บทที่ ๒๐ (ครึ่งหลัง)นับร้อยปีที่ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว ไม่มีญาติ ไม่มีเพื่อนสนิท ไม่คบหรือรู้จักใครเกิน 3 เดือน ทำตัวให้ระมัดระวังที่สุดเพื่อปกปิดตัวตน เรื่องโกหกที่สร้างขึ้นมาครั้งแล้วครั้งเล่าถูกร้อยเป็นเรื่องราวราวกับละครเรื่องหนึ่ง โดยมีเขาเป็นตัวละครดำเนินเรื่องเองทั้งหมด
ความเหงาที่เกาะกุมใจจนด้านชา ไม่มีคนคอยให้คำปรึกษาหรือคอยรับฟังความทุกข์ที่เคยมี เวลาผ่านมาเนิ่นนานจนลืมนับไปแล้วด้วยซ้ำว่าครั้งสุดท้ายที่เขามีเพื่อนนั้นมันเมื่อไหร่กัน
“นั่นมึงเหรอ...ไอ้มั่น”
เขากลั้นใจถามออกไปเมื่อได้กลับมาอยู่บ้านของตัวเองแล้ว บ้านเดี่ยวขนาดกลางที่มีพื้นที่บริเวณ ถึงแม้จะมีเงินอยู่มากจนเกินจะนับแต่ไอ้หาญเลือกที่จะทำตัวให้เป็นคนธรรมดาไม่อวดร่ำอวดรวย เพราะในสังคมนี้คนมีเงินมักจะดึงดูดใครหลายคนให้เข้าหา เขาจึงทำตัวเป็นคุณหมอผู้มัธยัสถ์ ทรัพย์สมบัติมีเพียงบ้านหนึ่งหลังกับรถอีกหนึ่งคันก็พอ ส่วนเงินทองที่เหลือก็แบ่งไปซื้อพวกที่ดินไม่ก็พวกอสังหาริมทรัพย์
เมื่อไม่มีเสียงตอบกลับมาก็ทำเขาเศร้าใจ อาการหูแว่วมันกลับมาอีกแล้ว เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้ยินเสียงของเพื่อนเกลอ เพื่อนเพียงคนเดียวในชีวิต เขาถอนหายใจสะบัดหัวไล่ความฟุ้งซ่านออกไป ก่อนจะเข้าไปอาบน้ำแต่งตัวเตรียมนอน แม้ตอนนี้จะเป็นเวลาเพียงสองทุ่มเศษก็ตาม
‘ไอ้หาญ’
อนันต์ชะงักไป มือที่หยิบผ้าเช็ดตัวเตรียมจะเข้าห้องน้ำหยุดนิ่ง ขนบนกายลุกชันทุกอณูเมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่ออีกครั้ง
‘มึงได้ยินกูหรือไม่’
‘เห้อ...หากกูปรากฏตัวได้อย่างใจต้องการก็คงดี มึงจะได้ไม่ต้องเหงาอยู่แบบนี้’
‘มึงเจอคุณปราณแล้วคงมีความสุขแล้วสินะ มึงเฝ้ารอคุณเขามานานเหลือเกิน หึ...จะว่าแต่มึงก็ไม่ได้เพราะกูก็เช่นเดียวกันที่ต้องติดอยู่เช่นนี้’
เสียงพูดที่ไม่ได้ยินแค่เสียงแว่วแต่มันกลับชัดขึ้นเรื่อยๆ เป็นประโยคยาวๆ ที่เหมือนว่าคนพูดกำลังสนทนากับคนฟังอย่างเป็นจริงเป็นจัง น้ำใสๆ ที่เอ่อคลอเต็มหน่วยตาล้นออกมาจนไหลอาบแก้มในที่สุด เสียงนี้ไม่ผิดแน่... เสียงนี้ที่เขาไม่ได้ยินมานาน เสียงนี้ที่เขาไม่คิดว่าจะได้ยินอีกครั้ง
ไอ้หาญไม่ได้ตอบอีกฝ่ายไปในทันที เพราะตอนนี้มันกำลังภาวนาว่าอย่าให้ตนเองเป็นบ้าหรือโชคชะตาเล่นตลก หรือทำให้มันคิดไปเองว่าได้ยินเสียงไอ้มั่นเลย
‘ร้องไห้อีกแล้วรึ กูไม่ได้เห็นน้ำตามึงมานานเสียด้วยสิ จะปลอบใจอย่างไรดีวะ เห้อ’ ไอ้มั่นที่มีแค่เสียงถอนหายใจที่เห็นเพื่อนรักตนเสียน้ำตาอีกครั้ง แม้ครั้งนี้จะไม่รู้เหตุผลว่าทำไม แต่ก็อดสงสารไม่ได้
‘วันนี้กูเห็นป้าที่อยู่เรือนติดกันเขาชะโงกหน้ามาดูเรือนของมึง คงสงสัยว่าไยมึงจึงอยู่คนเดียวกระมัง’ ไอ้มั่นยังคงพูดต่อตามประสาคนช่างพูด อนันต์มองไปรอบๆ แม้ไม่เห็นเงาของอีกฝ่ายแต่เพียงแค่เสียงแค่นี้เขาก็ใจชื้นแล้ว
‘อยู่คนเดียวมันดีแล้ว กูไม่อยากให้ใครมารู้จักกูเพิ่ม’ ไอ้หาญตอบกลับเพื่อนเกลอทำเอาไอ้มั่นเงียบไปในทันที ก่อนจะโพล่งขึ้นอีกครั้งว่า
‘มึงได้ยินเสียงกูรึ! ไอ้หาญ! มึง...มึงตอบกูรึ!’
‘มึงพูดอยู่กับใครล่ะ ถ้าไม่ใช่กูตอบมึงแล้วจะให้กูตอบผีที่ไหน’
‘โอ้พระกอด! มึงได้ยินเสียงกู! ไอ้หาญได้ยินเสียงกูแล้วโว้ย!’ แค่ฟังน้ำเสียงก็รู้ว่าเจ้าตัวดีใจมากแค่ไหน ซึ่งนั่นก็เป็นความรู้สึกเดียวกับอนันต์เช่นกัน
‘โอ้พระกอดคืออะไรของมึง’
‘ก็ที่พวกฝรั่งเขาพูดกันอย่างไรเล่า กูตามมึงไปทุกที่นะไอ้หาญ พวกคำฝรั่งกูก็จำมาบ้าง’
ได้ทีไอ้มั่นอวดใหญ่ แม้มันจะเขียนไม่ได้แต่ก็พอจะอ่านได้บ้าง เพราะตามติดไอ้เพื่อนรักไปทุกที่จึงได้ซึมซับการเรียนมาด้วย
‘ฝรั่งเขาอุทานว่า Oh my god ไม่ใช่โอ้พระกอดอย่างที่มึงพูด’ อนันต์ตอบพลางหัวเราะขำ เขาเดินเข้าห้องน้ำไปเตรียมตัวอาบน้ำ แต่ก็ยังพูดคุยโต้ตอบกับไอ้เพื่อนเกลอในใจไปด้วย
‘กระนั้นรึ ภาษาปะกิดยากเสียจริง มึงเรียนไปได้อย่างไร’
‘ถ้ามึงต้องมาเป็นแบบกู มึงก็ต้องทำแบบนี้แหละเลือกได้เสียที่ไหน จะให้กูงอมืองอเท้ารอคุณปราณอย่างนั้นหรือ ไม่ได้หรอก ว่าแต่มึงเถอะ คิดยังไงถึงพูดกับกูได้ กูคิดว่ามึงไปเกิดใหม่เป็นลูกเจ้าลูกนายแล้วเสียอีก’
เขาไม่รู้ว่าทำไมอยู่ๆ ถึงได้ยินเสียงไอ้มั่นได้ ทั้งที่ใช้ชีวิตมาเป็นร้อยปีไม่มีทีท่าว่าจะได้ยิน ได้กลิ่น หรือได้เห็นเงาอีกฝ่ายแม้แต่น้อย เขาคิดว่ามันไปเกิดเสียแล้วด้วยซ้ำ
‘หึ... กูจะไปเกิดได้อย่างไร ก็ในเมื่อกูให้คำสัตย์สาบานก่อนตายว่าจะช่วยให้มึงกับคุณปราณรักกันให้จงได้ ดวงวิญญาณกูเลยต้องผูกกับมึงและคุณปราณอยู่เช่นนี้’
ไอ้หาญฟังมาถึงตรงนี้แล้วใจเจ็บแปลบ น้ำตาที่แห้งเหือดหายไปแล้วรื้นขึ้นมาอีกครั้ง รู้สึกผิดจับใจที่ทำให้เพื่อนต้องมาทุกข์ทรมานกับตนเอง อีกทั้งยังทำให้เพื่อนถึงแก่ชีวิตในชาติก่อนด้วย
‘มึงอย่าได้โทษตัวเองเลยไอ้เกลอเอ๋ย กูเลือกแบบนี้เองมึงหาได้ผิดอันใดไม่ ไม่ดีรึ ได้เจอกูแบบนี้โดยไม่ต้องตามหาเหมือนหาคุณปราณ อย่างน้อยๆ ก็ประหยัดเงินของมึงที่จะเอาไปสู่ขอคุณปราณได้อีกหลายบาท’
ไอ้มั่นพูดติดตลกเพราะรู้ดีว่าไอ้หาญเงียบไปแบบนี้คงคิดโทษตัวเองอยู่เป็นแน่ แต่มันเลือกแล้วว่าจะทำเช่นนี้เลยไม่คิดเสียใจเลยที่ต้องติดอยู่ในแบบวิญญาณเร่ร่อน อย่างน้อยๆ ก็ได้เห็นความเป็นไปของไอ้หาญ และจะได้ช่วยให้มันหลุดพ้นจากคำสาปของท่านออกญาฯ เสียที
‘กูดีใจนะที่ได้คุยกับมึงอีกครั้ง เหมือนเราได้กลับมาอยู่ด้วยกันเลยว่ะ แต่กูสงสัยว่าทำไมอยู่ๆ ถึงคุยกับมึงได้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่มีสัญญาณอะไรเลย’
‘กูคิดว่าเพราะคุณปราณ’
‘ยังไง’
‘ก็มึงได้คุยกับกูในเวลาเดียวกับช่วงที่เจอคุณปราณ ทั้งที่กูตามมึงมาตั้งนานแต่มึงไม่ยักรู้ กูส่งสัญญาณไปอย่างไรมึงก็ไม่รู้สึก แต่เมื่อเจอคุณปราณแล้วกูกลับพูดกับมึงได้ อีกทั้งกลุ่มเงาของร่างกูก็ชัดขึ้นด้วย’
อนันต์คิดตามก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วย เพราะวันนี้เขาได้เห็นเงาตะคุ่มๆ ที่มุมห้องจัดเลี้ยงตอนเรียนดนตรีกับคุณชายปราณ ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่เคยมีอะไรแบบนี้เกิดขึ้นเลย เพราฉะนั้นการที่ไอ้มั่นปรากฏตัวก็คงเป็นผลสืบเนื่องมาจากคำสาบานที่ให้ไว้ก่อนตายก็เป็นได้
อนันต์อาบน้ำเสร็จก็ออกมาแต่งตัวให้เรียบร้อย ไอ้มั่นเงียบไปแล้ว ก่อนเงียบไปมันบอกว่าขอไปดูคุณปราณสักหน่อย จากที่จะเข้านอนเลยเมื่อได้คุยกับเพื่อนรักเขาจึงนั่งทำงานต่อ จวบจนเวลาเข้า 4 ทุ่มแล้วไอ้มั่นจึงจะส่งเสียงกลับมาอีกครั้ง
‘คุณปราณเข้านอนแล้ว และดูท่าน้องสาวคุณปราณชาตินี้เขาจะรู้ว่ามึงรักคุณปราณนะ’
‘คงจะอย่างนั้น คุณหญิงรตีเป็นคนฉลาด เธอรู้ทันตั้งแต่กูไปส่งคุณปราณที่วังตอนแรกๆ’
‘ท่าทีคุณหญิงรตีเป็นเช่นไรล่ะ รังเกียจมึงหรือไม่’
‘ตอนนี้ไม่ แต่กูไม่รู้ว่าหากกูทำตัวชัดเจนกว่านี้ทางบ้านของคุณปราณเขาจะรู้สึกอย่างไร แต่ต่อให้รู้สึกอย่างไรกูก็ไม่หวั่น เพราะคนที่กูต้องการรักมีแค่คุณปราณเท่านั้น’
อนันต์พูดพลางอมยิ้มยามนึกถึงช่วงเวลาที่เขาทั้งสองได้อยู่ด้วยกันหน้าเปียโน แม้จะเป็นความใกล้ชิดที่มีเวลาเพียงเสี้ยวหนึ่งจากการเฝ้ารอ แต่มันก็ทำให้เขายิ้มได้ไปหลายวัน คุณชายปราณไม่มีท่าทีรังเกียจอะไร หนำซ้ำเมื่อเขาพูดอะไรไปอีกฝ่ายก็จะเขินหน้าแดงราวลูกตำลึงสุก ซึ่งนั่นแสดงว่าคำสาปใกล้จะสลายไปในไม่ช้านี้แล้ว
‘กูรอคอยคุณปราณมานานเหลือเกินแล้วไอ้มั่น ชาตินี้แหละที่กูคิดว่าความทรมานกูกำลังจะสิ้นสุดลง คำสาปที่ใครได้ลั่นวาจาไว้จะต้องสลายหายไป และมึงจะได้ไปผุดไปเกิดอย่างที่ควรจะเป็นเสียที’
ไอ้มั่นยิ้มให้กับเพื่อนเกลอที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะทำงาน และกำลังเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ในค่ำคืนนี้มีดาวอยู่น้อยนิดแต่พระจันทร์เสี้ยวฉายชัดบนท้องนภา ไอ้หาญดูมีความสุขกว่าทุกวันที่เคยผ่านมาคงเพราะได้เพื่อนกลับมาอีกครั้ง
‘กูดีใจที่ได้คุยกับมึงอีกครั้งนะไอ้มั่น อย่างน้อยตอนนี้มึงก็ทำให้กูรู้สึกว่ากูก็คือคนเหมือนกัน ไม่ใช่ตัวประหลาดที่ใครบางคนสาปไว้ แล้วมึงรู้หรือไม่ว่าเขาตายตอนไหน ตายอย่างไร’
‘มันเป็นดังคำพูดของมึงที่ให้ไว้นั่นแหละ ออกญาศรีรัตนกรตายอย่างทรมานและโดดเดี่ยวอยู่ในเรือน...ไอ้หาญ! มึงเป็นกระไรรึ!’
ไอ้มั่นถามเสียงร้อนรนเพราะอยู่ๆ เพื่อนมันก็ดูทุรนทุรายเหมือนคนกำลังเจ็บปวดสาหัส มือของมันทาบไว้บนหลัง ก่อนจะเห็นเลือดซึมออกมาตามผิวหนังที่เป็นรอยแผลเป็นจากการโดนเฆี่ยนตี ไอ้มั่นที่เป็นเพียงวิญญาณไม่มีอำนาจใดหรือสามารถจับต้องอะไรได้มองเพื่อนตนด้วยความร้อนใจ
อนันต์กัดฟันกรอดจนสันกรามขึ้นชัด เขาไม่เคยรู้สึกปวดแสบปวดร้อนขนาดนี้มาก่อน มันรู้สึกราวกับแผลที่หลังที่เคยหายไปนานถูกไฟเผาและโดนชำแหละอีกครั้ง ความทรมานในครั้งนี้ทำคุณหมอหนุ่มหายใจหอบฟุบลงกับโต๊ะ ก่อนความเจ็บปวดจะหายไปในเวลาต่อมา ทิ้งรอยเลือดไว้ประปรายบ่งบอกว่าความเจ็บเมื่อครู่เกิดขึ้นจริง
‘เหตุใดหลังมึงจึงเป็นเช่นนี้ มึงไม่เจ็บไม่ป่วยมิใช่หรือ’ ไอ้มั่นถามเสียงสั่น ตอนนี้ไอ้หาญเพียงแค่นั่งหอบหายใจ ไม่มีอาการเจ็บปวดหรือสีหน้าบิดเบี้ยวเหยเกเหมือนเมื่อครู่แล้ว
‘หากกูเดาไม่ผิด การเอ่ยถึงชื่อของชายผู้นั้นจะทำให้แผลที่เคยถูกลงหวายจะกำเริบและมีอาการเช่นนี้’
‘ชื่อท่าน... เอ่อ...คนที่สาปแช่งมึงจะเกี่ยวโยงกันได้เยี่ยงไร’
‘คำสาปออกจากปากผู้ใด ย่อมผูกโยงอยู่กับตัวคนผู้นั้น มิเช่นนั้นมึงลองพูดชื่อเขาอีกสิ’
‘แน่รึ’
‘กูต้องพิสูจน์ เพราะกูไม่แน่ใจว่านี่คือสัญญาณว่าคำสาปกำลังจะหลุดพ้น หรือว่ามันคือตราบาปอีกหนึ่งอย่างที่กูเพิ่งค้นพบ’ ที่เขาคิดไว้มีอยู่สองทางนี้จริงๆ เพราะที่ผ่านมาเขาไม่เคยบาดเจ็บเลยมากสุดก็แค่รอยช้ำเท่านั้น หากนี้จะเป็นการเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับคำสาปนี้อีกครั้งเขาก็อยากรู้ให้แน่ชัด
‘อะ...ออก...ออกญาศรีรัตนกร’
‘อ๊ากกก!’
สิ้นคำเรียกชื่ออนันต์ก็กัดฟันร้องลั่นห้องด้วยความเจ็บปวด ความเจ็บแรกบรรเทาไปไม่เท่าไหร่ พอซ้ำครั้งที่สองแบบนี้ร่างกำยำของชายหนุ่มจึงทรุดลงไปกองกับพื้นห้องในทันที เลือดที่ซึมออกมาตามรอยแผลในตอนแรก ตอนนี้กำลังไหลออกมาจนหยดลงพื้นเป็นจุด
ไอ้มั่นยืนมองไอ้เกลอรักที่กำลังต่อสู้กับความเจ็บปวดที่ไม่ได้พบพานมานาน มันเป็นวิญญาณหนำซ้ำตอนนี้ยังไม่มีร่างแน่ชัด เป็นเพียงกลุ่มเงามืดทะมึนเท่านั้นทำได้แค่ยืนมอง ไอ้หาญหน้าตาบิดเบี้ยวเหยเกหอบหายใจหน้าแดงก่ำเส้นเอ็นที่คอปูด
‘หวังว่า...นี่...จะเป็นผลพวงจากคำสาปสิ่งสุดท้าย...ที่กูควรรู้นะ’ ไอ้หาญพูดพร้อมแรงหอบหน่อยๆ หลังจากความเจ็บปวดเริ่มหายไป รอยยิ้มหยันผุดขึ้นบนใบหน้าก่อนจะเปล่งเสียงหัวเราะที่ฟังดูแล้วไม่ได้มีความสุขเลยให้ได้ยิน
เสียงหัวเราะที่มีแต่ความสมเพชตัวเอง มีแต่ความเหงา ความทรมาน แต่ไม่มีความสิ้นหวัง เพราะความหวังของไอ้หาญกำลังจะเป็นจริงในไม่ช้านี้ คำสาปต้องหมดไปในชาตินี้เพราะมันทรมานเขามานานเกินพอแล้ว
--##--##--##--##--##--##--
ณิชทรุดกายลงนั่งบนเตียงของจีรัชญ์ที่ตอนนี้เจ้าของเตียงกำลังหลับสนิท ยิ่งได้ฟังเรื่องราวต่างๆ ยิ่งทำให้ความเจ็บปวดบาดลึกในใจ แม้สิ่งที่ได้ฟังจะรับรู้ได้ไม่ทั้งหมด แต่เขาก็พอเข้าใจแล้วว่าทำไมไอ้หาญถึงได้ปฏิเสธเขาในชาตินี้ เพราะหวังเอาไว้แต่ท้ายสุดเขาดันมาตายอีก คงเกินจะรับไหวพอสมควร
หนุ่มเมืองกรุงกลับไปอาบน้ำแต่งตัวที่ห้องนอนตัวเอง ก่อนจะถือวิสาสะหอบหมอนมานอนห้องของจีรัชญ์ ไอ้มั่นบอกว่าจีรัชญ์นอนไม่หลับมาหลายคืนแล้ว คืนนี้คงได้พักผ่อนเต็มๆ เสียที
“ฝันดีนะครับ”
ณิชกระซิบบอกคนที่ขยับตัวสะลึมสะลือเมื่อรู้สึกถึงแรงยวบของเตียง จีรัชญ์ครางงึมงำไม่ได้ศัพท์ราวเด็กน้อยที่กำลังฝันอยู่ เขาจึงจูบไปบนหน้าผากของอีกฝ่ายแล้วนอนลงข้างกัน กอดร่างสูงใหญ่ไว้เพื่อให้อีกฝ่ายรู้ว่าไม่ว่ายังไงเขาก็จะอยู่ตรงนี้ คุณปราณของไอ้หาญจะอยู่เคียงข้างไม่มีวันทิ้งไปอย่างแน่นอน
::::::::::::
วันรุ่งขึ้นจีรัชญ์ตื่นขึ้นมาก็รู้สึกได้ว่ามีคนนอนอยู่ข้างๆ จึงหันไปมอง เขาพบกับณิชที่ไม่รู้เข้ามานอนที่ห้องเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ท่านอนคุดคู้กอดแขนเขาไว้เหมือนกอดหมอนข้างนั้นน่าเอ็นดูไม่น้อย เขาลองขยับนอนตะแคงให้เบาที่สุดเพื่อจะได้ไม่รบกวนการนอนของอีกฝ่าย แกะมือของณิชออกจากแขนได้แต่กลับโดนณิชกุมมือไว้มั่นแม้จะยังไม่ตื่นก็ตาม
“ผมอยู่ตรงนี้ ไม่ต้องกลัว”
เสียงละเมอเบาๆ ของคนที่หลับอยู่พร้อมแรงกอดกระชับที่มือทำไอ้หาญยิ้ม เขาเข้าใจในความมุ่งมั่นของอีกฝ่ายดี แต่เขาก็ยอมรับว่ากลัวสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น
นิ้วเรียวของไอ้บ่าวซื่อยกขึ้นเกลี่ยปอยผมที่กรอบหน้าของณิช ไล้ไปตามสันกรามก่อนจะมาทักทายที่จมูกโด่งดูจิ้มลิ้มรับกับใบหน้าหวาน เปลือกตาที่ปิดสนิทกำลังปกปิดความสวยของดวงตาไว้ พวงแก้มใสมีเลือดฝาดอย่างคนสุขภาพดี ริมฝีปากกระจับอมชมพูดูน่าจูบ
เขาอดใจไม่ไหวโน้มตัวลงไปจุมพิตที่ริมฝีปากของอีกฝ่ายรับความหวานของเช้านี้ ก่อนจะเลื่อนไปจูบที่หน้าผาก แก้มนิ่ม ปลายจมูก และปลายคาง และมาหยุดที่จูบแรกอีกครั้งด้วยความโหยหา
“ขี้โกงนี่ คุณแอบจูบผม” ณิชลืมตาขึ้นมองคนที่ขโมยจูบตนไปแล้ว ตอนแรกก็หลับดีอยู่หรอก แต่เมื่อรู้สึกว่ามีอะไรมาแตะๆ หน้าเลยรู้สึกตัว มาตื่นเต็มตาก็ตอนที่จีรัญช์ถอนจูบออกไปแล้วนั่นแหละ
“ผมขอโทษ” คนที่โดนจับได้เอ่ยขอโทษเบาๆ ทำท่าจะลุกจากเตียงแต่ณิชกลับรั้งไว้ให้นอนด้วยกันก่อน
“ทำไมต้องขอโทษ จะขโมย จะแอบ จะขอเลยก็ได้ทั้งนั้น ผมให้คุณทำแค่คนเดียวเต็มที่เลย” ณิชพูดพร้อมยิ้มให้ คนที่โดนเขากดให้นอนลงข้างกันหันมองเพียงแวบเดียวก็หันไปอื่น ด้วยความหมั่นไส้ในความท่ามากเขาเลยหอมแก้มสากไปฟอดใหญ่
“ผมจะรอดูว่าคุณจะทนไปได้อีกกี่น้ำ ไปล่ะ...แล้วเจอกันข้างล่างนะครับ”
จีรัชญ์ตกใจกับการกระทำของณิชไม่น้อย มองคนที่ออกจากห้องนอนเข้าไปแล้วทิ้งไว้เพียงความอบอุ่นบนที่นอน จนเขาต้องแอบยิ้มออกมาขำกับความไม่ยอมแพ้นั้น
ณิชอาบน้ำแต่งตัวด้วยความไวแสง เขาลงมาข้างล่างเพื่อไปยังโรงครัวโดยมีไอ้มั่นตามไปไม่ห่าง เมื่อมาถึงที่หมายก็เห็นป้าแจ่มกำลังง่วนทำมื้อเช้าง่ายๆ อยู่กับพี่หวี
“ป้าแจ่มครับ มื้อเช้าวันนี้มีอะไรบ้างครับ”
“อ้าว! คุณณิชลงมาทำไมคะหรือว่าหิวแล้ว วันนี้ป้าทำมื้อเช้าแบบฝรั่งค่ะ คุณตรีเธอชอบ Egg Benedict”
“โห...ป้าแจ่มทำเมนูนี้เป็นด้วย เก่งนะครับเนี่ย งั้นสอนผมบ้างสิครับผมอยากทำ”
ณิชถลกแขนเสื้อยืดแบบแขนยาวขึ้นให้มากองอยู่ตรงแถวข้อพับแขน ท่าทางเอาจริงเอาจังจนป้าแจ่มถึงกับอมยิ้ม ดูท่าคุณณิชจะชอบคุณตรีมากถึงขนาดอยากทำให้ทานแบบนี้คงไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แล้ว
เธอเห็นประจำเวลาจีรัชญ์แอบมองณิช เหมือนคนทั้งคู่จะไม่รู้ตัวเวลามองซึ่งกันและกัน เพราะเมื่อจีรัชญ์มองณิช ตัวของณิชเองก็ไม่ได้มองอยู่ แต่เมื่อณิชหันไปมองจีรัชญ์ ฝ่ายนั้นก็หันสายตาไปอื่นเสียแล้ว เพราะอยู่กับโลกนี้มานานเธอจึงจับความรู้สึกระหว่างคนทั้งสองได้ว่าไม่ได้เป็นแค่คนที่ต้องทำงานร่วมกันประหนึ่งผู้ว่าจ้างกับสถาปนิก แต่มันมีอะไรมากกว่านั้น และเธอคิดว่าคนทั้งสองก็คงรู้แก่ใจตัวเองดี
ณิชลองทำอาหารตามที่ป้าแจ่มสอน แต่ด้วยความที่ทำอาหารไม่เป็นและไม่เคยทำเมนูนี้มาก่อน ไข่ที่ควรจะกลมสวยและไหลเยิ้มเหมือนลาวาจึงเละตั้งแต่อยู่ในหม้อต้ม หัดทำไข่ดาวน้ำอยู่นานเสียไปก็หลายฟองจนไอ้มั่นถอดใจว่าเจ้านายตนคงทำไม่ได้แน่ๆ แต่ณิชไม่ละความพยายาม จนในที่สุดก็ได้ไข่ดาวน้ำที่ไข่ขาวสุกหุ้มไข่แดงที่ยังเยิ้มอยู่มาหนึ่งฟองถ้วน
“ขั้นตอนที่ยากที่สุดผ่านไปแล้วค่ะ เหลือแค่ทำน้ำซอสและผัดหน่อไม้ฝรั่งกับเนยแค่นี้ก็เสร็จแล้วค่ะ ส่วนพวกแฮมและขนมปังป้าทำไว้เสร็จแล้ว” ป้าแจ่มพูดให้ณิชฟัง คนที่อาสาจะทำมื้อเช้าให้จีรัชญ์ปาดเหงื่อเล็กน้อย ขนาดเมนูที่ดูเหมือนง่ายไม่มีอะไรยุ่งยากเขายังทำเละขนาดนี้ ถ้าเกิดจีรัชญ์อยากกินอะไรที่ยากกว่านี้เขาไม่ทำครัวระเบิดไปเลยเหรอ
แต่จะทำอย่างไรได้ เขาอยากทำให้ไอ้หาญรู้ว่าเขาอยากชดเชยเวลาทั้งหมดที่อีกฝ่ายอยู่รอ ต่อให้เขาต้องเข้าคอร์สกับป้าแจ่มเป็นปีเขาก็ยินดีทำ
มื้อเช้าขึ้นโต๊ะในเวลาต่อมา มิ้งมารออยู่ที่โต๊ะอาหารแล้ว เธอได้ข่าวจากพี่มั่นว่ารุ่นพี่เธอเข้าครัวทำมื้อเช้าให้จีรัชญ์ด้วยตัวเอง ซึ่งดูท่างานนี้รุ่นพี่เธอสู้ไม่ถอยจริงๆ แต่พอเห็นหน้าตาของมื้อเช้าในจานตรงหน้าของจีรัชญ์ที่จัดมาอย่างสวยงาม แตกต่างจากของเธอโดยสิ้นเชิงก็อดน้อยใจไม่ได้
“โอ้โห ของคุณตรีจัดจานอย่างกับเสิร์ฟในโรงแรม แล้วดูของหนูสิ... แล้วนี่ทำไมไข่ของคุณตรีดูไม่ค่อยสวยเลย”
หญิงสาวหนึ่งเดียวบนโต๊ะมองเปรียบเทียบอาหารระหว่างจานของเธอกับของจีรัชญ์ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองณิชเพื่อขอคำตอบ รุ่นพี่เธอกลับเงียบจนป้าแจ่มเป็นคนให้คำตอบเอง
“ของคุณมิ้งนั่นป้าทำให้ค่ะ ส่วนจานของคุณตรีนั้นคุณณิชทำเองทั้งหมดเลยค่ะ จัดจานเองด้วยนะคะ”
ทั้งโต๊ะอาหารเงียบกริบเมื่อป้าแจ่มพูดจบ มิ้งอมยิ้มมองหน้าณิชที่ตอนนี้แดงจัดจนลามไปถึงหู รุ่นพี่เธอทำอะไรไม่ถูกเอาแต่จิ้มผักสลัดกินไม่หยุดจนสำลัก จีรัชญ์ที่นั่งเงียบมาตลอดเอื้อมมือไปจับข้อมือของณิชไว้และส่งแก้วที่มีน้ำอยู่ให้ ณิชรับไปดื่มให้คอโล่งก่อนจะได้ยินจีรัชญ์พูดออกมา
“ขอบคุณมาก มันดูน่าทานมากครับ”
โปรดติดตามตอนต่อไปขอบคุณทุกความเห็นและการติดตามค่ะ