มาอัพนิยายฉลองวันฮาโลวีนค่า >< ฮะๆๆๆๆๆๆๆๆ แอบกระซิบว่าตอนนี้พลอยแมีแพลนที่จะเปิดนิยายเรื่องใหม่ค่ะ ถ้าเกิดพลอยเปิดนิยายเรื่องใหม่แล้วจะเอามาแนะนำนะคะ โค้ง// แต่ตอนนี้ก็ต้องขอฝากพี่ศิและน้องกรไว้ในอ้อมใจด้วยนะคะ
Chapter 18
ในตอนนี้ผมกับพี่ศิกำลังขับรถกับคอนโดกันครับ หลังจากที่ผมตัดสินใจว่าจะเล่าเรื่อราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นหระว่างผมกับไอไฮซ์ให้พี่ศิฟัง หลังจากนั้นพี่ศิเขาก็พาผมไปทานข้าวครับโดยร้านอาหารที่เราไปทานมันก็ไมได้หรูหราอะไรมากมายเหมือนร้านอาหารญี่ปุ่นที่พวกเราเข้ากันในตอนแรกครับ มันเป็นแค่ฟูดคอร์ดธรรมดา ๆ เท่านั้นเอง ที่จริงผมก็บอกให้พี่ศิกลับไปที่ร้านอาหารญี่ปุ่นนะครับแต่พี่ศิเขาปฏิเสธพร้อมกับบอกว่าฝากเงินไว้ให้พี่วิกับพี่เตอร์แล้วไม่ต้องเป็นห่วงอะไร ผมก็เลยได้แต่พยักหน้าและเดินตามพี่ศิมาทานอาหารค่ำที่ฟูดคอร์ดในห้างครับ ผมนั่งทานข้าวต้มทะเลครับส่วนพี่ศิทานเป็นข้าวราดแกงครับ อาหารที่พวกผมทานตอนนี้ต่างกับที่สั่งในร้านอาหารญี่ปุ่นราวกับฟ้ากับเหวเลยครับ แต่ทำไมผมรู้สึกอยากอาหารและคิดว่าอาหารพวกนี้อร่อยกว่าในร้านสุดหรูนั้นซะอีก มื้อค่ำมื้อนี้แม่ก่อนหน้าจะมีปัญหาหรือทำให้ผมหงุดหงิดใจแต่ผมก็ทานมันจนหมดซึ่งพี่ศิเขาก็ทานจนหมดจานเช่นหัน หลังจากที่พวกเราทานมื้อค่ำเสร็จเราทั้งสองคนก็เดินเที่ยวในห้างอีกสักหน่อยผมเข้าไปใน B2S เข้าไปเดินดูแผนกเครื่องเขียนสำหรับเทอมใหม่กับพวกแผ่น DVD เพลงกับหนัง และได้อะไรติดไม้ติดมือกลับคอนโดไปนิดหน่อย พอผมเดินซื้อของเสร็จพี่ศิก็ชวนผมกลับจนผมนั่งอยู่ในรถแบบนี้ครับ
พี่ศิขับรถช้า ๆ เนิบ ๆ พร้อมกับเปิดแผ่นเพลงที่ผมเพิ่งซื้อมาจากห้างเมื่อสักครู่ให้ผมฟัง ดูเหมือนว่าพี่ศิจะรู้นิสัยผมนะครับว่าเวลาผมมีอารมณ์แบบไหนผมจะฟังเพลงตามอารมณ์ อย่างเช่นตอนนี้ผมรู้สึกเบื่อหน่ายผมก็จะฟังเพลงเศร้า หรือพวกเพลงช้า ๆ หรือเวลาผมรู้สึกสนุกสนาน ผมก็แหกไปฟังสามช่าหรือลูกทุ่งเลยก็มีครับ พี่ศิขับรถต่อไปอีกไม่นาน สักพักเราก็มาถึงคอนโดแล้วหละครับ เมื่อรถยนต์จอดสนิทผมก็ออกจากรถและเดินไปกดลิฟท์เพื่อขึ้นไปยังชั้นที่ 14 ซึ่งเป็นชั้นที่ผมกับพี่ศิพักอยู่ เราทั้งสองคนรอลิฟท์อยู่สักพักแค่ช่วงอึดใจบานประตูลิฟท์ก็เปิดออกเพื่อให้พวกเราทั้งสองคนเข้าไปด้านใน ช่วงเวลาที่อยู่ในลิฟท์เราทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไรใส่กันเลยครับผมยืนอยู่เงียบ ๆ ในมุม ๆ หนึ่งของลิฟท์ซึ่งพี่ศิก็ยืนห่างออกจากผมนิดหน่อยไม่ช้าบ้านประตูลิฟท์ก็เปิดออกอีกครั้งในชั้นที่ 14 เราสองคนเดินออกจากลิฟท์ไปและเดินตรงไปยังห้อง 1404 ซึ่งเป็นห้องของพี่ศิ
พี่ศิเปิดประตูห้องเชื้อเชิญให้ผมเดินเข้าไปด้านในซึ่งผมก็ก้าวเดินเข้าไปตามคำเชื้อเชิญนั่นกระเป๋าของผมวางลงบนโซฟาซึ่งเป็นที่นอนดูหนังประจำของผมและร่างกายของผมก็ค่อย ๆ ทรุดตัวลงผมนั่งนิ่งอยู่นานเพื่อเรียบเรียงเรื่องราวที่อยู่ภายในสมองผมอยู่ในสมาธิของตนเองจนกระทั้งพี่ศิวางแก้วน้ำเย็นตรงหน้าผม
ผมเหลือบตามองพี่ศิก่อนจะทอดถอนลมหายใจตนออกมาเฮือกใหญ่และเริ่มต้นเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างผมกับไอไฮซ์ให้พี่ศิฟัง
“พี่ศิ…พี่เคยมีเพื่อนที่สนิทกันตั้งแต่เกิดไหม…ตั้งแต่เกิดมาเราก็เจอหน้ากัน ตอนไปโรงเรียนอนุบาลเราก็อยู่ห้องเดียวกัน ชั้นประถม มัธยมเราก็อยู่ห้องเรียนเดียวกัน… เพื่อนที่สนิทที่สุด เพื่อนที่คิดว่ามันจะเป็นเพื่อนตายของเราเพื่อนที่คิดว่าเราจะสนิทกับมันไปตลอดชีวิต…แต่มันกลับมาหักหลังเรา ทำลายความไว้ใจของเรา” ผมพูดออกไปอย่างเหม่อลอยหยดน้ำตาหยดแรกค่อย ๆ ไหลรินออกจากดวงตาแต่ผมก็ไม่คิดจะปาดมันออกไปจากใบหน้า ริมฝีปากผมสั่นเครือแต่ก็ยังคงฝืนกล่าวเรื่องราวที่เกิดขึ้นออกมาต่อ “เรื่องมันเกิดขึ้นตอนกรอยู่ ม.6 ครับพี่ศิ ตอนนั้นกรมีแฟนชื่อน้ำฟ้า น้ำฟ้าอายุน้อยกว่ากรปีหนึ่งครับเธอเป็นเด้กผู้หญิงน่ารัก พูดเล่นยิ้มแย้มแจ่มใสและกรก็รักน้ำฟ้ามาก” หลังจากประโยคที่ผมบอกว่าผมรักน้ำฟ้ามากผมรู้สึกเหมือนพี่ศิจะกำมือแน่นเหมือนกับพยายามอดกลั้นอะไรบางอย่างผมรู้ครับว่าพี่เค้าพยายามอดทนเรื่องอะไรอยู่ การที่คนสำคัญของตัวเองมาบอกว่ารักคนอื่นมากต่อหน้าตัวเองมันเป็นอะไรที่ทรมานครับ ถึงผมยังจะไม่ให้ฐานะพี่เขาเป็นคนพิเศษของผมแต่ผมก็รับรู้ได้ครับว่าผมนั้นกลายเป็ยคนพิเศษสำหรับพี่ศิไปแล้ว
“วันนั้นเป็นวันเกิดของไอไฮซ์ครับ วันเกิดครบ 18 ปีของมันและเป็นวันที่ทำให้กรกับมันเลิกคบเป็นเพื่อนกันครับ วันนั้นบ้านของไอไฮซ์มันจัดงานวันเกิดครับซึ่งกรก็ดื่มตามประสาเด็กผู้ชายวัยรุ่นและวันนั้นกรก็พาน้ำฟ้าไปด้วยและกัก็ปล่อยให้เธอไปคุยกับเพื่อน ๆ ของกรครับ ตอนนั้นกีดื่มกันอย่างสนุกสนานจนในที่สุดกรก็เมาครับ ไอบาสกับไอเจมส์ก็ทำหน้าที่หามผมเข้าตัวบ้านเพื่อจะพาไปนอน แต่ไอสองคนนั้นพาไปผิดครับมันพาผมไปห้องนอนส่วนตัวของไอไฮซ์ และทันทีที่เปิดประตูเข้าไปกรเห็นภาพ ๆ นั้นเต็มสองตา ภาพที่คนทั้งคู่กับนัวเนียกัน เสื้อผ้าของแต่ละคนไม่ครบชิ้น หลังจากเห็นภาพนั้นกรก็แทบจะสร่างเมาทันทีและรีบวิ่งออกมาจากบ้านของไอไฮซ์และไม่เคยคุยกับมันอีกเลยจนถึงวันนี้” ผมเล่าไปน้ำตาที่ตอนแรกไหลน้อย ๆ ตอนนี้มันกลับพรั่งพรูออกมาราวกับสายน้ำไหล ผมสะอึกสะอื้นเบา ๆ แต่ก็ยังไม่คิดจะปาดน้ำตาตัวเองอยู่ดี ผมมองพี่ศิผ่านม่านน้ำตาร่างของพี่ศิค่อย ๆ ขยับมาใกล้ผมและคว้าบ่าและกดหัวของผมให้ไปซบที่บ่าเขาการกระทำแบบนี้ของพี่ศิยิ่งทำให้ผมสะอึกสะอื้นออกมาเสียงดัง ความรู้สึกที่เหมือนมีคนอยู่เคียงข้าง ความรู้สึกที่เหมือนมีคนเข้าใจ
ผมรู้ครับว่าเหตุการณ์ในวันนั้นไม่ใช่ไอไฮซ์คนเดียวที่ผิดน้ำฟ้าก็ผิดด้วยเพราะตบมือข้างเดียวมันไม่ดังหรอกครับแต่ผมกลับไม่ฟังเหตุผลจากใครเลยไม่ฟังเหตุผลไอไฮซ์ซึ่งเป็นเพื่อนตายของผมว่าทำไมถึงทำแบบนั้น ผมรู้จักนิสัยมันดีครับแต่ผมปฏิเสธที่จะรับฟังคำพูดของมันและผมยังคงหนีความจริงจากปากของมันจนถึงทุกวันนี้
ทั้ง ๆ ที่ผมควรจะเชื่อใจและรับฟังเหตุผลของคนที่ผมรู้จักมาทั้งชีวิต…มากกว่าที่จะหนีแบบนี้
พี่ศิลูบหัวปลอบผมอย่างแผ่วเบาพร้อมกับเสียงทุ้มที่เอ่ยออกมาอย่างอ่อนโยนว่า “พี่รู้ว่ากรเก็บเรื่อง ๆ นี้ไว้ในใจมานานมาก ถ้ากรอยากร้องไห้กรก็ร้องไห้ออกมาให้พอเถอะครับ” สิ้นเสียงของพี่ศิมันทำให้ผมยิ่งส่งเสียงสะอื้นออกมามากกว่าเก่า
มันก็เป็นอย่างที่พี่ศิพูดมานั่นหละครับผมเก็บเรื่องนี้ไว้ในใจมานานไม่เคยแสดงความรู้สึกอ่อนแอออกมาให้ใครเห็นแม้แต่พ่อแม่และเพื่อนฝูง ผมเก็บความรู้สึกทั้งหมดเอาไว้ในส่วนลึกของหัวใจเก็บมันมานานมากจนบางครั้งมันเกือบจะปะทุขึ้นมาหลายต่อหลายครั้ง ทว่าผมก็ยังคงขุดหลุมฝังมันให้ลงไปลึกยิ่งกว่าเก่า
แต่รู้สึกว่าตัวผมจะลืมความจริงข้อหนึ่งไป…ว่าคนเราไม่มีทางหนีความจริงหรือหนีปัญหาไปได้ตลอด…และในที่สุดวันนี้ความจริงมันก็ถูกขุดขึ้นและมันก็ดึงเอาความลูกสึกที่ผมเก็บไว้ในส่วนลึกของหัวใจออกมา
“กรครับ…กรลองถามความรู้สึกของตัวเองนะครับว่ากรรู้สึกยังไง กรเสียใจเพราะอะไรและกรอยากที่จะทำอะไรต่อ” เสียงทุ้มยังคงเอ่ยปลอบโปลมซ้ำยังเอ่ยคำถามออกมาให้ผมได้ย้อนคิดถึงความรู้สึกที่อยู่ภายในใจ
และในถ้อยคำที่แสดงความเป็นห่วงเป็นใยผม มันทำให้ตัวของผมย้อนคิดถึงความรู้สึกและทบทวนความคิดของตัวเอง ผมซึ่งรู้จักไอไฮซ์ดีกว่าใคร ผมรู้ตัวตนของมันไอไฮซ์ไม่ใช่คนฉวยโอกาส มันไม่ใช่ผู้ชายที่จะหักหลังเพื่อนหรือทรยศเพื่อนเรื่องผู้หญิง…โดยเฉพาะเพื่อนรักอย่างผมมันไม่มีทางทำลายมิตรภาพระหว่างเรา ผมรู้ว่ามันรู้สึกผิดมากในสิ่งที่มันทำและมันก็พร้อมที่จะอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดในวันนั้น
เพียงแต่ผมไม่ยอมรับฟังคำอธิบายของมัน….ผมเอาแต่หนี หนี และก็หนี ในสมองของผมคิดเพียงแต่ว่าไอไฮซ์มันแย่งแฟนของผมไปมันหักหลังผม มันทรยศผม มันทำลายความเชื่อใจของผม
แต่ผมก็ไม่ได้ย้อนคิดไปถึงทางฝั่งน้ำฟ้าเลยว่าเธอได้ยั่วยุไอไฮซ์มันหรือเปล่าหรือว่าเธอเรียกร้องให้ไอไฮซ์ทำ…
“พี่ศิ…กรไม่เคยคิดที่จะรับฟังคำอธิบายออกจากปากของไอไฮซ์…ไม่ยอมฟังความจริงว่าเรื่องราวในวันนั้นมันเกิดขึ้นได้ยังไงเพราะใคร และฝ่ายไหนเป็นคนเริ่มก่อน” น้ำเสียงสะอึกสะอื้นของผมยังคงเอื้อนเอ่ยต่อไปน้ำตาก็ยังคงไหลรินออกจากดวงตาทั้งสองข้างอย่างไม่ขาดสาย “ที่กรรู้สึกไม่พอใจเวลาที่เจอหน้าไอไฮซ์มันทุกครั้ง มันไม่ใช่เพราะกรเกลียดมันหรอกแต่มันเป็นเพราะเวลาที่กรเห็นหน้าไอไฮซ์ มันทำให้กรรู้สึกผิด…ผิดที่ไม่ฟังความจริงจากปากมัน ผิดที่ไม่ฟังคำอธิบายจากมัน กรแค่อยากจะโทษและโยนความผิดทั้งหมดให้ใครสักคนเพื่อไม่ให้กรเจ็บปวด และคนที่ต้องมารับความรู้สึกทั้งหมดของกรก็คือไอไฮซ์…”
เมื่อพี่ศิได้ฟังถึงความรู้สึกของผมพี่แกก็ไม่ได้เอ่ยพูดอะไรออกมามือกร้านยิ่งกระชับวงแขนของตนแน่น ส่วนอีกมือหนึ่งก็ยังลูบหัวผมปลอบปโลมอย่างแผ่วเบา อ้อมกอดของพี่ศิที่มอบให้ผมนั้นมันเป็นความรู้สึกอบอุ่นที่ผมไม่เคยได้รับจากใครมาก่อนมันแตกต่างจากอ้อมกอดของครอบครัว มันแตกต่างจากอ้อมกอดของเพื่อน ๆ มันเป็นอ้อมกอดที่เต็มไปด้วยความรู้สึกเป็นห่วงเป็นใยและมันก็ทำให้หัวใจของผมได้รู้สึกถึงความอบอุ่นของคำว่ารัก
ผมยังคงนั่งอยู่ในอ้อมกอดของพี่ศิต่อไปเราทั้งสองคนไม่มีใครขยับเขยื้อนภายในห้องยังคงมีเสียงสะอึกสะอื้นของผมอยู่แต่มันก็ค่อย ๆ เบาลงจนภายในห้องนั้นเงียบสนิท
“กรครับ…ทิฐิคนเรามีได้นะครับแต่อย่ามีมากจนเกินไป” เสียงทุ้มของพี่ศิที่เงียบไปนานเอ่ยขึ้น “ถ้ากรมีมากเกินไปมันจะย้อนมาทำร้ายกรได้เหมือนอย่างตอนนี้”
ในถ้อยคำของพี่ศิมันทำให้ผมคิดได้ครับว่าสุดสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นและเรื่องราวทั้งหมดที่ค่อย ๆ เลวร้ายขึ้น…มันเกิดมาจากทิฐิของผมนั่นเอง แต่ต่อให้ผมรู้ต้นเหตุของเรื่องนี้แล้วผมจะทำอะไรได้หละสิ่งที่ผมทำใส่ไอไฮซ์มันเลวร้ายเกินกว่าที่มันจะให้อภัยผม
“แล้วกรจะทำยังไงได้หละสิ่งที่กรทำใส่ไอไฮซ์ มันเลวร้ายเกินไปกรทำร้ายมันมากเกินไปมากจนไม่รู้ว่ามันจะให้อภัยกรได้อีกไหม” ผมเอ่ยถามพี่ศิเสียงสั่นมือทั้งสองข้างของผมนั้นขยุ้มเสื้อนิสิตของพี่ศิแน่น
“น้องกรที่พี่รู้จักหายไปไหนครับ น้องกรที่พร้อมวิ่งเข้าชนกับปัญหาเคลียร์กับทุกสิ่งหายไปไหน” คำถามนี้ของพี่ศิทำให้ผมคลายมือออกจากเสื้อนิสิตของพี่เขาและก็ค่อย ๆ ดันตัวเองออกมาจากอ้อมกอดของพี่ศิ
“น้องกรที่พี่รู้จักคือน้องกรที่กล้าสู้กับปัญหา มั่นใจและเชื่อมั่นในสิ่งที่ตัวเองทำนะครับ” สิ้นเสียงทุ้มนิ้วเรียวของพี่ศิก็ถูกยกขึ้นมาเกลี่ยน้ำตาออกจากใบหน้าของผมพร้อมกับจับแก้มของผมให้ฉีกยิ้ม “น้องกรที่พี่รู้จักไม่ใช่คนเจ้าน้ำตา แต่เป็นน้องกรที่สามารถยิ้มรับกับทุกสถานการณ์ได้นะครับ”
ถ้อยคำที่พี่ศิเอื้อนเอ่ยออกมานั้นมันเหมือนเป็นถ้อยคำที่เตือนสติผม ผมให้ผมรู้ตักว่าผมไม่ใช่คนขี้ขลาดที่จะวิ่งหนีปัญหาแบบนี้ แต่ผมเป็นคนที่พร้อมต่อสู้กับและยิ้มรับกับทุกสถานการณ์
“ขอบคุณนะครับพี่ศิ…ที่พี่เตือนสติผมไม่ให้ลืมตัวตนของตัวเอง” ผมเอ่ยพร้อมรอยยิ้มมือตั้งสองข้างของผมถูกยกขึ้นไปจับฝ่ามือทั้งสองข้างของคนตรงหน้า และนำมือนั้นมาแนบไว้กับแผ่นอกของตน “พี่ศิทำให้หัวใจดวงนี้มีกำลังใจมากขึ้นและยังทำให้หัวใจดวงนี้เข็มแข็งขึ้นกว่าเก่า…ขอบคุณนะครับพี่ศิ” เมื่อผมเอ่ยจนจบประโยคเราทั้งสองคนก็ส่งยิ้มให้แก่กันก่อนที่มันจะแปรเปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะเบา ๆ ที่ดังไปทั่วทั้งห้อง
‘กรขอบคุณพี่ศิมาก ๆ เลยนะครับที่เตือนสติกร และเรียกตัวตนเดิมของกรออกมา’
หลังจากที่ผมหยุดร้องไห้พวกเราทั้งสองคนก็แยกย้ายกันกลับห้องเพราะผมกับพี่ศิก็มีเรียนตอนเช้ากันครับ ผมเดินออกจากห้องของพี่ศิพร้อมกับโบกมือลาพี่ศิด้วยรอยยิ้มแต่ก่อนที่ผมจะได้เดินกลับไปที่ห้องของผม เสียงทุ้มของพี่ศิก็เอ่ยรั้งผมไว้ “กรครับ พรุ่งนี้มาทานอาหารเช้าด้วยกันนะครับแล้วเดี๋ยวพี่พาไปส่งที่คณะ” ผมพยักหน้าตอบรับคำพูดของพี่ศิด้วยรอยยิ้มก่อนจะหันหลังกลับเพื่อเดินเข้าห้องของตัวเองไป
วันนี้ผมได้พบเจออะไรหลาย ๆ อย่างไม่ว่าจะเป็นเสียงหัวเราะ คราบน้ำตา แถมรำลึกไปถึงอดีตที่เคยเกิดขึ้นมันทำให้ผมทบทวนเรื่องราวต่าง ๆ ในสมอง และมันก็ทำให้ผมตัดสินใจได้แล้วว่าผมจะยอมฟังเรื่องราวจากปากของไอไฮซ์ เพื่อที่ว่าพวกเราทั้งสองคนอาจจะได้สายสัมพันธ์ที่เรียกว่าเพื่อนกลับมา
หลังจากเกิดเหตุการณ์เมื่อเย็นวานพี่วิกับพี่เตอร์ทั้งสองคนโทรมาหาผมพร้อมกับขอให้ผมเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ฟัง ซึ่งเป็นที่แน่นอนครับว่าผมปฏิเสธที่เล่าให้พี่ ๆ ทั้งสองฟัง การตัดสินใจของผมทำให้พี่วิกับพี่เตอร์โวยวายใส่โทรศัพท์ผมเสียยกใหญ่ คือผมก็เข้าใจพี่ ๆ เขานะครับ ผมทราบว่าพี่วิกับพี่เตอร์เป็นห่วงผมมากครับพี่เขาเลยอยากรู้เรื่องราวและปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างผมกับไอไฮซ์ แต่ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัวพอดูครับผมจึงตัดสินใจไม่เล่าให้พี่ ๆ ทั้งสองฟัง (ซึ่งผมเชื่อว่าพี่ ๆ ทั้งสองคงไปเค้นถามเอาจากพี่ศิแน่นอน และเป็นที่แน่นอนอีกครั้งว่าพี่ศิก็คงไม่เล่าให้ฟังด้วยเช่นกัน)
วันนี้ในตอนเช้าผมก็ถูกปลุกด้วยเสียงเคาะประตูห้องโดยพี่ศิ ตื่นมาทานอาหารเช้าโดยฝีมือของพี่ศิ การเจอหน้ากันของผมกับพี่ศิในทุก ๆ เช้าและการไปมหาวิทยาลัยด้วยกันมันกลายกิจวัตรประจำวันของผมกับพี่ศิไปแล้วครับ เอาเป็นว่าถ้าวันไหนผมกับพี่ศิไม่ได้เจอหน้ากันหรือคุยกันวันนั้นต่างฝ่ายจะนอนกันไม่หลับครับ ความจริงผมก็พูดเกินไปมันแค่มีความรู้สึกโหวง ๆ ในชีวิตเท่านั้นเองครับ (แต่ในช่วงพี่ปิดเทอมตามที่ผมเคยบอกไปก่อนหน้านี้ผมย้ายสำมโนครัวไปอยู่ห้องพี่ศิครับดังนั้นเรื่องการโหวงเหวงในชีวิตก็ไม่เกิดขึ้น แต่นี่เปิดเทอมแล้วผมเลยต้องมีความเกรงใจสักเล็กน้อย ผมก็เลยตัดสินใจย้ายสำมะโนครัวกลับมานอนที่ห้องของผมครับ)
และตอนนี้ผมก็มาถึงมหาวิทยาลัยโดยสารถีกิตติมศักดิ์ส่วนตัวของผมที่มีนามว่าพี่ศิรวิทย์นั่นเอง
“ขอบคุณนะครับพี่ศิตอนเย็นเจอกันนะครับ” ผมพูดขอบคุณพี่ศิพร้อมรอยยิ้มก่อนจะก้าวเท้าลงจากรถไปและโค้งตัวให้พี่ศิเขาอีกที (นี่ก็เป็นกิจวัตรประจำวันของผมอีกอย่างครับ นั่งก็คือการกล่าวขอบคุณพี่ศิที่มาส่งผมถึงคณะในทุก ๆ เช้าครับ)
“ครับกรเจอกันตอนเย็นนะครับพี่ไปก่อนหละ” เสียงทุ้มของพี่ศิตอบกลับใบหน้าคมระบายไปด้วยรอยยิ้มดั่งเช่นทุก ๆ วัน
หลังจากที่ผมบอกลาอะไรกับพี่ศิเรียบร้อยแล้วผมก็เดินเข้าไปใต้คณะพร้อมกับเดินไปยังโต๊ะม้าหินอ่อนตัวเดิมซึ่งเป็นที่ประจำของกลุ่มผมครับ และตอนนี้ก็มีสมาชิกของกลุ่มผมมาแล้วครับนั่นก็คือไอเจมส์กับไอบาสซึ่งมันทำให้ผมตกใจมากครับเพราะไอสองตัวนี้ถือได้ว่าเป็นสองสหายที่มาเลตที่สุดในกลุ่มครับ และในทันทีที่ผมเดินไปยังโต๊ะม้านั่งไอเพื่อนสองตัวนั้นก็ส่งเสียงทักผมออกมาทันที
“โย่ว...เชี่ยกร” นี่คือเสียงของไอบาสครับส่วนไอเจมส์แค่โบกมือให้ผมเล็กน้อยเท่านั้นหละครับเพราะมันกำลังเล่นเกมส์ในไอโฟนของมันอยู่มันเลยไม่มีสมาธิที่จะมากล่าวทักทายอะไร
ผมสาวเท้าเดินต่อไปพร้อมกับทรุดตัวนั่งข้าง ๆ พวกมันทั้งสองคน “วันนี้ผีเข้าเหรอครับพวกมรึง มาซะเช้าเลย” ผมถามพร้อมกับปรายสายตาไปที่พวกมันสองคน “หรือว่าที่พวกมรึงมาเช้า ๆ กันเพราะมีอะไรจะคุยกับกรูสินะ” ดูเหมือนว่าประเด็นหลังที่ผมพูดท่าทางจะถูกประเด็นมากที่สุดไอเจมส์กับไอบาสหันมาส่งรอยยิ้มแห้ง ๆ ให้ผม
“แล้วคงเป็นเรื่องของไอไฮซ์ใช่ไหม” ผมเอ่ยถามออกไปตรง ๆ ซึ่งชื่อของไอไฮซ์ที่ผมเรียกนั้นทำให้เพื่อนสองหน่อของผมตกใจจนถึงกับสะดุ้งเฮือกเลยครับ พวกมันคงคิดว่าชื่อ ๆ นี้คงไม่มีทางถูกเอ่ยออกมาจากปากของผมอีกครั้งแล้วก็ได้มั้งครับ ซึ่งไอท่าทางเหวอ ๆ ของพวกมันทำให้ผมหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ
“ทำไม มรึงคิดว่าชื่อนี้จะไม่หลุดออกมาจากปากของกรูอีกแล้วใช่ไหม” ผมพูดพร้อมกับนั่งเท้าคางมองพวกมัน ซึ่งไอเจมส์กับไอบาสก็พยักหน้ายอมรับในคำพูดของผมครับ
ผมคิดว่าพวกมันคงแปลกใจพอดูเลยหละว่าทำไมผมถึงพูดชื่อของไอไฮซ์ออกมาอีกครั้งได้ทั้ง ๆ ที่ผมทำตัวรังเกียจมันขนาดนั้น
“เมื่อวานมันคงเล่าอะไรให้พวกมรึงฟังหละสิ” ผมพูดออกไปราวกับว่าผมไปสิงสถิตอยู่ในหอของพวกมัน ซึ่งไอสองสหายของผมก็พยักหน้ายอมรับเบา ๆ “งั้นก็เล่ามาสิว่าไอไฮซ์มันพูดอะไรให้ฟังบ้าง” สิ้นเสียงมือที่เท้าคางอยู่ก็เปลี่ยนมากอดอกพร้อมกับนั่งไขว่ห้างมองพวกมัน
“มันก็เล่าว่าบังเอิญไปเจอมรึงตอนที่รุ่นพี่ปี 4 นัดเลี้ยงสาย หลังจากนั้นมรึงก็เดินหนีออกจากร้านอาหารไปเลยซึ่งไอไฮซ์มันก็คิดจะวิ่งตามมรึงไปอยู่หรอก แต่ว่ารุ่นพี่ปีสี่เขาวิ่งตามมรึงออกไปซะก่อนมันเลยไม่ได้วิ่งตามออกไป” ไอเจมส์เล่าให้ผมฟังซึ่งมันก็เป็นความจริงทั้งหมดหละครับแต่การที่ไอไฮซ์เรียกพี่ศิว่ารุ่นพี่ปี 4 แสดงว่ามันคงไม่รู้จักพี่ศิสินะ
v
v
v
v
v
v
v