Fallen and Destined 8
เขารู้สึกตัวตื่นอีกครั้ง หากแค่ขยับก็ต้องร้องครางเมื่อกล้ามเนื้อทั่วร่างปวดระบมเหมือนโดนทุบจนน่วมมาก็ไม่ปาน
หลังจากหลับตานิ่งๆ สักพักให้ร่างกายพอปรับตัวได้ ขอบฟ้าจึงค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้น แสงแดดที่ส่องลอดผ่านผ้าม่านเข้ามาทำให้เห็นว่าเขามานอนอยู่ในห้องของใครก็ไม่รู้
ทว่าพอสังเกตเห็นเวลาบนนาฬิกาข้างหัวเตียงแล้ว ความง่วงงุนก็หายวับ เพราะเลยเวลาเริ่มงานมาเกือบชั่วโมง ทุลักทุเลกึ่งเดินกึ่งคลาน กึ่งนุ่งกึ่งลากผ้าห่มลงจากเตียง มองหาเสื้อผ้าตัวเองแต่ไม่เจอสักชิ้น จึงเดินกะย่องกะแย่งเดินวนไปรอบห้อง ไม่กล้าแตะเสื้อผ้าในตู้ จนไปเจอชุดคลุมอาบน้ำตัวใหญ่ให้ใส่ชั่วคราวก็ยังดี
เปิดประตูห้องนอนและค่อยๆ โผล่หน้าออกมาดูสถานการณ์ พอแน่ใจว่าในห้องเงียบกริบ ไม่มีวี่แววบุคคลอื่น ขอบฟ้าจึงค่อยคลายใจ เดินเตาะแตะหาเสื้อผ้าตัวเองตามใต้โต๊ะ เก้าอี้ หากแม้กระทั่งเปิดถังขยะดูแล้ว เขาก็ยังหาไม่เจอ
ขมวดคิ้วครุ่นคิดก่อนเขาจะตัดสินใจหยิบยืมเสื้อผ้าในตู้ใส่ไปพลางๆ แต่กลับต้องขมวดคิ้วหนัก หน้ายุ่งเมื่อประตูตู้เสื้อผ้ามันไม่ยอมเปิด หลังจากยืนทั้งงัด ผลัก เลื่อน เขย่า กระทั่งคลำหาปุ่มกดเพื่อหวังให้มันแง้มออกสักนิดหากไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง ขอบฟ้าก็ชักเหงื่อตก เดินมะงุมมะงาหราหาทางเลือกต่อไปแบบมึนๆ
ขณะเดินหาโทรศัพท์เพื่อติดต่ออักษรนั้นเอง ประตูห้องก็เปิดออกพร้อมกับใครบางคนที่เดินเข้ามาเห็นตอนเขากำลังเดินวนไปวนมาเป็นไก่ตาบอด
“เอ่อ... คือผม...” ขอบฟ้ายืดตัวตรง ตื่นตระหนกจนหน้าเริ่มซีด “ผมไม่ใช่คนร้ายนะครับ แต่หาเสื้อผ้าไม่เจอ ตู้ก็บังเอิญเปิดไม่ออกเลย...”
“คุณอาบน้ำหรือยัง ผมซื้ออาหารเช้ามาให้แล้ว จะกินเลยไหม” ผู้มาใหม่ไม่สนใจคำแก้ตัวของเขาและวางถุงในมือลงบนโต๊ะ
“ยัง...ไม่หิว น้ำก็ยังไม่ได้อาบ...ครับ” ขอบฟ้าตอบคำถามตะกุกตะกัก
“ถ้าจะอาบน้ำ มีแปรงสีฟัน ผ้าขนหนูชุดใหม่อยู่ในตู้กระจกในห้องน้ำ หยิบใช้ได้เลย”
กลับเข้าห้องน้ำแบบงงๆ ระหว่างที่ชำระล้างร่างกายอยู่นั้น เขาก็นึกคุ้นหน้าอีกฝ่ายเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน ชายหนุ่มหน้าตาดี ผิวพรรณสะอาดสะอ้าน ท่าทางเหมือนอมยิ้มนิดๆ อยู่ตลอดเวลา คุ้นตาว่าเหมือนเคยเห็นยืนอยู่กับ...กร
ใช่ เขาเคยเห็นคนคนนี้ยืนอยู่ข้างๆ ร่างสูงมาสองสามครั้งแล้ว
มือเอื้อมไปปิดน้ำโดยอัตโนมัติ กลับมาหยุดยืนมองเงาสะท้อนในกระจก ใบหน้าซีดเซียว ไม่มีสิ่งใดโดดเด่น นอกจากดวงตาที่พอจะเรียกว่าดูดีหน่อย รอยจ้ำแดงกระจายทั่วแผงอกและลำคอเสียจนเหมือนเป็นโรคติดต่อ โดยรวมแล้ว ไม่มีส่วนไหนเอาไปเทียบเคียงกับคนด้านนอกได้เลยด้วยซ้ำ
ใส่ชุดคลุมตัวเดิมออกมาพบอาหารอุ่นร้อนๆ จัดเรียงใส่จานวางรออยู่แล้ว ชายหนุ่มผายมือให้เขานั่งลงและทรุดตัวลงนั่งตาม ตั้งท่าจะกินข้าวโดยไม่มีคำอธิบายอื่นใด ขอบฟ้าหยิบช้อนส้อมขึ้นมาอย่างว่าง่าย เหลือบมองคนร่วมโต๊ะนิดหนึ่งแล้วเอ่ยถามเสียงเบา
“คุณเป็นอะไรกับคุณกรเหรอครับ”
สาบานได้ว่าเขาไม่ได้คิดละลาบละล้วงหรือคิดอิจฉาอะไรทั้งนั้น ก็แค่อยากรู้ให้แน่ใจเฉยๆ
อีกฝ่ายชะงักนิดหนึ่ง ก่อนเงยหน้าส่งยิ้มอ่อนหวานให้ “ผมชื่อปวิน เป็นเลขาและ...ควบตำแหน่งคนพิเศษนิดหน่อย ก็แล้วแต่จะคิดน่ะครับ”
หน้าชากับคำตอบที่ได้รับ ขอบฟ้ารีบลุกยืน “ผมต้องไปทำงาน นี่สายมากแล้วด้วย เสื้อผ้า...”
“ใจเย็นๆ แล้วนั่งลงก่อนเถอะครับ ผมจัดการลาป่วยให้คุณเรียบร้อย ไม่ต้องห่วง”
ไม่รู้เป็นเพราะเขามึนมากเกินไปหรือเพราะรอยยิ้มของปวินดูจริงใจเกินไป สุดท้าย เขาก็ยอมนั่งลงอีกครั้ง หากคราวนี้ กลับกินอะไรไม่ลง
อีกฝ่ายไม่ได้เซ้าซี้ให้เขากินต่อ นอกจากจัดการอาหารบนโต๊ะเงียบๆ จนเรียบร้อย ขอบฟ้ามองปวินรวบช้อนส้อน ดื่มน้ำจนหมดแก้วแล้วค่อยพูด
“ผมกลับได้หรือยัง”
“ยังครับ” คำตอบใจร้ายทำเอาคนฟังอึ้งเล็กน้อย “ผมเอาเอกสารมาคืน”
ใบลาออกซึ่งควรจะอยู่ที่แผนกบุคคลถูกยื่นมาให้ตรงหน้าในสภาพยับยู่ยี่เหมือนไปควักขึ้นมาจากถังขยะก็ไม่ปาน ปวินพูดโดยไม่ได้มองสีหน้าเขา
“ผมเกรงว่าคุณจะยังไม่สามารถลาออกได้ตราบใดที่ยังไม่ได้รับอนุมัติ และเรื่องของห้องพัก คุณกรสั่งให้คุณรีบย้ายออกจากที่เก่าภายในสามวัน ถ้าคุณจัดกระเป๋าแพ็คข้าวของเสร็จเมื่อไหร่ให้โทรบอกผมได้ทันที ผมจะจัดการเรื่องขนย้ายสมบัติของคุณมาที่นี่ให้เอง”
ขอบฟ้าทำคอแข็ง เริ่มรู้สึกถึงความไม่พอใจขึ้นมา “นี่มันหมายความว่ายังไง”
“หมายความว่านับจากนี้การใช้ชีวิต ความเป็นอยู่ ทุกสิ่งทุกอย่างของคุณขึ้นอยู่กับคุณกร ถ้าคุณกรอนุญาต คุณถึงสามารถทำได้” ปวินตอบหน้าตาเฉย “ในทางกลับกัน คุณจะสบายมากขึ้น ข้าวของเครื่องใช้ไม่ว่าจำเป็นหรือฟุ่มเฟือย หากคุณต้องการก็แค่เอ่ยปาก คุณกรใจกว้างมากกับเรื่องพวกนี้”
ทุกคำพูดแทบไม่ต่างกับการตบหน้าให้ชาหน่วง ท่าทีคล่องแคล่วราวกับเป็นเรื่องปกติที่ทำอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันของปวิน สิ่งที่รอมาตลอดหลายปี ความหวังที่ซุกซ่อนไว้ในใจของเขาจบลงด้วยสิ่งที่ไม่ต่างกับการขายตัว
ก้มมองบัตรเครดิต คีย์การ์ดแล้วขอบฟ้าก็นึกอยากหัวเราะ กรจะจ่ายให้เขามากมายทำไม ในเมื่อบีบเขาจนหมดทางเลือกไปแล้ว
“ถ้าผมยอมรับแล้วจะกลับเลยได้ไหม” เอ่ยถามเสียงเรียบ มองหน้าปวินโดยไร้อารมณ์จะโต้เถียง
“ได้ครับ ผมเอาเสื้อผ้าบางส่วนมาให้คุณแล้ว แต่คงต้องขอเตือนไว้ก่อนว่าอย่าคิดหนีเด็ดขาด เพราะคุณไม่มีวันหนีพ้นและไม่มีใครสามารถช่วยคุณได้”
คำเตือนนั้นสั้นและเรียบง่ายจนไม่ต้องคิดตีความให้ยุ่งยาก ขอบฟ้ารับเสื้อผ้ามาและยอมรับน้ำใจในการเสนอตัวไปส่งที่ห้องพักของอีกฝ่าย หลังจากได้อยู่ตามลำพังในสภาพแวดล้อมอันคุ้นเคย เขาจึงขดตัวนอนบนเตียง ตัดสินใจไม่ถูกว่าระหว่างอาการปวดตุบๆ ในหัวกับอาการเหมือนอะไรบางอย่างในอกกำลังแตกร้าว อันไหนมันทรมานมากกว่ากัน
นอนเหงื่อซึมเต็มหน้าผากและแผ่นหลังจนทนไม่ไหว ขอบฟ้าก็ลุกโงนเงน เปิดลิ้นชักควานหายาแก้ปวดที่ปกติจะกินเวลาปวดขามากๆ เท่านั้นขึ้นมา เทยาออกมาบนฝ่ามือหนึ่งเม็ด ก่อนจะเพิ่มเป็นสองเม็ด สามเม็ด สี่เม็ด...ท้ายสุดเขาก็เลิกสนใจนับ
ก้มมองยาเต็มกำมือ ถ้ากินเยอะขนาดนี้ อย่าว่าแต่ความเจ็บความปวด แม้แต่ความทรมานก็คงไม่เหลือกระมัง
เสียงโทรศํพท์มือถือดังขึ้นทำให้ตกใจจนสะดุ้ง เขารีบใช้มือข้างว่างกดปุ่มรับโดยไม่ทันดูชื่อด้วยซ้ำ
“พี่ฟ้า ว่างไหม ฝนโทรมากวนเวลาพักหรือเปล่า” น้ำเสียงสดใสทำให้นึกรอยยิ้มบนใบหน้าของปลายฝนออกได้ทันที
“พี่คุยได้ ว่าไง มีอะไรเหรอ” สะกดลมหายใจสั่นๆ เค้นเสียงตอบออกไปโดยพยายามให้เหมือนปกติมากที่สุด
“พอดีฝนไปเจอหอพักที่น่าสนใจมากๆ เลยจะโทรมาบอกรายละเอียด พี่ฟ้าจำหนิงเพื่อนฝนได้ใช่ไหม นั่นล่ะ พอหนิงเขารู้ว่าฝนกำลังหาหอใหม่เลยชวนฝนไปเป็นรูมเมท” ปลายฝนเล่าแจ้วๆ “เป็นหอพักหญิงอยู่ในซอยไม่ไกลจากมหาลัยมากเท่าไหร่ มีห้องน้ำในตัว ราคาก็ไม่แพงมากด้วย จริงๆ แล้วรูมเมทคนก่อนของหนิงเพิ่งย้ายออกไปอยู่กับแฟน ตอนแรกหนิงบอกว่าอยู่คนเดียวก็ได้ แต่พอได้ยินเรื่องฝน หนิงเขาก็เลยออกปากชวน เดี๋ยวเย็นนี้ ฝนว่าจะไปดูห้องสักหน่อย”
“อืม” หัวสมองมึนตื้อเสียจนต้องใช้เวลานึกกว่าจะหาคำพูดกล่าวออกไปได้ “ก็ลองไปดูสิ”
“ฝนลองถามราคาดูแล้ว หักลบจากราคาหอเดิมก็คงต้องบวกเพิ่มเดือนละประมาณสองพัน ยังไม่รวมค่าน้ำค่าไฟ” พูดถึงตรงนี้ เด็กสาวก็เงียบไปนิดหนึ่งก่อนจะเอ่ยอ้อมแอ้มไม่แน่ใจ “มันแพงมากไปหรือเปล่าคะ ถ้าพี่ฟ้าว่ามันแพงไป งั้นฝนว่าฝนอยู่ที่เดิมก็ได้”
หัวใจของขอบฟ้าพลันนิ่งสงบลงอย่างน่าประหลาด เขาหัวเราะแผ่วๆ “ไม่หรอก พี่จ่ายไหว ฝนลองไปดูแล้วกัน ถ้าชอบก็จัดการย้ายซะ พี่จะโอนเงินไปให้เราทุกเดือนเอง ไม่ต้องห่วง”
“เย้! พี่ฟ้าน่ารักที่สุดเลย งั้นเดี๋ยวเย็นนี้ฝนไปดูห้องแล้วจะโทรหาอีกที เอาล่ะ ฝนไม่กวนพี่ฟ้าแล้ว แค่นี้นะ”
เสียงจากปลายสายเงียบไปแล้ว หัวเขายังปวดไม่หาย แต่รู้สึกดีขึ้นเยอะ ขอบฟ้าเทยาในมือคืนลงขวดและกินเข้าไปแค่เม็ดเดียวก่อนจะล้มตัวลงนอนพัก
เขาจะหนีไม่ได้ ตราบใดที่ยังมีสิ่งสำคัญ คนสำคัญที่ไม่ต้องการทำให้เสียใจอยู่
เขาจะยืนอยู่ตรงนี้ ไม่ว่าสถานการณ์จะรุนแรงแค่ไหน เขาไม่เชื่อว่าพายุนั้นจะไม่มีวันสงบ ต่อให้ท้ายที่สุดแล้วเรื่องราวจะลงเอยแบบไหนก็ตาม แต่เขาคงจะได้พบสถานที่พักอันสงบสุขอย่างแท้จริงสักที
+++++++++
ด้วยใจที่สงบลง ขอบฟ้ามองทุกสิ่งรอบตัวได้อย่างนิ่งนอนใจมากขึ้น เขาสามารถอาบน้ำแต่งตัว เดินทางไปทำงาน ทักทายกับเพื่อนร่วมแผนกได้ด้วยความปกติ และราวกับจะตอบรับความพยายาม เขาไม่ถูกรบกวนจากกรเลยแม้แต่นิดเดียว
ส่วนเรื่องงานใหม่ที่กลายเป็นหมัน เขาจัดการโทรศัพท์ไปขอโทษกับทางนั้นเรียบร้อยตั้งแต่เมื่อวาน ความรู้สึกในนาทีที่เอ่ยปากขอยกเลิกการเข้าทำงานที่กว่าจะหาได้นั้นย่ำแย่เสียจนอยากจะหัวเราะออกมา แม้จะโดนฝ่ายนั้นตำหนินิดหน่อยตามคาดแต่ก็ถือว่าจบลงด้วยดีพอๆ กับอนาคตอันบู้บี้ของเขา
รอจนถึงเวลาพัก ขอบฟ้าค่อยหยิบโทรศัพท์ตั้งใจจะโทรไปหาอักษร ตั้งใจว่าจะขอโทษเรื่องผิดนัดเมื่อวันก่อน แต่กดหาเบอร์อยู่นานก็ยังหาไม่เจอ เขาไม่คิดว่าตัวเองจะเซ่อซ่าถึงขนาดลบเบอร์เพื่อนทิ้งไปโดยไม่รู้ตัวนะ
ส่ายหน้ากับเรื่องพิลึกแล้วจึงหยิบโทรศัพท์ภายในต่อไปยังแผนกของอักษรแทน พอได้ยินว่าวันนี้ฝ่ายนั้นยังลาป่วยอยู่ เขาก็เริ่มวิตกนิดๆ ว่าอาการบาดเจ็บของเพื่อนอาจมากกว่าที่คิด บางทีเขาน่าจะแวะไปเยี่ยมหลังเลิกงาน
เปรียบเทียบกับตอนที่มีอักษรนั่งพูดจ๋อยๆ ให้ฟัง การนั่งกินข้าวคนเดียวอาจเหงาไปบ้างแต่ไม่ถึงกับทนไม่ได้ เพราะในห้องอาหารพนักงานขณะนี้กำลังอยู่ในช่วงจอแจสุดขีด เสียงพูดคุยจากรอบข้างที่ดังเข้าหูตลอดจึงเหมือนมีเพื่อนร่วมโต๊ะโดยปริยาย และเหตุที่คนเยอะ บางทีก็มีคนต่างแผนกมาขอนั่งร่วมโต๊ะด้วยบ่อยๆ ดังนั้นเมื่ออยู่ๆ เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามโดนดึงเลื่อน เขาจึงแค่เงยหน้าขึ้นมองนิดเดียว
มองนิดเดียวแต่เกือบสำลักข้าวที่เคี้ยวอยู่ในปาก
“ตรงนี้ว่างไหม” เจ้าของคำถามไม่รอคำตอบ ร่างสูงทิ้งตัวลงนั่งต่อหน้าเขาที่ยังกลืนข้าวที่ติดอยู่ในคอไม่ลง “ตามสบายนะ ไม่ต้องเกรงใจ”
ขอบฟ้ารีบยกแก้วน้ำขึ้นกระดกไล่ข้าวให้คอโล่ง หากพอกำลังจะอ้าปากก็ต้องชะงัก เพราะสังเกตได้ว่าสายตาแทบทุกคู่ในห้องอาหารเวลานี้กำลังจับจ้องมาที่โต๊ะเขา เสียงพูดคุยที่ยังอึกทึกจอแจจนถึงเมื่อครู่ก็เบาลงตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบได้ ความสงสัยใคร่รู้แทบจะมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
กลืนคำพูดลงคอแล้วเขาก็นั่งตัวแข็ง นึกแช่งชักคนนั่งปล่อยตัวตามสบายตรงหน้าซึ่งทำทีเหลียวมองรอบตัวอย่างสนอกสนใจและพยักหน้ายิ้มให้เขาน้อยๆ
“นี่ครับ คุณกร” ปวินวางจานข้าวลงบริการให้เจ้านายแล้วนั่งลงข้างๆ “ขอนั่งด้วยนะครับ กลางวันแบบนี้คนเยอะจริงๆ คุณกรก็นะ พอนึกอยากลองกินอาหารที่นี่ปุ๊บ ก็เดินดุ่มๆ มาปั๊บ ไม่อย่างนั้นพวกคณะกรรมการท่านอื่นๆ คงอยากมาลองกันบ้าง เอ๊ะ หรือว่าปกติจะมากินกันที่นี่อยู่แล้วก็ไม่รู้ ว่าไงครับ”
ประโยคหลัง ปวินหันมาถามคนที่นั่งนิ่งแทบไม่กล้าขยับมาพักใหญ่
“เอ่อ...” ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ ขอบฟ้าจึงตอบอ้อมแอ้ม “ไม่ทราบสิครับ ผมไม่เคยสังเกต”
“คนพวกนั้นน่ะเหรอจะยอมมานั่งกินก๋วยเตี๋ยว ข้าวราดแกงปะปนกับพนักงาน ฝันไปเถอะ” กรลากจานเข้าหาตัวพลางแค่นเสียงหัวเราะ “แค่อาหารว่างระหว่างประชุมยังต้องสั่งจากโรงแรม สงสัยกลัวแก่ตายก่อนได้ใช้เงิน...”
“คุณกรครับ” ปวินพูดแทรกด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “อาหารที่นี่รสดีกว่าที่คิดเสียอีก ปริมาณก็เยอะ นับว่าเป็นหนึ่งในสวัสดิการพนักงานที่ใช้ได้ทีเดียว”
หนึ่งเจ้านายหนึ่งลูกน้องนั่งคุยเรื่อยเปื่อยอีกพักหนึ่ง ก่อนที่กรจะปรายตามองคนที่นั่งนิ่งตัวเกร็งไม่ยอมหยิบช้อนส้อมกินต่อ "ทำไมไม่กิน"
“...ผมกินไม่ค่อยลงครับ” ขอบฟ้าตอบโดยไม่มองหน้า ตั้งท่าจะคว้าจานลุกหนีอย่างหมดความอดทนต่อสายตารอบด้าน ก็พอดีได้ยินเสียงชายหนุ่มเอ่ยสั่งเลขา
“ปั้น เดี๋ยวขึ้นไปนี่นายจัดการโละร้านอาหารในนี้ทิ้งให้หมด หาร้านใหม่มาลง อย่าลืมเลือกร้านที่ทำอาหารอร่อยๆ หน่อยล่ะ”
ขอบฟ้าตาโต เงยหน้าจ้องคนพูดที่ยังกินข้าวต่อด้วยท่าทางเป็นปกติ
ฝ่ายปวินเองก็กระแอม “จะดีเหรอครับ เราคงต้องเสียค่าบอกเลิกสัญญากะทันหัน แถมจะให้บอกเหตุผลว่าอะไร”
“ก็บอกไปว่าอาหารไม่อร่อย มีคนกินไม่ลง”
คราวนี้ ปวินเอ่ยถามเจ้านายอีกครั้งทั้งๆ ที่สบตาเขาอยู่ “แน่ใจนะครับ จู่ๆ ต้องมาถูกยกเลิกสัญญาเช่าที่แบบนี้คงเดือดร้อนกันน่าดู”
ขอบฟ้าหยิบช้อนส้อมตักข้าวเข้าปากโดยแทบไม่รู้รส แต่เพราะมีสายตาจับจ้อง มองการเคลื่อนไหวทุกจังหวะของเขาก่อนเจ้าตัวจะเอ่ยปากช้าๆ
“...ไม่ต้องแล้วก็ได้”
แม้ลำคอจะตีบตื้อปฏิเสธ แต่เขายังคงกล้ำกลืนยัดข้าวคำแล้วคำเล่า จนไม่หลงเหลือข้าวแม้แต่เม็ดเดียวในจานแล้วนั่นล่ะ ขอบฟ้าจึงลุกขึ้นพร้อมเอ่ยเสียงเบา “ขอตัวก่อนครับ”
เมื่อเดินกลับขึ้นไปยังแผนก ยังไม่ทันจะเลี้ยวเข้าไปนั่งที่โต๊ะ เขาก็รู้สึกพะอืดพะอมจนต้องรีบวิ่งเข้าห้องน้ำ โก่งคออาเจียนออกมาจนหมดไส้หมดพุง อาการพะอืดพะอมกับกลิ่นเหม็นเปรี้ยวในลำคอทำให้น้ำตาเขาไหลพราก
รอกระทั่งพอมีเรี่ยวแรง ขอบฟ้าจึงค่อยพยุงตัวมาล้างหน้าล้างปากที่อ่างน้ำ สภาพคนในกระจกที่มองตอบดูย่ำแย่ขนาดหนักเสียจนไม่อยากมอง พลางนึกสงสัยว่าในสายตาของกรที่ข้างตัวมีคนหน้าตาดีมากอย่างเลขาคนพิเศษแบบนั้น จะเห็นเขาเป็นแบบไหนกัน
ตลอดชีวิต เขาไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นคนหน้าตาดี แต่ก็ไม่เคยอิจฉาคนที่หน้าตาดีกว่า แต่มีครั้งนี้ เวลานี้เท่านั้น ที่เขาหวังว่าตนน่าจะ...ดูดีกว่านี้สักนิด
ส่ายหน้าอย่างนึกระอาใจแล้วขอบฟ้าก็กลับออกมาที่โต๊ะทำงาน แค่ไม่นานก็ได้ยินเสียงคนเอ่ยทัก
“นี่ เมื่อกี๊เห็นนั่งกินข้าวโต๊ะเดียวกับคุณกรใช่ไหม”
“ครับ” ตอบอย่างสุภาพเพราะเป็นรุ่นพี่อยู่หลายปีแม้จะคนละแผนกแต่ก็อยู่ชั้นเดียวกัน เรียกว่าเห็นหน้ากันมานานแต่เพิ่งจะเคยได้คุยกันเป็นครั้งแรกก็คงไม่ผิด “โต๊ะอื่นไม่ว่าง คุณกรเลยมานั่งด้วย”
“ฉันก็ว่างั้นล่ะ คนระดับนั้นมานั่งโต๊ะเดียวกับนายได้นี่ถือว่าเป็นบุญครั้งหนึ่งในชีวิตเลยสิ” คนพูดกลั้วหัวเราะคล้ายกับนึกขบขับ “แล้วเขาคุยอะไรกันบ้างล่ะ”
“แค่เรื่องทั่วๆ ไปน่ะครับ ผมไม่กล้าฟังมาก”
“โธ่เอ๊ย แทนที่จะชวนคุย เผื่อจะตีซี้ได้ นี่ถ้าเป็นผมนะ รับรองว่าพูดคุยกันสนุกสนานไปแล้ว” ว่าพลางหันไปคุยกับพนักงานสาวที่นั่งอยู่โต๊ะไม่ไกล “เสียดายโอกาสแย่ แต่อย่างว่า คนระดับนั้นคงระวังตัวไม่กล้านั่งโต๊ะเดียวกับสาวสวยอย่างน้องจ๋า กลัวตกเป็นข่าว”
“บ้า พี่ตี๋พูดอะไรก็ไม่รู้” ฝ่ายโดนแซวหัวเราะคิกคัก แต่ไม่ปฏิเสธคำชม “แต่ก็นะ จ๋าคงประหม่าแย่เลย”
“เป็นพี่ ถ้าต้องนั่งมองหน้าน้องจ๋า พี่ก็ประหม่าจ้ะ” พี่ตี๋ยิ้มหวานให้หญิงสาวขณะชายตามองคนที่นั่งก้มหน้าก้มตากับโต๊ะทำงาน
“เพราะงั้นถึงต้องเลือกนั่งกับคนจืดๆ ล่ะมั้งถึงจะไม่ตื่นเต้น”
แม้จะไม่ได้เอ่ยชื่อ แต่ขอบฟ้าไม่นึกสงสัยสักนิดว่าคนจืดๆ ที่ได้ยินน่ะหมายถึงใคร หากบอกตามตรงว่าสำหรับเขา คำว่าจืดไม่ถือเป็นคำดูถูกดูแคลนอะไร น่าจะเรียกว่าเป็นคำนิยามเสียมากกว่า ดังนั้นเขาจึงไม่รู้สึกเจ็บปวดและเอ่ยขอตัวรับโทรศัพท์ที่ดังขัดจังหวะได้ถูกที่ถูกเวลา
“ครับ”
“เก็บของเสร็จหรือยัง” เสียงห้วนห้าวตามสายทำให้ขอบฟ้าเกร็งตัวโดยอัตโนมัติ “ให้ปั้นไปช่วยเก็บไหม”
“รอแป๊บนึงนะครับ” รีบลุกเดินออกนอกห้อง หาที่เงียบๆ ได้แล้วเขาจึงค่อยกล้าตอบ “ไม่ต้องรบกวนคุณปวินหรอกครับ ผม...เอ่อ...ยังไม่ได้เริ่มเก็บเลย”
“อะไรของมึงเนี่ย!” เสียงห้วนเริ่มกลายเป็นเสียงตะโกนด้วยความหัวเสีย “ชักช้าเป็นลูกเต่าเหมือนเดิมไม่มีผิด! งุ่มง่ามตลอด พอเลย มึงไม่ต้องเก็บหม้อชามไหอะไรของมึงมาทั้งนั้น เอาแต่เสื้อผ้ามากระเป๋าเดียว เดี๋ยวกูพาไปซื้อใหม่”
“อะไรของคุณ” อาจจะเป็นเพราะไอ้ความปล่อยวางหรือเขาเพิ่งอ้วกตัวขี้ขลาดออกไปส่วนหนึ่งก็ไม่ทราบ ขอบฟ้าพบว่าเขาชักเสียงใส่ปลายสายนิดๆ ถึงจะแค่นิดเดียวก็ตาม “ถึงเป็นแค่หม้อชามไห ผมก็จะเก็บ ถึงมันจะเป็นแค่ขยะในสายตาคุณก็เถอะ แต่ของที่ผมซื้อมาได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงตัวเองน่ะ ผมทิ้งไม่ลงหรอก”
ปลายสายเงียบไป ความกล้าหาญอันน้อยนิดเริ่มหดเล็ก ขอบฟ้าก็ชักสงสัยว่าอีกฝ่ายจะยื่นมือออกจากโทรศัพท์มาหักคอเขาได้หรือเปล่า หากเสียงที่ได้ยินอีกครั้งกลับไม่ใช่ถ้อยคำหยาบคาย ถึงจะไม่มากแต่ก็ถือว่าอ่อนลงเล็กน้อย
“กูไม่ได้บอกให้ทิ้ง แค่บอกว่าไม่ต้องเก็บมาหมดก็ได้” ชะรอย กรจะสัมผัสถึงการอ่อนข้อของตัวเอง ประโยคต่อมาจึงกลายเป็นคำสั่งเหมือนปกติ “เย็นนี้ไม่ต้องกลับไปเก็บ ไว้วันหยุดค่อยจัดการ เลิกงานแล้วกูจะแวะไปรับ รอหน่อยแล้วกัน พอดีว่าตอนนี้ออกมาที่อื่น...”
“ผมกลับเองได้” รีบบอกก่อนจะฟังคำอธิบายที่เหลือจบ “ไม่ต้องมารับนะ”
ยังไม่ทันจะสิ้นเสียงสุดท้าย ปลายสายก็ว้ากสวนให้ลั่น
“นี่จะหาเรื่องทะเลาะให้ได้ใช่ไหม! พูดกันดีๆ ไม่ได้ ต้องให้กูโมโหก่อนถึงจะพอใจ! มึงคิดจะทดสอบความอดทนของกูอยู่หรือไง หา! พอใจดีด้วยหน่อยก็เอาใหญ่ ได้คืบจะเอาศอก...”
เสียงกราดเกรี้ยวถึงขนาดดังออกมานอกลำโพงจนขอบฟ้าต้องยกโทรศัพท์ออกห่างๆ รอให้เสียงฝั่งโน้นเบาลงถึงค่อยเอากลับมาแนบหู
“ผมสัญญาว่าเสร็จธุระแล้วจะกลับไป” เขาเม้มปากคิดนิดหนึ่งและเอ่ยต่อ “ไม่เชื่อใจผมเหรอ”
น่าแปลก พูดไปแล้ว ขอบฟ้าหวนนึกถึงครั้งหนึ่งที่ตนเคยถามคำถามเดียวกันนี้กับกร รู้สึกว่าจะเป็นเมื่อครั้งที่กรสั่งให้เขาเตรียมตัวไปเรียนเมืองนอกพร้อมกัน ตอนนั้นด้วยความตกใจ จำได้ว่าเขาถามกร หากต้องแยกกัน เขาเชื่อว่าอีกฝ่ายจะไม่มีใครอื่น แล้วกรล่ะ ไม่เชื่อใจเขาบ้างเหรอ
ถ้าจำไม่ผิด ชายหนุ่มสวนทันทีว่าไม่เชื่อ
มาตอนนี้ กรยังจะตอบเขาเหมือนเดิมหรือเปล่า
++++++++++