ซ่อนรัก
บทที่ ๒๔
ด้านล่างคือพื้นหินแกรนิตที่ปูไว้อย่างเป็นระเบียบและที่ชั้นสามของอาคารเรียนแห่งนี้คือห้องพักอาจารย์ของฉลองขวัญ หน้าต่างกระจกเปิดม่านบังแสงกว้างจนหล่อนรู้สึกแสบตานิด ๆ แต่ความรู้สึกนั้นไม่เท่ากับหัวใจที่เริ่มปวดร้าว ความสงสัยระคนไม่สบายใจเริ่มขยายพื้นที่ในจิตใจของหล่อนราวกับไยแมงมุมที่หาขอบเขตแน่นอนไม่ได้
ที่ตรงนั้นคือภาพที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับหล่อน ไม่ว่าจะผ่านมากี่ปี ระยะห่างระหว่างฉลองขวัญกับพฤทธิ์ยังคงเท่าเดิมและมีแนวโน้มจะมากขึ้นเมื่อใครคนหนึ่งพยายามล้ำเส้น สุดท้ายหล่อนก็อยู่อีกฟาก..อยู่ตรงข้ามทุกความสัมพันธ์ที่เคยเหนี่ยวรั้งไว้ แล้วคนที่อยู่ตรงนั้นใช้สิทธิ์อะไรถึงได้ยืนเคียงข้างกับคนที่หล่อนรัก
รูปร่างของอีกฝ่ายคุ้นตาหล่อนนัก จนกระทั่งใบหน้าเอียงเล็ก ๆ หล่อนจึงได้เข้าใจว่าคนคนนั้นเป็นใคร หากไม่ใช่เพราะท่าทีของพฤทธิ์ที่หล่อนไม่เคยเห็น ฉลองขวัญคงคิดว่าหลง..ก็คือเด็กหนุ่มธรรมดาที่อาศัยชายคาบ้านของคนอื่นอยู่ไม่ใช่คนพิเศษใด ๆ กระนั้นเศษเสี้ยวความรู้สึกของหล่อนกลับขยายจากจุดหนึ่งเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่เกาะกุมความคิดอย่างเงียบงันเมื่อเด็กหนุ่มเข้าไปนั่งในรถยนต์ของคุณพฤทธิ์
ฉลองขวัญเม้มปาก ขณะทอดมองรถยนต์สีดำที่ขับเคลื่อนออกไปอย่างนุ่มนวล
ช่วงหลัง ๆ มานี้ฉลองขวัญไม่ได้ติดต่อพฤทธิ์เหมือนอย่างเคย เหตุผลข้อที่หนึ่งคือการถอนหมั้นระหว่างคนทั้งสอง และเหตุผลที่สองคือหล่อนเองก็อยากตัดใจจากคนที่ไม่เคยรัก กระนั้นหล่อนกลับเห็นพฤทธิ์ในสถานที่เดิม ๆ ในทุกสัปดาห์ ความสงสัยชักนำให้ฉลองขวัญหาคำตอบภายใต้สถานการณ์ที่คลุมเครือ
ร้านกาแฟเปิดใหม่ข้างหลังอาคารเรียน บรรยากาศและสถานที่ตกแต่งอย่างอบอุ่นและกรุ่นกลิ่นกาแฟชักชวนให้ใครหลาย ๆ คนเข้าไปใช้บริการรวมถึงหล่อนด้วย ในทุก ๆ วันพุธหล่อนจะเข้าไปช่วงบ่ายแก่ ๆ แต่ระยะหลังมานี้หล่อนตัดสินใจเข้าไปช่วงหลังเที่ยง ใช้เวลาภายในร้านร่วมหนึ่งชั่วโมงในมุมที่หันออกนอกหน้าต่างเห็นเงาด้านหลังเพียงลาง ๆ เท่านั้น กระนั้นภาพที่ฉลองขวัญเห็นกลับชัดแจ้งในความรู้สึกนัก
พฤทธิ์ที่แทบจะไม่เคยมาร้านกาแฟแบบนี้กลับนั่งอยู่ด้านหลังหล่อนถัดไปไม่กี่ช่วงตัว พร้อมกับหนังสือพิมพ์และโทรศัพท์อยู่บนโต๊ะ หล่อนจะไม่สงสัยหากไม่ใช่ความบังเอิญที่เกิดขึ้นไม่ใช่คนใกล้ตัวของพฤทธิ์
ฝ่ามือชื้นเหงื่อค่อย ๆ กำรอบแก้วกาแฟอุ่นจัด แล้วคลายมันออกเมื่อได้ยินเสียงของเด็กหนุ่มสั่งช็อกโกแลตเย็น ในระหว่างนั้นหล่อนมองกระจกที่สะท้อนความเป็นไปภายในร้าน เสียงรองเท้ากระทบพื้น เสียงเครื่องทำน้ำร้อน และเสียงทำเครื่องดื่ม ไม่อาจทำให้หล่อนละสายตาจากภาพตรงหน้าได้ แม้ไม่มีใครพูดอะไรต่อกัน ไม่แม้แต่จะเงยหน้ามอง มีเพียงการเสแสร้งว่าเฉยชาและไม่ยี่หระต่อการกระทำใด ๆ ของกันละกัน กระนั้นความรู้สึกที่ซ่อนไว้อย่างมิดชิดก็คล้ายจะปะทุขึ้นมาราวกับต้องการประกาศก้องให้รับรู้
หนึ่งชั่วโมงที่ฉลองขวัญนั่งอยู่ ไม่มีใครทำอะไรนอกจากก้มมองโทรศัพท์มือถือเป็นครั้งคราวและในระยะเวลาไล่เลี่ยกัน หล่อนเม้มปาก รู้สึกคล้ายกับเป็นส่วนเกิน ทั้งที่รู้ตัวว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับใครในที่นี่ เป็นเพียงคนที่เคยใกล้ชิดและยังเฝ้าถามถึงอดีต
ฉลองขวัญเคยคิดว่าหากเพราะพฤทธิ์ไม่อยากสร้างครอบครัวด้วยกัน หล่อนก็เข้าใจดีว่าอิสระช่างหอมหวาน แต่หากพฤทธิ์มีเหตุผลอย่างอื่น..หล่อนเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะปล่อยทุกอย่างให้เป็นแบบนี้หรือไม่ โดยเฉพาะกับสิ่งที่ไม่ควรจะเป็น
ทั้งที่ไม่มีชั่วโมงสอน แต่ตอนนี้หล่อนหมดใจจะเฝ้ามองใครบางคนผ่านกระจกอันพร่ามัว
ด้านนอกมืดครึ้ม พระอาทิตย์พรางตัวด้านหลังเมฆสีเข้ม ฝนฟ้าตั้งท่าจะตกแต่เช้า ทว่าตอนนี้หยาดน้ำฟ้ากลับไม่มีแม้แต่หยาดเดียว มีเพียงความอบอ้าวจากด้านนอกที่ทรมาณให้รู้สึกไม่สบายตัว ดังนั้นการอยู่ข้างนอกบ้านจึงไม่ใช่เรื่องที่น่าอภิรมย์นัก เด็กหนุ่มจึงกลับเข้ามาด้านใน พลางทอดมองนอกหน้าต่างด้วยความขุ่นมัวใจเล็ก ๆ
“จะไปไหนหรือเปล่า” คุณวุฒิมองเด็กหนุ่มผ่านเลนส์แว่นตา
“ไม่ครับ” เด็กหนุ่มมองปลายเท้า เขาขยับนิ้วอย่างกังวลเมื่อเหลือบตามองโทรศัพท์มือถือที่แจ้งเตือนตั้งแต่เช้า
การพักผ่อนอยู่บ้านในวันเสาร์ไม่ได้เป็นเรื่องน่าเบื่อหน่ายสำหรับหลง แต่เมื่อคุณวุฒิเห็นว่าเด็กหนุ่มไม่ควรสูญเสียเวลาอย่างไร้ความหมาย การหางานอดิเรกให้ลูกชายคนเล็กทำจึงเริ่มขึ้นด้วยการเปิดอินเทอร์เน็ตและจบลงเมื่อเด็กหนุ่มขออนุญาตออกไปข้างนอกด้วยตัวเอง
“จะไปไหนล่ะ ให้คนขับรถไปส่งนะ”
“ไปหอสมุดกลางที่มหาวิทยาลัยได้ไหมครับ”
วุฒิชะงักก่อนยิ้มจาง ๆ เขานึกว่าคำตอบของลูกชายคนเล็กคงเหมือนกับกรณ์สมัยเมื่อยังเรียนอยู่ ทว่าตรงกันข้าม..หลงแค่ไปห้องสมุดมหาวิทยาลัยเท่านั้น
“เดี๋ยวให้คนขับรถไปส่งแล้วกัน จะกลับกี่โมงคิดไว้หรือยัง”
หลงเม้มปาก แล้วตอบด้วยน้ำเสียงเบา ๆ ที่เจือความกังวล “ผมขอกลับเองนะครับ”
“อย่าลืมโทรศัพท์มาบอกแล้วกัน” เขาลูบหัวเด็กหนุ่มพลางมองด้วยความอาทร ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไร..สายตาคู่นี้ก็ยังเก็บซ่อนความในใจไว้เสมอ
หอสมุดกลาง..ตึกที่ตั้งอยู่อีกฝั่งของถนนพญาไท ด้านหน้าเป็นลานกว้างที่ปลูกต้นไม้ไว้ทั้งใหญ่และเล็ก บริเวณทางขึ้นมีสวนน้อยแคบ ๆ ประดับด้วยไม้ดอกสีขาวกระจุ๋มกระจิ๋ม เปล่งประกายท้าทายแสงอาทิตย์ในยามสาย ด้านข้างเป็นบันไดทอดยาวจนสุดประตูกระจก
หลงมองมันสักพัก ก่อนหันหลังให้ด้วยความรู้สึกผิด จะเป็นอะไรเสียอีกหากเบื้องลึกในจิตใจของหลงเต็มไปด้วยคำพูดของคุณพฤทธิ์ เขาไม่ได้อยากมาและไม่อยากโกหกใคร ๆ ว่ามาที่นี่ แต่เพราะสถานที่แห่งนี้ไม่มีใครรู้จักพวกเขา ไม่มีคนใกล้ชิด และไม่จำเป็นต้องหลบซ่อนการกระทำที่อาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิด มันจึงกลายเป็นสถานที่นัดพบโดยปริยาย
ลมเย็นพัดอ่อน ๆ เจือกลิ่นชื้นแฉะที่มาจากการดูแลต้นไม้ เสียงพูดคุยจากใครหลาย ๆ ที่เดินผ่านขึ้นไปยังประตูกระจกสีเข้ม มีเสียงรองเท้ากระทบพื้นปูนอย่างสม่ำเสมอและมั่นคง เจ้าของเสียงนั้นขยับเข้ามาใกล้และสัมผัสที่หัวไหล่ของเด็กหนุ่มอย่างระมัดระวัง “ขอโทษนะครับที่มาช้า”
เด็กหนุ่มยกมือไหว้ “คุณพฤทธิ์”
“สวัสดีครับ” พฤทธิ์รับไหว้เด็กหนุ่ม เขาทอดมองใบหน้าน่าเอ็นดูอย่างพึงใจ “ตอนเช้าผมมีนัดกับนิสิต ป.โท คิดว่าน่าจะทันนัดกับคุณ รอนานหรือเปล่าครับ”
หลงส่ายหน้า “ไม่นานครับ”
“กินข้าวหรือยังครับ”
“ถ้าข้าวเช้า..กินเรียบร้อยแล้วครับ คุณพฤทธิ์ล่ะครับ”
“อืม..กาแฟหนึ่งแก้วน่าจะไม่ใช่ข้าวเช้า”
ประตูอาคารที่เปิดเข้าเปิดออกชวนให้นึกหงุดหงิดใจนิด ๆ แม้พฤทธิ์จะรู้ว่าคนที่ผ่านเข้าออกไม่ได้คิดอะไร แต่สายตาบางคู่ที่ลอบมองมาด้วยความสงสัยก็คล้ายจะทำลายบรรยากาศอันเป็นส่วนตัวระหว่างพวกเขา
บรรยากาศเจือความไม่คุ้นเคยค่อย ๆ จางหาง กลายเป็นสถานที่ที่อบอวลด้วยความรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย ไม่เพียงแค่ผนังกั้นห้องที่ให้ความรู้สึกมิดชิด แต่ยังรวมถึงจิตใจที่ผ่อนคลาย ปราศจากสิ่งรบกวนจิตใจที่เปรียบเหมือนรอยขรุขระเล็ก ๆ ที่ไม่ก่อให้เกิดบาดแผล
เครื่องทำความชื้นปล่อยกระแสลอยล่องให้อากาศ พร้อมกับเครื่องปรับอากาศที่เริ่มทำงาน ปลายเท้าของเด็กหนุ่มหยุดลงและเปลี่ยนเป็นรองเท้าสำหรับใช้ในบ้านแทน เมื่อก่อนมันมีสำรองไว้ราวห้าคู่ที่ขนาดเท่ากัน แต่ตอนนี้มีเพียงสามคู่ที่มีเพียงคู่เดียวเล็กกว่าคู่อื่น
“อยากไปที่ไหนหรือเปล่าครับ”
“ไม่อยากครับ” หลงเงียบ “อยู่กับคุณที่นี่ก็มีความสุขดี”
พฤทธิ์ยืนนิ่ง เขาหันกลับมามองหลงพลางขมวดคิ้ว ก่อนจะเดินเข้ามายืนตรงหน้าเด็กหนุ่ม ทอดมองด้วยสายตาที่ชวนให้วูบไหว ไม่ทันให้ใครบางคนได้ตั้งตัว..ฝ่ามืออุ่นประคองต้นคอคนตรงหน้า แล้วโน้มริมฝีปากเข้าประชิด บดเบียดความอ่อนนุ่มอย่างใจเย็น “ขอบคุณนะครับ”
“ไปนั่งในห้องรับแขกก่อน วันนี้ก็คงไม่ได้ออกจากห้องแล้ว เดี๋ยวผมเตรียมของว่างไปให้”
“ผมไปช่วยนะครับ”
“อย่าดีกว่าครับ เดี๋ยวจะเหนื่อยเปล่า”
ภายในห้องเต็มไปด้วยความรู้สึกมีชีวิต กลิ่นกาแฟอ่อน ๆ กองกระดาษที่ตั้งอยู่บนโต๊ะจัดวางไม่เป็นระเบียบ และกระเป๋าประจำตัวของคุณพฤทธิ์ที่เปิดอ้าไว้
เด็กหนุ่มนั่งอยู่โซฟาในห้องรับแขก เข่าของเขาชิดกันด้วยความประหม่า ทั้งที่น่าจะชินได้แล้ว..แต่ทุกครั้งที่อยู่ใกล้อีกฝ่ายก็คล้ายตัวตนของเขาถูกปั่นป่วนด้วยแรงที่มองไม่เห็น
ดวงตาสีเข้มหลุบมองโต๊ะตรงหน้า หนังสือเดินทางที่วางอยู่สร้างความสงสัย ก่อนเขาจะหันกลับไปมองใครบางคนที่กำลังชงช็อคโกแลตร้อนให้
“จะไปไหนหรือครับ”
พฤทธิ์ถือแก้วเซรามิคสีขาวมาหาเด็กหนุ่มพร้อมคุกกี้ชนิดนิ่มมาให้
“นำเสนองานวิจัยที่ฝรั่งเศสครับ” ปลายนิ้วดันถาดไม้ให้เด็กหนุ่ม พร้อมทอดมองด้วยความเอ็นดู “ไปหนึ่งอาทิตย์ แต่นำเสนองานสามวันครับ”
“คุณพฤทธิ์คงจะยุ่งน่าดูนะครับ”
“ช่วงนี้ยุ่งนิดหน่อยครับ” พฤทธิ์ยิ้ม “แต่จะยุ่งอย่างไรผมจะติดต่อคุณมาทุกวันนะครับ..ที่ฝรั่งเศสก็ด้วย”
ไม่รู้เพราะอะไรภาพโทรทัศน์ขนาดใหญ่จึงกลายเป็นทัศนียภาพด้านนอก
ที่หน้าต่างกระจกบานใหญ่ ด้านบนคือโคมไฟขนาดมหึมา ล่องลอยราวกับไม่มีอยู่ในชีวิตจริง แต่แสงไฟที่สาดส่องจากเบื้องบนก็ยืนยันได้แล้วว่าตอนนี้หลงกำลังถูกใครบางคนปิดกั้นอิสรภาพและชักจูงไปยังสถานที่แห่งเดิมที่พวกเขาเคยถ่ายทอดความสุขและตักตวงอย่างไม่รู้เบื่อ
เสื้อยืดของเด็กหนุ่มถูกเลิกขึ้น แผ่นอกนาบชิดกับกระจกเบื้องหน้า ความเย็นค่อย ๆ แทรกซึมผ่านผิวเนื้อ ความรู้สึกหนึ่งพวยพุ่งเหมือนพลุในฤดูหนาว
ความร้อนจากฝ่ามือโอบรัดตัวตนของเขา ขยับอย่างใจเย็น แต่หนักหน่วงในความรู้สึกนัก “คุณพฤทธิ์”
พฤทธิ์จูบต้นคอเด็กหนุ่ม ซึมซับตัวตนของเด็กหนุ่มอย่างอ่อนโยน ก่อนตักตวงด้วยความรู้สึกดุดันที่กดฝังไว้อย่างค่อยเป็นค่อยไป
ทางเดินเร้นลับนำพาความสุขไปสุดปลายทาง ก่อนปลดปล่อยออกมากระจายบนผืนกระจกเป็นวงกว้าง แล้วหายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้น
“อื้อ..”
ปลายนิ้วที่เคยสัมผัสภายนอกหายไป แทนที่ด้วยความรู้สึกภายในที่ถูกกระตุ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า จุดหนึ่งที่แสนทรมานกลับเป็นจุดที่ทำให้เด็กหนุ่มเต็มตื้นด้วยความสุขที่ไม่อาจบรรยายได้ แรงกดไม่หนักไม่เบาจนเกินไปปรนเปรอเนิบนาบเพื่อยืดขยายเวลาแห่งความสุข กระนั้นเนื้อนวลเต่งตึงกลับถูกสัมผัสบดขยี้อย่างรุนแรง
“คุณพฤทธิ์ครับ..คุณพฤทธิ์” เด็กหนุ่มสะอื้นเล็ก ๆ เขาพยายามหยุดรั้งปลายนิ้วอย่างอ่อนแรง จนกลายเป็นว่าแทนที่จะห้ามปรามกลับสนับสนุนใครบางคนให้กระทำตามใจ
ปลายทางแห่งฝันอยู่ไม่ไกล บางส่วนพร้อมจะปลดปล่อย ทว่าทุกอย่างกลับชะงักลงและทอดถอนออกไปอย่างไม่ใยดี ไม่นานนักความร้อนผ่าวที่ไม่คาดฝันก็เข้ามาแทนที่ ทำลายตัวตนของเด็กหนุ่มไม่เหลือชิ้นดี
ความตระหนักรู้และสติอันพร่าเลือนถูกตีกระทบจนแตกกระจาย เศษเสี้ยวของมันคล้ายจะลอยล่องในอากาศ แต่หลงรู้ดีว่าสุดท้ายมันจะกลับมาประกอบเช่นเดิม
ฝ่ามือของเด็กหนุ่มดึงผ้าม่านสีขาวที่ปิดไว้ครึ่ง ๆ กลาง ๆ เขากระชากมันด้วยแรงที่มีเมื่ออีกฝ่ายจงใจตีตราตัวตนของตนเองในที่เร้นลับ “ไม่ได้นะครับ”
“ไม่ได้อย่างไรครับ” ปลายเสียงของอีกฝ่ายเจือความขบขัน
เด็กหนุ่มเม้มปากเมื่อทุกอย่างกำลังคืนสภาพ กระนั้นใครบางคนก็กักกันอิสรภาพด้วยการพลิกกลับมาหา กระซิบกระซาบให้ชวนซ่านทรวง
หลงหลุบมองต้นขาที่แนบอยู่ของคุณพฤทธิ์แล้วกัดปากเบา ๆ ก่อนจะเกี่ยวมันให้แนบชิดมากกว่าเดิม เสียงหอบหายใจดังขึ้นข้างหูคล้ายกำลังอดกลั้นไว้ดังขึ้นเหนือศีรษะ
“หลง” พฤทธิ์เรียกชื่อของเด็กหนุ่ม เป็นน้ำเสียงที่เหมือนฝัน กระนั้นรอยจูบข้างแก้มก็ยืนยันว่าเป็นความจริง
หลงกำผืนผ้าม่านแน่น เมื่อส่วนร้อนผ่าวบดเบียดสุดปลายทาง ไม่เพียงเท่านั้นเรี่ยวแรงร้ายกาจกระทบเข้ามาอีกครั้งราวต้องกับผนึกตัวตนไว้ เขาทั้งกระชากทั้งดึงผืนผ้าที่ถักทออย่างประณีต แต่กลับกระทำกับมันอย่างไร้ความปราณี จนกระทั่งปลายทางแห่งความฝันมาเยี่ยมเยือน
“อึก..” หน้าท้องของเด็กหนุ่มกระตุกและโอบรัดคุณพฤทธิ์ไว้แน่นหนา
“ผม..” เด็กหนุ่มเงยหน้า ขณะขยับตัวออกมารู้สึกว่าอะไรบางอย่างใกล้ชิดจนเกินไป
“อาทิตย์หน้าคงไม่ได้เจอกัน” พฤทธิ์จูบแก้มเด็กหนุ่มก่อนค่อย ๆ ถอยตัวออกห่าง เขาประคองเอวเล็ก ๆ ที่บิดเกร็งเมื่อถูกสัมผัส
“ไปวันไหนหรือครับ”
“วันจันทร์ครับ”
“ผมจะรอนะครับ”
ตอนบ่ายร้อนจัด ด้านนอกสว่างจ้า แต่อุณหภูมิภายในห้องกลับอุ่นสบาย