มาต่อแล้วค่า :katai5:มาช้ามากมาย ทั้งที่คิดจะอัพตอนเช้า แต่งานเข้าเยอะแยะ เลยมาเอาบ่ายแล้ว ขออภัยนะคะ ตอนที่แล้วเสียงตอบรับดีจังเลยค่ะ ขอบคุณที่ชอบกันนะคะ มาตอนนี้...อ่านชื่อตอนคงจะเก็ทกันเนอะ ว่าพระพายคิดยังไง ลองไปอ่านกันเลยค่ะ และเหมือนทุกๆครั้ง คือหากมีคำผิดหรือข้อผิดพลาดอะไรก็ขออภัย ณ ทีนี้ด้วยนะคะ เชิญอ่านเลยค่ะ อ่อ...ให้กำลังใจกันด้วยนะคะ รัก...
++++++++++++++++++++++++
Holler…เรียกฉันสิที่รัก
ตอนที่ 15 Into you.
I’m so into you, I can barely breathe
ฉันหลงใหลคุณเหลือเกิน จนหายใจแทบไม่ออก
And all I wanna do is to fall in deep
และสิ่งที่ฉันต้องการคือตกหลุมรักคุณให้ลึกลงไปจนสุด
But close ain’t close enough ’til we cross the line
แต่แค่ใกล้กันมันก็ยังไม่พอ จนกว่าเราจะก้าวข้ามเส้นนั้นได้
So name a game to play, and I’ll role the dice
ตั้งชื่อเกมที่คุณอยากเล่นสิ แล้วฉันจะเป็นคนทอยลูกเต๋าเอง
กว่าจะได้หลับเมื่อคืนนั้นก็ปาไปเกือบรุ่งสาง พระพายแทบจะไม่มีแรงลุกอาบน้ำ พิธานนั้นดูคึกจัดจนทำไปหลายต่อหลายครั้งและพระพายเลือกที่จะไม่นับ ลืมตาตื่นขึ้นมามองนาฬิกาพบว่าตอนนี้บ่ายโมงแล้ว ร่างกายเหมือนถูกใครทับมาก็ไม่ผิดเพราะแทบจะกระดิกตัวไม่ได้เลย พระพายนอนนิ่งอยู่อย่างนั้น เหนื่อยและเพลียแม้จะนอนเยอะแต่ก็ยังรู้สึกว่าไม่พออยู่ดี แต่เพราะร่างกายที่อึดของพระพายนั้นทำให้รอดพ้นความเหนื่อยล้าที่ถ้าหากคนอื่นเจอคงหลับไม่ตื่นเป็นวันๆแน่
สายตาเหลือบไปมองพิธานที่ยังคงหลับอุตุอยู่อย่างนั้น ใบหน้ายามหลับนั้นดูสงบ ไม่ร้ายและไม่เย็นชาเหมือนที่เจ้าตัวชอบแสดงออก พระพายมองใบหน้านั้นก่อนที่จะคิดพิเรนทร์ใช้นิ้วแตะตรงเปลือกตาของพิธาน แต่พิธานก็ยังคงหลับต่ออย่างไม่รู้สึกอะไรใดๆทั้งสิ้น คราวนี้พระพายจึงเล่นอีก ใช้นิ้วแตะตรงปลายจมูกสะกิดเบาๆตรงรูจมูกแต่พิธานก็ยังคงไม่เคลื่อนไหวใดๆทั้งสิ้น
พระพายเริ่มเห็นว่าไม่สนุกแล้วจึงพลิกตัวหันหลังและจะดันตัวลุกขึ้นไปยังห้องน้ำ แต่แล้วพระพายก็ร้องเสียงหลงเมื่อพิธานคว้าเอวพระพายไว้แล้วเหวี่ยงพระพายมานอนทับตัวเองแทน
“เล่นอะไรแต่เช้า” พิธานถามด้วยน้ำเสียงแหบๆ
“นี่ไม่เช้าแล้ว บ่ายโมงแล้ว” พระพายบอก
“อ้าวเหรอ”
“ปล่อยสิ” พระพายว่าเมื่อพิธานยังคงกอดรัดพระพายอยู่อย่างนั้น
“สักรอบไหมล้างหน้าไก่ไง” พิธานพูดพลางหัวเราะเบาๆอย่างถูกใจในคำพูดของตัวเอง
“ล้างหน้าไก่มันตอนเช้า นี่มันบ่าย มุกฝืดชะมัด” พระพายว่า
“ตื่นเวลาไหนตอนนั้นก็คือตอนเช้า”
“ปล่อย จะเข้าห้องน้ำ” พระพายพยายามเบี่ยงตัวให้พิธานปล่อย
“ไม่” พิธานก็ไม่ยอม
“ถ้าอย่างนั้นจะฉี่ตรงนี้ละนะ” พระพายว่า
“ไปเถอะ” ในที่สุดพระพายก็ชนะ
พระพายลุกออกจากเตียงโดยมีผ้าเช็ดตัวที่วางอยู่ใกล้ๆมาใช้ เมื่อถึงห้องน้ำพระพายที่ก็มองหน้าตัวเองในกระจกที่แดงก่ำ รู้ตัวในทันทีว่ากำลังเขินอายกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ การแสดงออกที่เหมือนคนรักเล่นกันในยามเช้า ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกอาย ทำตัวเหมือนสาวน้อยแรกแย้มก็ไม่มีผิด
คิดไปก็ยิ่งรู้สึกว้าวุ่น พระพายจึงรีบอาบน้ำทันที แปรงสีฟันอันใหม่ที่ใช้ครั้งที่แล้วยังวางอยู่ที่เดิม พระพายจัดการอาบน้ำแปรงฟันทำธุระทุกอย่างเสร็จสรรพ จากนั้นก็ออกจากห้องน้ำ เห็นพิธานกำลังคุยโทรศัพท์อยู่ แต่ก็ไม่ได้ยินอะไรมากนักเพราะเพียงแค่ไม่ถึงครึ่งนาทีพิธานก็วางสาย
“หิวไหม?” พิธานถาม
“ก็หิว” พระพายรู้สึกหิวมากจนตอนนี้เหมือนคนท้องไส้หายไปหมดแล้ว
“โทรสั่งอาหารแล้ว รอหน่อย เดี๋ยวก็มา” พิธานว่าก่อนที่จะเดินเข้าไปในห้องน้ำ คำพูดเมื่อครู่นั้นเหมือนกำลังใส่ใจกันก็ไม่มีผิด
พิธานเป็นคนเข้าห้องน้ำนานกว่าพระพาย ระหว่างนี้พระพายจึงนั่งดูทีวีในห้องนั่งเล่นไปเรื่อยๆ ดูการ์ตูนเด็กในช่องเคเบิ้ลทีวีฆ่าเวลารอพิธานออกมาจากห้องน้ำและรออาหารที่กำลังจะมา
เสียงกดกริ่งหน้าห้องดังขึ้น คืออาหารที่สั่งไว้ถูกนำมาส่งให้ พระพายเปิดประตูให้พนักงานนำอาหารที่มีหลายจานเข้าไปวางให้ที่โต๊ะในห้องครัวก่อนจะเอ่ยคำขอบคุณ พร้อมๆกับที่พิธานออกมาจากห้องน้ำพอดี
“รอหน่อย เดี๋ยวกินพร้อมกัน”
พระพายเลยนั่งรอพิธานอยู่เพียงครู่หนึ่งก่อนที่พิธานจะเดินออกมาพร้อมสวมชุดลำลองสบายๆ อาการที่พิธานสั่งเป็นพวกกับข้าวต่างๆพร้อมข้าวสวยสองจาน ทั้งสองนั่งทานกันอย่างเงียบๆเพราะต่างคนก็ต่างหิวไม่แพ้กัน
ใช้เวลาไม่นานมากนัก อาหารตรงหน้าก็หมดเกลี้ยงพระพายลุกขึ้นไปหยิบน้ำดื่มสองขวดมาให้ตัวเองและเผื่อพิธานด้วย พิธานรับน้ำดื่มไป
“วันนี้จะไปไหนไหม?” พิธานถามขึ้น พระพายนึกสิ่งที่ตัวเองจะทำวันนี้ว่ามีหรือไม่
“ก็ไม่นะ ทำไมเหรอ?”
“จะชวนไปเที่ยวสักหน่อย” พิธานว่า
“ไปเที่ยวเหรอ” พระพายเลิกคิ้วอย่างไม่เชื่อหูตัวเองที่ได้ยินว่าพิธานจะพาไปเที่ยว
“ก็แค่เดินห้างเรื่อยเปื่อยนั่นแหละ”
“ก็ได้อยู่หรอก ว่าแต่มีของที่จะซื้อเหรอ?” พระพายถาม
“ก็...ไม่มี”
“คิดว่ามีของที่จะซื้อเสียอีก” พระพายว่า
“แค่..อยากพาไปดูหนัง”
พระพายเลิกคิ้วพลางจ้องมองพิธานที่ตอนนี้หันหน้าไปทางอื่นราวกับจะหลบหน้า คำชวนไปเที่ยวของพิธานเหมือนกำลังชวนไปเดทไม่มีผิด ยิ่งเห็นท่าทาของพิธานที่ดูเหมือนจะไม่เป็นตัวของตัวเองยิ่งเป็นการยืนยันความคิดให้ถูกต้องมากยิ่งขึ้น
“ก็ได้นะ” พระพายตอบรับคำชวนก่อนที่จะเก็บจานทั้งหมดลงบนถาดที่ที่พนักงานเอามาส่งเมื่อครู่นี้
“โอเค ถ้าอย่างนั้นขอเวลาไปแต่งตัวหน่อย แล้วนายจะใส่ชุดนี้ไปเหรอ?” พิธานมองชุดที่พระพายสวมซึ่งเป็นชุดของเมื่อคืน
“ก็ใช่ไง”
“เปลี่ยนเสื้อหน่อยก็ดีนะ” พิธานว่าแล้วเดินเข้าไปยังห้องแต่งตัวจากนั้นก็เดินออกมาพร้อมเสื้อยืดตัวหนึ่งซึ่งมองจากขนาดแล้วน่าใช่ของพิธาน
“ใส่ตัวนี้ก็แล้วกัน” พิธานยื่นเสื้อตัวนั้นให้
“มีไซส์แบบนี้ด้วยเหรอ?” พระพายถามอย่างแปลกใจ
“ซื้อมาผิด” พิธานบอกแค่นั้น พระพายยักไหล่อย่างเข้าใจจากนั้นก็รับมาแล้วเปลี่ยนตรงนั้นเลย
“เดี๋ยวฉันไปเปลี่ยนชุด นั่งรอก่อน”
พิธานไปเปลี่ยนเสื้อผ้าใช้เวลาไม่นานนักพิธานก็เดินออกมาพร้อมการแต่งตัวสบายๆแต่เท่จนต้องเหลียวหลัง พระพายมองตัวเองที่ดูจะหม่นหมองไร้ซึ่งราศีเลยทีเดียวหากไปเทียบกับพิธาน
“ไปกันเถอะ”
ทั้งสองคนออกจากคอนโด พิธานมุ่งหน้าไปยังห้างสรรพสินค้าชื่อดังใจกลางเมืองเพื่อไปดูหนังตามที่เจ้าตัวบอก พิธานขับรถไปฮัมเพลงไปอย่างอารมณ์ดี โดยที่พระพายได้แต่มองเป็นระยะๆรู้สึกว่าวันนี้พิธานดูร่าเริงกว่าวันไหนๆ ผิดวิสัยนิ่งเฉยเย็นชาเป็นที่สุด
“ไปโดนตัวไหนมา?” พระพายถาม
“หมายถึงอะไร?” พิธานหันมาถามอย่างไม่เข้าใจ
“ก็ดูอารมณ์ดีเกินเหตุ เลยต้องถามว่าไปโดนตัวไหนมา” พระพายว่า
“ก็โดนตัวเมื่อคืนไง” พิธานว่าพระพายรีบหันหน้าไปมองข้างทางทันที คำพูดเช่นนั้นฟังก็รู้ว่าพูดถึงการมีอะไรกันเมื่อคืนนี้
“ถึงกับอายเลยรึไง” พิธานถาม
“เปล่าซะหน่อย” พระพายปฏิเสธทันควัน
“ปากแข็ง” พิธานว่า พระพายรู้สึกหน้าเห่อร้อนขึ้นมาเรื่อยๆ
ใช้เวลาไปพอสมควรกว่าจะมาถึง พิธานจอดรถในส่วนที่จอดรถพิเศษสำหรับซุปเปอร์คาร์เท่านั้น จากนั้นทั้งสองคนก็กดลิฟต์ขึ้นไปยังชั้นที่มีโรงหนังตั้งอยู่
วันนี้เป็นวันหยุด ผู้คนจึงเยอะแยะมากมายซึ่งเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว พิธานเดินไปซื้อตั๋ว สายตาของคนแถวนั้นพากันจ้องมองร่างสูงที่เดินแหวกผู้คน ดูโดดเด่นและชวนมองเพราะหน้าตาที่หล่อเหลา พระพายยิ่งรู้สึกว่าถ้าหากเดินด้วยกันจะยิ่งโดนเปรียบเทียบแน่นอน
พิธานเดินกลับมาพร้อมตั๋ว วันนี้พิธานดูกระตือรือร้นจนรู้สึกว่ามากกว่าปกติ แม้ใบหน้าจะไม่ได้ยิ้มแย้มแต่แววตานั้นดูเป็นประกาย เพราะพิธานที่พระพายรู้จักนั้นไม่ได้เป็นคนแบบนี้ พิธานที่เห็นก่อนหน้านี่เป็นคนเย็นชากับทุกสิ่งทุกอย่างรวมไปถึงคนรอบข้าง ไม่ได้เป็นคนมีความสุขได้ง่ายๆกับเรื่องเล็กน้อยแบบนี้ นั่นคือพิธานที่พระพายรู้จักและรู้สึกจากการเจอหน้ากันเมื่อก่อนหน้านี้
“เป็นอะไรไป?” พิธานถามพระพายที่ตอนนี้นิ่งค้างราวกับกำลังเหม่อลอยถึงเรื่องอะไรสักอย่าง
“อ่อ...เปล่า”
“เห็นเหม่อ คิดว่ากำลังนึกถึงคนอื่น”
“แล้วถ้านึกถึงคนอื่นไม่ได้รึยังไง?”
“ไม่ได้ ตอนนี้นายอยู่กับฉันต้องคิดแค่เรื่องฉัน”
พระพายอมยิ้ม ยังไงพิธานก็ยังคงเป็นพิธานที่ชอบออกคำสั่งและเอาแต่ใจเหมือนเดิม แต่ในคำพูดนั้นทำให้พระพายรู้สึกอะไรบางอย่าง เป็นคำพูดที่ดูจะต้องการให้พระพายคิดถึงแต่พิธาน เป็นคำพูดผูกขาดยังไงชอบกล
ทั้งสองคนไม่ได้ซื้อข้าวโพดคั่วหรือน้ำอัดลมอย่างคนอื่นเขา เพราะเพิ่งจะทานข้าวมาอิ่มๆคงไม่อยากจะหาอะไรใส่เข้าไปในท้องให้เต็มไปมากกว่านี้แล้ว
พิธานเลือกภาพยนตร์แอคชั่นฟอร์มยักษ์แห่งปีซึ่งคนเนืองแน่นรอซื้อตั๋วกันเยอะมากดูจากคนที่นั่งรอด้วยกัน พิธานเลือกเวลาที่ใกล้ที่สุดซึ่งเป็นเวลาอีกหนึ่งชั่วโมง
“ไปเดินเล่นฆ่าเวลาไหม?” พิธานถาม
“ก็ได้”
ทั้งสองคนจึงเดินไปดูข้าวของเรื่อยๆ เข้าร้านนั้นออกร้านนี้โดยไม่มีจุดหมายว่าจะซื้ออะไร แต่แล้วพิธานก็มาหยุดที่ร้านยี่ห้อดังร้านหนึ่งซึ่งราคาแพงหูดับตับไหม้ เป็นเสื้อยืดสีขาวมีลายกราฟฟิกเป็นชื่อยี่ห้อของร้าน แต่เมื่อพระพายพลิกดูป้ายราคานั้นทำเอาพระพายสะดุ้งตัว
“แค่เสื้อยืดตัวตั้งสองพัน” พระพายบ่นเบาๆ
“เนื้อผ้าดี ใส่ได้นาน ราคานี้ก็ไม่แปลก” พิธานแย้ง
“ยังไงก็แพงอยู่ดี”
“ขี้บ่น” พิธานว่าก่อนที่จะหยิบเสื้อแบบนั้นมาสองตัวสองขนาด พิธานจ่ายเงินเรียบร้อยและยื่นหนึ่งถุงให้พระพาย
“จะให้ช่วยถือเหรอ?”
“เปล่า ซื้อให้” พิธานว่า
“เอาไปคืนเลย ไม่เอา” พระพายส่ายหน้า
“เอาไป นี่คือคำสั่ง” พิธานบังคับ
“แต่ไม่อยากได้”
“ก็ซื้อมาแล้ว ยังไงก็ต้องรับ”
พระพายจะเอาอะไรไปเถียงกับพิธานผู้ซึ่งถือตัวเองเป็นใหญ่ สุดท้ายพระพายก็ต้องรับมันไปอย่างไม่สามารถจะปฏิเสธใดๆได้อีก รับถุงนั้นมาถือไว้โดยที่พิธานมองมันอย่างพออกพอใจ
“ไปกันเถอะ หนังใกล้จะฉายแล้ว”
ทั้งสองคนเดินกลับไปยังโรงที่ฉายภาพยนตร์อีกครั้ง แต่คราวพิธานพาเดินขึ้นบันไดเลื่อนและพาไปยังเลานจ์ ยื่นตั๋วให้พนักงานฉีกตั๋ว ซึ่งที่นี่สถานที่รองรับกว้างขวางและดูเงียบ พระพายแอบมองราคาบนตั๋วตอนพิธานยื่นให้พนักงาน ซึ่งราคาสูงไม่ใช่เล่น
ที่นี่มีบริการเครื่องดื่มฟรีหนึ่งแก้วแต่พิธานเลือกที่จะไม่รับและเดินเข้าไปยังโรงฉายแทน นี้เป็นที่นั่งแบบโซฟาทุกตัวและสามารถปรับนอนลงได้ราวกับกำลังนอนดูหนังที่อยู่บ้านไม่มีผิด มีทั้งหมอน ผ้าห่มให้ครบ อีกทั้งแบ่งความเป็นส่วนตัวโดยมีที่กั้นทุกคู่ที่นั่ง ทั้งสองนั่งดูโฆษณาของหนังไปหลายเรื่องและลุกขึ้นยืนทำความเคารพในเพลงสรรเสริญพระบารมี จากนั้นก็เริ่มเข้าสู่ช่วงที่ภาพยนตร์กำลังจะฉายแล้ว
เริ่มหรี่ไฟลงจนมืด มีเพียงแสงสว่างจากจอภาพยนตร์เท่านั้น พิธานปรับเบาะต่ำจนเกือบราบและปรับให้พระพายด้วยเช่นกัน
สมกับเป็นภาพยนตร์ที่ทุกคนรอคอย ฉากแอคชั่นบู๊กันสนุกสนาน ฉากสวยงามตระการตา พระพายตั้งอกตั้งใจดูอย่างที่สุดเพราะรู้สึกสนุกสนานไปกับเนื้อเรื่องที่กำลังโลดแล่นอยู่บนจอ
เข้าฉากกำลังต่อมุกตลกระหว่างพระเอกและเพื่อนๆ จู่ๆมือของพิธานก็เอื้อมมาจับมือของพระพาย แม้จะมีพนักเก้าอี้สั้นแต่ก็ไม่ได้ขวางทางเท่าไหร่นัก พระพายหันไปมองพิธานที่ทำหน้าเฉยเมยเหมือนไม่รู้สึกอะไร แต่สำหรับพระพายแล้วนั่นหัวใจเต้นถี่แรงจนรู้สึกได้ รู้สึกถึงความตื่นเต้นและหวิวๆในใจ เหมือนมีอะไรฟูพองในใจก็ไม่ผิดนัก
มือนั้นกระชับขึ้นมากเรื่อยๆพร้อมกับศีรษะของพิธานที่เริ่มเอนมาใกล้มากขึ้น ระยะศีรษะของพระพายนั้นอยู่ต่ำกว่าพิธาน กลายเป็นว่าตอนนี้พิธานซบเข้ากลุ่มผมของพระพายและกลายเป็นพระพายกำลังซบไหล่พิธานอยู่
ท่ามกลางความมืดที่มีเพียงแสงสว่างเป็นช่วงๆจากจอฉายภาพยนตร์ พระพายไม่อาจจะมองเห็นถึงสีหน้าของพิธานได้ว่าตอนนี้เป็นอย่างไร แต่หากพิธานเห็นสีหน้าของพระพายตอนนี้คงจะเกิดความไม่เข้าใจว่าทำไมถึงอมยิ้มและใบหน้าแดงก่ำได้ขนาดนี้ เหมือนผู้หญิงที่กำลังตกอยู่ในห้วงแห่งรักกับแฟนหนุ่มที่เพิ่งคบกันหมาดๆ ดูหวานละมุนและลึกซึ้งเกินกว่าจะคาดคิดได้
พระพายเริ่มจะเข้าใจตัวเองแล้วว่าตอนนี้รู้สึกเช่นไร คำว่าตกหลุมรักคำนี้คงจะไม่ผิดนัก ไม่อาจจะหลอกตัวองได้ต่อไปว่าตอนนี้พระพายกำลังหลงใหลพิธานเข้าอย่างจัง เกมที่คิดจะเล่นตั้งแต่แรกดูท่าจะเป็นผู้แพ้อย่างเต็มตัว สิ่งที่เคยบอกกับตนเองว่าจะไม่ถลำลึกลงไปดูท่าจะยากเสียแล้ว พระพายตกลงไปในหลุมของพิธานจนทำท่าจะขึ้นมาไม่ได้แล้ว
ยิ่งใกล้ชิดกันมากขึ้นเท่าไหร่ ยิ่งอยากเข้าไปใกล้มากขึ้นเท่านั้นและพิธานเองก็เหมือนจะไม่วิ่งหนีมีแต่จะเข้ามาใกล้และใกล้ขึ้นจะพระพายอยากจะลองเข้าไปดูสักครั้ง อยากจะรู้ว่าพิธานจะทำอย่างไรหากพระพายอยากจะทำให้เกมนี้มันผิดเพี้ยนไป จะเป็นอย่างไรหากเกมนี้ไม่สิ้นสุดอย่างที่คิดไว้ตอนแรก พระพายจะเดินหน้าต่อหรือจะหยุดแค่เพียงเท่านี้ดี พระพายเอาแต่คิดว่าจะทำอย่างไรดีหากความรู้สึกมันเปลี่ยนไปแล้ว
คิดจนลืมไปเสียสนิทว่าตอนนี้กำลังดูภาพยนตร์ที่ดำเนินมาถึงตอนจบแล้ว พิธานเป็นคนผละอออกมาและลุกขึ้นพร้อมๆกับแสงสว่างที่เริ่มมีขึ้นมา เครดิตภาพยนตร์ฉายขึ้นเป็นตัวหนังสือสีขาว พระพายได้แต่งุนงงกว่ามันจบไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
“หลับไปเหรอ?” พิธานเอ่ยถามเมื่อเห็นพระพายดูตื่นกับแสงไฟที่สว่างขึ้น
“เกือบน่ะ” พระพายตอบไปเช่นนั้น
“หิวไหม?” พิธานถาม พลางมองนาฬิกาข้อมือซึ่งตอนนี้ก็เป็นเวลาค่ำแล้ว
“อยากกินขนม”
“อืม”
ทั้งสองคนไปยังร้านขายไอศกรีทที่มีสาขาหลายต่อหลายสาขาในห้างสรรพสินค้าทั่วไป พิธานเป็นคนสั่งโดยถามถึงรสไอศกรีมที่พระพายอยากทานเป็น นั่งเรื่อยเปื่อยได้ไม่นานไอศกรีมก็มาถึง ทั้งสองนั่งทานกันเงียบๆไม่ค่อยพูดจากันเท่าไหร่นะ
ใช้เวลาไม่นานพระพายก็อิ่มเหลือเพียงรสรัมเรซิ่นที่อยากลองสั่งมาทานแต่ก็ไม่ถูกปากเท่าไหร่ ด้านพิธานยังคงนั่งทานไปเรื่อยๆจนหมดเกลี้ยง
“ทำไมกินไม่หมด” พิธานถาม
“ก็อิ่มแล้ว”
“ไม่ชอบรสนี้เหรอ?”
“ก็ใช่ มันไม่ค่อยอร่อย ชอบวานิลลามากกว่า” พระพายตอบ
“วานิลลาสินะ...จะได้จำไว้ว่าชอบแบบไหน” พิธานว่า อีกแล้วกับคำพูดที่ดูเอาใจใส่เช่นนี้ ถามถึงความชอบและไม่ชอบ ยิ่งทำให้รู้สึกชัดเจนมากยิ่งขึ้นว่าความคิดและความรู้สึกที่มีต่อพิธานมันเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ
“อยากไปไหนต่อไหม” พิธานถามหลังจากทีเดินไปชำระเงินที่เคาน์เตอร์
“ไม่ดีกว่า ป่านนี้แล้วคงต้องกลับห้อง” พระพายว่า
“ให้ไปส่งไหม?” พิธานถาม
“ไม่ต้องก็ได้ แยกกันตรงนี้เลย”
“จะให้ไปส่งก็ได้นะ” พิธานถามอีกครั้ง
“ไม่เป็นไร” พระพายยืนยัน ทำให้ทั้งสองแยกกันตรงหน้าร้านไอศกรีม
“ไปนะ เดี๋ยวจะโทรหา รับสายด้วย” พิธานว่า
“อะ..อืม” พระพายพยักหน้า
ก่อนกลับพิธานจ้องมองพระพายชั่วครู่ก่อนที่จะยกมือขึ้นและขยี้ผมพระพายเบาๆและเดินหันหลังกลับไป ทิ้งให้พระพายยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น ท่าทางเมื่อครู่นั้นทำให้พระพายหัวใจพองโตได้ในทันที จะทำอย่างไรต่อไปกับความรู้สึกนี้พระพายจะจัดการมันได้อย่างไรในเมื่ออีกฝ่ายเป็นพิธาน ซึ่งเดาอะไรได้ยากมาก แต่หากพระพายจะคิดเข้าข้างตัวเองจะได้ไหมว่าพิธานเองก็รู้สึกอะไรขึ้นมานิดหน่อยมากกว่าแค่ความสัมพันธ์ฉันท์คู่นอน
ระหว่างทางกลับห้อง พระพายมีหลากหลายความคิดและรวมไปถึงต้องบอกเก้า หากบอกเก้า เก้าคงจะเครียดแน่ๆเมื่อรู้ว่าพระพายนั้นคิดอะไรมากกว่าที่สมควรจะคิด แต่พระพายก็คิดจะบอกเก้าอยู่ดีเพราะเก้าเป็นเพียงคนเดียวที่คุยเรื่องพวกนี้ได้และมั่นใจว่าเก้าจะต้องปวดหัวกับเรื่องพวกนี้แน่ แค่คิดก็อดสงสารเก้าขึ้นมาไม่ได้ พระพายช่างเป็นเพื่อนนิสัยแย่ที่สร้างแต่ปัญหาและเรื่องปวดหัวให้เพื่อนอย่างเก้าจริงๆ...
Lyrics : Into you By Ariana Grande.
++++++++++++++++++++++++++++