#45 จากวันนั้นจนถึงวันนี้(The End.)หลายเดือนผ่านไป เย็นย่ำแบบนี้ที่ออฟฟิศของยูเซย์ ผมยืนทอดสายตาผ่านบานกระจกใส มองเม็ดฝนที่ตกกระทบลงที่พื้นซีเมนต์แล้วกระเด็นกระดอนขึ้นมานิดๆ จะผ่านหน้าฝนไปอีก แล้วขณะที่หลายสิ่งหลายอย่างในหน้าที่การงานของผมเริ่มขยับขยายและเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น
เมื่อต้นเดือนที่แล้วผมกับพี่เชนได้สมัครและสอบไปอบรมเพิ่มเติมเกี่ยวกับงานไอทีและโปรแกรมมิ่งที่โมนาช ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่พี่เชนเคยเรียน มันเป็นคอร์สสั้นๆแค่สิบกว่าวัน แต่นั่นทำให้ผมที่ไม่เคยเรียนการเขียนโปรแกรมอย่างจริงจังมาก่อนสามารถจับทิศทางและรายละเอียดของงานที่ตัวเองทำได้ดียิ่งขึ้นไปอีก
ผมคิดว่าตัวเองมีทักษะที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่พี่เชนเองมุ่งเน้นไปที่การวิเคราะห์และวางระบบ เราอยู่ที่นั่นแค่ไม่กี่วันก็จริงแต่คุณก็รู้อยู่แล้วพี่เอย์มันจะปล่อยผมอยู่กินกับพี่เชนสองต่อสองนานขนาดนั้นคงไม่ได้ พี่เขาจัดการเคลียร์งานแล้วตามพวกผมไปตั้งแต่วันที่สองโน่น พอเห็นหอพักที่ผมกับพี่เชนไปเช่าอยู่รวมๆกับพวกเด็กจากเกาหลีและเมืองจีน คุณชายวีนแตกแล้วบอกให้ผมหาที่พักใหม่ทันที สรุปคือได้บ้านพักใกล้มหาวิทยาลัยยิ่งขึ้นไปอีก
เราสามคนตื่นแต่เช้าแล้วออกไปขึ้นรถเมล์พร้อมกัน ในช่วงเวลาที่ผมกับพี่เชนเข้าเรียน พี่เอย์มันจะไปนั่งรออยู่ที่สวนสาธารณะไม่ไกล ถ่ายรูปดูโน่นดูนี่ของมันไป ผมนี่ถึงกับขำมีสาว ๆ เข้ามาทักคุณชายด้วย มันเลยอำพวกเธอไปว่าเป็นลูกครึ่งจีนอเมริกันมาจากนิวยอร์ก แล้วพ่นสำเนียงหลอกลวงไป สาว ๆ ออสซี่ทิ้งเบอร์ไว้ให้หลายคนมากยังมีการเอาออกมาอวดผมอีก
“ปิง!” เสียงเรียกจากด้านหลังทำเอาผมตกใจ ละสายตาออกจากสายฝนที่บานหน้าต่าง หันไปมองคนเรียก
“ยืนเหม่ออะไรวะ พิมเขาเรียกมึงนานแล้ว”
“อ้าวเหรอ พี่พิมว่าไงครับ” ผมเดินเข้าไปที่โต๊ะ เย็นๆแบบนี้พนักงานกลับกันหมดแล้ว วันนี้พี่พิมเรียกผมกับพี่เชนประชุมงานกัน ผมเลยต้องอยู่ยาวจนถึงเย็น
“ปิงเอาแฟ้มนี้ไปสีเขียว ส่วนเชนแฟ้มนี่สีฟ้านะ” พี่พิมแจกงานให้ ผมกับพี่เชนเปิดพลิกดู
“มันจะมีกำหนดการต่างๆและตารางงานคร่าว ๆ ตอนนี้บริษัทของเรามีพนักงานเยอะขึ้นมาก งานปลีกย่อยต่าง ๆ ปิงสอนเด็กรุ่นน้องได้ดีพี่เองก็คอยดูช่วยอยู่ ส่วนเชนเด็กที่ทำช่วยเกี่ยวกับงานวางระบบก็เริ่มมีประสบการณ์เพิ่มมากขึ้น เพราะฉะนั้นตอนนี้มันมีการยื่นคำขอมาที่บริษัทของเรา”
พี่พิมดูอึดอัดใจนิดๆที่จะพูด ทั้งผมทั้งพี่เชนต่างเงยหน้ารอฟัง
“พูดมาดิวะ เป็นอะไรของมึงอีก”
“มันอาจจะทำให้ทั้งเชนและปิงลำบากเพิ่มขึ้นแต่พิมก็คิดว่าอยากจะให้บริษัทของเราสนับสนุนงานในส่วนใหม่นี้”
“งานอะไร” พี่เชนถามขึ้น
“เป็นวิทยากรบรรยายพิเศษตามมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ตอนนี้เกือบๆยี่สิบมหาวิทยาลัยทั่วประเทศยื่นจดหมายเชิญมาที่เรา พิมเองก็เกรงใจเพราะมันไม่ได้อยู่เฉพาะแค่ในกรุงเทพ ทั้งภาคเหนือภาคอีสานภาคใต้ พอเขาเห็นว่าเรามีโปรแกรมเมอร์และนักวางระบบมือโปรก็อยากจะเชิญเราไปบรรยายให้กับนักศึกษาของเขา เชนกับปิงไปผ่านการอบรมที่โมนาชมา ยิ่งเพิ่มดีกรีการันตีบริษัทของเราเข้าไปอีก”
“เป็นวิทยากร เหมือนที่ผมไปบรรยายพิเศษที่ ม.บูรพาเมื่อสัปดาห์ที่แล้วน่ะเหรอครับ”
“ใช่จ๊ะปิง แบบนั้นแหละแต่ตอนนี้จะเป็นมหาลัยใหญ่ ๆ ทั้งของรัฐบาลและเอกชน นี่คือจดหมายที่ส่งมาขอตัวเชนกับปิงไป” พี่พิมโชว์จดหมายปึกใหญ่ ๆ ในมือให้พวกเราดู
“เชน มึงคิดเห็นว่ายังไง จะรับต่อไหมงานแบบนี้” พี่พิมหันไปขอความคิดเห็นจากพี่เชน จริง ๆ ก่อนผมไปบรรยายที่ ม.บูรพา พี่เชนถูกเชิญไปบรรยายครั้งแรกที่เอแบค ภาควิชาไอที ตั้งแต่นั้นมายูเซย์ดังกระหึ่มในหมู่นักศึกษามาก
“ก็ตามใจ ถ้ามึงคิดตกลงใจยังไงก็แค่บอกพวกกูมา กูกับปิงไม่มีปัญหา”
“ใช่ครับพี่พิม พี่ไม่ต้องเกรงใจถ้าพี่พิมบอกให้ทำ ผมกับพี่เชนไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว”
“งั้นก็ขอบใจมาก”
หลังจากนั้นผมรับเอกสารมาแล้วตรวจดูต่ออีกหน่อยพี่เชนก็ไล่ให้กลับเพราะฝนด้านนอกเริ่มจะตกหนัก ผมจึงตัดสินใจอยู่ว่าจะขับมอไซด์ฝ่าฝนกลับดีหรือไม่ จริง ๆ หลายคนบอกว่าผมควรจะออกรถได้แล้ว แต่ผมยังดึงดันไว้ ไม่ใช่ว่าขี้เหนียวหรืออะไร เพราะว่ารถของแม่จริง ๆ ก็ไม่ค่อยได้ใช้ถ้าวันไหนฝนตกหรือผมต้องเดินทางไกลๆผมจะขับคันนั้น และถ้าหากพี่เอย์ไม่ได้มีคิวออกไปไซท์งานที่ไหนมันจะบังคับให้ผมขับรถมันออกมา แต่วันนี้ก็อย่างที่คุณรู้ คุณชายไปไซท์งานที่ระยอง ช่วงนี้บริษัทพี่เขาบูมมาก รับสร้างรีสอร์ทเป็นว่าเล่น ขนาดหน้าฝนที่งานก่อสร้างทำได้ยากเย็นมันยังมีคิวต้องไปติดต่องานกับลูกค้านายทุนหลายราย คุณภีมเลขามันนี่วิ่งหน้าวิ่งหลังจนผมคิดว่าพี่เขาผอมลงหลายกิโลเหมือนกันนะ
พี่เอย์ร่ำๆจะหาผู้ช่วยออกไซท์มาไว้อีกสักคน
“ไปดิ่ เดี๋ยวกูไปส่ง” พี่เชนเดินมาดันหลัง คงเห็นผมยืนคิดอยู่ที่ประตูนานแล้ว
“ไม่เป็นไรพี่ เดี๋ยวผม...
“อย่าพูดมากเดินลงไป เอ้าร่ม กางซะ” เพราะรถจอดอยู่ฝั่งตรงข้าม ผมกับพี่เชนเดินลุยออกมาภายใต้ร่มคันใหญ่ ถึงอย่างนั้นก็เปียกกันนิดๆอยู่ดี
“ส่งที่บ้านเลยไหม มึงจะไปไหนก่อนรึเปล่า”
“ไม่ครับ ส่งที่บ้านเลย”
เป็นเพราะฝนที่เทหนักลงมาตั้งแต่บ่ายด้วยรึเปล่า การจราจรที่ติดมากอยู่แล้วยิ่งฝืดเข้าไปใหญ่ ผมนี่เจอแอร์เย็นๆอยู่บนรถกับบรรยากาศฝนพรำถึงกับอ้าปากหาวเลย พี่เชนหันมาผลักหัวผมเบา ๆ
“ง่วงก็นอนดิวะ เดี๋ยวถึงแล้วจะปลุก”
“พี่เชนลำบากมาส่งผมทำไมไม่รู้ ที่จริงกลับเองได้เหอะ”
“ไม่ต้องมาหลงตัวเองเลย ใจจริงก็ไม่อยากมาส่งเท่าไหร่นักหรอก”
“อ้าว!” ผมหันไปมองหน้าคนขับเลย พี่เชนขำเบา ๆ ผมนึกสงสัยบางอย่างอยู่แล้วเพราะเมื่อกี้มีสายโทรเข้าเครื่องพี่เขา น่าจะเป็นพี่ซ่าร์ผมเห็นรูปแวปๆแต่พี่เชนคุยเร็วมากวางสายไปก่อน
“จริง ๆ แล้วพี่มีธุระต้องไปแถว ๆ บ้านผมใช่ป่ะละ”
“ไม่มี๊” พี่เชนร้องปฏิเสธเสียงสูง
“อย่า....อย่ามาโกหก ผมรู้จักพี่ดีที่สุดโกหกทีไรหูพี่กระดิกทุกที”
“เฮ้ยจริงดิ!?” พี่เชนรีบจับหูตัวเองทันที ผมนี่ถึงกับขำกร๊ากเลย เจอโบกหัวมาอีก ผมได้แต่ยกมือลูบอย่างเจ็บช้ำ
“สารภาพมาเลย ที่มาส่งผมนี่คือจะไปรับพี่ซ่าร์กับน้องอันวาอ่ะดิ” ผมหรี่ตาเหมือนคนรู้ทัน หันไปจ้องหาความจริงเลย พี่เชนอึกอักไปนิดหน่อยก่อนยักไหล่ตอบ
“ก็....นะ....
“อะไรคือก็นะ” ผมถามย้ำไปอีก
“ก็นัดกับเจ้าเด็กแสบนั่นไว้ ขืนไม่ไปมึงก็รู้เจ้าอ้วนนั่นจะร้องไห้งอแงแค่ไหน”
“อะไรครับ แล้วพี่ไปสนิทสนมกับน้องอันวาตั้งแต่เมื่อไหร่ ตอนนั้นยังเห็นเรียกยักษ์อยู่เลย”
“โอ๊ยยย มึงจะพูดอะไรล่ะ เรื่องตั้งหลายเดือนมาแล้ว เด็กๆลืมไวออก”
“พี่อย่ามาเบี่ยงประเด็นตอบผมมาก่อน น้องอันวาเลิกกลัวพี่แล้วอ่อ??”
“กูมีวิธีของกูเหอะ”
“พี่เชนครับ” ผมเค้นเสียงดุเมื่อเห็นพี่เขาเล่นตัวไม่ยอมบอก
“อะไรของมึงนักหนาวะ กูกับอันวาดีกันแล้วมึงจะอยากรู้อะไรเนี่ย ถึงแล้ว ลงๆ” รถจอดลงที่หน้าบ้านพอดี พี่เชนไล่ผมลงพร้อมกับผลักหัวส่งมาอีก
“ไปแล้วก็ได้ ขอให้สนุกกับภรรยาและลูกชายนะครับพี่ชาย”
“เชี่ย! มึงรีบลงไปเลย”
พี่เชนผู้เป็นสุภาพบุรุษวิ่งลงมาพร้อมกับร่ม เปิดประตูฝั่งผมพร้อมรับผมลงไปส่งถึงหน้าประตูบ้าน ผมกำลังปลื้มใจที่พี่เขาช่างเป็นคนแสนดีและสุภาพบุรุษ แต่แล้วต้องหุบยิ้มแทบไม่ทันเมื่อพี่เชนดันบอกออกมาว่า
“กูจะใช้ร่มไง ถ้าให้มึงกางลงมาแล้วกูจะเอาอะไรไปรับลูกกับเมียกูล่ะวะ”
ผมนี่อยากจะทึ้งผมตัวเองมากครับ รีบไล่ไอ้พี่บ้าให้รีบ ๆ กลับไปเลย
คืนนั้นพี่เอย์กลับมาถึงบ้านดึกมาก ผมชวนคุณภีมให้นอนค้างด้วยกันเพราะเห็นว่าท่าทางพี่เขาเหนื่อยมาก แต่แกบอกภรรยาโทรตามหลายรอบแล้ว นี่เหยียบสุดตีนเลยจากระยองยิงตรงเข้ากรุงเทพ ผมเลยไม่อยากจะขัด
“พี่เอย์ลุกเลยครับ ไปอาบน้ำก่อนแล้วค่อยมานอนนะ”
“ไม่ไหวแล้วว่ะ กูเหนื่อย” พี่เอย์มันนอนคว่ำซุกใบหน้าอยู่ที่โซฟาพร้อมกับคว้าน้องหมียักษ์เข้ามากอด ผมดึงแขนมันขึ้นมาลากให้ไปอาบน้ำ แรงผมก็เยอะอยู่นะพี่เอย์นี่ถูกผมลากไปทั้งชุดทำงานมันนั่นแหละ
“อึ๊บ พี่เอย์ครับไปอาบน้ำก่อน จะได้นอนสบายๆไง”
“ไม่เอาอ่ะ กูจะนอนตรงนี้” มันไม่สนผมเลย ล้มตัวนอนลงที่พรหมเอาตุ๊กตาหมีที่ลากติดมือลงมาด้วยรองหัว ผมนี่ได้แต่อ่อนใจ จัดการปลดกระดุมเสื้อมันออก ถอดทุกอย่างแล้วเช็ดตัวให้แทน คุณชายนอนนิ่งปล่อยผมทำ
“เสียวว่ะปิง มึงอย่าเช็ดแถวนั้นนานดิ่วะ” พี่เอย์มันบอกทั้งที่ยังหลับตา ผมเลยแกล้งไปจับๆๆลูกชายมัน มันรีบปัดมือผมออก
“กูเหนื่อยนะวันนี้ ไม่ไหวแล้วนะเว้ย อย่าไปทำให้มันตั้งขึ้นมาเชียวล่ะ”
“ก็แล้วพี่ไปทำอะไรมากันครับเนี่ย เหนื่อยอะไรนักหนา ไหนว่าไปแค่ระยอง ทำอย่างกับขับรถไปสตูล”
“ก็แค่ระยองนั่นแหละแต่กูตระเวรดูงานตั้งหกไซท์ มึงคิดดูดิ เจอเพื่อนเก่าที่เป็นเจ้าของรีสอร์ทอีก มันจองตัวไว้ทำให้โรงแรมมันอีก กู....โอ๊ยยยย.....กูเหนื่อยเหี้ยๆเลย”
ผมเช็ดตัวให้มันเสร็จ ใส่เสื้อผ้าชุดนอนให้เรียบร้อย พี่เอย์มันชูแขนขึ้นมาบอกผมอุ้มๆ ท่าทางเหมือนเจ้าหนูอันวาไม่มีผิด ผมเลยเตะมันไปเบา ๆ พี่เขาหัวเราะแล้วดึงแขนผมเลย
“วันนี้กูจะใจดีนอนกอดมึงเฉย ๆ เพราะงั้นอุ้มกูขึ้นเตียงเร็วเข้า”
“ไม่ไหวหรอกครับ พี่เอย์พูดอะไรน่ะ”
“อุ้มหน่อย อุ้มท่าเจ้าหญิงนะ”
“เพี้ยนไปแล้วเหรอพี่ ไปเจออะไรมาเนี่ย” ผมยืนเกาหัวเลย พี่เอย์หลับตาแล้วทิ้งตัวลงนอนที่พรหมอีกครั้ง มือมันกอดน้องหมีไว้แน่นมากใช้ต่างหมอนหนุนนอน ผมจนใจได้แต่ลากมันขึ้นเตียงกว่าจะได้นอนนี่คือเกือบ ๆ ตีสอง ผมทุลักทุเลมาก ห่มผ้าให้มันจนชิดอกปิดไฟแล้วปีนขึ้นเตียงประจำที่ตัวเอง
“ปิง” เสียงเรียกงึมงำที่ด้านหลัง ผมหันไปมอง พี่เอย์ดึงผมเข้าไปกอดไว้ชิดอกมัน
“วันนี้กลับมาบ้านยังไง กูไม่เห็นรถมึงเลย”
“วันนี้ฝนตกหนักตลอดทั้งเย็นเลยครับ พี่เชนเลยมาส่ง ผมจอดมอไซด์ไว้ที่ออฟฟิศ”
“อ่อ มันมาส่งมึงให้จริง ๆ ด้วย”
“อะไรอ่ะพี่ หมายควาวว่าไง”
“กูโทรบอกมันไว้ไง ห่วงว่ะไม่อยากให้ขับรถตากฝนถ้าฝนตกก็อยากให้มันเป็นคนมาส่งมึงเอง”
“โหยพี่เอย์ครับ ผมกลับแท็กซี่ได้เหอะ” ผมไม่รู้มาก่อนเลยนะว่าพี่เอย์โทรคุยกับพี่เชน รายนั้นถ้าไม่ถามคือไม่พูดอยู่แล้ว
“คนอื่นกูไม่ไว้ใจ”
พี่เขาพูดไว้แค่นั้นก่อนที่เราสองคนจะหลับตามกันไป คืนนั้นอุ่นนะ ทั้งที่อากาศเย็น ๆ เพราะฝนพรำลงมาทั้งคืน
เสียงนกร้องจิ๊บ ๆ ดังแทรกเข้ามา แสงของวันใหม่แยงสายตาเล็กน้อย ผมขยับตัวออกจากวงแขนใหญ่ลุกขึ้นมาล้างหน้าล้างตานั่งทำงานของผมต่อตั้งแต่หกโมงเช้า เพราะวันนี้เป็นวันอาทิตย์ พี่เอย์มักจะตื่นสายแล้วชอบอ้อนเรียกผมไปนอนกอดดูหนังด้วยกัน เราใช้ช่วงเวลาแบบนั้นด้วยกันบ่อย ๆ เพราะงั้นเช้านี้ผมจะสะสางงานให้เสร็จๆก่อนคุณชายจะตื่น เดี๋ยวนี้โต๊ะทำงานลากมาตั้งติดไว้กับเตียง ขนาดนั่งบนเก้าอี้มันยังไม่ยอม ผมเลยต้องใช้พื้นที่นิดหน่อยของเตียงแทนเก้าอี้นั่ง พี่เอย์หรี่ตามองมาที่ผมพอเห็นว่าผมนั่งทำงานอยู่ใกล้ ๆ คุณชายก็หลับลงต่อทั้งที่มือนี่ยังคว้าเอาเอวผมกอดไว้ไม่ยอมปล่อย
ช่วงสายๆของวัน เราสองคนเดินไปทานข้าวที่บ้านของแม่ คุณนายกำลังคั้นมะพร้าวเห็นว่าจะทำขนมอะไรสักอย่าง
“เอย์กินบวดฟักทองเป็นไหมลูก” แม่เงยหน้าถามขึ้นขณะที่พี่เอย์มันกำลังสนอกสนใจกับวิธีการคั้นมะพร้าวด้วยมือ ส่วนผมไม่สนหรอกผมเห็นจนชินแล้ว ถึงปกติแม่จะทำแต่อาหารอีสานขายก็เถอะ แต่ก็มีบ้างที่ใช้กะทิสดๆทำของหวานไว้ขายด้วย
“ผม.....เอ่อ....” พี่เอย์มันยิ้มอย่างเดียว ผมมองแล้วก็ขำคิดว่าคุณชายคงไม่รู้จักหรอก บวชฟักทองอะไรนั่น
“อ่า ไม่เป็นไร งั้นเอย์กินกล้วยบวดชีได้ไหม เมื่อเช้าพี่ขมไปตลาดมาได้กล้วยกำลังน่าอร่อยแม่เลยว่าจะทำให้เอย์ทาน”
“กล้วยบวดชีเหรอครับ?”
“ใช่จ๊ะ ที่มีกล้วยผสมกับน้ำกะทิน่ะ”
“อ๋อกินเป็นครับ เอย์กินแต่น้ำ กินกล้วยแบบนั้นไม่ค่อยเป็น”
“อ้าว แล้วกินกล้วยแบบไหนถึงจะเป็น”
“แม่ใส่กล้วยหอมได้ไหมครับ แบบนั้นเอย์กินได้”
พี่ขมที่กำลังกินน้ำอยู่นี่ถึงกับสำลัก หน้าดำหน้าแดงไปหมดผมขยับเข้าไปลูบหลังให้ แม่นี่หน้าเหวอไปแล้ว ส่วนพี่เอย์มันหันมามองผมคงอยากจะถามเหลือเกินว่ามันพูดอะไรผิดไปตรงไหน
“พี่เอย์ครับ กล้วยบวดชีเขาไม่ใช้กล้วยหอมทำหรอก” ผมไขข้อข้องใจให้มัน
“อ้าวเหรอ ไม่รู้นี่ก็เห็นมันเป็นกล้วยเหมือนกัน”
แม่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ พี่เอย์มันเลยอาสา “แม่ครับให้เอย์ช่วยทำไหม เอย์อยากเล่นคั้นมะพร้าว”
“เอาสิลูก เอย์ไปล้างมือมาก่อนนะ เดี๋ยวแม่สอน เจ้าปิงด้วยไปล้างมือเลยเดี๋ยวมาคั้นช่วยกันกับพี่เขา”
“แม่ครับปิงขี้เกียจ ปิงจะช่วยพี่ขมล้างผัก”
“ช่วยที่ไหนกัน เจ้าปิงจอมขี้เกียจเอาแต่นั่งดู” พี่ขมเสริมขึ้นมา แม่มองหน้าผมดุๆ ขณะพี่เอย์กำลังจะลุกขึ้น เสียงรถจอดลงที่รั้วหน้าบ้าน เราทั้งหมดที่นั่งเล่นกันอยู่ที่ระเบียงเลยหันไปมอง
“ใครมาน่ะลูก ปิงลงไปดูซิมาหาพี่เอย์เขารึเปล่า” พี่เอย์เองก็ชะโงกออกไปดู ผมก้าวลงบันไดเจอมันดึงแขนไว้ พี่เอย์สีหน้าเครียดขึ้นมากขณะที่สายตายังจ้องไปที่รถคันนั้นไม่ยอมละออก
“พี่เอย์ครับ?”
“เดี๋ยวกูลงไปเอง มึงรออยู่นี่”
“พี่เอย์?” เพราะว่าพี่เขาสีหน้าไม่ค่อยดี ผมจึงไม่อยากปล่อยให้มันลงไปคนเดียว เรียกถามพี่เขาอีกครั้ง รั้งแขนมันไว้ ส่งสายตาบอกว่าผมจะลงไปด้วย แต่พี่เอย์ยกมือขึ้นลูบหัวผม พร้อมกับพยักหน้าให้เบา ๆ
“รถของที่บ้านมา ไม่เป็นไรมึงรออยู่ที่นี่”
พี่เขาเดินลงไปแล้ว ผมมองตามแผ่นหลังกว้างไปตลอด จนแม่ต้องเดินเข้ามาหาแล้วกอดลงที่บ่าผม ผมเห็นคุณแม่พี่เอย์ประคองคุณย่าพี่เอย์เดินลงมา คุณย่ามันเหมือนกำลังร้องไห้โผเข้ากอดมันอย่างน่าสงสาร แม่ที่ดูอยู่ด้วยถึงกับบีบไหล่ผมไว้ ผมบอกไม่ถูกนะว่ากำลังรู้สึกแบบไหน หลากหลายอารมณ์มาก ทั้งเป็นห่วงทั้งสงสารทั้งกลัว ที่มากที่สุดคืออยากจะลงไปดูแต่ในเมื่อพี่เอย์บอกให้ผมรออยู่ที่นี่ผมก็จะรอมัน ตอนนี้บรรดาแขกเหรื่อกำลังเดินตามหลังมันเข้ามา พี่เอย์เดินอยู่ข้าง ๆ คุณแม่ของมัน ส่วนคุณหญิงย่ามีคนดูแลอีกคนประคองมาด้วย พี่เอย์ขยับเข้าไปจูงท่านในตอนที่ทุกคนต้องทยอยขึ้นบันได แม้จะแค่ไม่กี่ขั้นแต่สำหรับคนสูงอายุก็ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ
แม่หันมามองหน้าผม “ปิงลูก...”
“แม่ครับปิงอยู่กับแม่ตรงนี้ พี่เอย์เองก็อยู่เพราะงั้นแม่ไม่ต้องกลัวนะ” พี่ขมเดินเข้ามาหาแม่ทันที
“ขม พวกเขากำลังขึ้นมา”
“ไม่เป็นไร เราไปเตรียมน้ำท่ามาไว้ให้แขกเถอะ อย่างน้อยเขาก็เป็นญาติของเอย์ ไปปิงเข้าไปยกน้ำออกมาให้ครอบครัวพี่เขา”
ผมเดินตามพี่ขมเข้าไปอย่างว่าง่าย ตั้งสติสูดลมหายใจจากนั้นถือถาดน้ำออกมา แม่กับพี่ขมเลือกเอาแก้วใบใหม่ที่คิดว่าสวยและสะอาดเอี่ยมที่สุด ผมมองแม่แล้วก็สงสาร แม่ทำเพื่อผมมากมายจริง ๆ สิ่งที่ผมกลัวแม่เองก็กำลังกลัวเช่นเดียวกัน ท่านคงกำลังคิดว่าบ้านพี่เอย์จะมาเอาตัวพี่เขากลับไปแล้วผมที่เหลืออยู่จะอยู่แบบไหน แต่ผมมั่นใจในตัวพี่เอย์ วันนี้ไม่เหมือนเมื่อวันวานอีกแล้วพี่เอย์สามารถยืนหยัดด้วยตัวเองผลงานทุกอย่างเกือบหนึ่งปีที่ผ่านมาการันตีความสามารถพี่เขาได้เป็นอย่างดี
แน่นอนว่ารวมไปถึงเรื่องของเรา ความรักที่มั่นคงของเราสองคน
“คุณย่าครับคุณแม่ครับ นี่น้าศรีแม่ของปิง ส่วนนี่พี่ขมญาติอีกคนของปิงเหมือนกัน” พี่เอย์แนะนำคุณย่ากับคุณแม่ของพี่เขาให้รู้จักครอบครัวของผม แม่กับพี่ขมยกมือขึ้นไหว้ และไหว้ผ่านไปถึงป้าอีกคนที่ยืนอยู่ด้านหลังคุณย่าของพี่เอย์ด้วย ถ้าจำไม่ผิดเธอเป็นแม่บ้านที่ดูแลเรื่องอาหารอยู่ที่บ้านสวนของคุณย่าพี่เอย์ ผมเห็นเธอเมื่อตอนไปที่นั่นแค่ครั้งเดียวแต่จำได้เพราะหน้าตาเธอคล้ายชาวเหนือเหมือนกับคุณแม่ของผม
“ศรี!” เสียงเธออุทานขึ้นมา คุณแม่พี่เอย์ยังหันไปมอง
“ศรี ลูกลุงสร้างกับแม่จุ๋มใช่ไหม ฉันพี่แพมไง จำกันได้รึเปล่า”
แม่นิ่งไปนิดนึง คิดว่าคงกำลังทบทวนอะไรบางอย่างอยู่ ก่อนที่ดวงตาสวยจะเปลล่งประกาย แม่ยืนขึ้นแล้วยิ้มอย่างดีใจ
“พี่แพม?! ศรีเอง ไม่รู้เลยว่าพี่ทำงานอยู่กับคุณท่าน”
สองคนเหมือนลืมอะไรไปบางอย่างแม่ผมทำท่าจะเดินเข้าไปคว้าป้าแม่บ้านคนนั้นเข้ามาคุยแต่ผมดึงเสื้อแม่ไว้ก่อนกลัวว่าคุณท่านกับคุณหญิงแม่พี่เอย์จะว่า แต่ผิดคาด คุณหญิงย่ามันยิ้มกว้างแล้วบอกให้สองคนเขาคุยกัน
“ดีใจจริง ๆ ที่รู้จักกัน แบบนี้เห็นทีย่าจะไม่ต้องห่วงอะไรแล้ว”
“คุณท่านคะ ดิฉันรับรองเลย ศรีเป็นเด็กดีมาก ดิฉันเห็นน้องตั้งแต่เด็กก่อนที่จะเข้ากรุงเทพมาทำงานกับคุณท่าน คนๆนี้แหละที่ดูแลพ่อแม่ไม่เคยห่าง แม้กระทั่งเดี๋ยวนี้ถึงแม้จะไม่มีญาติมิตรที่ไหนแล้วก็ยังส่งเงินกลับไปให้พี่สาวแม่ของเขาอยู่ตลอด แม่ของหนูปิงเป็นคนดีมากค่ะดิฉันขอรับรอง”
“พี่แพม.....” แม่เรียกเธอเสียงสั่นเครือ ยกมือไหว้ครั้งแล้วครั้งเล่า
“เอาล่ะๆไม่ต้องมาโพทะนาความดีอะไรแล้ว แค่เห็นว่าเลี้ยงดูหลานฉันดีฉันก็พอจะรู้แล้วล่ะนะ” ท่านพูดพร้อมกับมองไปที่กะละมังเล็กๆที่แม่กำลังคั้นกะทิค้างไว้อยู่ มุมปากเปื้อนรอยยิ้ม
“กำลังจะทำอะไรกินกันล่ะหืม” เธอถามออกมา มองหน้าผมกับแม่
“น้าศรีกำลังจะทำกล้วยบวชชีให้ผมทานครับคุณย่า” พี่เอย์ชิงตอบให้แทน
“เอย์กินเป็นเหรอลูก” คราวนี้แม่มันแทรกขึ้น
“คิดว่าจะลองครับคุณแม่ เมื่อกี้ผมกำลังจะลองคั้นกะทิดู คุณแม่มาก่อนเลยวิ่งลงไปเปิด ปิงมานี่มา” พี่เอย์ตอบคุณแม่มัน แล้วหันมาเรียกผม
“ไหว้คุณย่ากูกับแม่กูรึยัง” ที่จริงผมไหว้แล้วนะแต่ไหว้ใหม่อีกรอบก็ไม่มีปัญหา
ผมยกมือไหว้แบบหล่อๆ เอาให้อ่อนน้อมที่สุดเลย คุณย่าพี่เอย์กับคุณแม่มันเงยหน้ามองผม คุณย่ากวักมือเรียก พี่เอย์พยักหน้าบอกให้ผมย่อตัวนั่งลงข้างมัน เราสองคนคุกเข่าอยู่ข้าง ๆ กัน มือเล็กที่เต็มไปด้วยริ้วรอยประดับกำไลหยกสวยงามเก่าแก่ยกขึ้นมาลูบลงที่หัวผมเบา ๆ
“เรามาเริ่มต้นกันใหม่ได้ไหม ขอโอกาสให้ย่าสักครั้งนะลูก” ท่านมองหน้าผม แววตาอ่อนโยนกว่าครั้งไหน ๆ ที่ผมเคยได้เจอ คุณแม่ของมันเองก็ลูบลงที่หลังของพวกเรา
“ที่ผ่านมาแม่รับรู้แล้วว่าการที่สูญเสียลูกไปมันช่างทรมานมากมาย แม่ได้แต่เฝ้าดูไม่กล้าแม้แต่จะเข้ามาหา ขอโอกาสให้แม่ได้ทำหน้าที่แม่ที่ดี ทำทุกอย่างเพื่อลูกจริง ๆ ไม่ใช่แค่ความต้องการของตัวเองแบบแต่ก่อนนะลูกนะ”
คุณแม่พี่เอย์ร้องไห้ออกมาแล้ว เธอซับน้ำตาด้วยกระดาษทิชชู่สีขาวที่ถือติดมือมาด้วย ป้าแพมรีมเดินเข้ามาหาลูบแผ่นหลังเล็กเพื่อปลอบใจ
“คุณหญิงกับคุณรันมาจอดรถแอบดูคุณเอย์ทุกอาทิตย์เลยนะคะ แล้วทุกครั้งก็ร้องไห้กลับไปตลอด ”
“แม่กลัวเอย์ลำบากลูก แม่ทำทุกอย่างเพื่อลูก หาเงินหาทองไว้ให้ ถ้าไม่มีลูกแล้วแม่จะหาของเหล่านั้นไว้เพื่อใครกัน น้องเอย์ให้โอกาสแม่สักครั้ง หนูปิงขอโอกาสให้ฉันคนนี้ด้วย ฉันรู้ว่าตัวเองทำผิดมามาก ทั้งเห็นแก่ตัว นึกถึงแต่ตัวเอง ลืมความต้องการของลูกไปจนหมด ต่อไปนี้ขอให้ฉันได้แก้ตัว เราทุกคนมาเป็นครอบครัวเดียวกันนะ มาเป็นญาติกัน”
“ย่ารักเอย์นะลูก ยอมรับคนที่เอย์รักและจะรักคนรักของเอย์รวมไปถึงครอบครัวของหนูปิงด้วย เรามาเป็นครอบครัวเดียวกันนะหลานย่า อย่าได้แยกออกไปแบบนี้ ย่าคิดถึงเอย์ใจจะขาด รักมากนะลูกนะ”
พี่เอย์หันมามองหน้าผม ตามันแดง ๆ ขณะที่ผมเองก็มองหน้ามันอยู่ ไม่รู้พี่เอย์จะตัดสินใจแบบไหน มันก้าวเดินออกมาจากอัศวแล้ว เหมือนกับนกที่โผบินออกจากรัง ถ้าผมมองไม่ผิดผิดสายตาพี่เอย์นั้นแน่วแน่และเด็ดเดี่ยวมาก มันหันมามองหน้าผมส่งสายตาบอกให้รู้แม้ว่าจะไม่ได้เอ่ยเป็นคำพูดออกมาผมก็รู้ว่ามันคิดจะให้ผมทำอะไร
เราสองคนก้มกราบลงไปที่ตักคุณย่ามันพร้อมกัน
“เอย์ไม่เคยโกรธคุณย่าเลย เอย์มีคุณย่าแค่คนเดียว คนที่ใจดีกับเอย์มาตลอดตั้งแต่เล็ก ทุกวันนี้เอย์ก็ยังรักและเคารพคุณย่าอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง”
“หลานเอย์ของย่า” คุณย่ามันร้องไห้สะอื้น มือเล็กลูบแล้วลูบอีกอยู่ที่หัวพี่เขา พี่เอย์หันมาหาคุณแม่มันบ้าง ก้มกราบลงที่ตักเล็ก ผมเองก็กราบลงข้าง ๆ ไม่กล้าสัมผัสตักเธอกลัวว่าจะไม่เหมาะสมเธออาจจะถือตัวอะไรแบบนั้น ตรง ๆ เลยคือผมเกรงใจเธอมาก กิริยาแบบผู้ดีของเธอยังคงตราตรึงในหัวใจผมอยู่
แต่ครั้งนี้แม่พี่เอย์ลูบเข้าที่หัวผมแล้วกดลงให้สัมผัสกับตักเธอได้ เธอตบหลังผมเบา ๆ พอเงยหน้าขึ้นมองเธอร้องไห้ออกมาอีก
“ทำไมแม่ถึงไม่คิดให้เร็วกว่านี้นะ ทั้งๆที่เอย์ก็บอกแม่ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งว่าหนูปิงเป็นเด็กดี ทั้ง ๆ ที่แม่เองก็รับรู้มาตลอด”
“แม่ครับ เอย์ขอบคุณมาก”
คุณรันเธอส่ายศีรษะเบา ๆเอ่ยคำพูดสุภาพแล้วหันไปหาคุณแม่ของผม
“แม่ต่างหากที่ต้องขอบคุณ ขอบคุณเธอมากนะศรี ขอบคุณที่ดูแลเอย์ตั้นให้ฉัน ขอบคุณที่รักลูกฉันเหมือนกับลูกของเธอเอง ฉันเฝ้ามองมาตลอด ทุกครั้งที่ได้มาจอดเฝ้าดู เธอดีกับน้องเอย์มากจริง ๆ ไม่เคยมีสักครั้งที่ฉันเห็นเธอตำหนิหรือด่าว่าเขา ฉันไม่รู้จะพูดอะไรไม่รู้จะตอบแทนเธอยังไงดีเท่าคำพูดนี้ ฉันขอโทษและขอบคุณ”“ไม่เป็นไรค่ะคุณหญิง” แม่ผมโบกมือพลางพูดอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ คุณรันถึงกับระบายรอยยิ้มออกมา
“อย่ากลัวฉัน เราเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว ศรีอายุน้อยกว่าฉัน มาเป็นน้องสาวฉันเถอะนะ ฉันเองก็ไม่มีพี่น้องที่ไหน เห็นเธอดีกับลูกชายฉันแบบนี้แล้วฉันละอายแก่ใจมากจริง ๆ ที่ทำกับหนูปิงไปมากขนาดนั้น”
“อะ...อะ..เอ่อ...คะ... คือ...อ..” แม่ผมละล่ำละลักพูดไม่เป็นศัพท์ คุณแม่พี่เอย์จึงลุกขึ้นไปจับมือแม่ไว้ ผมเห็นทั้งสองคนส่งยิ้มให้กัน แม่ผมน้ำตาคลอ