ช่วงที่ 24
“แกร๊ก” ผมปิดประตูห้องพักที่โรงแรมเบาๆก่อนจะเดินตามทางเดินไปที่ลิฟท์ ผมกดเครื่องหมายลงก่อนจะหยิบ PSP ออกมาเพื่อเลือกเพลงฟังระหว่างทาง ไม่นานเท่าไหร่ ลิฟท์ก็มาถึง
“ตึ๊ง” เมื่อประตูลิฟท์เปิดออกผมก็เจออาจารย์อิฐกับอาจารย์ที่เป็นโค้ชกีฬาชนิดอื่นอีกสองท่าน
“สวัสดีครับ” ผมยกมือขึ้นไหว้
“เอ...พอจะมีเวลาสักนิ๊ดไหม....ผมมีเรื่องจะคุยด้วย” อาจารย์อิฐพูดด้วยน้ำเสียงเครียดๆเล็กน้อย
“ครับ” แล้วอาจารย์อิฐก็พาผมไปนั่งคุยในห้องพร้อมกับอาจารย์อีกสองท่าน โดยอาจารย์อีกสองท่านนั่งบนที่นอน ส่วนผมกับอาจารย์อิฐนั่งบนเก้าอี้คนละตัว แบบหันหน้าเข้าหากันทั้งสี่คน จากนั้นอาจารย์อิฐก็เริ่มคุยธุระที่ว่าซึ่งสรุปได้ดังนี้ครับ คือผู้จัดการทีมคนอื่นๆเค้าไม่ค่อยพอใจในพฤติกรรมของโค้ช เพราะหลายท่านสังเกตว่าผมมาดูน้องๆตั้งแต่วันแรก ซึ่งยังไม่มีใครเห็นโค้ชเลย ผมเลยชี้แจงไปว่าโค้ชจะมาแค่วันที่เทควันโดแข่งเท่านั้น แล้วผมก็เพิ่งมาทราบวันนั้นเองว่าโค้ชเบิกเงินของเพื่อนโค้ชมาด้วย แต่กลับไม่มีใครเห็นทั้งโค้ช ทั้งเพื่อนโค้ช ทำให้เหล่าอาจารย์ท่านอื่นไม่พอใจ เพราะทุกคนได้รับเงินเท่ากัน ยิ่งกับอาจารย์อิฐด้วย อาจารย์อิฐไม่พอใจมากที่เห็นผมถูกเอาเปรียบขนาดนี้ ที่สำคัญผมเพิ่งจะรู้ว่ามีน้องสองคนที่ไม่ถูกส่งรายชื่อมาแข่งครั้งนี้ ทำเรื่องร้องเรียนความไม่เป็นธรรมไปยังผู้บริหารของทางมหาวิทยาลัยด้วย อย่างไรก็ตามการพูดคุยวันนั้นผมตัดบทไปแบบไม่มีคำชี้แจงชัดเจนเกี่ยวกับโค้ชจากผม
“แม่งมีเรื่องให้กูเครียดแต่เช้าเลย” ผมบ่นอุบเบาๆขณะที่ลงลิฟท์
แล้ว.....ไม่นานการแข่งขันก็จบลงครับ โค้ชมาตามคำสัญญา มีการแข่งขันสามวันโค้ชก็มาแค่สามวันแล้วก็กลับทันทีที่การแข่งขันจบลง ส่วนเรื่องค่าเบี้ยเลี้ยงที่โค้ชเบิกมาเกินทั้งๆที่เพื่อนเค้าถอดตัวไปแล้วแถมไม่ได้มาช่วยอะไรโค้ชเค้าก็เงียบกริบไม่บอกผมสักคำ ส่วนผมเหรอครับ สุดท้ายก็ต้องดูแลตั้งแต่คาราเต้ยันเทควันโดอะ ถ้าว่ากันตามจริงผมต้องได้เงิน โค้ชคาราเต้ กับ ผู้ช่วยของเทควันโดนะ เรื่องเงินช่างมันเถอะครับ เพราะที่ผมมาทำๆนี่ผมไม่ได้หวังเงินทองอยู่แล้วแต่ผมทำด้วยใจหน่ะ หลังจากแข่งเสร็จก็เหมือนน้ำลดต่อผุด น้องๆหลายคนบ่นอุบไม่พอใจพฤติกรรมของโค้ชครับ ไม่ว่าจะเรื่องชวนเล่นการพนัน หรือ เอานักกีฬาชนิดอื่นที่แข่งเสร็จแล้วมาเล่นในห้องจนดึกทำให้น้องๆไม่ได้พักผ่อน แถมเรื่องความซกม๊กที่ใส่มาชุดเดียวยิงยาวสามวันสองคืนจะเปลี่ยนก็แค่เสื้อวอร์มแบบคลุมส่วนถุงเท้าไม่ต้องพูดถึงครับน้องบอกไม่เกรงใจอ้วกไปแล้ว อ่อ อีกอย่าง โค้ชไม่ได้มาพักกับผมนะ เพราะเค้ามาไม่ถูก อีกอย่างถ้ามาอยู่กับผมโค้ชได้ถูกทอดทิ้งแบบตอนไปธรรมศาสตร์แน่เพราะผมไม่ใช่คนสนุกสนานตลอดเวลาเค้าเลยไปพักกับน้อง
หลังจากกลับมาถึงบ้านแล้วอย่างแรกที่ผมทำเลยคือโทรบอกว่าน....แต่ว่า...ว่านไม่รับ....คงไม่ว่างมั้ง ผมเลยส่ง SMS ไปบอกแทน แล้วผมก็หลับไป....รู้สึกตัวอีกทีก็วันจันทร์แล้ว พอมาถึงมหาวิทยาลัยผมก็เข้าพบกับผู้บริหารของทางมหาวิทยาลัยเพื่อรับทราบเรื่องที่มีการร้องเรียน ได้ความว่า มีน้องสองคนที่เป็นนักกีฬาตัวหลักของมหาวิทยาลัยมาสามปีแล้ว แล้วปีนี้เค้าก็ไม่ได้ลงด้วยเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้น ทำให้น้องๆร้องเรียน โดยโค้ชเองเคยมีการชี้แจงไปแล้วว่าน้องไม่มาฝึกซ้อมตามระยะเวลาที่กำหนด แต่น้องก็แย้งว่า โค้ชต่างหากที่ไม่มีการฝึกซ้อมให้นักกีฬา ให้ไปฝึกซ้อมตามมีตามเกิดกันเองที่ชมรมของทางมหาวิทยาลัย ( ใครอ่านน้องชาย 1 คงจะพอจะทราบว่าทำไมผมถึงไม่ยุ่งกับการฝึกซ้อม ) แล้วมาให้ซ้อมกันก่อนแข่งแค่ไม่กี่วัน แต่ตอนที่ตัดสิทธิ์น้องสองคนนั้นมันก่อนช่วงเก็บตัวฝึกซ้อมซะอีก เมื่อถูกตัดชื่อไปแล้ว จะให้ไปเก็บตัวด้วยเพื่ออะไร แถมคนอื่นเองช่วงก่อนส่งรายชื่อ ขาดซ้อม ไม่มาซ้อม มากกว่าซะอีก บางคนก็เพิ่งมาซ้อมตอนส่งรายชื่อ ทำไมถึงได้ไปแข่ง หลังจากคุยกับผู้บริหารของทางมหาวิทยาลัย อาจารย์อิฐ แล้วก็พี่ต้อม สุดท้ายทั้งสามจึงยื่นข้อเสนอให้ผมขึ้นเป็นโค้ชแทน แล้วเอาโค้ชคนปัจจุบันออก เนื่องด้วยทั้งสามท่านเห็นว่าโค้ชคนปัจจุบันขาดคุณสมบัติความเป็นผู้จัดการทีมและดูแลนักกีฬาด้วยประการทั้งปวง ส่วนความเห็นผมเหรอครับ....ผมเคารพการตัดสินใจของทั้งสามท่านอะครับ แต่ไม่มีความเห็นร่วมด้วย ทำให้ทั้งสามท่านให้ผมนำไปพิจารณาเพื่อความสบายใจของผมเอง
เย็นวันนั้นหลังจากไปเครียดๆกับเรื่องที่มหาวิทยาลัยเสร็จ ผมก็ตรงดิ่งไปยิมทันทีคนแรกที่ผมอยากเห็นเวลานี้คือว่านครับ พอผมมาถึงยังไม่มีใครมาผมนั่งเฝ้านอว่านด้วยใจระทึก ตั้งใจไว้ว่าจะต้องกอดว่านให้ได้เลย เพราไม่ได้เจอกันตั้งหลายวัน แล้ว....ไม่นานว่านก็มาถึงครับ มาคนเดียวด้วย แบบว่าความรู้สึกผมตอนนั้นมันคงเหมือนพวกพุดเดิ้ลดีใจเวลาเห็นเจ้าของมามั้งครับ ผมอยากจะกระโจนเข้าไปกอดไปหอมน้องให้หายคิดถึง แต่ก็ต้องรักษาท่าทีไว้ก่อน
“พี่เอ ดีครับ” ว่านยกมือไหว้ผมขณะที่กำลังเดินเข้ามาในยิม
“ดีๆ เป็นไงบ้าง”“ก็ดี”“เพื่อนๆล่ะ”“ไม่รู้ซิ” ว่านพูดด้วยน้ำเสียงค่อนข้างห่างเหินยังไงไม่รู้
“....” ว่านไม่มาใกล้ผมเหมือนเคยเพราะหลังจากคุยเสร็จว่านก็แยกไปนั่งต่างหาก ผมไม่รู้ว่าเพราะอะไร....แต่ก็อย่างที่คิดไว้ก่อนหน้าน้องอาจจะยังปรับตัวไม่ได้ อีกอย่างน้องคงจะอายกับเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่ แต่มันนานแล้วนะ....อืมมม ไม่เป็นไรน่าให้เวลาน้องหน่อย....ผมนั่งมองว่านอยู่ห่างๆแล้วชวนคุยเป็นระยะๆ ในเวลานั้นในใจผมอยากจะกอดหอมว่านแทบบ้า แต่มันก็ทำไม่ได้ เพื่อดับความฟุ้งซ่าน ผมเลยเดินไปเปิดเพลงเพื่อกลบบรรยากาศอันที่ค่อนข้างเงียบงันนี้ด้วยเสียงเพลง ผมต่อลำโพงที่มีสายต่อหูฟังขนาด .35 เข้ากับ PSP หลังจากที่เพลงเล่นไปได้ไม่นาน ว่านก็เดินมาหาผมแต่รักษาระยะห่างไว้ก่อนที่จะถามชื่อเพลงต่างๆที่ผมเปิด สุดท้ายว่านก็ขอยืม PSP ปรกติ...ของแบบนี้ผมไม่ให้ใครยุ่งนะ....แต่กับว่าน....ผมให้น้องไปอย่างง่ายดายวันนั้นว่านค่อนข้างทำตัวห่างเหินผมยังไงไม่รู้ แต่ผมก็ยังเชื่อมั่นว่าน้องกำลังปรับตัวอยู่ดี....ถึงแม้ว่า.....ว่านจะเปลี่ยนจากที่เลือกจะจับคู่กับผม....ไปจับคู่กับก๊อตแทนก็ตาม.....แล้วนั่นก็เป็นวันแรกที่ว่านแสดงความห่างเหินออกมา
หลังจากวันนั้นว่านก็คุยกับผมบ้าง แต่ไม่สนิทกันเหมือนเคย ไม่เล่นด้วยเหมือนเคย ไม่มาใกล้เหมือนเคย เย็นชาใส่ผมมากขึ้น ทุกอย่างเปลี่ยนไปเหมือนกับว่านเป็นคนละคนกับที่ผมรู้จัก....ผมจำได้ว่าวันหนึ่ง...ผมชวนว่านไปดูหนัง....เมื่อก่อนว่านไปกันกับผมสองคนบ่อยๆ แต่คราวนี้.....
“ว่าน...พรุ่งนี้ไปดู เท่งโหน่งจิวรบินด้วยกันม๊ะ” ผมถามว่านขณะที่นั่งรอปิดยิม
“ไปกับใครบ้าง” ว่านถามผม ตอนนั้นว่านนั่งอยู่ข้างๆ แต่ไม่ชิดกันเหมือนเคย
“หือ...” ผมหันไปมองว่านแล้วทำหน้าแบบสงสัยในคำถามของว่าน
“ไปสองคนมันน่าเบื่อ”“เหรอ....เอาต้นกล้าไปด้วยม๊ะ” ผมถามว่าน
“ไม่ น่ารำคาญ”“งั้นเกมแล้วกัน”“ก็ได้” ผมจำได้ว่านั้นเป็นครั้งแรกที่ผมต้องพาคนอื่นไปด้วย อีกอย่างตลอดการดูหนังปรกติจะต้องมีหนึ่งถึงสองครั้งที่ว่านต้องมาสะกิดถามผมเกี่ยวกับรายละเอียดของหนังบางอย่าง แต่คราวนี้....ไม่มี....ทั้งก่อนดู...ระหว่างดูและหลังจากหนังจบก็ด้วย.....จากนั้น...ไม่เคยมีสักครั้งที่ผมจะได้ไปไหนมาไหนกับว่านสองคนอีก....แล้วในอีกสี่ห้าวันต่อมากำหนดการสอบเลื่อนสายครั้งต่อไปก็มาถึง ผมขอเล่าแบบสรุปในช่วงนั้นเลยนะครับ คือ อย่างที่เราทราบกันว่าว่านนั้นค่อนข้างเคารพแล้วก็เชื่อฟังโค้ชมาก แล้วโค้ชเค้าก็เป็นพวกชอบอวดรู้ทั้งๆที่ตัวเองไม่ค่อยจะรู้อะไรเท่าไหร่ แล้วก็ชอบปั้นเรื่องไปเรื่อยเปื่อย ก่อนหน้านี้เหตุการณ์พวกนี้มันไม่เคยคุกคามผม...จนกระทั่ง.....วันหนึ่งขณะที่ผมนั่งดู DVD สอนท่ารำ โค้ชก็เดินมาจากไหนไม่รู้แล้วก็มาติ มาบ่นว่า DVD แผ่นนี้ รำผิด รำไม่ถูก รำไม่ดี รำไม่สวย แล้วโค้ชก็บอกว่าเค้าจะเอาอันที่ถูกมาสอน ซึ่งที่โค้ชพูดวันนั้น...ว่านก็ได้ยินด้วย
จากนั้นโค้ชเค้าก็เน้นเรื่องผิดถูกมาก แถมยังมาติผมในเรื่องท่ารำอีกว่าผมทำไม่ถูก จนในที่สุดโค้ชก็ให้ผมมาซ้อมใหม่ ผมไม่รู้หรอกนะว่าโค้ชเค้าไปเอามาจากไหน หรือ คิดขึ้นมาเอง แต่กระนั้นผมก็ขอทราบท่ารำแบบที่โค้ชเค้าบอกว่าถูก แล้วก็สวยอย่างที่ว่าสักหน่อย สุดท้าย.....เหมือนว่าโค้ชเองนั่นแหละที่พูดไปเองว่าผิดถูก เพราะที่โค้ชสอนผม วันนี้สอนแบบนี้ อีกวันสอนอีกอย่าง อีกสองวันสอนอีกอย่าง ทั้งๆที่มันก็ท่าเดียวกัน พอถูกผมซัก ก็อ้างเรื่องปรับพื้นฐาน....จริงๆผมอยากจะบ่นตรงนั้นว่า....ปรับพื้นฐาน หรือ โยนไม้ถามทาง เพราะโค้ชเองก็ยังไม่มีแนวทางหรือมาตรฐานที่แน่นอนเลย ที่เห็นตอนนี้ก็เปลี่ยนไปเรื่อยตามใจตัวเองเท่านั้น ประมาณว่าเห็นว่าทำแบบนี้สวยก็เอาแบบนี้มากกว่าจะมีท่าที่คิดไว้แล้วในใจ หลังจากที่ผมเริ่มระหองระแหงกับโค้ชมากขึ้นว่านเองก็เริ่มทำให้ผมหนักใจมากขึ้นไปอีก
มีอยู่ช่วงหนึ่งผมชวนว่านไปทานอาหารที่ร้านประจำ หลายครั้งว่านปฏิเสธเพราะผมไม่ได้ชวนใครไปด้วย จนวันหนึ่งว่านโทรมาหาผม ตอนเห็นว่าว่านโทรมาผมยอมรับว่าดีใจมากเพราะหลังจากกลับจากจุฬาคราวนั้นว่านโทรหาผมแทบจะนับครั้งเลย พอรับสายว่านก็บอกว่าอยากไปทานอาหารร้านเดิมอีก แต่อยากให้ชวนก๊อตไปด้วย ผมก็เลยตบปากรับคำไป จากนั้นผมก็โทรบอกก๊อต แล้วก็ไปรับว่านที่บ้าน รับว่านเสร็จก็ไปที่ร้านอาหารระหว่างทางว่านไม่ค่อยคุยถามคำตอบคำ พอมาถึงร้านอาหารว่านไม่ยอมเข้าร้านครับ ยืนเก้ๆกังๆอยู่หน้าร้าน ผมเลยถามไปว่า
“ทำไมไม่เข้าไปล่ะ”ว่านหันมาตอบว่า
“รอพี่ก๊อต”“ก็เข้าไปรอข้างในก็ได้นี่นา”“ไม่” ว่านตอบกลับมาสั้นๆ
“ทำไมละ” ผมถามว่านด้วยความสงสัย
“ถ้าพี่ก๊อตไม่มาผมก็ไม่กิน”“.....” เป็นผู้อ่านผู้อ่านจะพูดอะไรออกไปไหมครับ....เดี๋ยวนี้เวลาซ้อมจับคู่กับก๊อตตลอด เล่นกับก๊อตคล้ายๆกับที่เล่นกับผม แล้วนี่มาถึงร้านแล้ว....กลับบอกว่าไม่กินถ้าก๊อตไม่มา....นี่ผมถูกว่านเกลียดแล้วใช่ไหม.....หรือช่วงที่ผมไม่อยู่ว่านเกิดสนใจก๊อตแทน..... วันนั้นผมนั่งทานอาหารไม่อร่อยเท่าไหร่ ถึงจะยิ้มๆคุยๆกับก๊อตเหมือนเดิมก็เถอะ ยอมรับว่าวันนั้นผมโกรธว่านพอดูเหมือนกันแต่ไม่ได้พูดหรือแสดงอะไรออกไป
แล้วจากนั้นเวลาซ้อมโค้ชจะบอกว่าผมทำผิด ทำไม่ถูกอยู่เสมอ แล้วผมก็เพิ่งจะทราบมาว่าว่านมาซ้อมเป็นการส่วนตัวกับโค้ชบ่อยๆ เพราะโค้ชหลุดปากออกมาตอนชมว่าน แล้วเหตุการณ์ก็ยิ่งเลวร้ายหนักขึ้นเมื่อวันหนึ่งโค้ชพูดว่า
“ว่านไม่ต้องซ้อมแล้ว รำไปจนถึงท่ารำของสายดำดั้ง 5 เก่งแล้ว ไปสอนน้องดีกว่าไป” แต่กับผมโค้ชกลับติไม่หยุด ทั้งๆที่ตอนนี้มาตรฐานโค้ชเองก็ไม่ได้นิ่งซะเท่าไหร่ แม้แต่ต้นกล้า หรือ น้องคนอื่นๆก็สังเกตได้จากการเปลี่ยนท่าบ่อยๆ ทั้งๆที่มันก็ท่าเดียวกัน แต่เปลี่ยนตำแหน่งมือ ตำแหน่งเท้า จังหวะอยู่เรื่อย แถมว่านยังมาทำตัวห่างเหินมากขึ้นไปอีก แล้วการที่โค้ชให้ผมท่ารำในขั้นของว่าน* แล้วว่านไม่ต้องซ้อม ผู้อ่านคิดว่ามันหมายความว่ายังไง
เหตุการณ์เลวร้ายยังไม่หยุดแค่นั้นเมื่อวันหนึ่ง....โค้ชกล่าวกับเด็กๆในยิมว่า
“ตอนนี้พี่ว่านเก่งที่สุดในยิมแล้วล่ะ รองจากครูนะ พี่ว่านตอนนี้รำสวยกว่าครูป้อมหลายเท่าเลย” ในเวลานี้...คำชมของโค้ชเหมือนจะทำให้ว่านติดปีก....เพราะเวลานี้ว่านเป็นรองก็แค่โค้ชแล้ว มันอาจเป็นสงครามเย็นระหว่างผมกับโค้ชก็ได้ โดยโค้ชเอาว่านที่ใกล้ชิดกับผมมาทำให้ผมรู้สึกแย่ หลังจากที่โค้ชกล่าวไปแบบนั้นผมเลยเลิกที่จะเลิกสอนท่ารำไปเลย เด็กๆในยิมก็ถามผมว่าทำไมถึงไม่สอน ผมก็ไม่ได้บอกเหตุผลอะไรไป แต่ผมก็ยังไมได้บอกพี่ป้อมเรื่องที่โค้ชพูดแบบนั้น จนวันหนึ่งเหมือนว่าพลอยจะสังเกตเห็นว่าผมกับว่านน่าจะมีความสัมพันธ์มากกว่าแค่ที่เห็น พลอยเลยมาเค้นถามผม จนที่สุดผมก็บอกพลอยไปแค่ว่าผมชอบว่าน โดยมีเงื่อนไขตอนบอกว่าพลอยห้ามบอกใครต่อซึ่งพลอยก็สัญญา
แล้วภายใต้ความเย็นชาที่ว่านมีให้ผม แถมยังมีโค้ชมากวนน้ำให้ขุ่นเข้าไปอีก ผมเลยอดคิดไม่ได้ว่า ส่วนหนึ่งก่อนหน้านี้ว่านอาจนับถือผมเรื่องเทควันโดด้วย แต่วันนี้การที่โค้ชทำแบบนี้มันเลยทำให้ว่านคิดว่าเค้าเหนือกว่าไปแล้ว อีกทั้งการที่ได้ยินข่าวระแคะระคายจากน้องๆหลายคนที่ว่าโค้ชชอบเอาผมมาเทียบกับว่าน หรือ พูดจาเชิงดูถูกผมกับน้องๆเริ่มมีบ่อยขึ้นเรื่อยๆ จนเวลานั้นเหมือนว่าว่านจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในความระหองระแหงของผมกับโค้ชซะแล้ว
วันหนึ่งผมบ่นกับพลอยเรื่องที่ว่านพูดจามะนาวไม่มีน้ำ แถมยังทำตัวเย็นชาใส่ผมอีก พลอยก็ปลอบใจว่า
“ไอ้ว่านมันก็แบบนั้นแหละพี่ ที่ห้องมันยิ่งกว่านี้อีก” ก่อนที่พลอยจะบอกผมว่า
“เอางี้ซิ พี่ก็เฉยใส่มันคืนเลย” เชื่อไหมครับ วันแรกที่ผมทำตามคำแนะนำของพลอย....ไม่ใช่ว่านที่รู้สึก....แต่เป็นผมต่างหากที่รู้สึก....มันเจ็บจนบอกไม่ถูกที่ต้องเพิกเฉยใส่ว่าน เวลาที่ว่านมาคุยด้วย จริงอยู่ถึงมันจะน้อยมากๆที่ช่วงนี้ว่านจะมาคุยด้วย แต่ความน้อยมากๆนี่แหละ ทำไมผมถึงไม่เลือกที่จะเก็บเกี่ยวมันไว้ล่ะ วันที่ 13 กุมภาพันธ์ ผมจำได้ดี วันนั้นผมเข้าไปที่ยิม พอว่านเห็นผม ว่านรีบวิ่งไปหยิบเอกสารเกี่ยวกับมือถือที่ว่านปริ้นมา เอามายื่นให้ผมดู
“พี่เอๆ เนี่ยะข้อมูลของเครื่องที่ผมอยากได้” ว่านยื่นเอกสารชุดนั้นให้ผมดูด้วยท่าทีตื่นเต้นมากๆ ตอนนั้น.....ผมแค่เหล่มอง แล้วก็เดินออกโดยไม่พูดอะไรสักคำ ผมแอบมองผ่านกระจก ว่านยืนก้มมองกระดาษก่อนจะเดินเอาไปเก็บที่เดิม ซึ่งสิ่งที่ผมทำตอนนั้นทำเอาบรรยากาศสนุกๆของยิมถึงกับเงียบกริบทันที ยอมรับว่าผมทำไม่ถูก แต่ผมอยากให้ว่านรู้ว่าการถูกเมิน หรือ ไม่ใส่ใจแบบที่ว่านทำอยู่กับผมหน่ะมันทำให้ผมรู้สึกยังไง
วันที่ 14 กุมภาพันธ์.....วันนั้นจริงๆผมตั้งใจจะซื้อช๊อกโกแลตที่ว่านชอบให้ว่าน....บ่ายวันนั้นผมซื้อช๊อกโกแลตยี่ห้อแพงกล่องโตกล่องหนึ่งแล้วก็ห่อดอกกุหลาบช่อหนึ่งไปด้วย ผมห่อเองเลยนะ.... พอตอนเย็นไปถึงยิม...ผมเห็นว่านกับกลุ่มเพื่อนของเค้าอยู่กันครบ ทันทีที่ว่านเห็นผม ว่านก็รีบเดินปรี่เข้ามาหาด้วยท่าทีดีใจ พร้อมกับดอกกุหลาบสีแดงดอกหนึ่งในมือ.....แล้วตอนนั้นเอง....ผมก็พูดกับพลอยว่า....
“แฮปปี้ วาเลนไทน์นะครับ” ผมยื่นกล่องช๊อกโกแลตให้พลอยพร้อมกับดอกกุบหลาบช่อนั้น แล้วพูดต่อว่า
“พี่ห่อเองกับมือเลยนะ”ว่านยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น....ก่อนจะพูดว่า
“ขอกล่องนะ” แล้วว่านก็เอาดอกกุหลาบมาตีไหล่ผมสองสามที ก่อนจะเดินไปนั่งคนเดียว ซึ่งผมก็ไม่ได้แสดงท่าทีสนใจว่านแม้แต่น้อย ตกเย็นวันนั้น....ผมไปส่งว่านที่บ้าน.....ระหว่างทาง....ผมหยิบช๊อกโกแลตแบบเดียวกับที่ให้พลอย แล้วก็ดอกกุหลายที่ผมห่อเองเหมือนกันออกมาจากกระเป๋าแล้วยื่นให้ว่าน.....ว่านยืนมอง....ก่อนจะพูดว่า....
“เอาไปให้พลอยเถอะครับ” แน่นอนครับผมพยายามยื่นให้ว่านรับไว้ แต่ว่านก็ไม่ยอมรับ....สุดท้ายทุกวันนี้มันก็ยังอยู่ในตู้เย็นบ้านผมอยู่เลย
หลังจากวันนั้นความสัมพันธ์ของผมกับว่านดูเหมือนจะแย่ลงอีก เนื่องจากโค้ชติผมเยอะมาก มากจนเกินไป ผมเลยเริ่มไปสอบถามยิมอื่นเกี่ยวกับท่ารำซึ่งก็ได้รับคำตอบแบบที่เดาได้มาว่า
“มันขึ้นอยู่กับคนสอน แล้วก็อาจารย์ที่มาสอบมากกว่า ไม่มีกำหนดตายตัวหรอกว่า อันไหนผิด อันไหนถูก” รวมถึงไล่ดู Clip ต่างๆจาก YouTube รวมถึง DVD สอนท่ารำที่อาจารย์กบเคยให้มาไว้อิง ซึ่งหลายอย่างมันไม่ตรงกับที่โค้ชให้เด็กๆทำ จนผมพูดเหน็บๆไปว่า
“ดูดิ ทำเป็น DVD สอนมากลับทำไม่ถูก ทำไมหล้าทำออกมาขายเนี่ยะ” น้องๆที่เค้ารู้ว่าผมหมายถึงอะไรก็หัวเราะกัน ตอนนั้นว่านมาพอดีครับ ว่านเลยพูดขึ้นมาว่า
“DVD มันเก่าแล้ว ท่าพวกนี้เค้าเปลี่ยนกันหมดแล้ว อีกอย่าง ใน DVD ทำผิดเยอะจะตาย” เท่านั้นแหละผมถึงกับหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อยก่อนจะบอกว่านไปว่า
“รู้ป่ะ อาจารย์กบ กับ อาจารย์นพ เองก็อิงตาม DVD แผ่นนี้นะ ถ้ามันจะผิดขนาดนั้น ทั้งดั้งสี่ดั้งหกเค้าคงไม่เอามาอิงหรอก” เท่านั้นแหละครับว่านถึงกับสวนผมว่า
“แทนที่จะจับผิดคนอื่น ไปจับผิดตัวเองก่อนดีกว่า” ผมเลือกที่จะไม่ต่อล้อต่อเถียงกับว่านต่อ
เหตุการณ์วันนั้นทำให้ความสัมพันธ์ของผมกับว่านแย่ลงไปอีก ให้เดานะที่ว่านพูดมาหน่ะ พูดตามโค้ช เพราะอย่างที่เกริ่นไปตอนต้น โค้ช เคยพูดถึง DVD แผ่นนี้แบบเดียวกับที่ว่านพูด แต่ว่านคงไม่รู้ว่า อาจารย์กบ กับ อาจารย์นพ ให้อิงซ้อมตาม DVD นี้ จากนั้นผมก็เริ่มจับผิดถึงสิ่งที่โค้ชสอน ว่าวันนั้นบอกอย่าง วันนี้บอกอย่าง ทั้งๆที่มันก็ท่าเดียวกัน ผมรู้นะว่าการทำแบบนี้มันเป็นการลดความน่าเชื่อถือของโค้ชลง แต่โค้ชเริ่มลดความน่าเชื่อถือของผมลองก่อนนะ เพราะงั้นสิ่งที่จะพิสูจน์ได้ว่าที่โค้ชสอนมามันผิดหรือถูกก็คือการสอบที่อาจารย์กบจะมาสอบให้ ซึ่งมันก็อีกไม่กี่วันต่อจากนี้ ซึ่งว่านเองก็คงยังไม่รู้ตัวว่าได้เข้ามาร่วมอยู่ในสงครามเย็นระหว่างผมกับโค้ชซะแล้ว
To Be Con
ชี้แจงนิ๊ดหนึ่งนะครับเนื่องจาก โค้ช พี่ป้อม แล้วก็ผม จัดอยู่ในกลุ่มผู้สอน แต่โค้ชกลับลดระดับความน่าเชื่อถือของผมกับพี่ป้อมลง แล้วยกว่านขึ้นมาแทน
เพราะโค้ชอิงว่าว่านถูก แต่ผมกับพี่ป้อมผิด ดังนั้นคนที่ทำผิดก็ไม่ควรสอน มันเป็นตรรกะง่ายๆเลยจริงไหมครับ ?
อันที่จริงถ้าเป็นแบบนั้น ผมกับพี่ป้อม ก็ไม่มีเหตุผลจะอยู่ยิมนั้นต่อเลยนะ
แล้วความเน้นหนักของโค้ชต่อเรื่องถูกผิดที่เข้มข้นนี้จะเป็นอย่างไรต่อไปนั้น....ช่วงต่อไปได้รู้กัน
* เทควันโดจะมีท่ารำประจำสายอยู่ครับ ตัวอย่างครับ ( เรียงจากขั้นต่ำสุดไปสูงสุดนะครับ )
สายเหลือง 1 จะเป็น ท่ารำ อิวจัง
สายเหลือง 2 จะเป็น อีจัง
สายเขียว 1 จะเป็น ซัมจัง
สายเขียว 2 จะเป็น ซาจัง
สายฟ้า 1 จะเป็น โอจัง
สายฟ้า 2 จะเป็น ยุจัง
สายน้ำตาล 1 จะเป็น ชิวจัง
สายน้ำตาล 2 จะเป็น พันจัง
สายแดง 1 จะเป็น คูจัง
สายแดง 2 จะเป็น ซิบจัง
สายดำดั้งที่ 1 จะเป็นท่ารำ โคเรียว
เป็นต้น ในเรื่องนี้ว่านอยู่สายแดงขั้นที่ 1 ครับ
ซึ่งท่ารำของเทควันโดจะเป็นแบบเดียวกันครับ ผิดถูกมันไม่ใช่เรื่อง มันต่างกันที่จังหวะเพราะ ท่าจะเป็นท่าเดียวกันทั้งหมด ถ้าจะเรียกว่าผิดได้ ก็คือต้องทำท่าผิดไปเลย
ตัวอย่างครับ
อันนี้เป็นท่ารำในสายน้ำตาล 2 หรือ พันจัง ( Pal-Jang Poomse ) ครับ จาก K-Tiger ( Korea Tiger )
http://www.youtube.com/v/BUvZtU90s2U?fsอันนี้เป็นท่ารำในสายน้ำตาล 2 หรือ พันจัง ( Pal-Jang Poomse ) ครับ จาก DVD สอนท่ารำของ Kukkiwon ( สมาคมเทควันโดโลก )
http://www.youtube.com/v/OSeadr-8D08?fsซึ่งถ้าผู้อ่านดูท่ารำของทั้งสองคนแล้ว จะทราบว่ามันก็ท่าเดียวกัน จะต่างกันก็แค่จังหวะ ความเร็วของท่า ตำแหน่งของมือและเท้า เพียงเล็กน้อย
จนบางทีคนที่ไม่เคยเล่น หรือ คนที่ระดับสายยังไม่สูงพออาจสังเกตไม่ไ่ด้ด้วยซ้ำ
แต่เชื่อไหมครับ นั่นเหละที่โค้ชเอามาเป็นประเด็นว่าถูกผิด
ซึ่งถ้าอิงตาม โค้ช สายดำสองคนใน Clip ข้างบน กลับไปสอบสายขาวมาใหม่เลยดีกว่า
ทีนี้ผู้อ่านน่าจะเข้าใจผมได้มากขึ้นแล้ว ว่าทำไมผมถึงหงุดหงิดกับสิ่งที่โค้ชเน้นว่า
ถูก กับ
ผิด กับเรื่องของท่ารำ
เพราะมันไม่มีถูกผิด ถ้ามันไม่ผิดท่าไปเลย แต่โค้ชก็เอามาเป็นประเด็นจนเกิดปัญหาขึ้นจนได้