ตอนที่ 2
สองเดือนผ่านไป ซึ่งการใช้ชีวิตโดยไร้คนรักข้างกายของบาส ก็ยังคงดำเนินไปเรื่อยๆ โดยที่เจ้าตัวยังแสดงอาการซึมๆออกมาบ้าง เหม่อบ้าง แต่ไม่หนักเท่าตอนแรกๆ ซึ่งนั่นก็แสดงให้เห็นว่าบาสคงจะเริ่มทำใจได้ในระดับนึงแล้ว
“ไอ้บาส วันนี้พวก ‘ไอ้แคน’ มันจะติวกัน เราไปติวกับพวกมันเถอะว่ะ” ครามเอ่ยบอกคนข้างๆ ตอนนี้พวกเขากำลังทานอาหารกลางวันอยู่ที่โรงอาหารกลาง ซึ่งตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างสามคณะคือ สถาปัตยกรรมศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ และศิลปกรรมศาสตร์
“ติวเหรอวะ?” บาสทวนคำ ก่อนจะพยักหน้าตกลงไป เพราะใกล้จะสอบมิดเทอมแล้ว เวลาเป็นเดือนๆที่ผ่านมาเขาก็ไม่ค่อยมีสมาธิกับการเรียนเสียเท่าไหร่ ไปติวกับเพื่อนเพื่อทบทวนบ้างมันก็ดี
“พวกไอ้แคนมันไปติวกันที่ไหนวะ” วินเทอร์เอ่ยถาม
“เห็นว่าไปร้านห้องสมุด” ครามเอ่ยบอกถึงสถานที่ติวหนังสือ ซึ่งมันก็คือร้านคาเฟ่ที่เปิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยมากนัก เป็นร้านคาเฟ่ขนาดใหญ่ มีสามชั้น และมีอาณาบริเวณกว้างขวาง อาหารเครื่องดื่มหรือของหวานก็รสชาติดี
“กี่โมง”
“ห้าโมงเย็น มันให้เพื่อนจองไว้แล้ว”
“อืม กูขอไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน เดี๋ยวกูตามไป” บาสว่าก่อนจะลุกขึ้นเอาจานข้าวที่กินแล้วไปเก็บ แล้วขอตัวกลับที่พัก เนื่องจากช่วงบ่ายไม่มีเรียน เขาจึงกะว่าจะกลับไปนอนเอาแรงเสียหน่อย เพราะช่วงนี้งานเริ่มเยอะ ตัวเขาเองก็นอนน้อยแทบทุกวัน
บาสขับรถออกจากมหาวิทยาลัย มุ่งตรงสู่ที่พักของเขา ซึ่งนั่นก็คือบ้านชั้นเดียวหลังขนาดกลาง ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ซึ่งไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยมากนัก ใช้เวลาประมาณสิบห้านาทีก็ถึง แต่ถ้ารถติดก็ประมาณครึ่งชั่วโมง เป็นบ้านที่แม่ของเขาซื้อเอาไว้ให้ ซึ่งบ้านเกิดจริงๆของบาสนั้นอยู่ที่จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งตัวเขาเองก็จะกลับบ้านในทุกๆวันหยุดยาว หรือไม่ก็ปิดเทอม
ระหว่างทางเขาก็จะขับผ่านสวนสาธารณะขนาดใหญ่แห่งหนึ่งทุกวัน และทุกครั้งที่ผ่าน ชายหนุ่มเองก็อดไม่ได้ที่จะยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยคล้ายกลับกำลังอมยิ้มอย่างขำๆ เมื่อนึกไปถึงเหตุการณ์เมื่อเดือนก่อน ที่เขาโดยเจ้าบีเกิ้ลที่มีนามว่าซื่อบื้อนั้นกระโจนใส่ จนเนื้อตัวเปื้อนโคลนไปตามๆกัน
สายตาชายหนุ่มมองไปยังกระจกส่องหลัง ซึ่งมันทำให้เห็นถุงที่ใส่เสื้อและกางเกงของเพลง เจ้าของเจ้าบีเบิ้ลจอมซน เพราะเจ้าตัวบอกว่าอยู่มหาวิทยาลัยเดียวกันกับเขา บาสจึงเอาเสื้อผ้าที่เพลงให้เขาเปลี่ยนติดรถไว้เสมอ เผื่อวันไหนบังเอิญเจอกัน เขาจะได้เอาคืนเจ้าของ
Rrrrrr… Rrrrrr…
เสียงริงโทนโทรศัพท์แผดเสียงร้องราวกลับเป็นนาฬิกาปลุกชั้นดี ให้ชายหนุ่มที่กำลังนอนหลับ กวาดมือหาต้นตอของเสียง
“...ฮัลโหล” เสียงอู้อี้เพราะยังไม่ตื่นดีของบาสเอ่ยพูดกับปลายสาย เมื่อเขากดรับสายโทรศัพท์
(ไอ้บาส มึงนอนอยู่เหรอวะ นี่มันหกโมงเย็นแล้วนะเว้ย) เสียงโวยวายของน่านฟ้าดังมาในสาย ทำเอาคนที่ยังเมาขี้ตาอยู่เริ่มจะมีสติขึ้นมาเรื่อยๆ
“เออ กูหลับเพลินไปหน่อย เดี๋ยวตามไป” บาสพูดแค่นั้นก่อนจะตัดสายเพื่อน แล้วลุกขึ้นไปอาบน้ำทันที เพราะตั้งแต่เขากลับมาถึงบ้าน เขาก็เข้าห้อง เปิดแอร์ แล้วก็นอนทันที
บาสเลือกชุดสบายๆมาใส่อย่างเสื้อยืดคอกลมสีเทา และกางเกงขาสามส่วน ตบท้ายด้วยรองเท้าแตะ การแต่งตัวที่เหมือนจะไปจ่ายตลาด แต่พอมาอยู่บนตัวชายหนุ่มรูปร่างกำยำอย่างบาส มันกลับทำให้ดูดีอย่างหน้าเหลือเชื่อ ตัวช่วยคงจะเป็นไปไม่ได้นอกจากใบหน้ารูปไข่ คิ้วเข้มได้รูป รับกับจมูกโด่งเป็นสันอย่างชาติตะวันตก เพราะมีเชื่อสายเป็นลูกเสี้ยวอังกฤษ ประกอบกับดวงตาเรียว ขนตาเป็นแพหนา นัยน์ตาสีน้ำตาลอมเขียว ปากกระจับสีสด
คำเดียวที่จะนิยามตัวบาสได้ก็คือ ...หล่อ
ชายหนุ่มเป็นคนที่หน้าตาหล่อเหลา แต่ค่อนข้างจะเป็นคนแข็งกระด้าง ไม่ค่อยพูด เลยทำให้ดูหยิ่งไปหน่อย และทำให้เป็นที่น่าหมั่นไส้ในเพศเดียวกัน เขาจึงมีเรื่องชกต่อยอยู่เป็นประจำ
เมื่อแต่งตัวเสร็จ ชายหนุ่มก็รีบออกเดินทางไปยังร้านคาเฟ่ห้องสมุด ที่เขาได้นัดกับเพื่อนๆเอาไว้
ชายหนุ่มขับรถไปเรื่อยๆอย่างไม่เร่งรีบ จึงทำให้กว่าจะมาถึงก็นานพอสมควร บาสเลี้ยวรถเข้าไปยังลานจอดรถของร้าน ก่อนจะเข้าซองจอดอย่างเรียบร้อย บาสดับเครื่องก่อนจะเอื้อมมือไปหอบเอาหนังสือและสมุดจด ก่อนจะลงจากรถ
“เฮ้ย!” บาสร้องอย่างตกใจ เมื่อเขากำลังจะเดินเข้าทางประตูหลังร้าน ก็มีสุนัขที่ไหนไม่รู้วิ่งมาพันแข้งพันขาเขา
...อืม พันธุ์บีเกิ้ลอีกแล้วเหรอ
รู้สึกว่าทำไมระยะนี้เขาจะต้องมายุ่งกับสุนัขพันธุ์นี้ด้วยนะ ยังดีที่เจ้าตัวนี้มันไม่เปื้อนโคลน
โฮ่ง!
เจ้าบีเกิ้ลเงยหน้าขึ้นมามองเขา ก่อนจะเห่าออกมา แถมยังกระดิกหางเหมือนจะเชื่องๆอีก แต่จะว่าไป...รู้สึกคุ้นๆแฮะ
“ซื่อบื้อ มาทำอะไรตรงนี้คะ พี่เพลงไปไหน” แต่บาสต้องเก็บความสงสัยเอาไว้ เมื่อได้ยินเสียงผู้หญิงคนหนึ่งเรียกเจ้าบีเกิ้ล
แต่ว่า...
ชื่อซื่อบื้อ???
มันจะบังเอิญไปหรือเปล่า?
“.....” บาสได้แต่มองหญิงสาวรูปร่างผอมเพรียม แถมยังมีใบหน้าที่สวยหวานและดูเรียบร้อย เขาจำได้ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นเจ้าของร้านคาเฟ่แห่งนี้ มีสามีและลูกแล้ว
แต่ว่า นอกจากจะคุ้นชื่อหมาแล้ว ไอ้คนที่ผู้หญิงตรงเขากำลังถามหานี่สิ
พี่เพลง...อย่างนั้นเหรอ???
“ต้องขอโทษแทนซื่อบื้อด้วยนะคะ มันออกจะซนไปหน่อย” หญิงสาวรีบขอโทษแทนสุนัขของน้องชายตน
“ไม่เป็นไรครับ” บาสเอ่ยอย่างไม่ติดใจอะไร ก่อนจะเดินต่อ แต่เจ้าซื่อบื้อมันดันไม่ยอมเสียนี่ กลับวิ่งเข้าไปขัดขาชายหนุ่มจนเจ้าตัวเกือบล้ม และสุดท้ายบาสก็ต้องหยุดเดินอีกครั้ง
“ซื่อบื้อ ทำไมดื้อแบบนี้ อย่าไปแกล้งคุณเขาสิ” พี่สาวเจ้าของสุนัขเดินเข้าไปทรุดนั่งแล้วจับปลอกคอเจ้าซื่อบื้อเอาไว้
“ขอบคุณครับ” บาสขอบคุณหญิงสาวก่อนที่ตัวเขาจะเดินเข้าไปในร้าน
“จริงๆเลยนะ ไปถูกใจอะไรคุณเขาเนี่ยซื่อบื้อ” เสียง ‘เพลิน’ เอ่ยบอกซื่อบื้ออย่างสงสัย เพราะเธอไม่เคยเห็นมันสนใจหรือวิ่งเข้าหาคนแบบนี้มาก่อนเลย
โฮ่ง!
ราวกลับจะฟังรู้เรื่อง ซื่อบื้อเห่าตอบพี่สาวเจ้านาย ก่อนจะกระดิกหางเมื่อเห็นเจ้านายของตนกำลังเดินมาทางนี้
“มีอะไรเหรอพี่เพลิน” เพลงเอ่ยถามพี่สาวที่อายุมากกว่าถึงสิบปี ที่กำลังนั่งคุยกับซื่อบื้อ แทนที่จะเดินเข้าไปในร้าน
“ก็ซื่อบื้อน่ะสิ ไปวิ่งซนพันแข้งพันขาลูกค้าเข้า ดีนะไม่ถูกเขาเตะเอา เอ๊ะ...หรือเพราะว่าลูกค้าคนนั้นหล่อ สาวน้อยซื่อบื้อของเราเลยหลงเสน่ห์ หืม?” ประโยคเพลินถามเจ้าบีเกิ้ล ก่อนจะเคาะหัวเบาๆอย่างหมั่นไส้
“อีกแล้วเหรอซื่อบื้อ คราวก่อนนะพี่เพลิน ซื่อบื้อมันเอาตัวเปื้อนโคลนไปถูไถรุ่นน้องที่มหาวิทยาลัยของเพลงซะเนื้อตัวนี่เปื้อนไปหมด ดีนะที่เขาไม่เอาเรื่องเพลงอ่ะ” เพลงว่าก่อนจะเดินนำพี่สาวเข้าไปในร้าน
“ซนจริงๆ วันนี้งดกินขนมดีไหมซื่อบื้อ?”
หงิง...
เพลินว่าอย่างหยอกล้อ แต่ดูท่าว่าเจ้าซื่อบื้อจะไม่เล่นด้วย เหมือนรู้ว่าจะอดทานขนม เจ้าตัวก็ร้องครางหงิงๆออกมาอย่างน่าสงสาร
“ไม่ต้องมาทำท่าน่าสงสาร สองครั้งแล้วนะซื่อบื้อ” เพลงว่าอย่างดุๆ ก่อนจะเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นสาม อย่างที่รู้ๆกันว่าคาเฟ่แห่งนี้มีสามชั้น เพลินจะคอยดูอยู่ที่ชั้นหนึ่ง ‘แซม’ สามีของเพลินจะอยู่ที่ชั้นสอง ส่วนเพลงที่ตอนนี้เริ่มจะว่างช่วงเย็น เลยมาช่วยพี่สาวดูแลร้านแห่งนี้ โดยอยู่ที่ชั้นสาม
“วันนี้ก็ขอให้ไม่ดื้อไม่ซนเหมือนอย่างทุกวันนะซื่อบื้อ” เพลงเอ่ยบอกซื่อบื้อ เนื่องจากวันนี้เจ้าบีเกิ้ลดันทำนิสัยไม่น่ารัก ไปก่อกวนลูกค้าแบบนั้น
แต่เจ้าบีเกิ้ลน้อยหาได้สนใจไม่ กลับวิ่งนำเจ้าของขึ้นไปยังชั้นสาม ทำเอาเพลงรีบวิ่งตามขึ้นไป กลัวว่าเจ้าซื่อบื้อจะไปก่อกลัวลูกค้าอื่นๆ
“ซื่อบื้อ!” เมื่อวิ่งมาถึงชั้นสาม เพลงก็เพิ่มความเร็วจนจับตัวซื่อบื้อเอาไว้ได้ ก่อนจะอุ้มขึ้นมาแล้วเอ่ยเสียงดุ
“ซื่อบื้อ ถ้าดื้อแบบนี้เพลงจะไม่พามาที่ร้านแล้วนะ” เพลงเอ่ยเสียงดุจนเจ้าบีเกิ้ลต้องเอาถ้ามาถูไถที่อกเขาอย่างออดอ้อน
“น้องเพลง เป็นอะไรเหรอ?” เสียงสาววัยยี่สิบหก ผู้เป็นพนักงานคนแรกๆของร้าน
“ก็เจ้าซื่อบื้อสิครับ ‘พี่แนน’ วันนี้เป็นอะไรไม่รู้ ดื้อจริงๆ” เพลงว่าก่อนจะก้มฟัดเจ้าบีเกิ้ลในอ้อมกอดอย่างหมั่นไส้
“มันก็ซนไปตามประสาแหละ” แนนว่าก่อนจะลูบหัวเจ้าซื่อบื้ออย่างเอ็นดู ก่อนจะขอตัวไปล้างมือแล้วกลับมาทำงาน
“ไม่ซนนะซื่อบื้อ” เพลงว่าก่อนจะปล่อยให้เจ้าบีเกิ้ลซื่อบื้อลงพื้น ซึ่งเจ้าสุนัขแสนซนก็วิ่งไปหาเบาะนอนของตัวเอง และฟัดลูกบอลในนั้นเล่น เพลงเห็นอย่างนั้นก็วางใจ เลยเดินไปนั่งยังมุมส่วนตัวที่สามรถมองเห็นทุกส่วนในโซนของชั้นสาม ก่อนที่สายตาของเขาจะไปหยุดอยู่ที่แผ่นหลังกว้างภายใต้เสื้อยืดสีเทาของผู้ชายคนหนึ่ง
เพลงรู้สึกคุ้น แต่คิดว่าไม่น่าจะใช่คนรู้จัก เพราะถ้าเป็นคนที่เพลงรู้จัก เขาจะจำได้แม้จะมองจากข้างหลัง แต่กลับกัน คนๆนี้เขาแค่รู้สึกคุ้นเฉยๆ
ในตรงนั้นไม่ได้มีแค่ผู้ชายคนนั้นเพียงคนเดียว แต่ยังมีทั้งผู้ชายและผู้หญิงอีก รวมกันก็...สิบสามคน คงจะมาติวหนังสือกัน เพลงยิ้มนิดๆเมื่อนึกไปถึงสมัยที่เขาอยู่ปีหนึ่ง เขาเองก็เคยมารวมตัวกับเพื่อนติวหนังสือที่นี่เหมือนกัน ถึงจะเรียนศิลปกรรมศาสตร์ แต่มันก็ต้องติวหนังสือเหมือนกันเมื่อต้องสอบวิชานอกสาขาอย่างภาษาอังกฤษหรือสังคม ตอนนั้นเขารู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่เรียนนานาชาติมา เรื่องภาษานั้นเขาไม่มีปัญหา วิชานอกสาขาอื่นๆก็พอถูไถได้
ในเวลาเดียวกัน เหล่านักศึกษาจากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ก็กำลังจะจุกตายเพราะศัพท์ภาษาอังกฤษที่กำลังท่องจำอย่างเอาเป็นเอาตาย
“ไอ้เพลิง นั่งดีๆ” ครามเอ่ยเตือนเมื่อเพลิงเริ่มโงนเงน จนสุดท้ายก็ซบลงที่ไหล่ของครามในที่สุด
“กูไม่ไหวแล้ว มีแต่ตัวหนังสือเต็มไปหมด” เพลิงบ่นงึมงำจนแทบจะฟังไม่ได้ศัพท์
“งั้นก็พักกันก่อนเถอะ” วินเทอร์ว่าอย่างสรุป เพราะเขาเองก็เริ่มตาลายแล้ว
“”กูไปข้างล่างแป๊บนึง” บาสว่าก่อนจะลุกออกมาเลย เพราะจะให้นั่งพักมันก็เมื่อยซะเปล่าๆ ขอลงไปเดินเล่นแถวนี้ดีกว่า
บาสออกมาเดินเล่นแถวลานจอดรถของร้าน ก่อนจะล้วงเอาซองบุหรี่ในกระเป๋ากางเกงออกมาก่อนจะจุดสูบแก้เซ็ง แต่เขาไม่ได้เครียดจาดการอ่านหนังสือหรอก แค่เบื่อๆที่จะต้องนั่งอ่านหนังสืออยู่กับที่ ลุกไปไหนก็ไม่ได้ แต่ถ้าจะให้กลับบ้าน เขาก็คงจะไม่ได้อ่านหนังสือ น่าจะนอนเอาแรงเสียมากกว่า
“อ้าว...นึกว่าใคร พี่บาสสถาปัตย์นี่เอง” บุหรี่มวนแรกยังไม่ทันหมด ก็มีเสียงดังขึ้นจากทางด้านหลังของเขา เมื่อหันไปก็พบกับ...คู่อริ
ก็ไม่ได้เคียดแค้นอะไรมาก ก็แค่แฟนของผู้ชายคนนั้นมาหลงเขา ก็แค่นั้น แล้วเรื่องของเรื่องคือตัวเขาเพิ่งเลิกกับแฟนได้เกือบสองเดือน ก็แค่ออกเที่ยวตามผับตามบาร์อย่างคนไม่อยากอยู่คนเดียว และมันก็เป็นธรรมดาที่ถ้ามีผู้หญิงมาเสนอถึงที่ ทำไมเขาจะไม่สนองล่ะ แต่ใครก็จะไปรู้ว่าเธอมีแฟนแล้ว ก็เจ้าหล่อนเล่นบอกว่าตัวเองโสดนี่นา ตอนที่รู้ความจริงตัวเขาก็ไม่ติดต่อกับเจ้าหล่อนอีกเลย ผู้ชายคนนั้นดันแค้นเสียจนมีเรื่องชกต่อยกันจนได้
แต่เขาก็ชนะน่ะนะ
“.....” บาสปลายตามองก่อนจะทิ้งบุหรี่ลงพื้น ใช้เท้าเขี่ยอย่างไม่รีบเร่ง
“อะไรกัน ขี้ขลาดว่ะ แค่เจอหน้ากันก็จะหนี” ผู้ชายคนนั้นยังพูดด้วยท่าทียียวน ทำเอาหนุ่มบาสขากระตุกไปนิด
“.....”
“คราวก่อนมึงทำกูไว้เจ็บแสบมากเลยนะ”
“.....”
“ครั้งนี้กูขอทวงคืน...”
ผัวะ!
ไม่ต้องรีรอหรือพูดอะไรให้มากความ ในเมื่อความอดทนของคนเรามันมีขีดจำกัด ลับาสก็ไม่จำเป็นจะต้องอดทนฟังผู้ชายตรงหน้าพล่ามเสียด้วย หมัดหนักๆกระแทกเข้าที่โหลกแก้มอย่างจัง ...แน่นอนว่าบาสเป็นคนชก
“แม่งเอ๊ย!” แต่อีกฝ่ายก็มีทักษะพอตัว สวนกลับได้ทันควันจนบาสหน้าหัน
ทางบาสเองใช่ว่าจะยอมจบแค่หมัดแลกหมัด ตั้งตัวได้ก็ยกเท้าขึ้นถีบท้องอีกฝ่ายเต็มแรง แต่ทางนั้นก็ดันหลบได้ แต่ด้วยทักษะที่มี บาสจึงศอกใส่เข้าที่ปลายคางของอีกฝ่าย จนฝ่ายนั้นล้มลง บาสจึงเดินไปคร่อมฝ่ายนั้นและกระหน่ำชกไม่หยุด อีกฝ่ายไม่ยอม ด้วยความแค้นที่มีมากจึงจับคอเสื้อบาสแล้วเหวี่ยงลงข้างตัวอย่างแรง แล้วขึ้นคล่อมบาส ก่อนจะปล่อยหมัดออกไปทันที
“คุณตำรวจครับ! ทางนี้มีคนตีกันครับ!!”
ในจังหวะที่ทางฝ่ายนั้นได้เปรียบ ก็มีเสียงปริศนาดังขึ้น จนทั้งคู่ชะงัก แต่บาสเป็นฝ่ายได้สติก่อน จึงยกเท้าขึ้นถีบอีกฝ่ายเต็มแรง แต่ด้วยความตกใจ ชายที่เข้ามาหาเรื่องบาสก็รีบวิ่งไปที่รถ ก่อนจะสตาร์ทออกไป ดูท่าว่าทางนั้นคงจะมาร้านนี้เหมือนกัน แล้วคงบังเอิญเห็นเขาที่เดินออกมาสูบบุหรี่แน่ๆ
“คุณครับ เป็นอะไรหรือเปล่า?” เสียงพลเมืองดีวิ่งเข้ามาหาบาสที่กำลงันั่งชันเข่าและลูบหน้าท้องด้วยความจุก
“ไม่ครับ” บาสตอบปฏิเสธ ก่อนจะมองหาตำรวจ แต่...ไม่มี
หึๆ ไม่นึกว่าจะยังไม่คนใช้มุกนี้อยู่บนโลกด้วย นึกว่าจะมีแค่ในละคร
แต่ก็นะ มีคนหลงเชื่อจนวิ่งหนีแบบนั้น มุกนี้ก็ถือว่าไม่เลว
“แต่เลือกคุณออก ไปหาหมอที่คลินิกใกล้ๆนี้กันเถอะ”
“...อืม” บาสเงียบไปอย่างใช้ความคิด ก่อนจะตอบตกลง ไปหาหมอเอายาแก้ฟกช้ำดีกว่า
“เดี๋ยวผมพาไปนะ” พลเมืองดีว่าก่อนเข้ามาช่วยพยุงบาสที่กำลังจะลุกขึ้นยืน
จนบาสได้ทันสังเกตพลเมืองดีคนนี้
ใครวะ?
นัยน์ตาสีน้ำตาล และใสๆเหมือนลูกแก้วแบบนี้...
...คุ้นๆว่ะ
************************************************************************
FANPAGE
นี่แหละที่เขาเรียกว่า 'ความรัก'
เผลอใจ 'รัก' ไปซะแล้ว จบแล้ว
ซีรี่ย์ เผลอใจ ‘รัก’ หมดใจ