Kiss Love ♥ [14] ครั้งแรก
[เอก...☼] Part 1
“ไอ้เอก มึงอนุมัติงบชมรมหมดรึยัง”
อิงเดินเข้ามาถาม
“อืม อยู่กับอ้อย”
ผมบอกในขณะที่ดวงตาก็กวาดอ่านรายละเอียดของงานมหาลัยปีนี้ไปเรื่อย ๆ
“ถ้าเรียบร้อยแล้ว งั้นกูกลับก่อนนะ”
มันบอก
ผมพยักหน้าให้มันที แล้วภายในห้องก็เหลือผมอยู่คนเดียว วันนี้เพื่อน ๆ ขอตัวกลับกันก่อนหมด เย็นวันศุกร์แบบนี้ คงพากันไปเที่ยวกับแฟน หรือไม่ก็พากันไปเดินช็อปปิ้งสังสรรค์กันตามสไตล์นั่นแหละ ส่วนผมยังต้องทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป เพราะงานหลาย ๆ อย่าง ต้องรอผมเป็นผู้อนุมัติเท่านั้น
ตั้งแต่กลับจากเที่ยว ผมก็ยุ่งอยู่กับการเตรียมงานมาตลอด งานมีศุกร์หน้าแล้ว ธีมการจัดงานปีนี้ไม่ต่างกับปีที่แล้วมากเท่าไหร่ เพียงแต่มีนิทรรศการมากขึ้นเท่านั้น
โดยปกติแล้ว เราเปิดให้คนนอกเข้ามาดูงานกันได้ คนถึงได้ล้นหลามทุกปี ถือว่าเป็นการโปรโมตมหาลัยไปในตัวละนะ ยิ่งคนมาเที่ยวกันมากเท่าไหร่ เรายิ่งต้องใส่ใจในรายละเอียดของงานมากขึ้นเท่านั้น
ซึ่งคนที่เหนื่อยมากที่สุด คงไม่พ้นพวกคณะกรรมการ คนที่ทำงานในสภาแล้วก็น้อง ๆ สต๊าฟนั่นแหละ วิ่งวุ่นเตรียมงานกันตั้งแต่เช้ายันมืด
ผมตรวจเช็คเอกสารที่เหลือต่ออีกนิด พอเรียบร้อยก็วางมันไว้บนกองเหมือนเดิม เดี๋ยววันจันทร์อ้อยก็เอาไปสานต่อเอง ผมยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู สี่โมงแล้ว วันนี้กลับเร็วหน่อยดีกว่า ผมตรวจเช็คความเรียบร้อยบนโต๊ะอีกที พอเห็นว่าไม่มีอะไรค้างคาก็เปิดลิ้นชักคว้าเอากระเป๋าเงินกับกุญแจรถเดินออกจากห้องทำงานไป
ระหว่างทางเห็นใครบางคนยืนอยู่แถว ๆ หน้าห้องคณะกรรมการการจัดงาน ผมเลยเดินเข้าไปใกล้ มันสะดุ้งนิด ๆ ตอนหันมาเห็นผม
“มาทำอะไรแถวนี้”
“ยังไม่กลับอีกเหรอฮะพี่เอก”
มันไม่ตอบซ้ำยังถามกลับอีกต่างหาก
“มาทำอะไรแถวนี้”
ผมถามย้ำอีกที ไม่ตอบคำถามมันเหมือนกัน
“มาส่งภาพถ่ายเข้าประกวดน่ะฮะ วันนี้วันสุดท้ายแล้ว ผมส่งไปสามภาพ ภาพของพี่ก็ผ่านด้วยนะ”
มันพูดไปยิ้มไป
ผมทำหน้าไม่ถูก คือไม่รู้ว่าภาพนั้นเป็นภาพแบบไหน แต่คิดว่ามันน่าจะดูดีละนะ
ก็นายแบบออกจะหล่อขนาดนี้
“ผมส่งพร้อมภาพเด็กดอยซกมกกับกบกินแมลง”
ผมหลุดขำพรืด ภาพที่มันอุตส่าห์คุกเข่ารอตั้งนานสองนานน่ะนะ
แต่ว่า…
ชื่อภาพแต่ละภาพที่มันส่ง ออกแนวประหลาด ๆ ทั้งนั้น แล้วภาพที่มันถ่ายผมไว้ มันจะไม่ประหลาดตามไปด้วยรึไง
มันหน้าบึ้งที่ผมหัวเราะ ผมหุบปากลงทันที
“มีนัดที่ไหนหรือเปล่า”
ผมเสถามมันเรื่องอื่น มันทำหน้าสงสัย แล้วก็ส่ายหน้าปฏิเสธ
“นายค้างเลี้ยงข้าวพี่อยู่ พี่จะให้นายเลี้ยง”
มันทำหน้าบู้บี้ แต่ก็พยักหน้าเข้าใจ ผมอมยิ้ม พยักหน้าให้มันเดินตรงไปกับผม
มันทำหน้าแปลกใจ เงยมองป้ายร้าน เพราะผมบอกว่าจะให้มันเลี้ยงข้าว แต่ดันพาเข้าร้านขนมเฉยเลย
“ที่นี่ขายทั้งข้าวและขนม อาหารเขาอร่อย บรรยากาศดี พี่มากินกับเพื่อนบ่อย ๆ”
ผมไขความเข้าใจมัน
ที่นี่ตกแต่งดีครับ รอบ ๆ ร้านเน้นธรรมชาติ ต้นไม้ใหญ่เยอะ เก้าอี้ก็แยกสัดส่วนชัดเจน มีทั้งแบบส่วนตัวที่มาสวีทกันสองคนได้ หรือแบบกลุ่มเพื่อนตั้งแต่สี่ห้าคนขึ้นไป
ที่นี่แบ่งออกเป็นสองส่วน ในห้องกระจกสำหรับคนชอบแอร์ และในสวนที่ร่มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ สำหรับคนที่ชอบนั่งทานอาหารกลั้วธรรมชาติ ผมเลือกนั่งด้านนอก เพราะบรรยากาศดีกว่า ในกรุงเทพ ร้านอาหารแบบนี้ค่อนข้างหายากแล้ว
ผมพามันไปนั่งยังโต๊ะสำหรับสำหรับสองคนนั่งใต้ต้นมะม่วงขนาดใหญ่ พื้นดินโดยรอบเป็นพื้นดินด้านสีขาว ใบมะม่วงร่วงลงมาประปราย ทางร้านจะปล่อยมันทิ้งไว้อย่างนี้ แล้วจะกวาดมันเพียงอาทิตย์ละครั้งเท่านั้น เวลาเดินจึงได้ยินเสียงกรอบแกรบเพลินหูดี ตรงหน้าเราเป็นน้ำตกจำลองสไตล์บาหลี ปกติโต๊ะตัวนี้ไม่ค่อยจะว่างนักหรอก จังหวะเราดี มาตอนเขากำลังจะลุกพอดี ดูท่ามันจะชอบด้วย
“สวยดี เสียดายไม่ได้เอากล้องมาด้วย”
“ดีแล้วล่ะ ขืนเอากล้องมา นายคงได้ลืมพี่กับของกินแล้วถ่ายแต่รูปแน่ ๆ”
ผมพูดตรง ๆ มันทำหน้าขัดใจ แต่ไม่พูดอะไรต่อ
ผมสั่งอาหารที่เป็นกับข้าวสำหรับสองคนมากิน แล้วก็สั่งขนมไทยมาพร้อมกันด้วย ที่นี่มีทั้งขนมไทยและขนมเทศ แต่ผมชอบขนมไทยมากกว่า เจ้าตัวเล็กดูท่าจะชอบเหมือนผมด้วย มันสั่งบัวลอยไข่เค็มคู่มากิน ส่วนผมเลือกบัวลอยเผือก
“งานเยอะมากเลยเหรอฮะ”
“เยอะ ว่าง ๆ ก็มาช่วยได้นะ คนไม่พอ”
มันรีบส่ายหน้า
“ไม่เอา เหนื่อย”
“โหย น้ำใจ”
มันยิ้มรับ
“แค่มองก็พอ เวลาพี่เอกทำงาน เท่ดี”
ผมชะงักกับคำพูดมัน มันก็ชะงักกับคำพูดมันเอง ก่อนก้มหน้าลงไปกินต่อ
“แอบมองอยู่รึไง”
ผมพูดยิ้ม ๆ
มันก้มหน้าอยู่ครับ น่ารักดี
“เปล่า บังเอิญเห็น”
มันอ้อมแอ้มตอบ ผมอมยิ้ม
“พี่อยากลองชิมไข่เค็มดูบ้าง ไม่เคยลองเลย”
มันเงยหน้ามอง ตักแบ่งไข่เค็มให้ผมลูกหนึ่ง
“แค่ชิม ไม่ต้องให้พี่ทั้งลูกก็ได้”
“อร่อยนะ”
มันปัดคำพูดผมทิ้งไป
ผมใช้ปลายช้อนตัดแบ่งไข่เค็มออกเป็นสองส่วน ตักเพียงครึ่งเดียวใส่ปาก ก็อร่อยดีนะ เห็นมันใช้ปลายช้อนตัดแบ่งไข่เค็มออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ จนมันแทบจะลุ่ยผสมไปกับน้ำกระทิ มันเลือกเอามาชิ้นหนึ่งผสมกับบัวลอยต่างสีอีกสามลูกเข้าปาก
การกินของเราแตกต่างกันนิดหน่อย ผมเป็นคนกินเยอะ เลยเน้นกินคำใหญ่ ๆ ให้มันอิ่ม ๆ ไป แต่ไอ้ตัวเล็กมักจะเล่นกับของกิน ตกแต่งให้สวยงาม แล้วค่อยกิน หรือไม่ก็ต้องถ่ายรูปก่อน แล้วค่อยกิน
“เพราะมัวแต่เล่นกับของกินอยู่นั่นแหละ ถึงได้ไม่โตสักที” ผมพูดตามใจคิด มันหน้าหงิกทันที
เอ่อวุ้ย เพิ่งรู้ว่ามันขี้งอน
“เขาเรียกมีศิลปะในการกิน คนกรอกอาหารเข้าปากอย่างเดียวไม่เข้าใจหรอก”
ผมยิ้มไปกับคำเปรียบกัด ๆ ของมัน
“คงงั้น”
ผมก้มตักไข่เค็มอีกครึ่งที่เหลือ แต่คราวนี้ผมลองตักผสมกับบัวลอยอีกจำนวนหนึ่งกินดูบ้าง
อืม..มันก็อร่อยไปอีกแบบน่ะนะ
“ไปเดินย่อยกันหน่อยไหม”
ผมชวนหลังจากอาหารตรงหน้าแทบไม่เหลือเศษซาก มันนั่งลูบท้องพยักหน้าขึ้นลง ที่นี่อาหารอร่อย แถมราคายังไม่แพง เห็นมันทำหน้าพอใจใหญ่ตอนเห็นตัวเลขบนบิล
“ถ้าราคาแพงกว่านี้ กะว่าจะพาพี่ไปนั่งล้างจานหลังร้านนะเนี่ย”
มันแซว ผมยิ้มเผล่
“ไม่เป็นไร พี่มีเงินให้กู้”
ผมตอกกลับ มันทำหน้าย่นใส่
แล้วเราสองคนก็พากันไปเดินเล่นในสวนสาธารณะใกล้ ๆ ร้านนั่นแหละ อากาศกำลังดี มีคนมาวิ่งออกกำลังกายกันด้วย
สี่ฝ่าเท้าย้ำไปบนผืนปูนซีเมนต์ขนาดกว้างวากว่า ๆ โอบรอบสองข้างทางด้วยต้นไม้ใหญ่และไม้พุ่มที่ถูกตัดแต่งกิ่งก้านเอาไว้อย่างดี มีต้นไม้ดัดเป็นรูปลูกช้างสามเชือกตรงกลาง
ผมสังเกตว่ามันชอบต้นไม้รูปร่างแปลก ๆ หรือไม่ก็ไม้ดอกสวย ๆ เห็นมันเดินไปจับดูบ่อย ๆ
คงเป็นสัญชาตญาณของช่างภาพล่ะมั้ง
และตอนนี้ผมก็กำลังยืนกอดอกรอไอ้ตัวเล็กที่กำลังเพ่งสายตาจ้องมองหนอนแก้วขนาดใหญ่สีเขียวอื๋อบนใบไม้ของต้นอะไรสักอย่างอยู่ ลูกตามันใหญ่เอามาก ๆ จนจะกินพื้นที่ของหัวมันทั้งหมด มันก็จ้องตาหนอน หนอนก็จ้องตามัน และถ้าผมไม่สะกิดให้มันเดิน คิดว่ามันคงจะจ้องอยู่อย่างนั้นจนหนอนมันกลายร่างเป็นผีเสื้อแน่ ๆ
มันหันมายิ้มเผล่ พยายามไม่เพ่งมองอะไรเป็นพิเศษ แต่พอเจอของแปลกตาเข้าหน่อย มันก็ตรงดิ่งเข้าไปหาลืมผมไว้อีกที
อากาศที่เคยสดใสเริ่มครึ้มลงเรื่อย ๆ สายลมที่เคยพัดเอื่อยเมื่อกี้ก็พากันโหมแรงมากขึ้น ผมเงยหน้ามองท้องฟ้า เมฆก้อนใหญ่สีเทาดำลอยละล่องมาเป็นทาง ยังไม่ทันที่ผมจะเอ่ยปากชวนมันกลับ สายฝนก็พากันโปรยปรายลงมา เราสองคนหันซ้ายหันขวามองหาที่หลบฝน มีซุ้มนั่งพักอยู่ไม่ไกล พวกเรารีบวิ่งเข้าไปหลบเหมือนคนอื่น ๆ
แต่ดูเหมือนสายลมจะพากันโหมแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ต่างกับสายฝนที่พากันเทกระหน่ำลงมาจนซุ้มไม่สามารถกันน้ำฝนได้ คนที่อยู่ข้างในพากันเปียกไปตาม ๆ กัน
“ขืนอยู่ตรงนี้ พี่ว่าก็ไม่ต่างกับเรายืนตากฝนกันนะเนี่ย หาที่ใหม่ดีกว่า” ผมบอกก่อนวิ่งนำหาที่หลบฝนอันใหม่
ตามตึกที่มีระเบียงหรือกันสาดถูกจับจองไปหมดแล้ว วันนี้วันศุกร์ด้วย คนเลิกงานพากันมาเที่ยวเยอะ เราสองคนวิ่งหาที่ว่างไปเรื่อย ๆ กระทั่งถึงร้านขนมที่เราเพิ่งกินกันมานั่นแหละ พวกเรารีบวิ่งเข้าไปหลบทันที
เสื้อผ้าหน้าผมของเราสองคน เปียกโชกด้วยกันทั้งคู่ พอมาเจอแอร์เย็น ๆ ภายใน มันก็ไม่ต่างกับเรายืนอยู่ในตู้แช่ดี ๆ นี่เอง ยืนไปได้เกือบสิบนาที ความเย็นเริ่มวิ่งเข้าไปชนกระดูก
ผมเริ่มสั่น ไอ้ตัวเล็กก็ไม่ต่าง
สุดท้ายผมเลยตัดสินใจชวนมันวิ่งฝ่าสายฝนไปที่รถ อย่างน้อยในนั้นก็มีผ้าเช็ดตัวกับเสื้อผ้าสำรองเอาไว้เปลี่ยน มันพยักหน้า ปากแดง ๆ ของมันซีดไปหมด
ยังดีที่ทิ้งมือถือกับกระเป๋าไว้ที่รถ ไม่งั้นเปียกหมดแน่ ๆ
“เบาะพี่เปียกหมดแล้ว”
มันพูดตอนนั่งเบาะได้ น้ำจากตัวและเส้นผมของมันหยดติ๋ง ๆ ใส่เบาะจนชุ่ม
“เดี๋ยวก็แห้ง”
ผมหันไปคว้าผ้าเช็ดตัวผืนเล็กหลังรถโยนใส่หัวมัน มองหาเสื้อผ้าสำรองอีกที แต่ไม่มีสักตัว สงสัยลืมหยิบขึ้นรถมาด้วย
“พี่ลืมหยิบเสื้อผ้าสำรองมาแฮะ ไปเปลี่ยนที่คอนโดพี่ก่อนละกัน อยู่ใกล้ ๆ แค่นี้เอง แล้วจะขับรถไปส่งอีกที”
ผมหันไปบอกมัน มันพยักหน้า ตัวสั่นใหญ่ ผมสตาร์ทเครื่องยนต์ เปิดแอร์ไว้เบา ๆ ระบายอากาศและกันฝ้าขึ้นกระจก
ไม่เกินยี่สิบนาทีผมก็พารถคู่ใจเคลื่อนเข้าไปจอดไว้ในลานจอดรถใต้คอนโด ตรงจุดโปรดของผมนั่นแหละ ผมพามันก้าวออกจากรถเดินผ่านล็อบบี้ไปที่ลิฟต์ ตัวพอแห้งแล้ว แต่น้ำบางส่วนจากชุดหยดแหมะไปตามทางจนแม่บ้านคอนโดมองตาม ผมกดลิฟต์พามันขึ้นไปยังชั้น 9 หยิบการ์ดมารูดเข้าห้อง ผมรีบตรงดิ่งไปหยิบผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่มายื่นให้มันทันที กลัวมันจะแข็งตายไปซะก่อน
“ไปอาบน้ำล้างตัวก่อน”
ผมไล่ มันรีบพยักหน้าเดินเข้าห้องน้ำไปทันที ผมเดินไปหยิบเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงบอลสีเดียวกันมาวางไว้บนเตียง เป็นชุดตั้งแต่สมัยเรียนมอปลายของผมเอง ไซส์นี้น่าจะใส่ได้พอดี ตอนแรกว่าจะขนไปบริจาค แต่ก็ยังไม่ได้ทำสักที
ข้างนอกฝนยังตกอยู่ ผมเดินไปยืนมองสายฝนผ่านหน้าต่างกระจกใส ฝนตกแรงมากจนภายนอกเห็นเป็นเพียงม่านน้ำสีขาวพลิ้วเป็นสาย สักพักมันก็ออกมาในชุดผ้าเช็ดตัวพันเอว ผมมองมันอึ้ง ๆ
“ชุดนายอยู่นั่น”
ผมพยักหน้าไปที่เตียง คว้าผ้าเช็ดตัวอีกผืนเดินสวนมันเข้าห้องน้ำไป
ผมยืนอยู่ใต้สายน้ำ แอบนึกถึงเรือนร่างของมันนิดหน่อย ก่อนรีบสลัดภาพเหล่านั้นทิ้งไป พออาบน้ำเสร็จก็เดินออกมาแต่งตัว ผมกวาดมองไปรอบ ๆ ไม่เห็นไอ้ตัวเล็กแฮะ ขมวดคิ้วแปลกใจนิดหน่อย คล้องผ้าเช็ดตัวไว้ที่คอมองหาอีกที
ไปไหนของมัน หรือว่าจะกลับไปก่อนแล้ว
แสงสว่างภายในห้องเจือจางลงจนจะกลายเป็นความมืด ผมตัดสินใจเดินไปเปิดไฟให้สว่าง ถึงได้เห็นใครบางคนยืนเกาะกระจกอยู่ข้าง ๆ ผ้าม่านสีเดียวกับชุด
มิน่า เมื่อกี้ผมถึงมองไม่เห็น
“คิดว่าที่ห้องมีตุ๊กแกพันธุ์ใหม่มาเกาะซะอีก”
มันหันมามอง
“ตุ๊กแกบ้านพี่ หล่อขนาดนี้เลยเหรอฮะ”
มันเล่นมุขครับ ผมเดินไปยืนอยู่ข้าง ๆ มัน แต่ไม่ได้เกาะกระจกแบบมัน
ที่คอนโดมีระเบียงยื่นยาวออกไปด้านนอก ผมจัดสวนเล็ก ๆ เอาไว้ ผมชอบต้นไม้ขนาดใหญ่ ด้านนอกเลยแน่นไปด้วยต้นไม้ทรงสูงอย่างพวกต้นปาล์ม หมากเหลือง วาสนาพุ่ม ต่ำลงมาหน่อยก็พวกสาวน้อยประแป้ง นางคุ้ม เฟิร์นข้าหลวง และต้นเดหลี มีโต๊ะแบบสี่เหลี่ยมสี่โอ๊คและเก้าอี้สีเดียวกันวางไว้สองตัว ฉากหลังเป็นวิวตึกรามบ้านช่องต่างไซส์หลากหลายสไตล์ ช่วงเย็น ๆ หรือวันหยุด ผมชอบมานั่งอ่านหนังสือเป็นประจำ
ตอนนี้ฝนตกแรงมากจนต้นไม้ด้านนอกโบกสะบัดไปตามแรงลม คิดว่าวันนี้ ผมคงไม่ต้องรดน้ำให้มันแล้วละ
“พายุคงเข้า”
ผมเปรยข้างตัวมัน
“รอให้ฝนซาก่อนละกัน ขืนกลับตอนนี้รถคงติดน่าดู อันตรายด้วย”
มันพยักหน้าเห็นด้วย
ผมยืนมองน้ำฝนอยู่ข้าง ๆ มัน สักพักมันก็เงยหน้าขึ้นมอง
“ไม่รีบเช็ดผมให้แห้ง เดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอก”
ผมก้มมองมัน ยกผ้าเช็ดตัวที่คอมาขยี้แบบไม่ใส่ใจเบา ๆ ที มันหัวเราะขำ ๆ
“เช็ดแบบนั้นมันจะแห้งไหมล่ะ มานี่ ผมเช็ดให้”
มันหันมาจับผ้าเช็ดตัวผมไว้ แล้วสั่งให้ผมก้มลงไปหามัน ผมทำตามอย่างเคยชิน
“นั่งเช็ดดีกว่าไหม เราตัวเตี้ย พี่เมื่อย”
อันนี้ผมพูดจริง
“ปากนะนั่น ผมไม่ได้เตี้ยซะหน่อย สูงมาตรฐาน พี่นั่นแหละ สูงเกินมนุษย์”
มันจะว่าผมเป็นยักษ์ใช่ไหมเนี่ย
“เตี้ยก็ยอมรับมาเถอะน่า”
ผมแซวมันต่อ มันขยี้หัวผมแรงจนหัวผมโยกไปตามมือมัน
“โอ๊ย เบา ๆ หัวคนนะ”
“อ้าว คิดว่าไม่ใช่ซะอีก”
ฟังครับ
น่าจับตีก้นสักที
“ไปนั่งโซฟาดีกว่า พี่เมื่อยแล้ว”
“อืม”
มันรับปาก ปล่อยผ้าที่จับไว้ลง ผมเดินไปนั่งบนพื้นพรมตรงกึ่งกลางโซฟา แล้วปล่อยให้มันนั่งบนโซฟาเพื่อเช็ดหัวให้อีกที
ผมเอื้อมหยิบรีโมตมากดเปิดเพลงคลอเบา ๆ ด้วย
“พี่อยู่คนเดียวเหรอ”
“อืม”
“ทำไม”
“งานพี่เยอะ อยู่คนเดียวหัวมันแล่นกว่า ครอบครัวพี่ใหญ่ พี่น้องเยอะ รำคาญพวกน้อง ๆ มันน่ะ วุ่นวาย”
มันหัวเราะร่วน
“มีพี่น้องกี่คน”
“หก พี่เป็นคนโต”
“โห ยุ่งน่าดู”
“อืม แล้วนายล่ะ”
“คนเดียว อยู่กับแม่สองคน แม่เป็นนักเขียน พ่อแยกทางแต่งงานใหม่”
อืม มิน่ามันถึงได้รักสันโดษ
“นวดหัวให้หน่อยสิ งานยุ่งทั้งวัน เหนื่อย”
ผมอ้อน มันชะงักมือที่เช็ดหัว แต่ก็ยอมทิ้งผ้าเช็ดตัวออกแล้วลงมือนวดให้เบา ๆ มันรู้สึกสบายจริง ๆ เวลาที่มีคนมานวดให้เนี่ย
สบายมากจนผมเริ่มนั่งโงนเงน
“นี่พี่เอก อย่าเพิ่งหลับนะ”
ผมปรือตาขึ้น
“อืม ง่วงจัง พี่ของีบสักหน่อยได้ไหม กว่าฝนจะซา คงอีกนาน”
ว่าแล้วผมก็ลุกเดินลากมันไปที่เตียง มันโวยวายใหญ่
“พี่นอนไปเถอะ ผมกลับแท็กซี่ก็ได้”
“อืม.. อันตรายพอกัน รอให้ฝนหยุดก่อน”
ผมให้เหตุผล แล้วดึงตัวมันมานอนกอด
“นี่ พี่เอก ปล่อย!”
มันดิ้นขลุกขลัก แต่ผมรัดตัวมันแน่น
“ถ้าดิ้น พี่จูบนายนะ”
มันหยุดดิ้นแทบจะทันที ยอมนอนเฉย ๆ ให้ผมกอด
ผมอมยิ้ม
“เป็นหมอนข้างซะดี ๆ”
ผมกระชับวงแขนแน่นขึ้นไปอีก ปิดเปลือกตาลงและหลับใหลไป
TBC..
คิดอยู่ว่าตัวเองลืมอะไรหรือเปล่า คิดไปคิดมา
อ้าว ตูลืมเอานิยายลงเล้า T^T ไอแอมซออู้จริง ๆ ค่ะ T^T ติดภารกิจหลายอย่างมาก ตอนนี้อยู่เชียงใหม่ ลั่นล้ามากมาย ^^
หุหุ ประกาศตัวโตโต ตอนหน้าเอ็นซีนะคะ กับเล้าไม่กล้าขอมาก ขอแค่สิบเม้นท์ก็พอ (พิจารณาตัวเองให้จงหนัก) เด็กดีเรื่องนี้ติดชาร์จอันดับหนึ่ง มาที่นี่เงียบฉี่ไปไหน (สงสัยจะหนีไปอ่านที่นู่นกันหมด = =) มีน้องหลายคนถามมาว่า "พี่คะ ทำไมไม่เอามาลงที่เล้าบ้าง" อยากบอกว่า ลง 14 ตอนแล้ว แต่น้องไม่เห็นเอง T^T แต่เราก็ยังยืนหยัดมุ่งมั่นที่จะลงต่อไป เพื่อสุขภาพจิตที่ดีของใครอีกหลาย ๆ คน ที่หลงเข้ามาอ่าน ฮ่า ๆ ๆ (ค้ำสะเอวหัวเราะด้วยความสะใจ)
ปล. ยังคงลงภาพไม่ได้ดังเคย เลยลงเมจพระเอกนายเอก และตัวละครเสริมไม่ได้เลย T^T
รักคนอ่านทุกคนนะคะ จุ๊บ ๆ