สุดขั้ว 12ผมขี่รถออกมาจากมอค่อยใจเย็นลงหน่อย คิดๆ แล้วเหมือนตัวผมจะเหวี่ยงพวกเพื่อนๆ ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรด้วย เฮ้อ รู้สึกผิดจริงๆ เดี๋ยวค่อยไปขอโทษพวกนั้นล่ะกัน ผมเดินทางมาโรงพยาบาลอย่างรวดเร็วเพื่อรับพี่ไนซ์ เส้นทางค่อนข้างไกลหน่อยครับ เฮ้อ ในแต่ละวันผมต้องขับไปมาคิดดูว่าเหนื่อยแค่ไหน ผ่านไปสักพักก็มาถึงโรงพยาบาลผมจอดรถเอาไว้ก่อนจะจิ้มเบอร์ของพี่ไนซ์ ไม่รู้ว่าตอนนี้พี่เขาจะเตรียมตัวแล้วหรือยัง ระหว่างรอสายผมก็เดินเข้าไปในตัวตึก
[ ฮัลโหล ]
ในที่สุดพี่ไนซ์ก็รับสายแล้วครับ ผมรีบบอกให้พี่ไนซ์ลงมาข้างล่างเพราะตอนนี้ผมมาถึงแล้ว ผมนั่งรอพี่ไนซ์อยู่เก้าอี้ทางเข้ามองคนเดินผ่านไปผ่านมาแล้วรีบก้มหน้าเมื่อพวกนักเลงที่เคยมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับพี่เฮดีสเดินผ่านมา เวร พวกนี่ยังไม่ออกจากโรงพยาบาลอีกเหรอวะ? ผมชำเหลืองมองพวกนั้นที่สวมชุดไปรเวตเดินออกจากตึกไป พวกมันก็ยังคุยกันเสียงดังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน เฮ้อ รีบๆ กลับไปได้แล้วเจ้าพวกไม่มีมารยาท ที่นี้โรงพยาบาลน่ะโว้ยไม่ใช่ตลาดสดจะคุยกันก็เกรงใจคนป่วยบ้าง
“หึๆ แม่ง มีแต่ได้กับได้ว่ะงานนี้”
“ใช่ๆ แค่รายงานความเป็นไปของไอ้เฮดีส หาเรื่องมันนิดๆ หน่อยๆ ก็ได้เงินบานตะไท”
“ลูกพี่คราวนี้เราจะเอาเงินไปใช้อะไรดี?”
“ไปเที่ยวเกาะทางใต้ดีไหมวะ หาสาวฝรั่งกินกัน ฮ่าๆ”
“โห ไปไกลขนาดนั้นเดี๋ยวเงินก็หมดหรอกพี่”
“เงินหมดก็ไปหาเรื่องไอ้เฮดีสอีกสิวะ จะไปยากอะไร!”
“นั้นสิ ฮ่าๆๆๆ”
ผมค่อยๆ ลุกขึ้นยืนมองพวกเขาที่เดินผ่านประตูออกไปข้างนอกนิ่ง เมื่อกี้ว่ายังไงนะ? เจ้าพวกนี้ทำไมถึงได้หัวเราะกันสะใจขนาดนั้นกันแถมยังไม่รู้จักเข็ดหลาบจะไปหาเรื่องอีกเหมือนเดิม แถมฟังจากที่พวกมันพูดเหมือนพวกมันจะได้เงินแลกกับการที่มาหาเรื่องวิวาทกับพี่เฮดีสเลย นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันน่ะ หรือว่าที่ผ่านมาไอ้ที่เกิดเรื่องมันจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญ?
“อ้าว รัญหรือเปล่าน่ะ?”
“อ๊ะ สวัสดีครับพี่พอล มาทำอะไรเหรอครับ?”ผมหันไปมองเสียงทุ้มอันนุ่นนวลทักขึ้นจากด้านหลัง พอหันไปก็เจอกับว่าที่แพทย์หนุ่มผู้ซึ่งมีรอยยิ้มอบอุ่นส่งยิ้มเดินเข้ามาหาผม พี่พอลที่สวมเสื้อกาวน์หยุดอยู่ตรงหน้า
“พี่มาฝึกปฏิบัติน่ะ ว่าแต่รัญเถอะเห็นมาที่นี้บ่อยๆ แต่ไม่มีโอกาสเข้ามาทักน่ะ”
ชะอุ้ย! เป็นคนรู้จักอีกคนที่เห็นผมมาที่นี้บ่อย ถึงจะไม่ใช่ความลับอะไรแต่มันก็ไม่อยากให้คนเขาเอาไปลือแปลกๆ หรอกนะครับ ผมหัวเราะออกมาเบาๆ เพื่อกลบเกลื่อนอาการแตกตื่นใจ ไม่คิดว่านอกจากพ่อของมอตโตแล้วจะมีคนรู้จักอยู่ที่โรงพยาบาลนี่ ทำไมพี่เขาถึงได้มาฝึกปฏิบัติอะไรไกลขนาดนี้กันนะ!?
“ฝึกปฏิบัติงั้นเหรอครับ? ปีสามก็ได้ฝึกแล้วเหรอครับ?”
“อืม เป็นปฏิบัติในวิชาน่ะ อีกอย่างก็มีดูๆ หัวข้อจะทำวิจัยด้วย”
“ฟังดูยากจังเลย”
“ก็นิดหน่อยแหละ มันเกี่ยวพันกับชีวิตนี่นะจะทำเล่นๆ ได้ยังไง”พี่พอลตอบกลับเมื่อเห็นผมทำหน้ามุ่ยบ่นพึมพำ อ๊ะ นั้นสินะ แพทย์ต้องช่วยชีวิตนี่นะมันต้องลำบากอยู่แล้ว ผมพยักหน้าเห็นด้วย
“เรายังไม่ได้ตอบพี่เลยว่ามาทำอะไรที่นี้”
ผมชะงักตัวเมื่อพี่พอลวนกลับมาที่คำถามแรก นี่นึกว่าพี่เขาลืมไปแล้วนะเนี่ย อุตส่าห์เปลี่ยนเรื่องพูดขนาดนั้นยังกลับมาที่เดิมจนได้ ผมลังเลที่จะเอ่ยตอบไปแต่พี่พอลก็ไม่ได้เซ้าซี้เมื่อเห็นผมลำบากใจที่จะตอบ เฮ้อ ดีจัง ผมเองก็ไม่อยากจะโกหกซะด้วยสิ ระหว่างที่พวกเราคุยกันพี่พอลก็หันไปทักชายหนุ่มซึ่งสวมใส่สูทสีขาวสะอาดที่กำลังเดินจ้ำออกไป เอ๋? ผู้ชายคนนี้หรือว่าจะเป็น...
“จะกลับแล้วเหรอครับพี่ซูส?”
“อืม จัดการเรื่องเรียบร้อยแล้วว่าจะกลับไปดูเฮเลนหน่อยน่ะ”ท่านพี่ซูสเปลี่ยนทิศทางเดินเลี้ยวตัวมาหาพี่พอลแล้วเอ่ยตอบพร้อมกับรอยยิ้มอ่อนใจ นั้นไง! ท่านพี่ซูสจริงๆ ด้วย ผมจำได้แม่นเลยล่ะ แต่ว่าทำไมพี่พอลถึงได้พูดคุยกับท่านพี่ซูสอย่างสนิทสนมแบบนี้ได้เนี่ย อย่าบอกนะว่าเป็นญาติกันน่ะ!?
“ยัยหนูนั้นเป็นอะไรงั้นเหรอครับ?”
“ก็ตามเดิมนั้นแหละ ทะเลาะกับอะโฟร์น่ะ”
“สองคนนี้โตๆ กันแล้วยังแกล้งกันอย่างกับเด็กๆ เฮ้อ”พี่พอลส่ายหน้าอย่างเอือมระอาพลางถอนหายใจเฮือกด้วยความปลงตก สีหน้าไม่ต่างจากท่านพี่ซูสสักเท่าไร ดวงตาสีอ่อนเหลือบมองมาที่ผมอย่างสนใจใคร่รู้ พี่พอลก็หันมาหาผมแล้วแนะนำให้ท่านพี่ซูสรู้จัก
“อ้อ นี่รุ่นน้องที่มหา’ลัยของผมเองครับ ชื่อเนรัญครับ แล้วนี่คือพี่ซูส พี่เขาเป็นญาติพี่น่ะ”
“เอ่อ ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
“เช่นกันครับ”
ผมรีบยกมือไหว้พี่ซูสแต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายยื่นมือมาก็รีบจับมือนั้นตอบกลับอย่างกระวนกระวาย ย่าส์ พี่พอลเป็นญาติกับพี่ซูสงั้นเหรอ? งั้นก็เป็นญาติกับพี่เฮดีสด้วยน่ะสิ!? ผมนึกถึงเหตุการณ์ในร้านตอนนั้นขึ้นมาทันที ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าสองคนนี้เขาเป็นญาติกัน! แล้วนี่คงไม่ใช่ว่าพี่พอลก็มีชื่อเป็นเทพเหมือนครอบครัวนี้หรอกนะ ผมนึกสงสัยอยู่ในใจแล้วเงยหน้าขึ้นมองหน้าของพี่ซูสที่แย้มยิ้มให้กับผมอย่างเป็นกันเอง
“จริงๆ แล้วชื่อเจ้านี่น่ะคืออะพอลโล ชื่อเทพเจ้าเหมือนครอบครัวผมนั้นแหละ เธอเป็นคนรู้จักของเฮดีสงั้นเหรอ?”
“คะ ครับ”ผมสะดุ้งโหยงเมื่อถูกพี่ซูสเอ่ยถามออกมาด้วยสีหน้าท่าทางแสดงสนองสนใจ เดี๋ยวนะ! ผมยังไม่พูดอะไรสักคำเลยนี่น่าแล้วทำไมคนๆ นี้ถึงได้รู้เรื่องที่ผมคิดกับตัวเองล่ะเนี่ย!? ผมมองพี่ซูสด้วยความแปลกใจ หรือว่าสีหน้าของผมมันแสดงชัดเจนขนาดนั้นเลยเหรอ? ผมจับหน้าของตัวเองด้วยความรู้สึกกังวลใจ
“เอ๋ เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อนเลยนะ?”
“...” ก็คงจะเป็นตอนที่ถูกชนครั้งนู้นล่ะมั้ง ผมยิ้มตอบกลับเล็กน้อย พี่เขาจะจำผมไม่ได้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเพราะตอนนั้นเหมือนจะรีบๆ อยู่นี่น่า พี่พอลทำเสียงจุ๊ปากแล้วเข้ามาแยกผมออกจากพี่ซูส
“พี่อย่ามาใช้มุกจีบโบราณแบบนั้นเลยน่า”
“...ห๊ะ?”พี่ซูสเลิกคิ้วตกใจหันไปมองพี่พอลอย่างไม่เข้าใจก่อนจะหัวเราะเบาๆ แล้วส่ายหน้าพร้อมกับโบกมือปฏิเสธอย่างจริงจัง
“จีบอะไรกัน ก็เคยเห็นที่ไหนมาก่อนจริงๆ อ่า ตอนนั้นต้องขอโทษด้วยจริงๆ ผมต้องไปทำธุระก็เลยรีบเดินไปหน่อยน่ะ”พี่ซูสหันมาเอ่ยขอโทษกับผมอย่างสุภาพ อ๊ะ จำได้ด้วยงั้นเหรอ!? ผมทำหน้าแปลกใจอีกฝ่ายก็แค่ยิ้มรับแล้วหันไปหาพี่พอลที่มองพี่เขาอย่างระแวง
“พี่ซูสครับ รีบไปหาเฮเลนไม่ใช่เหรอครับ?”พี่พอลเตือนเสียงราบเรียบ พี่ซูสหันมองคนเตือนพร้อมกับหรี่ดวงตาลงด้วยครุ่นคิดอะไรบางอย่างก่อนที่พี่เขาจะยกมือเอื้อมไปจับไหล่ของพี่พอล
“โอ๊ย!”
จู่ๆ พี่พอลก็สะดุ้งโหยงเหมือนถูกไฟช็อตก่อนจะทรุดตัวลงกับพื้นอย่างหมดเรี่ยวแรงพี่พอลกัดฟันกรอดกุมไหล่เงยหน้าถลึงตาใส่พี่ซูสอย่างโมโห พี่ซูสยักไหล่ไม่สนใจใยดีก่อนจะหันไปมองผมที่มองมือข้างลำตัวของพี่ท่านอย่างสงสัย พี่ซูสยกมือนั้นขึ้นมายื่นมาหาผมที่ยืนใจเต้นตูมตาม วินาทีที่กำลังจะถูกจับพี่พอลก็ลุกขึ้นมาดึงตัวผมให้หลบไปเสียก่อน พี่ซูสมองผมที่ถูกดึงตัวปลิวแล้วยิ้มค้างบนใบหน้าก่อนจะกรีดนิ้วมือกำหมัด
เฮ้ย! จะชกกันเลยเหรอครับ!? พวกพี่เป็นญาติกันไม่ใช่เหรอ!? เมื่อกี้ยังดีๆ กันอยู่เลย พี่พอลดันผมออกห่างเมื่อพี่ซูสส่งหมัดแย็บมาอย่างรวดเร็ว พี่พอลรับหมัดนั้นเอาไว้พร้อมกับขมวดคิ้วแน่น อย่าใช้กำลังในโรงพยาบาลกันเลยครับ มันรบกวนคนไข้! ผมยืนเหงื่อแตกพรากมองพี่สองคนที่ยืนจ้องกันเขม็ง พี่ซูสฉีกยิ้ม
“อ้อ~ แกชอบน้องคนนี้งั้นเหรอ? ถึงว่าแกถึงได้มีปฏิกิริยาแบบนี้กับฉัน หึๆ”
“อย่ามาอ่านความคิดของคนอื่นสุ่มสี่สุ่มห้าสิครับ!”พี่พอลสะบัดมืออกจากพี่ซูสอย่างอารมณ์เสีย ก่อนที่จะหันมาหาผมด้วยสายตาหวั่นๆ ส่วนผมก็ถอนหายใจอย่างโล่งใจเมื่อทั้งสองเลิกทะเลาะกันสักที ฟู่ นึกว่าจะเกิดการวิวาทซะแล้วสิ พี่ซูสกันมาหาผมแล้วหัวเราะเล็กน้อยพี่เขาหันตัวโบกมือลาไปเงียบๆ แต่แล้วก็เหมือนจะคิดอะไรได้ก็หมุนตัวกลับมา
“เอ่อ! เธอน่ะชอบเฮดีสสินะ?”
“แค่กๆ!”ผมถึงกับไอออกมาทันที พูดอะไรบ้าๆ!! ผมยกมือขึ้นพยายามจะโบกมือปฏิเสธข้อกล่าวหาแต่จนแล้วจนรอดก็ไม่กล้าที่จะปฏิเสธ โธ่เอ๊ย! ผมไม่อยากจะโกหกเลย ชอบหรือไม่ชอบตัวผมเองก็ยังสับสนอยู่เลย! พี่ซูสหัวเราะร่าแล้วส่ายนิ้วไปมา
“มันได้ยินจากตรงนี้ของเธอ”พี่ซูสใช้นิ้วจิ้มลงบนอกซ้ายของตัวเองแล้วหมุนตัวเดินละลิ่วจากไปอย่างไม่หวนกลับมาอธิบายใดๆ หา? ตรงอกซ้าย? หัวใจ? บะ...บ้าน่ะสิ! หัวใจของผมมันจะไปมีเสียงได้ยังไง!? อีกอย่างขนาดตัวผมยังไม่รู้เลยแล้วคนอื่นจะมารู้ดีไปกว่าผมได้ยังไง!? นี่มันเรื่องล้อเล่นใช่ไหม!? ละ...แล้วทำไมผมต้องหน้าแดงด้วยฟะ!?
“อย่าไปสนใจคนๆ นั้นเลย พวกบ้าน้องน่ะ”พี่พอลโพล่งขึ้นมากลางปล่องความคิดอันวุ่นวายสับสนของผม ผมหันไปมองพี่พอลที่ยกมุมปากยิ้มเยือกๆ ยังไงพิกล ผมกะพริบตาปริบๆ ไม่เข้าใจท่าทางของเปลี่ยนไปนิดๆ ของเขา คงจะโกรธพี่ซูสอยู่ล่ะมั้ง? เอ๋? ว่าแต่ตอนนั้นพี่ซูสทำอะไรพี่พอลถึงขนาดทรุดตัวหมดแรงขนาดนั้นได้น่ะ?
“รัญเองก็รีบๆ กลับดีกว่าไหม? ที่นี้ไกลจากบ้านรัญเดี๋ยวจะมืดค่ำซะก่อน”
“อ้อ ครับ คือผมรอเพื่อนอยู่น่ะ”
“งั้นเหรอ งั้นพี่รอเป็นเพื่อนนะ”
“เอ่อ...”ผมอยากจะปฏิเสธแต่ก็ไม่สามารถทำได้เพราะรอยยิ้มที่เหมือนจะกดดันไม่ให้บอกปัดของพี่พอลแข็งทื่อ ไม่ต้องรอนานพี่ไนซ์ที่ใส่ชุดไปรเวตก็เดินเข้ามาหาผมด้วยท่าทีร่าเริงเป็นปกติ โบกมือเรียกผมพร้อมกับยิ้มมาแต่ไกลเลยล่ะครับ พี่พอลหันไปมองแล้วเบิกตากว้างอย่างตกใจ
“เฮดีส?”
นั้น ว่าแล้วต้องเข้าใจผิดเป็นพี่เฮดีสแน่ๆ พี่พอลถลึงตาแทบจะกระดอนออกจากเบ้าเพราะพี่เฮดีสที่เจ้าตัวคิดไปเองเดินยิ้มร่าเข้ามานั้นเอง ถ้าพี่พอลเป็นญาติกับพี่ซูสล่ะก็ต้องรู้จักพี่เฮดีสแน่ๆ นั้นทำให้เขาตกใจจนพูดอะไรไม่ถูกไปชั่วคณะ พี่ไนซ์เดินมาหยุดตรงหน้าของผมและพี่พอล
“เฮดีส?”
“ครับ?”พี่ไนซ์เอียงหน้ายิ้มเล็กน้อยแล้วตอบรับอย่างสุภาพ ปฏิกิริยาตอบกลับอย่างสุภาพชนที่ทำเอาพี่พอลหน้าซีดเผือก พี่ไนซ์รับเป็นพี่เฮดีสทำไมอะ? ผมกำลังจะพูดอะไรบางอย่างแต่พี่ไนซ์ขยับตัวแล้วมาหาผมแล้วใช้ไหล่กระแทกผมเบาๆ อย่างสนิทสนม พี่พอลจ้องพวกเราสองคนเขม็ง ทำไมล่ะ!? เดี๋ยวพี่พอลก็เข้าใจผิดหรอกครับ ผมเงยหน้ามองพี่ไนซ์อย่างไม่เข้าใจ
“รัญ พี่ขอตัวก่อนล่ะกัน”พี่พอลหันมามองผมแล้วเอ่ยลาอย่างยากลำบากก่อนจะชำเหลืองสายตาไปมองพี่ไนซ์ที่ยังยิ้มกว้างบนใบหน้า พี่พอลคิ้วกระตุกยิกๆ ก่อนจะสะบัดตัวเดินออกไปอย่างไวจนผมยังไม่ทันได้เอ่ยลาสักประโยค
“นั้นใครน่ะ?”หลังจากพี่พอลเดินไปลับตา พี่ไนซ์ก็ก้มหน้าแคะเล็บเอ่ยถามอย่างไม่ใส่ใจนัก
“ญาติพี่ไง”
“หือ? ไม่ยักกะรู้ว่ามีญาติไร้ความเป็นมิตรขนาดนั้นอยู่ด้วย”
ก็แน่ล่ะ เล่นไปพังร้านที่เขาทำงานขนาดนั้นแถมยังตั้งใจทุ่มโต๊ะเก้าอี้กะจะเอาชีวิตกันแบบนั้นจะให้เป็นมิตรมันก็ออกจะทำร้ายจิตใจกันเกินไป ผมตัวสั่นเมื่อคิดถึงเหตุการณ์วินาศสันตะโรในครั้งนั้น พี่ไนซ์ไม่พูดอะไรอีกพี่เขากระโดดกอดคอผมแล้วลากเดินออกไปนอกตึกพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“เอาล่ะ พวกเรารีบไปจัดการธุระสำคัญกันดีกว่า ป่านนี้เจ้าบ้านั้นรอจนแก่แหงกแล้วมั้ง หึๆ”
“ผมขอทำใจก่อนได้ไหม?”
พอคิดถึงบุคคลที่ได้นัดไว้แล้วจิตใจพาลห่อเหี่ยวแห้งแล้งขึ้นมาทันที เฮ้อ รู้สึกเครียดจนผมจะหงอกหมดหัวแล้วเนี่ย ทำไมผมต้องมาเจอะเจอกับปัญหาหนักอกหนักใจแบบนี้ด้วย ไม่รู้ว่าตอนเจอหน้าผมควรจะทำตัวยังไงดี ก็ดันไปล่วงรู้ในสิ่งที่แม้แต่ญาติหรือเพื่อนสนิทของเขาไม่รู้นี่น่า พี่ไนซ์หัวเราะเบาๆ กับคำบ่นของผม
“เอาน่า ระหว่างไปก็นั่งทำใจไปพลางๆ ล่ะกัน เอากุญแจมาเดี๋ยวพี่ชายคนนี้จะขับเอง”
“พี่รู้ทางเหรอ?”
“เธอก็บอกสิ”
พี่ไนซ์ยักไหล่ตอบอย่างสบายๆ แบมือกระดิกนิ้วขอกุญแจรถจากผม ผมล้วงเอากุญแจวางบนมือนั้นอย่างไม่วางใจนัก มันจะดีเหรอที่ให้คนป่วยใกล้ผ่าตัดมาขับเนี่ย? พี่ไนซ์ใส่กุญแจสตาร์ทเครื่องอย่างคล่องแคล่วจากนั้นก็โบกมือเรียกให้ผมไปซ้อนท้ายพร้อมกับยื่นหมวกนิรภัยมาให้ด้วย ผมรับมาสวมแล้วกระโดดขึ้นซ้อนท้ายรวดเร็วแล้วพวกเราก็ออกเดินทางกันเพื่อไม่ให้เสียเวลาไปมากกว่านี้
“เมื่อกี้ผมเจอพี่ซูสด้วย”
“อ่าฮะ มีบุญวาสนาได้เจอท่านประธานซะด้วยสิ”พี่ไนซ์หัวเราะ ผมยกคิ้วขึ้น ท่านประธานงั้นเหรอ?
“นั้นพี่ชายของพี่ไม่ใช่เหรอ?”
“โอ๊ย พี่ชายของเฮดีสหรอก ก็เคยบอกไปแล้วนี่ว่าพี่ไม่รู้จักครอบครัวทางพ่อ”พี่ไนซ์ตอบกลับน้ำเสียงเรียบๆ
พี่ไนซ์ไม่รู้จักครอบครัวทางพ่อเลยสักคนเดียวตรงกันข้ามกับพี่เฮดีสไม่รู้จักญาติทางแม่แถมยังไม่รู้จักแม่ของตัวเองอีกต่างหาก ทำไมครอบครัวนี้ถึงได้พิลึกขนาดนี้กันนะ พี่ไนซ์เล่าให้ฟังว่าตอนเกิดแม่พาพี่เขาหนีไปจากพ่อ นี่ทำให้ผมติดใจสงสัยเป็นอย่างมากเลยล่ะ ทำไมคุณแม่พวกพี่ต้องหอบลูกหนีสามีของตัวเองด้วยวะ? พี่ไนซ์สันนิฐานว่าเพราะตอนนั้นพ่อมีภรรยาอยู่แล้วอาจจะทำให้แม่เสียใจหอบลูกหนีล่ะมั้งแล้วผมก็ถามต่ออีกว่าทำไมเอาแต่พี่ไนซ์ไปล่ะ? พี่ไนซ์ก็สันนิฐานอีกรอบว่าหอบเด็กหนีสองคนพร้อมกันอาจจะลำบากก็เลยเอาไปคนเดียว และนั้นแหละครับคือปัญหาของเรื่อง!
พี่เฮดีสอยู่กับพ่อและพี่ไนซ์อยู่กับแม่ คู่แม่ลูกหนีไปตั้งหลักปักฐานที่ประเทศแคนาดา ระหว่างนั้นพี่ไนซ์รู้ว่าตัวเองมีน้องฝาแฝดอยู่อีกคนซึ่งอยู่กับพ่อที่ประเทศบ้านเกิดเพราะคุณแม่รู้สึกผิดมากที่ตอนนั้นไม่สามารถเอาพี่เฮดีสมาด้วยได้ พี่ไนซ์พูดว่าคุณแม่ของพี่เขาเป็นทุกข์อย่างมากกับเรื่องนี้เพราะกลัวพี่เฮดีสจะกลายเป็นแบบพ่อ ฟังถึงตรงนี้ผมก็ติดใจสงสัยอีกรอบ แบบพ่อนี่หมายถึงยังไง? หมายความว่าพ่อของพวกพี่เป็นคนไม่ดีอย่างนั้นเหรอ? อาจจะใช่ก็ได้นะขนาดตัวเองมีลูกมีเมียแล้วยังจะมายุ่งกับผู้หญิงอื่นอีก แบบนี้ต้องไม่ใช่คนมีศีลธรรมแน่ๆ เลยครับ
และเรื่องก็มาถึงจุดสำคัญพี่ไนซ์ได้เจอกับผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งรู้จักกับพี่เฮดีสทำให้พี่ไนซ์ตัดสินใจกลับมาที่เมืองไทยเพื่อตามหาน้องชายและอยากจะให้แม่ได้เจอสักครั้ง ในช่วงนี้พี่ไนซ์พูดด้วยน้ำเสียงแปร่งๆ ที่ผมรู้สึกว่าผู้หญิงคนนั้นต้องมีอะไรมากกว่านี้แน่ๆ! ลางสังหรณ์ของผมมันเตือนอย่างชัดเจนเลยล่ะ สรุปพี่ไนซ์ดั้นด้นที่ไทยเพื่อหาน้องชายฝาแฝดในที่สุดก็เจอแต่ทว่า...น้องชายคนนั้นกลับไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับพี่ชายฝาแฝดและแม่เลยแถมยังเย็นชาจนน่ากลัว พี่ไนซ์บอกว่าตอนแรกไม่กล้าเข้าไปทักด้วยซ้ำเพราะกลัวตาย ฮา! เหมือนผมเลย ตอนแรกที่เจอกลัวแทบแย่แน่ะ
พี่ไนซ์ปฏิบัติตามตื้อน้องชายให้ไปเจอแม่แต่ก็ถูกเมินเฉยอยู่เสมอจนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้คุณแม่ของพี่ไนซ์และพี่เฮดีสเดินทางกลับมาที่เมืองไทยประกอบกับพี่ไนซ์ก็พบว่าตัวเองเป็นโรคหัวใจก็เลยร้อนใจอยากให้พี่เฮดีสได้คุยกับแม่สักครั้งก็ยังดี ทำไมชีวิตของพวกพี่ถึงได้เหมือนนิยายจังวะ ผมยังไม่มีอะไรดราม่าขนาดนี้เลยนะ นี่มันละครน้ำเน่าดีๆ นี่เอง!
ใช้เวลาพอสมควรพวกเราก็มาถึงบ้านของผมจนได้ ผมเบิกตามือจับเอวพี่ไนซ์แน่น แม่ง! พี่เป็นยังไงน้องก็เป็นอย่างนั้น!! พี่ไนซ์ขับรถได้เสี่ยวม้ามมากครับ ซิ่งยิ่งกว่าพี่เฮดีสซะอีก!!! ผมวิญญาณแทบจะหลุดออกจากร่างแน่ะ นี่มันคนป่วยจริงๆ เหรอวะ!? ไม่ค่อยจะเชื่อเล๊ย พอรถจอดผมก็รีบกระโดดลงจากมอเตอร์ไซค์ราวกับมันเป็นของร้อน เดินโซเซกุมหัวใจที่แทบจะวายป่วง พี่ไนซ์จอดเวฟป้าเดินเข้ามาดูอาการของผมด้วยท่าทางชิวเหลือหลาย ผมหรือพีไนซ์เป็นโรคหัวใจกันแน่เนี่ย?
“เป็นอะไรหรือเปล่า? หน้าซีดมากเลย”
“ไม่เป็นอะไรครับ แค่ตกใจนิดหน่อย”
“นี่ก็ขับธรรมดาแล้วนะ”พี่ไนซ์พึมพำทำหน้าไม่ค่อยเข้าใจกับอาการของผม ผมขึงตาใส่พื้นเบื้องล่าง ปกติพี่ขับรถยังไงไม่ทราบ!? เร็วท้าทายยมบาลขนาดนี้ยังเรียกว่าธรรมดาอีก! พี่ไนซ์ตบหลังของผมอย่างปกปลอบใจ ผมหายใจคล่องแล้วยืดตัวขึ้นยืนตัวตรง โอเค ตอนนี้เกือบจะปกติร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วแต่ว่าในใจมันรู้สึกหวั่นๆ ยังไงไม่รู้ แค่คิดว่าอีกเดี๋ยวต้องไปยืนต่อหน้าของพี่เฮดีสแล้วท้องมันปั่นป่วนวุ่นวาย สมองเริ่มติดๆ ขัดๆ ขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ โอ๊ย ไอ้รัญอย่าเพิ่งอาการกำเริบสิโว้ย!
“ไปๆ! บ้านพี่ยูอะไรนั้นอยู่ไหนล่ะ?”พี่ไนซ์เดินเข้ามากอดคอผมอย่างสนิทสนม อ่า อย่าเพิ่งมาเร่งกันสิครับพี่ ผมเพิ่งฟื้นคืนชีพจากรถเที่ยวด่วนตายไม่นานเลยนะ ผมชี้นิ้วไปที่บ้านถัดไปคนตัวสูงกว่าก็ลากคอของผมมาที่บ้านพี่ยูในทันที อ่า! ให้ตายสิ ในที่สุดมันก็ถึงเวลาแล้วสินะ ผมกลั้นหายใจพยายามปลุกใจให้ฮึมเหิมด้วยการชูหมัดที่กำแน่นขึ้นปฏิญาณ พี่ไนซ์หัวเราะขำกับท่าทีปลุกขวัญกำลังใจของผมแล้วดึงมือผมเดินข้ามรั้วบ้านพี่ยูเข้าไป
ปัง!
“ไอ้รัญญญ! มาช้า...อ๊ากกก ผีหลอกกก!!!”พี่ยูเปิดประตูบ้านพุ่งออกมาด้วยสีหน้าโมโหโวยวายไปได้แค่ครึ่งประโยคก็ชะงักเมื่อเห็นคนที่มากับผม พี่ยูหันกลับไปมองข้างหลังแล้วหันกลับมามองข้างหน้า หน้าของพี่ยูเขียวคล้ำอย่างรวดเร็วก่อนจะร้องเสียงหลงดังลั่นซอย พี่ยูกระโดดเหยงๆ หลบไปแอบประตูอย่างว่องไวก่อนจะโผล่หัวออกมามองแล้วเบิกตากว้าง
“แม่เจ้า! ไอ้เฮดีสแยกร่าง!!”
“อะแฮ่ม สวัสดีครับ”พี่ไนซ์แอบขำก่อนจะกระแอมในลำคอแล้วหันไปยิ้มกว้างเอ่ยทักทายพี่ยูอย่างเป็นกันเอง พลังรอยยิ้มอันสดใสสยบใจนางพยาบาลทั่วหล้าของพี่ไนซ์ทำให้พี่ยูกระพริบตาปริบๆ แล้วแก้มแดงหลุบไปแอบหลังประตูก่อนจะค่อยๆ โผล่มาเมียงมองด้วยอาการเขินอาย พี่ยูครับอย่าเพิ่งหลงเสน่ห์เจ้าพ่อลูกสองอย่างหมอนี้นะครับ ใจเย็นๆ ครับพี่ยู!
“...มาที่นี้ได้ยังไง?”เสียงทุ้มต่ำที่เย็นยะเยือกดังขึ้นทำให้บรรยากาศขำขันของพี่ยูถูกพัดหายไปลับตาโดยมีลมหนาวเหน็บเข้ามาแทนที่ เงาดำที่สูงใหญ่หน้าประตูค่อยๆ เดินออกมาปรากฏตัวด้วยใบหน้าทะมึนตึง คิ้วเข้มขมวดจนชิด ดวงตาดุร้ายราวกับสัตว์ป่าจ้องคนที่เหมือนตัวเขาอย่างกับแกะโรจน์แววแสง ผมกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น รู้สึกว่ามือเย็นไร้ความรู้สึกเมื่อถูกดวงตาไร้ชีวิตชีวาชวนขนลุกคู่นั้นเบือนมาจับจ้อง พี่ไนซ์บีบมือของผมแน่น ยิ้มรับแล้วเอ่ยตอบด้วยท่าทางสบายๆ
“ก็มาหาน้องชายที่ใจจืดใจดำไม่ยอมไปให้เห็นหัวน่ะสิ”
พี่เฮดีสหลับตาลง ริมฝีปากเม้มเป็นเส้นตรง เวลาแค่พริบตาเดียวแต่ผมเหมือนมันนานแสนนานพี่เฮดีสค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ เหมือนกำลังอดกลั้นบางอย่างด้วยความยากเย็น แนวกรามขบกันแน่น ผมยังสั่นงัก ท่าทางแบบนั้นน่ากลัวเป็นบ้าเลยเหมือนภูเขาไฟค่อยๆ ปะทุอย่างช้าๆ แต่รุนแรง
“...รนหาที่ตายจริงๆ”พี่เฮดีสหันตัวก้าวเท้ามาที่พี่ชายฝาแฝดด้วยดวงตาวาวแสง ผมกับพี่ไนซ์สะดุ้งโหยงก้าวถอยหลังอย่างลืมตัวเพราะบรรยากาศกดดันแทบจะหายใจไม่ออก ผมอยากจะร้องไห้ มันน่ากลัวจริงๆ นะครับ พี่ยูเห็นท่าไม่ดีแล่นออกมาจากเกาะกำบังมาคว้าตัวของพี่เฮดีสเอาไว้แน่น
“ใจเย็นโว้ยเพื่อน!”
“ปล่อย!”
พี่เฮดีสตวาดเสียงแข็งกร้าวและดุร้ายน่ากลัวจนผมกลัวแทนพี่ยู พี่ยูผู้รักตัวกลัวตายรีบปล่อยมืออย่างรวดเร็ว เป็นผมผมก็ปล่อยเหมือนกันแหละ พี่เฮดีสจ้องเขม็งพี่ไนซ์อย่างไม่พอใจแล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่ต่างจากเดิม
“กูบอกให้ปล่อย! ไม่ได้ยินหรือไงวะ!?”
“กูปล่อยนานแล้ว!”พี่ยูแทบจะร้องไห้
“ไม่ใช่มึง กูหมายถึงนั้นต่างหาก!”
พี่เฮดีสถอนหายใจอย่างหงุดหงิดหมุนตัวไปเตะพี่ยูดังป้าบแล้วกัดฟันกรอดชี้นิ้วยิกๆ มาทางผมกับพี่ไนซ์ ห๊ะ? นั้นที่ว่าเนี่ยหมายถึง... ผมก้มตัวลงมองมือของตัวเองกับพี่ไนซ์ที่จับกันแน่น(เพราะความกลัว) พวกเราผงะรีบปล่อยมือกันทันที พี่เฮดีสทำเสียงขึ้นจมูก
“...ฮึ ทุเรศ”
หัวใจของผมหล่นวูบ
แปะๆ ขอต้อนรับการกลับมาของเฮดีส ซูส และอะพอลโล!
แหม่ ครอบครัวเทพทยอยกันมาจริงๆ และทยอยเปิดเผยความลับ(?)
ตอนหน้าเฮดีสกับไนซ์มีปากเสียงกันแน่ๆ จะเป็นศึกชิงนาย(?)หรือเปล่า 555
ป.ล. ว่างๆ จะลงสีล่ะกัน ตอนนี้ไม่ว่าง!