สึกแปลกตาทั้งที่เป็นเรื่องปกติ
ใช่ ปกติที่คนเราต้องเติบโตและเปลี่ยนแปลง แต่เขาเพิ่งรู้สึกได้ว่าใจเย็นเปลี่ยนแปลงไปมากกว่าที่คิด
ต่างจากวันแรกๆ ที่ใจเย็นดูเก้งก้างกว่านี้ ตอนนี้ใจเย็นตัวสูง ไหล่กว้าง ที่ขาดอาจยังเป็นกล้ามเนื้อ เหมือนเป็นหุ่นวัยรุ่นที่อีกนิดก็จะเข้าที่เข้าทาง และต่อให้เจ้าตัวจะบอกว่าอยากตัวใหญ่กว่านี้อีก เป็นไทกลับรู้สึกว่าแค่นี้ก็น่าจะพอแล้ว เพราะเขาไม่อยากรู้สึกขัดเคืองเล็กๆ หากถูกคนที่เคยเตี้ยกว่าแซงหน้าไปไกลลิบ
และไม่ใช่แค่ทางกายภาพที่ใจเย็นเปลี่ยนไป ความคิดความอ่านก็ดูเติบโตขึ้น อย่างน้อยก็ในเรื่องที่เลือกจะเผชิญหน้ากับสิ่งที่เคยหลีกเลี่ยง กระทั่งได้ค้นพบตัวเองในที่สุด แต่ก็อีก ใจเย็นมักจะบอกว่าที่เป็นแบบนี้ได้ก็เพราะเขา และเขาเป็นส่วนหนึ่งในตัวตนของใจเย็น บอกแบบนั้นด้วยสีหน้าที่บางทีก็แยกไม่ออกว่าจริงจังหรือแค่หน้าตาย
อย่างไร เขาก็ดีใจอยู่ดี แม้ปฏิกิริยาตอบกลับคือบ่นไปว่าพูดเกินจริงเสียทุกครั้ง
“อยากให้เป็นไทได้เห็นผมใส่ชุดนักศึกษาเต็มยศจัง” ใจเย็นเอ่ยบอกหลังพากันเดินออกจากร้านเสื้อผ้ามาแล้ว
“มึงนี่ขี้เห่อ”
“งั้นเหรอ” ตอบรับคำติดปาก “ไหนๆ แล้วก็ไปซื้อเน็กไท้กับเข็มขัดที่มอเลยได้ไหมครับ”
“จริงจังไปไหนวะสัด” เป็นไทขำคนทำตัวเป็นเด็กตรงหน้า เพราะเพิ่งคิดไปแท้ๆ ว่าโตขึ้นเยอะ แต่เจ้าตัวก็ ‘จริงจัง’ อย่างที่เขาว่าด้วยการขับรถไปที่มหาวิทยาลัยจริงๆ ก่อนพบว่าสหกรณ์นั้นปิด ให้เขาหัวเราะขำอีกระลอก ซึ่งก็ไม่กี่ครั้งหรอกที่จะได้เห็นใจเย็นบ่นอุบอิบเมื่อมีอะไรขัดใจ
นั่นแหละ ความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งคู่ผ่านไปเรียบเรื่อยเช่นนั้น และเป็นไทก็เห็นว่าดีกว่าที่จะไม่แบ่งปันความทุกข์ใจเรื่องที่บ้านให้ฟัง ในเมื่อก็ไม่ได้มีอะไรหนักหนา ที่สำคัญชีวิตเขาเคยแย่กว่านี้หลายเท่าแต่ไม่มีคนมารับฟังก็ไม่เห็นเป็นไร
จนกระทั่งวันที่ใจเย็นมาหาเขาอีกครั้งที่คอนโด เป็นไทถึงถูกรื้อความรู้สึกที่เก็บซ่อนว่าเขาเคยปรารถนาจะมีคนรับฟังมากแค่ไหน
มันไม่ใช่วันที่เขามีอะไรจะเล่าให้ใครฟัง แต่เป็นใจเย็นเองที่มีอะไรจะเล่าให้เขาฟัง เป็นไทเพิ่งรู้ตัวว่าแพ้คำพูดแบบนั้น – คำพูดที่บอกว่าอยากมีคนรับฟัง – ก็ตอนที่ใจเย็นถือวิสาสะทิ้งตัวลงบนโซฟา และวางหัวลงบนตักของเขา ทั้งที่เขาอยากจะด่าที่ทำตัวลามปามแต่ก็กลับด่าไม่ออกเลยสักคำ
“แม่ผมเพิ่งฟ้องหย่ากับพ่อ”
เป็นถ้อยคำหนักหน่วงที่ดึงบรรยากาศให้หนักตามไปด้วย สรรพเสียงเหมือนตกตะกอนอยู่บนพื้นห้องสักพักก่อนที่เป็นไทจะตัดสินใจกวนมันให้ขุ่นขึ้นมา เขาถามถึงเหตุผลด้วยเสียงแผ่วเบา ซึ่งใจเย็นก็ตอบด้วยระดับเสียงที่ดังกว่าเพียงเล็กน้อย แต่เพราะตั้งใจฟังจึงไม่ใช่ปัญหาอะไร
ใจเย็นเล่าให้ฟังว่ามันเป็นครั้งที่สองนับจากทันใจตายที่ใจเย็นรู้สึกว่าโลกมันบิดเบี้ยว ใจเย็นอยู่ในความเข้าใจว่าแม่ยอมรับได้กับสิ่งที่พ่อเลือกและก็มีความสุขดีมาตลอด ใจเย็นเข้าใจว่าสิ่งที่พบเจอนั้นคือความรักที่แท้จริงมาตลอดชีวิต ซึ่งน่าเศร้าเหลือเกินที่ทั้งหมดนั้นเป็นแค่ความเข้าใจผิด
เป็นไทได้ฟังก็ไม่รู้จะเอ่ยคำพูดใด เขาปลอบคนไม่เก่ง อาจถึงขั้นห่วยเลยด้วยซ้ำ และเมื่อไร้วาจา การกระทำจึงทำหน้าที่แทน แทบไม่รู้ตัวที่เขาเอื้อมมือไปลูบไล้เส้นผมของใจเย็นอย่างที่ใจเย็นเคยทำกับเขา ได้รู้ในตอนนั้นเองว่าเส้นผมของใจเย็นนั้นนุ่มแค่ไหน จึงยิ่งเบามือแผ่วเบาราวต้องการทะนุถนอม พลันหวังที่เคยกดให้ลึกสุดใจว่าอยากให้ใจเย็นรับฟังเรื่องของเขาอย่างอ่อนโยนแบบนี้เช่นกันก็ล่องลอยขึ้นมาในชั้นบรรยากาศรอบตัว
“แปลกไหมครับถ้าจะบอกว่าผมรู้สึกเหมือนโดนหักหลัง”
“ไม่แปลกหรอก”
“เป็นไท...อยู่ข้างๆ ผมนะ”
“เออ อยู่ตลอดอะ” เขาตอบ หมายความแบบนั้นเต็มความหมาย
สรรพเสียงตกตะกอนลงไปอีกครั้ง ห้องทั้งห้องจึงกลับเงียบ แต่เป็นความเงียบที่อึดอัดน้อยลงจากเมื่อครู่ อย่างน้อยใจเย็นก็ได้ระบายสิ่งที่อยู่ในใจออกมาแล้ว อย่างน้อยเขาก็ได้พูดออกไปว่าจะอยู่ข้างๆ และอย่างน้อยเขาก็ได้ทำในสิ่งที่อยากจะทำให้ เขายังคงลูบหัวใจเย็นแบบที่ไม่เคยทำกับใคร กระทั่งนานพอเหมือนความคิดตกตะกอนตามความเงียบ ใจเย็นจึงตีมันให้ขุ่นขึ้นมา เอ่ยบอกกับเป็นไทถึงสิ่งที่แม่บอก บอกเหตุผลที่การนอกใจเป็นเรื่องผิดเพราะเท่ากับไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจที่จะไม่ทำให้ผู้อื่นเจ็บปวด
ได้ฟัง เป็นไทก็เหมือนถูกรื้อความรู้สึกขึ้นมาอีกครั้ง ความหวังที่เคยฝังให้ลึกจนไม่คิดว่าจะขุดกลับขึ้นมาได้ก็ล่องลอยขึ้นมา เป็นความหวังที่ว่าใจเย็นจะค่อยๆ เข้าใจในสิ่งที่เขารู้สึก
“แต่รู้ไหมครับ จะคิดยังไงผมก็ไม่เข้าใจ”หากพลันหวังนั้นกลับแตกสลายกระจัดกระจายด้วยคำพูดเดียว
เป็นไทรู้สึกเหมือนเห็นซากความหวังชิ้นเล็กชิ้นน้อยกองอยู่บนพื้น เป็นเศษซากที่ไม่อาจประกอบกลับ เขาหลับตาลงด้วยไม่อยากจะเห็นมัน แต่เหตุใดไม่รู้ได้ ใต้เปลือกตานั้นเขากลับเห็นภาพย้อนไปตอนฝึกงาน บ่อยครั้งที่เป็นไทเหม่อมองเครื่องจักรทำงานจนลืมหน้าที่ จ้องมองรถเครนขนย้ายท่อนเหล็กไร้ชีวิต เหม่อมองจนเหมือนจะทะลุทะลวงไปยังฉากหลังสีฟ้าจ้า ชั่วขณะนั้นเป็นไทคิดว่าความรู้สึกของตนเองว่างเปล่า แต่แท้จริงแล้วเขากำลังหวัง หวังไว้อย่างหนักหนาว่าอะไรๆ มันจะไม่พังลงมาแม้รากฐานอาจดูโอนเอนอ่อนไหว
“นั่นคือความหมายของการรักเดียวใจเดียวเหรอครับ”
แต่มันก็พังทลายลงมาไม่มีชิ้นดี
“ไม่รู้เหมือนกัน”
สุดท้ายเป็นไทก็ได้แต่ตอบไปแค่นั้น ลูบผมปลอบใจอีกฝ่ายจนหลับใหล ขณะที่เขายังตื่นลืมตาในความเสียใจ
เช้าวันรุ่งขึ้นเป็นไทจำไม่ได้ว่าพูดคุยอะไรกับใจเย็นไปบ้าง จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตัวเองได้หลับสักงีบหรือแค่ฝันร้ายทั้งลืมตา ที่จำได้ดีมีแต่ความเจ็บปวดที่แตกแขนงลามเลยมาถึงตอนเช้า เช้าที่เขาก็แค่ทำตัวปกติเหมือนเดิมและคงความสัมพันธ์เอาไว้
ต่อให้พูดไม่ออกถึงสิ่งที่อยากจะพูดให้ฟัง แต่เขาก็อยากจะรับฟังเรื่องต่างๆ ของใจเย็นอยู่ดี
หลังจากที่ใจเย็นไปแล้ว เป็นไทก็ตัดสินใจกลับบ้าน เขาแค่ไม่อยากจะอยู่เงียบๆ คนเดียวที่คอนโด ไม่อยากจะเห็นเศษซากความเจ็บปวดกองอยู่บนพื้นห้อง แต่แล้วการที่ได้เห็นแม่นั่งร้องไห้พร้อมคำสารภาพว่าถูกชนากานต์เพื่อนผู้เป็นหุ้นส่วนในร้านเสื้อผ้าโกงเงิน สารภาพว่าไม่ได้เก็บหลักฐานต่างๆ ไว้เลยเพราะไว้ใจ ก็ทำให้เขารู้สึกเหมือนเห็นความหวังแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ อีกครั้ง แต่ในเศษซากชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่กองอยู่บนพื้น ครั้งนี้มีเศษส่วนของตัวเขาเองด้วยที่กระจัดกระจายอยู่ ทั้งรู้สึกได้ว่าไม่อาจนำมาประกอบคืนอีกเพราะเขาไม่รู้แล้วว่าจะไปพูดให้ใครรับฟัง
ไม่สิ เป็นไทรู้ตัวว่าอยากไปพูดให้ใจเย็นฟัง แต่ก็รู้ดีว่าจะพูดไม่ออกสักคำ
คำถามที่ว่าระหว่างความว่างเปล่ากับความเจ็บปวด แบบไหนดีกว่ากัน พลันหวนมาอีกครั้งเหมือนผิดที่ผิดเวลา และเหมือนเดิมที่เป็นไทไม่มีคำตอบ
รู้แค่ว่าตอนนี้เขาอยากทำร้ายกายตัวเองให้เจ็บปวด ให้มากกว่าที่ใจรู้สึกเป็นร้อยเท่าพันเท่า*****************************************************************************
เวลาไม่ค่อยมีคอมเม้น แยมก็อยากทำร้ายตัวเองเหมือนกันเลยค่ะ