Ai Adore You.
#ขอรักแค่คุณ
ตอนที่ 22
พิชช์ฌานสะดุ้งตื่นตั้งแต่เช้ามืด ภายในห้องพักมืดสลัวเห็นแค่เงารางๆ แขนข้างซ้ายของเขาหนักอึ้งเหมือนมีก้อนหินถ่วงเอาไว้ ปลายนิ้วชาแทบไม่รู้สึก
‘ก้อนหิน’ ยังคงนอนหลับทับแขนของเขาในท่าเดิมตั้งแต่เมื่อคืน แล้วเขาก็ขี้เกียจเกินกว่าจะดันตัวอีกฝ่ายออก ปล่อยเลยตามจนกระทั่งเหน็บกินไปหมดทั้งซีก ศีรษะกลมทุยซบอยู่ที่ไหล่ รู้สึกได้ว่าหัวไหล่เปียกไปหมดแล้วเพราะใครบางคนนอนน้ำลายยืดแน่ๆ
เหอะ...นึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนขึ้นมาได้ เจ้าโอเมก้าทำตัวเหมือนไอ้โม่งมากอดแขนเขาเอาไว้พร้อมกับทำตาปริบๆ เห็นแล้วน่าเขกหัวให้สักที ปากก็บ่นอะไรไม่รู้ฟังไม่ได้ศัพท์ กว่าจะตะล่อมให้ยอมไปนอนก่อนได้ก็เล่นเอาเหนื่อยใจ คนยังไม่ได้อาบน้ำเลยจะให้เข้านอนได้ยังไง เกาะติดเป็นตังเม แหม...อีกนิดก็คงจะมานั่งเฝ้าเขาอาบน้ำแล้วมั้ง
น่ารำคาญจริงๆ ทำตัวเหมือนเด็กไม่ยอมโต นี่ถ้าไม่ติดว่าดึกแล้วนะ จะแกล้งให้นั่งหงิกอยู่ในตู้เสื้อผ้าทั้งคืนเลย เด็กบ้า...เอาเสื้อผ้าเขาไปใส่เองหมดจนเขาไม่มีชุดนอนใส่ จะขอคืนก็ไม่ยอมถอดออก ชุดนอนของตัวเองมีก็ไม่ใส่ พอเขาจะเอาของตัวไปใส่บ้างก็โวยวายกลัวชุดขาดอีก
“อาคิราห์” พิชช์ฌานขยับตัว ใช้มือขวาจิ้มที่หน้าผากเนียนแล้วดันออกจากไหล่ของเขา อีกฝ่ายครางอืออาไม่ยอมลืมตา “ตื่นเร็ว ใครบอกอยากดูพระอาทิตย์ขึ้นไม่ใช่หรอ” แอบเขี่ยปลายจมูกรั้นๆนั้นเล่น เจ้าของย่นจมูกหันหน้าหนีแต่ไม่ยอมปล่อยแขนของเขาอยู่ดี “อัยย์ นับถึงสาม”
“อือ” เปลือกตาขยับหยุกหยิก พอนับถึงสาม เจ้าตัวก็ลืมตาขึ้นอย่างงัวเงีย พิชช์ฌานถอนหายใจเฮือก ดันตัวเจ้าโอเมก้าออก “เช้าแล้วเหรอ”
“เช้าจนจะเที่ยงแล้ว ตื่นช้าก็ไม่ต้องกินแล้วนะบุฟเฟ่ต์ตอนเช้าน่ะ ไม่ต้องไปตกปลาด้วย”
คราวนี้คนง่วงลืมตาโพลง ดึงตัวลุกขึ้นมานั่งทันที กระวีกระวาดลงจากเตียงไปเข้าห้องน้ำอย่างขมีขมัน กลับออกมาในสภาพที่ใบหน้าเปียกชุ่ม ท่าทางสดใสขึ้นกว่าเดิมมาก อาคิราห์เดินกลับมาขมวดคิ้วเท้าสะเอวจ้องดูนาฬิกาพรายน้ำที่บอกเวลาตีห้าครึ่ง
“ไหนคุณว่ามันเช้าจนเกือบเที่ยงแล้วไง ยังไม่หกโมงเลย” อัยย์ร้อง
“เอ้า...ใครจะไปนึกว่าจะเชื่อล่ะ ก็เห็นอยู่ว่ายังมืดอยู่เลย” คนบนเตียงตอบกลับมากลั้วหัวเราะ ขยับลงจากเตียงบ้าง
“ผมนึกว่าคุณปิดผ้าม่าน” อาคิราห์เม้มปาก “แล้วก็ช่วยเอาผ้าห่มหรืออะไรห่อตัวด้วย คนอะไรชอบโชว์เรือนร่าง” เขายกมือขึ้นปิดตาเบือนหน้าหนีจากร่างสูงใหญ่ที่สวมเพียงอันเดอร์แวร์เอาไว้ตัวเดียว
“เอาชุดฉันไปใส่เองอย่ามาบ่น ทำเป็นไม่เคยเห็นไปได้ ทีเมื่อคืนยังนอนกอดได้ทั้งคืน” พิชช์ฌานลดเสียงลงแล้วหัวเราะในลำคอ
คนฟังตวัดสายตามองตาเขียวแล้วก็รีบเดินออกไปยังระเบียงข้างนอกแทน ท้องฟ้าเริ่มมีแสงของดวงอาทิตย์ปรากฏที่ขอบฟ้า อาคิราห์ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้สาน ทอดสายตามองพระอาทิตย์ขึ้นอย่างรอคอย
พิชช์ฌานกลับออกมาสมทบในชุดเสื้อคลุมอาบน้ำเรียบร้อย ชายหนุ่มส่งแก้วนมสดไปให้เจ้าโอเมก้ารับเอาไว้ ส่วนตัวเองเป็นกาแฟดำรสเข้มแก้อาการเวียนหัวตั้งแต่เช้า แสงสีส้มอ่อนเริ่มแผดแรงกล้าขึ้นทีละน้อยตามเวลาที่ผ่านไป พระอาทิตย์ดวงโตลอยขึ้นเหนือผิวน้ำ
“คุ้มค่าที่ตื่นเช้าไหม”
“อืม...ดีมาก” อาคิราห์พึมพำ จิบนมสดเย็นๆจนหมดแก้ว รู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่ามากกว่าทุกวัน อาจเป็นเพราะว่าวันนี้เขามีแผนการมากมายรออยู่ “เราจะไปตกปลากันกี่โมง” เขาหันไปถามนักการเมืองหนุ่มที่นั่งจิบกาแฟนิ่งอยู่ “เคลียร์ธุระเสร็จก็ไป”
“แล้วเมื่อไหร่จะเสร็จล่ะ”
“เธอเก็บของเสร็จหรือยัง”
“เก็บไม่นานก็เสร็จ” อาคิราห์ลุกขึ้นกลับเข้าไปเก็บข้าวของที่เมื่อวานรื้อค้นออกมากองกระจุยกระจายกลับเข้ากระเป๋าตามเดิม พิชช์ฌานเดินตามเข้ามาบ้าง ชายหนุ่มหายเข้าไปในห้องน้ำแล้วกลับมาแต่งตัวอย่างใจเย็น
จัดการธุระส่วนตัวจนเรียบร้อย เจ้าโอเมก้าก็มานั่งลูบคลำเบ็ดตกปลาอันใหม่ของตัวเองระหว่างรอให้พิชช์ฌานคุยโทรศัพท์เสร็จ
“ลงไปทานข้าวกัน ฉันให้คนหาเรือไว้ให้แล้ว มื้อเที่ยงเราจะกินข้าวบนเรือ..ดีไหม”
“สุดยอด” อัยย์ยิ้มกว้าง ยกนิ้วโป้งขึ้นชูสองข้าง แววตาสดใสของเจ้าตัวทำให้คนมองยิ้มตามบ้าง ถึงจะรู้ว่าตัวเองสุดยอดก็จริง แต่การได้ยินอีกคนชมดื้อๆแบบนี้ก็รู้สึกดีไม่ใช่เล่น พิชช์ฌานเดินผิวปากนำหน้าลงมายังห้องอาหาร
ธีรดลรออยู่ก่อนแล้วพร้อมกับคนในทีม พูดคุยทักทายกันแล้วก็เริ่มรับประทานอาหารเช้า ตลอดเวลาอาคิราห์แทบไม่ได้ร่วมการสนทนาเลย เจ้าตัวก้มหน้าก้มตากินลูกเดียว
“อาหารอร่อยไหมครับคุณอัยย์” ช่วงหนึ่งที่ธีรดลหันมาถามยิ้มๆ อาคิราห์พยักหน้ารับ หันไปสบตากับสามีที่นั่งอยู่ข้างๆแวบหนึ่ง
ดูท่าคงจะคืนดีกันได้แล้วกระมัง ธีรดลคิดในใจ แต่ก็แปลกตรงที่เขาทราบข่าวมาว่าคุณรินลดาลูกสาวของคุณชาติชาย มาพักอยู่ด้วยที่รีสอร์ตเมื่อคืน จำได้ว่ารินลดากับพิชช์ฌานเคยควงกันออกหน้าออกตาอยู่พักใหญ่ก่อนจะเลิกรากันไป คราวนี้จะเป็นความบังเอิญหรือว่าอย่างไรกันแน่
ชาติชายก็เป็นนายทุนใหญ่ของพรรคอยู่แล้วเดิม หรือว่าจะมีข่าวใหม่อะไรที่เขายังไม่ทราบ...
“ผมเตรียมเรือเอาไว้ให้แล้วครับ” ชายหนุ่มพูด “คุณอัยย์คงชอบตกปลา”
“ครับ” อาคิราห์รับคำสั้นๆ ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกเลย
พิชช์ฌานเหลือบมองอย่างพอใจ วันนี้อาคิราห์ไม่ได้ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เหมือนเมื่อวาน ค่อยรู้สึกดีขึ้นหน่อย เขานั่งอยู่ตรงนี้ทั้งคนจะไปยิ้มให้คนอื่นได้ยังไง
เรือลำที่ธรดลเตรียมเอาไว้ให้เป็นเรือยอร์ชสีขาวขนาดกำลังกะทัดรัดน่าเอ็นดู อาคิราห์ตาโตรีบเดินขึ้นไปบนเรือพร้อมกับถือคันเบ็ดไปด้วยโดยมีเจนภพเดินตามประกบไปข้างหลังไม่ห่างเพราะกลัวเจ้านายกลิ้งตกเรือเสียก่อน
“ค่อยๆเดิน นี่ถ้าตกน้ำฉันไม่งมนะบอกก่อน” พิชช์ฌานตะโกนบอกตามหลัง ได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มๆดังขึ้นข้างๆจากเจ้าของเรือตัวจริง
“คุณอัยย์คงตื่นเต้นมากนะครับ” ธีรดลปรารภยิ้มๆ
“เขาก็แบบนี้ล่ะ ทำตัวเป็นเด็กๆไม่ยอมโต”
“คุณพิชช์ฌานคงจะเหนื่อย”
“ไม่หรอกครับ เห็นเขายิ้มผมก็หายเหนื่อยแล้ว” นักการเมืองหนุ่มตอบเนิบๆ เหลือบตามองนายทุนของพรรคคนใหม่ “คุณธีรดลก็รีบหาบ้างสิครับ”
“ผมก็กำลังมองๆอยู่ ถ้าได้เรื่องเมื่อไหร่ผมจะรีบส่งข่าวไปบอกคุณพิชช์ฌานคนแรก” ธีรดลพูดขรึมๆ แล้วยิ้มออกมานิดหนึ่ง “คุณคงรู้จัก..คุณรินลดา”
สีหน้าของคนฟังแทบไม่เปลี่ยน
“รู้จักสิครับ ลูกสาวของคุณชาติชาย...ได้ข่าวว่าเธอมาพักที่นี่ด้วย” พิชช์ฌานพูดเรียบๆ วางหน้าเฉยซ่อนความรู้สึกหงุดหงิดเอาไว้ได้มิดเม้น ทำเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาที่สุด “ผมก็เจอเธอเมื่อคืน”
“อ้อ เหรอครับ” ธีรดลผิดคาดไปเล็กน้อย เขาไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะพูดออกมาตรงๆ “มาได้จังหวะพอดีเลยนะครับ”
“ช่วงไฮซีซั่นนี่นะ” พิชช์ฌานพูด “เห็นว่าเธอมาพักผ่อนเหมือนกัน โรงแรมของคุณชื่อเสียงโด่งดัง ใครๆก็ย่อมอยากมาพัก” ชายหนุ่มปรายตามองอีกฝ่ายด้วยหางตาคมกริบ
ธีรดลขยับตัว
“ผมแค่อยากถามถึงคุณพ่อของเธอ คุณชาติชาย...ผมไม่ได้พบท่านนานแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นคุณลองถามเธอดูดีกว่าครับ เธอเป็นแขกของโรงแรมคุณ...ผมขอตัวไปลงเรือก่อน ไว้เจอกันนะครับ” พิชช์ฌานยิ้มมุมปาก เดินตามหลังอาคิราห์และลูกน้องไปที่เรือบ้าง มือขวาคนสนิทเดินเข้ามาหาอย่างรู้ใจ
“จับตามองธีรดลกับรินลดาให้ที ถ้าฉันเดาไม่ผิด นายธีรดลนี่คงอยากได้ข้อเสนออะไรเพิ่มอีกแน่ๆ” พิชช์ฌานพูดเสียงต่ำ
“แต่ที่คุณฌานเสนอให้ก็คุ้มค่ามากแล้วนะครับ” เจนภพแย้ง
“ความโลภของคนไม่รู้จักพอ” ชายหนุ่มพูดเนิบๆ ทอดสายตามองร่างโปร่งบางที่กำลังยืนเก้ๆกังๆหิ้วถังน้ำอยู่หัวเรือ “นั่นอาคิราห์กำลังทำอะไรน่ะ เดี๋ยวก็ตกน้ำตกท่าไปหรอก” พูดจบก็ก้าวยาวๆตามออกไป ทิ้งให้มือดียืนถอนหายใจคนเดียวด้วยความกังวล
เรือแล่นปราดออกไปกลางทะเล คลื่นลมแรงและแสงแดดจัดจ้าทำให้อาคิราห์อารมณ์ดีมากกว่าปกติ ชายหนุ่มหิ้วถังน้ำพร้อมอุปกรณ์ตกปลาครบครันเดินไปรอบๆเพื่อมองหาทำเลเหมาะๆ ตัวโคลงเคลงไปมาเพราะคลื่นที่ปะทะใต้ท้องเรือไม่หยุดหย่อน
“อาคิราห์ ระวังลื่นตกน้ำหรอก ตกลงไปฉลามกินไม่รู้ด้วยนะ”
“แถวนี้ไม่มีฉลามหรอกน่า อย่ามาหลอกผมให้ยาก” เจ้าโอเมก้าตอบกลับมาด้วยเสียงยานคาง ยกมือขึ้นป้องแดดมองย้อนกลับไปทางด้านหลังชายฝั่งที่จากมา “เรายังออกมาไม่เท่าไหร่เลย”
“รู้ได้ยังไงว่าไม่มี ที่ไหนมีปลามีอาหารก็มีฉลามได้ทั้งนั้นนั่นแหละ กลับไปทาครีมกันแดดซะ ตัวแดงเป็นกุ้งแล้ว” พิชช์ฌานเดินมาถึงตัวก็คว้าต้นแขนอีกฝ่ายเอาไว้ พาลากกลับเข้ามาในร่ม “เอาไว้เขาจอดเรือก่อนค่อยออกไป เธอไปตกตอนนี้จ้างให้ก็ตกไม่ได้ ถามจริง..ตกปลาเป็นหรือเปล่า”
“ผมเคยตกปลาหรอกน่ะ ที่บ้านผมมีทะเลสาบ” อัยย์พูด ดึงแขนออกจากการเกาะกุม
“ฉันว่าฉันเคยไปบ้านเธอนะ บ้านเธอไม่มีทะเลสาบ”
“บอกว่ามีก็มีสิ อยู่หลังบ้าน...คุณไม่เห็นเองมากกว่า” อาคิราห์พูดอุบอิบ “แต่มันไม่ใหญ่มาก”
“เหรอ แล้วมันเป็นยังไง เล่าให้ฉันฟังซิ” พิชช์ฌานว่า มือก็เทครีมกันแดดลงบนฝ่ามือแล้วจัดการชโลมใส่หลังไหล่ของเจ้าโอเมก้าให้อย่างคล่องแคล่ว
“มันมีปลาเยอะเลย ผมกับคินชอบแอบไปตกเล่นกัน คินเป็นคนสอนผมตกปลาล่ะ” อาคิราห์ยื่นแขนให้อีกคนทาครีมกันแดดให้แต่โดยดี “แต่วันดีคืนดีก็โดนจับได้ พ่อโกรธใหญ่เลยเพราะมันเป็นปลาที่เขาเลี้ยงเอาไว้”
“อ้าว...เธอไปตกปลาในบ่อปลาน่ะรึ ก็สมควรโดนดุแล้ว” พิชช์ฌานหัวเราะ
“ใครจะไปรู้ว่ามันเป็นบ่อปลาล่ะ คินบอกผมว่ามันเป็นที่สาธารณะ ใครจะมาตกเล่นก็ได้ เหมือนทะเลสาบพ่อชอบพาคินไปตกปลาตอนว่างๆ” อาคิราห์เล่าด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย ยกขาตัวเองออกจากตักของนายพิษฌาน “คุณตกปลาเป็นหรือเปล่า”
“เรื่องเล็ก ฉัน...”
“ฉันเป็นแชมป์ตกปลาสมัยเรียนมหาวิทยาลัย..” พิชช์ฌานอ้าปากค้าง เขายังไม่ทันพูดจบก็ถูกอีกคนพูดดักคอขึ้นมาเสียก่อน อัยย์หัวเราะกิ๊ก “ผมพูดถูกไหม”
ตาคมตวัดมองเขาเร็วๆคล้ายค้อน
“เกือบถูก จริงๆคือฉันเป็นแชมป์สมัยเรียนประถมต่างหาก”
อาคิราห์ยิ้มกว้างออกมาอีก
เรือลดความเร็วลงแล้วปล่อยให้ไหลเอื่อยๆไปตามกระแสน้ำ อาคิราห์ลากถังเดินออกไปปักหลักที่มุมเหมาะๆ กวัดแกว่งคันเบ็ดไปมาให้ดูเหมือนผู้เชี่ยวชาญเสียหน่อย พอได้จังหวะก็เหวี่ยงเบ็ดไปข้างหน้าเต็มแรง
“โอ๊ย!” เสียงลูกน้องของพิชช์ฌานที่ยืนเฝ้าอยู่ข้างหลังอุทาน ยกมือขึ้นกุมหูเอาไว้แน่น คนตกปลาสะดุ้งหน้าเสียรีบเดินเข้าไปหาอย่างตกใจ
“เป็นอะไรไปครับ ผมเหวี่ยงโดนเหรอ” อัยย์ชะเง้อมองอย่างกังวล เห็นลูกน้องของพิษฌานค่อยๆแง้มมือออกมาให้เห็นติ่งหูที่มีเลือดออกซึมๆ “ตายล่ะ...ผมขอโทษนะ คุณคงโดนตะขอเบ็ดเกี่ยวเอา” เห็นเลือดออกก็ชักร้อนใจ เสียงฝีเท้าหนักๆของเจ้านายอีกฝ่ายเดินเข้ามาร่วมวงพอดี
“เกิดอะไรขึ้นอาคิราห์ โวยวายอะไร”
“คือ...เกิดอุบัติเหตุนิดหน่อยครับ” คนพูดหน้าจ๋อยด้วยความรู้สึกผิด “ผมเหวี่ยงเบ็ดไม่ระวังเลยเกี่ยวหูเค้าเอา”
“ไม่ใช่ความผิดของคุณอาคิราห์หรอกครับ ผมไม่ทันระวังตัวเอง” ลูกน้องตอบอย่างสำรวม พิชช์ฌานถอนหายใจเฮือก ไล่ให้ลูกน้องเข้าไปทำแผลข้างใน จากนั้นก็หันมาเท้าเอวใส่เจ้าโอเมก้าที่ยืนหงอยอยู่
“ไหนว่าตกปลาเป็นไงล่ะ”
“ก็เป็น...” อาคิราห์ก้มหน้าลง ไม่อยากสารภาพออกไปว่าความจริงแล้วเคยแต่คอยดึงเบ็ดขึ้นตอนมีปลามาตอดๆเท่านั้น ส่วนใหญ่อคินทร์แฝดคนพี่จะเป็นคนจัดการให้มากกว่า
พิชช์ฌานเอียงคอมองอยู่ครู่หนึ่งก็หมุนตัวเดินกลับไปหยิบคันเบ็ดที่วางทิ้งเอาไว้ขึ้นมาใหม่ ลงมือทำให้ดูเงียบๆโดยมีเจ้าโอเมก้ายืนดูอย่างสนใจ มือใหญ่ส่งคันเบ็ดกลับมาให้เขารับเอาไว้
“ตวัดข้อมือนิดนึง อย่าใจร้อน” คนพูดยืนซ้อนอยู่ข้างหลังอาคิราห์แนบชิด มือก็กุมทับหลังมือเล็กบางอยู่อีกที คนอยากตกปลาแทบไม่ได้ฟังเสียงห้าวๆที่พูดสอนอยู่ข้างหูเลยสักคำ รู้สึกสติแตกกระเจิงไปตั้งแต่ถูกโอบเอวตอนแรกแล้ว
พิชช์ฌานซ่อนยิ้มขันเอาไว้ในใจ เจ้าโอเมก้ายืนนิ่งขึงอยู่ในวงแขนของเขาพลางทำตามที่เขาบอกเหมือนหุ่นยนต์ ผิวแก้มนวลสีน้ำผึ้งแต้มสีแดงเรื่อน่าพิศ เห็นทีจะมีคน ‘เขิน’ เขาขึ้นมาบ้างเสียแล้ว
แบบนี้ต้องรุกอีก...เอาคืนที่เมื่อคืนทำเขาไปไม่เป็นจนเกือบเสียอาการ
นักการเมืองหนุ่มกระชับอ้อมแขนแน่นเข้าอีก มือที่ซ้อนทับกับมือที่จับคันเบ็ดของอาคิราห์อุ่นจัด กลิ่นเค็มๆของทะเลปนมากับกลิ่นหอมหวานเหมือนคุกกี้ที่แสนเคยชิน ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าปอดลึก
“เมื่อไหร่ปลาจะติดเบ็ด” คนโดนกอดอย่างจำยอมชักสงสัย เริ่มขยับตัวยุกยิก
“รักจะตกปลาต้องอย่าใจร้อน ไม่รู้หรือไง” พิชช์ฌานตอบกลับไป “หรือว่าแค่นี้ก็ไม่มีความอดทนพอ”
“ผมอดทนรอได้แต่ว่า...คุณถอยไปหน่อยได้มั้ย”
“ไม่ได้ เดี๋ยวเบ็ดกระตุกแล้วปลาจะตกใจ”
“จริงหรอ” อาคิราห์เงียบไปครู่ “คุณโม้แล้ว อย่ามาหลอกผมเสียให้ยาก”
พิชช์ฌานหัวเราะ ยอมปล่อยมือจากเอวของอีกฝ่ายแล้วยืนเป็นเพื่อนครู่นึง เจนภพเข้ามาหาเขาบอกว่ามีเรื่องสำคัญจะคุยด้วย
ชายหนุ่มปล่อยให้อาคิราห์นั่งเฝ้าคันเบ็ดต่อไป ส่วนตัวเองถอยกลับมาคุยเรื่องพรรคกับมือขวาต่ออย่างเคร่งเครียด ฝ่ายรัฐบาลเริ่มมีการเคลื่อนไหวอีกแล้ว
“ฝ่ายนั้นมีนัดพบกันลับๆที่บ้านของท่านไตรคุณอาทิตย์หน้าครับ สายของเราบอกมาว่ามีชื่อของนายชาติชายอยู่ด้วย เห็นทีคงจะแปรพักตร์ล่ะมั้งครับ”
“เขาคิดจะเอาเรื่องสัมปทานมาบีบฉัน” พิชช์ฌานยกมือขึ้นลูบปลายคาง “ทำไมชอบคิดตื้นกันจังนะ ไม่เข็ดกันบ้างหรือไง”
“คุณฌานจะให้ผมทำอะไรครับ”
“ฉันเคยได้ยินมาว่าสมัยรุ่นพ่อของฉัน นายชาติชายเคยขอให้พ่อช่วยปกปิดความผิดเรื่องเลี่ยงภาษีให้ เรื่องใหญ่โตพอดู ถ้าขุดขึ้นมาตอนนี้คงจะเสียมากกว่าเดิมหลายเท่า”
“แต่ว่าพรรคของเราจะดูไม่ดีนะครับ”
“พ่อของฉันไม่ได้อยู่ในพรรคแล้วนี่” ชายหนุ่มยักไหล่ “ดีเสียอีก จะได้โชว์ให้ประชาชนเห็นว่าพรรคเราโปร่งใสกันแค่ไหน ใครทำอะไรผิดก็ต้องได้รับโทษ”
“แต่คุณพ่อของคุณจะโดนหางเลขไปด้วย”
“พ่อเอาตัวรอดได้อยู่แล้ว ฉันรู้...เผลอๆพ่อก็รู้ว่าฉันคิดอะไรอยู่” หัวหน้าพรรคฝ่ายค้านพึมพำ
“แล้วเรื่องนัดพบที่บ้านท่านนายกฯ”
“ฉันคิดว่าอาคิราห์น่าจะอยากกลับไปค้างที่บ้านอาทิตย์หน้านะ” ชายหนุ่มยิ้ม
ตอนนั้นเองที่พิชช์ฌานเริ่มรู้สึกถึงความโคลงเคลงโยนไปโยนมาของเรือ เขาสะบัดศีรษะ หันไปมองที่ไกลๆ ความคลื่นไส้วิงเวียนเมื่อเช้าที่อุตส่าห์ดับลงไปด้วยกาแฟขมจัดเริ่มกลับคืนมาอีกครั้ง แถมหนักกว่าเดิมเสียอีก
คนของธีรดลมาทำหน้าที่เป็นไกด์เข้ามาบอกว่าตรงนี้สามารถลงดำน้ำได้ อาคิราห์ที่เริ่มหมดความอดทนกับการตกปลารีบลุกขึ้นยืนทันที ตรงดิ่งไปรับเสื้อชูชีพมาสวม ปากก็ถามเรื่องนู้นเรื่องนี้จากคนดูแลไม่หยุด
“คุณฌาน เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” เจนภพถามขึ้นเพราะเห็นเจ้านายยืนโงนเงน ใบหน้าคมเข้มซีดเผือดหันมามองหน้ามือขวา ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น เจนภพพุ่งตัวไปคว้าถุงพลาสติกมาส่งให้เจ้านายทันเวลาพอดี
“ไปดูอัยย์ก่อน เดี๋ยวโดนฉลามกิน” พิชช์ฌานเงยหน้าขึ้นจากถุง ร้องสั่งลูกน้องให้ลงไปดูเจ้าโอเมก้า เจนภพพะว้าพะวัง “ให้ใครเอายาดมมาที”
“ผมจะไปตามคุณอัยย์กลับมา”
“ไม่ต้อง ให้เขาเล่นไป แล้วห้ามบอกว่าฉันอ้วกล่ะ” อาเจียนจนหน้าเหลืองแต่ชายหนุ่มก็ยังไม่วายเงยหน้าขึ้นมาสั่งเสียงแหบแห้ง “นอนพักสักหน่อยเดี๋ยวก็ดี ...รีบไปดูอาคิราห์ อย่าให้เขาโลดโผนมากนัก กำลังท้องกำลังไส้ อย่าให้ไปไกลคนเดียวอันตราย คอยตามติดเอาไว้”
“ครับคุณฌาน คุณนอนลงก่อนดีกว่าครับ” เจนภพกุลีกุจอพาเจ้านายลงนอนพักบนเปล จากนั้นก็กลับออกมาชะเง้อมองหาคุณอาคิราห์ที่กำลังดำผุดดำว่ายอยู่ในน้ำทะเลใสแจ๋ว “คุณอัยย์ครับ เป็นยังไงบ้างครับ”
“ดีมากเลย คุณก็ลงมาด้วยกันสิครับ แล้วคุณพิษฌานล่ะ”
“คุณฌานยังไม่อยากลงน้ำครับ”
“อ้าว ทำไมล่ะครับ”
“ผมก็ไม่ทราบ” เจนภพอึกอัก คนฟังจับความผิดปกติได้ทันที อาคิราห์ว่ายกลับมาที่เรือ “คุณอัยย์ไม่ว่ายน้ำแล้วเหรอครับ”
อาคิราห์ส่ายหน้า เดินเข้าไปในห้องโดยสารที่มีร่างสูงนอนเหยียดยาวอยู่ หยุดยืนคิดอยู่ข้างๆครู่หนึ่งแล้วก็เอื้อมมือไปแตะที่ต้นแขนล่ำสันเบาๆ
“เป็นอะไรไปครับ ไม่เล่นน้ำเหรอ”
“เธอเล่นก่อนเลย ฉันอยากพักสายตาสักครู่” คนฟังกัดริมฝีปาก
“ผม...คุณกลัวฉลามล่ะสิ ถึงไม่ยอมลงน้ำ”
คราวนี้นัยน์ตาคมลืมตาขึ้นมองหน้าเขา
“ใช่ ฉันกลัวฉลาม” พิชช์ฌานหลับตาลงอีก โบกมือไล่ “เธอจะไปเล่นน้ำตกปลาอะไรก็ไปเถอะ ตามสบาย”
“คุณโกหก” อาคิราห์พูด “คุณไม่ได้กลัวฉลามหรอก แต่คุณไม่อยากเล่นกับผม” คนฟังลืมตาขึ้นมาใหม่ เห็นดวงตากลมโตคู่นั้นกำลังมองมาทางเขาด้วยแววตัดพ้อ “เพราะเป็นโอเมก้าใช่ไหมล่ะ”
“เกี่ยวอะไรกับโอเมก้าด้วย ไม่ใช่เสียหน่อย” พิชช์ฌานงง
“ถ้าไม่เกี่ยว ก็ลุกขึ้นมาสิครับ” อาคิราห์เปลี่ยนท่าที แววตัดพ้อหายไปราวกับปลิดทิ้งจนคนมองนึกว่าตาฝาด “เอ...แต่หน้าคุณซีดๆนะผมว่า”
“เป็นห่วงฉันเหรอเจ้าบู้บี้”
“เปล่า” อาคิราห์ลากเสียง เอื้อมมือมาแตะที่ซอกคอของพิชช์ฌาน “ตัวเย็นจัง เสื้อเปียกด้วย”
“ฉันไม่ได้เป็นอะไร มันร้อนก็เลยเหงื่อแตก เธอจะไปเล่นก็ไปเถอะ เดี๋ยวถึงเวลากลับแล้วมาโวยวายไม่ได้นะ อยู่ใกล้ๆเจนภพเอาไว้ ห้ามลอยตัวไปไกลๆล่ะ” ชายหนุ่มสั่งเป็นชุด
“คุณไม่ไปด้วยกันจริงๆเหรอ”
“ฉันบอกว่าไม่ไปก็ไม่ไปไง อย่าเซ้าซี้” พิชช์ฌานจุ๊ปาก ได้ยินเสียงถอนหายใจเบาๆดังมาจากใกล้ๆตัว ตามด้วยเสียงฝีเท้าเดินผละไปทางประตู ชายหนุ่มดึงตัวลุกขึ้นนั่ง
“อาคิราห์”
“คุณนอนพักเถอะ ผมเล่นน้ำคนเดียวได้ แล้วผมก็จะโดนฉลามกินคนเดียวเอง” อาคิราห์พูด “แล้วฉลามก็จะไม่อิ่มแล้วก็มาถล่มเรือพังเลย”
“เธอดูหนังมากไปหรือเปล่าอาคิราห์” พิชช์ฌานปวดหัวจี้ดขึ้นมากับเหตุผลของเจ้าโอเมก้า ดูมาทำหน้าจ๋อยๆใส่อีก “ยังไงก็จะลากฉันลงไปโดนกินด้วยงั้นสิใช่ไหม เอ้า ...ไปก็ไป ฉันขอเปลี่ยนชุดก่อน” ชายหนุ่มกลั้นใจลุกขึ้นยืน เข้าไปเปลี่ยนชุดว่ายน้ำออกมาบ้าง
“คุณฌานครับ” เจนภพรีบท้วง “คุณไม่สบายอยู่นะครับ ผมเกรงว่าจะอันตราย”
“ไม่สบายอะไร ฉันแข็งแรงดี” พิชช์ฌานพูด แค่อ้วกบนเครื่องบินก็ขายหน้าเจ้าโอเมก้าเกินพอแล้ว ยอมให้เจ้าตัวรู้ไม่ได้เด็ดขาดว่าเขาเมาเรือต่ออีก หมดกันภาพลักษณ์ที่สร้างมา “เจอน้ำเย็นๆน่าจะดีกว่านั่งหัวโยกบนเรือนี้”
“แต่ว่านั่นมันทะเลนะครับ”