ตอนที่ 18 (ต่อจากคราวที่แล้ว)
หลังจากที่งานเลี้ยงช่วงกลางวันเรียบร้อยแล้ว คนอื่นๆก็แยกย้ายกันไป ภาสวรไปส่งบิดามารดาของเขาที่บ้านโดยน้องเรนขออยู่ที่นี่กับปัญญวัฒน์ เขาพาเด็กชายเรนขึ้นมาห้องพักที่ปาลิดาจองเผื่อไว้เพื่อสำหรับให้พักผ่อนก่อนงานเลี้ยงที่จะมีในตอนเย็น
“น้องเรนมาอาบน้ำก่อนครับจะได้สบายตัว” ชายหนุ่มเรียกเด็กชายที่กำลังสนใจแท๊บแลตดูการ์ตูนอยู่
“คับ”
ก็อกๆ เสียงเคาะประตูหน้าห้อง ปัญญวัฒน์เดินไปเปิดประตูรับวรภัทรกับเด็กหญิงอิงฟ้าเข้ามา
“พี่พลอยหลับเราเลยพาน้องฟ้ามานี่” วรภัทรเอ่ยขึ้น
“อืม น้องเรนพึ่งอาบน้ำเสร็จ ภัทรจะอาบน้ำไหม” ปัญญวัฒน์มองดูหลานสาวที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว ส่วนน้องเรนนั้นเขาให้ใส่ชุดเดิมเพราะภาสวรไม่ได้เตรียมมาให้ เพราะไม่คิดว่าลูกชายจะอยู่ที่นี่ต่อ
“เดี๋ยวก่อนก็ได้ ปันไปอาบเถอะเดี๋ยวเราดูเด็กๆให้เอง” วรภัทรบอกก่อนเดินไปดูเด็กๆที่นั่งเล่นอยู่บนเตียง
“งั้นฝากด้วยนะ”
หลังจากอาบน้ำเสร็จ เมื่อปัญญวัฒน์เดินออกมาจากห้องน้ำก็พบว่าเพื่อนของเขาอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาภายในห้อง แถมนาวินกำลังง่วนกับโทรศัพท์ที่ติดตั้งไว้ในห้องพัก
“ปันมาพอดี จะกินอะไรไหม” นาวินตะโกนถามหลังจากที่เห็นปัญญวัฒน์เดินเข้ามาใกล้
“ไม่อ่ะ ตามใจนายเลย” ชายหนุ่มบอกก่อนเดินไปสมทบกับเด็กๆที่นอนดูการ์ตูนอยู่บนเตียง
“พี่ปาเปิดห้องเผื่ออีกสามห้องใช่ไหม” นาวินหันมาถามปัญญวัฒน์
“ใช่ ห้องนี้ ห้องที่พ่อแม่ไอ้รันและห้องพี่พลอยกับแม่แพรกำลังพักอยู่” ปัญญวัฒน์ตอบ
“เช็คเอ้าท์พรุ่งนี้ก่อนเที่ยงใช่ป่ะ”
“อืม ทำไมวะ” วรภัทรตอบแทน เขาเริ่มสงสัยแล้วว่านาวินต้องการอะไร
“กูไปสำรวจโรงแรมมา มีผับด้านบน หลังงานเลี้ยงพวกเราไปต่อกันนะ พอเมาก็กลับมานอนที่ห้องนี่ไงดีป่ะ” นาวินรีบอธิบายพร้อมถามความเห็นจากเพื่อนๆ
“แต่ห้องเดียวจะพักกันพอเหรอ” วรภัทรหันไปดูเตียงที่ปัญญวัฒน์นอนกับเด็กสองคนก็เต็มเตียงแล้ว
“ใครว่าห้องเดียวล่ะ เดี๋ยวกูขอกุญแจห้องพ่อกับแม่ไว้” ศรัณเอ่ยขึ้น โชคดีที่วันนี้ได้หยุดไม่มีเวรต้องดูแล
“แจ๋ว ตกลงคืนนี้ไปกัน” นาวินหันมายิ้มอย่างยินดีเมื่อเพื่อนพยักหน้าเห็นด้วย
ตอนที่ 19
ธีมงานฉลองแต่งงานมาในแนว Red Wine & Peach โดยมีโทนสีหลักดูอบอุ่นจากสีพีชหรือชมพูนู๊ด แซมด้วยสีแดงเลือดนก ทำให้ภายในงานดูหรูหรา เหล่าเพื่อนเจ้าสาวใส่ชุดสีโอโรสคล้ายกัน ส่วนทางเพื่อนเจ้าบ่าวมีเนคไทสีแดงเลือดนกเป็นสัญลักษณ์ ซุ้มประตูหน้างานประดับด้วยกุหลาบแดงแซมสีส้ม ปัญญวัฒน์มองดูหน้างานอย่างพึงพอใจ ใกล้เวลาเข้ามาทุกทีแล้ว
“อาปันคับ เรนหล่อไหมคับ” เด็กชายหมุนตัวอวดชายหนุ่ม
“หล่อแล้วครับ ใส่ชุดเหมือนอารุตเลย” ปัญญวัฒน์อมยิ้มจัดหูกระต่ายให้เด็กชายเล็กน้อย งานตอนเย็นเด็กชายเปลี่ยนจากเสื้อเชิ้ตกางเกงผ้าขายาวเป็นชุดทักซิโด้สีดำมีหูกระต่ายสีแดงเลือดนกเหมือนชุดเจ้าบ่าวขนาดย่อส่วน ในขณะที่ภาสวรแต่งชุดสูทดำเสื้อเชิ้ตสีขาวมีเนคไทสีแดงเลือดหมูต่างจากเขาที่ใส่สูทดำแต่เสื้อเชิ้ตสีเลือดหมูไม่ใส่เนคไทเหมือนเพื่อนๆ เพราะวรภัทรเป็นคนจัดเตรียมไว้ให้เมื่อทราบคอนเซ็ปงาน แถมเผื่อแผ่พี่ชายน้องชายพวกเขาด้วย
“ใกล้เวลาแล้วยังไม่มีใครลงมาอีกเหรอ” ภาสวรที่กลับมาที่โรงแรมหลังจากที่ไปส่งบิดามารดาที่บ้านเรียบร้อยแล้วเอ่ยขึ้น หลังจากที่มองดูรอบๆแล้ว
“กำลังมากันครับ นั่นไงพวกภัทรเอาของชำร่วยมากันแล้ว” ปัญญวัฒน์มองพวกเพื่อนๆที่เดินนำพนักงานโรงแรมเข็นรถเข็นที่มีกล่องของชำร่วยเข้ามา
“พี่ปานี่ไอเดียดีนะ ให้เจลล้างมือกับสบู่เหลวกลิ่นกุหลาบ” วรภัทรชูกล่องพลาสติกใสคาดริบบิ้นสีแดงภายในมีขวดเจลล้างมือกับสบู่เหลวขนาด 60 มิลลิลิตร ให้เพื่อนดู
“คอนเซ็ปคุณครูกับคุณหมอไง” นาวินที่ช่วยพนักงานยกกล่องวางด้านหลังโต๊ะที่ตั้งสมุดอวยพรหน้างานเอ่ยขึ้น
“พี่ว่าเก๋ดีไม่เหมือนใคร แถมนำเอาไปใช้ได้อีก ของรับไหว้เมื่อเช้าก็ดูดีนะ” ภาสวรเอ่ยถึงชุดผ้าขนหนู สบู่ ใยขัดผิว โลชั่นสำหรับฝ่ายหญิง ของฝ่ายชายเป็นชุดกาน้ำชา พร้อมถ้วย ซึ่งพ่อแม่เขาเองก็ชอบเพราะส่วนใหญ่แล้วของชำร่วยที่เขาไปร่วมงานมามักจะใช้อะไรไม่ค่อยได้นอกจากตั้งโชว์
“ครับพี่ปาเลือกอยู่นาน ตอนแรกจะเอาผ้าพันคอผ้าแคชเมียร์ แต่เมืองไทยไม่ได้หนาวมาก โอกาสที่จะใช้มีน้อย เลยเปลี่ยนเป็นอะไรที่ใช้ได้ทุกวันดีกว่า” ปัญญวัฒน์หันมาอธิบาย เพราะเขานี่แหละไปเป็นเพื่อนปาลิดาตอนเลือกของชำร่วย กว่าจะลงตัวได้ใช้เวลาหลายอาทิตย์เลยทีเดียว
“พ่อคับฟ้ามาแล้ว” เด็กชายกระตุกแขนเสื้อบิดาเบาๆเมื่อเห็นเพื่อนเล่นเดินเข้ามาในงานกับครอบครัวและบ่าวสาว
“รอเดี๋ยวนะครับ ถ่ายรูปกับคุณครูก่อนค่อยไปเล่นกันนะครับ” ภาสวรรีบบอกลูกชายก่อนที่จะวิ่งไปหาเพื่อนเล่น
“คับ คุนคูสวยจัง” เด็กชายมองปาลิดาตาวาว วันนี้คุณครูของเขาสวยกว่าทุกวัน เมื่อเช้าว่าสวยแล้ว ตอนนี้สวยกว่าอีกเหมือนอย่างเจ้าหญิงเลย
“ท่าทางเจ้าชู้นะเนี่ย โตขึ้นพี่ภาคคงจะเหนื่อยน่าดู” วรภัทรเอ่ยแซวเด็กชายก่อนหันมายิ้มกับผู้เป็นพ่อที่ไม่พูดอะไรนอกจากยิ้มตอบเขาลูกเดียว
“ไม่เหนื่อยจิ เรนไม่ดื้อไม่ซนน้า ใช่ไหมคับอาปัน” เด็กชายที่ได้ยินพูดประท้วงพร้อมหันมาถามปัญญวัฒน์เพื่อจะหาพวก
“ครับ น้องเรนไม่ดื้อไม่ซน ถ้าอาพูดห้ามอะไรต้องเชื่อฟังนะครับ เพราะอาไม่อยากให้น้องเรนเจ็บตัว” ปัญญวัฒน์บอกเด็กชาย เพราะก่อนหน้านี้เจ้าตัววิ่งเล่นที่ทางเดินเขาห้ามก็ไม่ฟังจนวิ่งไปชนพนักงานที่เพิ่งทำห้องเสร็จขนอุปกรณ์ออกมา ตัวพนักงานเองก็ตกใจเพราะกลัวว่าทำเด็กชายเจ็บ แต่เขากับน้องเรนก็ขอโทษพนักงานคนนั้นไป พวกเขาเป็นฝ่ายผิดที่ไม่ระวังและดูแลเด็กชายไม่ดีเอง
“คับ”
งานเลี้ยงตอนค่ำนี้เป็นแบบบุฟเฟ่ แบ่งโซนจัดเลี้ยงเป็นสองส่วน ส่วนแรกเป็นเวทีและโต๊ะของแขกที่มาร่วมงาน อีกโซนจะเป็นซุ้มอาหารหลากหลายประเภทมาให้เลือกทาน แถมมีหลายซุ้มที่มีการทำแบบสดๆตรงนั้นเลย อาทิซุ้มเสต็กมีให้สั่ง พอทำเสร็จจะนำมาเสิร์ฟให้ถึงที่ ซุ้มปลาดิบที่ปั้นกันให้เห็นจะๆ แถมซุ้มเครื่องดื่ม บาร์เทนเดอร์มาผสมกันตรงนั้นเลย ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ที่พากันเดินเข้างานล้วนตื่นเต้น
“โห เหมือนมาเทศกาลอาหารบุฟเฟ่มากกว่ามางานแต่งงานเลยว่ะ” นาวินที่เห็นซุ้มอาหารเอ่ยขึ้นอย่างแปลกใจ
“ความคิดพี่รุต อยากให้เพื่อนๆเขาผ่อนคลายบ้าง” ศรัณหันมาบอก คอนเซ็ปนี้เอาใจเพื่อนๆของบ่าวสาว โดยเฉพาะพวกหมอที่แทบไม่มีเวลาไปไหน วันหยุดก็ได้แต่นอนอยู่บ้าน วันนี้ถือว่ามานัดสังสรรค์รวมตัวกันหลังแยกย้ายกันทำงานตามโรงพยาบาลต่างที่กันไป
“พวกมึงไปหาที่นั่งก่อน ค่อยมาสั่งอาหาร” วรภัทรดึงมือนาวินเอาไว้ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินเข้าไปในซุ้มเครื่องดื่ม ที่มีทั้งแอลกอฮอล์และโนแอลกอฮอล์
“อาปัน เรนอยากกินกุ้ง” เด็กชายกระตุกมือชายหนุ่มเพื่อบอก เขาเห็นกุ้งปูเยอะแยะไปหมดเลย
“ได้ครับ เดี๋ยวเราไปที่นั่งก่อนเนอะ” ปัญญวัฒน์บอกเด็กชายที่มองซุ้มอาหารอย่างตื่นเต้น
ภาสวรเดินไปสั่งเสต็กก่อนที่ตักกุ้งปูไปเผื่อลูกชายและปัญญวัฒน์ เมื่อกลับถึงโต๊ะพบว่าวรภัทรนั่งอยู่กับเด็กชายเรนตามลำพัง
“นี่ครับของน้องเรน ภัทรจะไปหยิบอาหารก็ไปเถอะ เดี๋ยวพี่อยู่เฝ้าโต๊ะเอง” ภาสวรบอกชายหนุ่ม ตอนแรกเขาจะไปเอาเครื่องดื่ม แต่เมื่อเห็นพนักงานมาเสิร์ฟน้ำอัดลมถึงโต๊ะเขาเลยเฝ้าโต๊ะให้วรภัทรได้ไปหยิบอาหารบ้าง
“ครับพี่ภาค”
“น้องเรนครับ อาปันมีซุปกับสปาเก็ตตี้แบบน้องเรนชอบมาให้ด้วย ทานซุปก่อนเดี๋ยวอาแกะกุ้งให้นะ” ปัญญวัฒน์วางถ้วยซุปกับจานสปาเก็ตตี้ตรงหน้าเด็กชาย
“คับ” เด็กชายตักซุปมาชิมก่อนตักสปาเก็ตตี้ทาน
“รสชาติโอเค สมกับเป็นบุฟเฟ่โรงแรมดัง” นาวินที่ชิมอาหารทุกอย่างเอ่ยขึ้นหลังทานเสร็จ
“ก็แน่ล่ะ พี่ปาปิดร้านอาหารบุฟเฟ่ของโรงแรมมาเพื่องานนี้โดยเฉพาะ” วรภัทรพูดไปกินไปไม่หยุดปาก
“ภัทรมึงยังไม่อิ่มอีกเหรอ ระวังนะจะใส่ชุดที่ออกแบบไม่ได้” ศรัณมองจานที่วางเรียงรายแล้วรู้สึกอิ่มแทน
“กินเผื่อคืนนี้ไง เดี๋ยวไปเที่ยวต่อใช้พลังงานเยอะ”
“เออๆ แต่ข้างบนมีอาหารให้สั่งนะ เผื่อไม่รู้” นาวินบอกเพื่อน
“จะไปเที่ยวกันต่อเหรอครับ” ภาสวรที่นั่งฟังอยู่นานเอ่ยถามขึ้น
“ใช่ครับ เราจะไปต่อที่ผับด้านบนนี่เอง” ปัญญวัฒน์หันมาตอบภาสวรแทนเพื่อนๆ
“พี่ภาคไม่ต้องห่วงนะ พวกเราเมาไม่ขับแน่นอนเพราะเราจะนอนกันที่นี่” วรภัทรเอ่ยเสริมขึ้น เพราะกลัวว่าชายหนุ่มจะเป็นห่วงพวกเขาเหมือนพวกพี่ๆและพ่อแม่เขาห่วง
“ครับ ดีแล้ว”
---- a little cupid ----
ผับชั้นบนสุดของโรงแรมมีส่วนอินดอร์ที่เป็นโซนหลักสำหรับสายแด๊นซ์ และเล้าจ์ด้านนอกระเบียงดาดฟ้าสำหรับสายชิล โซนหลักถูกประดับเด่นหรูด้วยแชงเดอเลียขนาดใหญ่ เปิดเพลงสไตล์ Hip Hop และเพลงแด๊นซ์ชื่อดังทั้งหลาย มีชั้นลอยสำหรับ VIP ที่ต้องการความส่วนตัว เล้าจ์ด้านนอกโซนระเบียงดาดฟ้ากึ่งกลางแจ้งที่สามารถมองเห็นสวนสาธารณะตอนกลางวันได้อย่างเต็มตา และแสงไฟของกรุงเทพในยามราตรี เหมาะสำหรับการเอนหลังจิบเครื่องดื่มพูดคุยและฟังเพลงสไตล์เฮ้าส์ (House) แบบไหลๆลื่นๆ พร้อมด้วยพื้นที่ที่สามารถเล่นพูล และ ฟุตบอลโต๊ะได้อย่างสนุกสนาน สำหรับเมนูอาหารและเครื่องดื่มนั้นมีความสร้างสรรค์และหลากหลายให้เลือก พวกปัญญวัฒน์เลือกนั่งโซนสายแด๊นซ์จากการออกเสียงสามต่อหนึ่งมติเป็นเอกฉันท์
“ไม่ทราบว่าจองไว้หรือเปล่าครับ” พนักงานเดินเข้ามาถามพวกเขาที่กำลังมองหาที่นั่งอยู่ ดูเหมือนที่นั่งจะเต็มไปหมด
“ไม่ได้จองครับ” นาวินตอบไป พลางมองเข้าไปข้างใน คนเยอะขนาดนี้พวกเขาจะมีที่นั่งไหมเนี่ย
“ขอโทษครับ คุณปัญญวัฒน์หรือเปล่าครับ” พนักงานสวมสูทดูภูมิฐานน่าจะเป็นผู้จัดการผับเดินเข้ามาหาพวกเขาก่อนเอ่ยถาม
“ครับ ผมเอง” ปัญญวัฒน์ยกมือขึ้นพลางมองพนักงานอย่างงงๆ
“เชิญที่โต๊ะ VIP 1 ได้เลยครับ” คนสวมสูทผายมือไปที่ทางขึ้นด้านบน
“เดี๋ยวนะครับ พวกผมไม่ได้จองโต๊ะเลยนะ เข้าใจผิดหรือเปล่า” ปัญญวัฒน์แย้งออกมาหลังจากที่หันไปถามเพื่อนๆแล้วว่าใครจองโต๊ะมาก่อนหรือเปล่า เพื่อนทั้งสามได้แต่ส่ายหัวลูกเดียว
“คุณชื่อ ปัญญวัฒน์ ศิวะรันธร หรือเปล่าครับ” พนักงานอ่านชื่อในแฟ้มเพื่อเช็คให้แน่ใจอีกครั้ง
“ใช่ครับ นั่นชื่อและนามสกุลผม” ปัญญวัฒน์พยักหน้าตอบอย่างงงๆ
“งั้นก็ไม่ผิด ผู้บริหารโรงแรมโทรมาจอง ถ้าคุณปัญญวัฒน์กับเพื่อนรวมสี่คนมาให้เชิญที่โต๊ะ VIP1 ได้เลยครับ เดี๋ยวคุณไอราจะตามมาสมทบ” พนักงานชี้แจงพร้อมเอ่ยชื่อพี่รหัสของนาราพวกเขาจึงเดินตามไปแต่โดยดี
“ว้าว มุมนี้เห็นข้างล่างชัดเจนเลย” วรภัทรอุทานขึ้นหลังจากมองไปรอบๆแล้ว
“ตกลงจะเปิดเหล้าหรือเอาอะไร” นาวินยกเมนูตั้งโต๊ะขึ้นมาดู
“เปิดเหล้าก็ได้ผู้ชายสี่คนน่าจะหมด เมื่อกี้ผู้จัดการผับบอกว่าพี่ลมจะมาด้วยนี่” ศรัณตอบ จากการคำนวณคร่าวๆแล้วเปิดเหล้าน่าจะดีกว่า
“มึงรู้ได้ไงว่าคนเมื่อกี้เป็นผู้จัดการผับ” วรภัทรหันมาถามเพื่อนอย่างสงสัย
“กูเก่ง”
“กวนตีนนะมึง กูเห็นมึงแอบถามพนักงานข้างหน้าก่อนเดินขึ้นมา” นาวินด่าศรัณที่อำวรภัทร
“ดูจากการแต่งตัวก็น่าจะเดาได้ป่ะ” ปัญญวัฒน์เองก็ขำที่วรภัทรโดนอำจนหน้าเหลอไปไม่ถูก
“เออๆ พวกมึงแกล้งกู กูจะฟ้องพี่พงศ์” วรภัทรหน้ามุ่ยพร้อมเอาพี่ชายมาขู่
“ตามใจมึง กูขอสั่งบลูเลยนะ” นาวินเปลี่ยนเรื่องหันมายิ้มให้วรภัทรที่หันขวับมามองหน้าเขาทันทีที่พูดจบ
“เอาใหญ่เชียวนะมึง สั่งมาแล้วกินให้หมดด้วยล่ะ ออ อย่างที่บอกกูเลี้ยงแต่เหล้านอกนั้นจ่ายเอง” ขนาดขู่แล้วนาวินยังไม่กลัว วรภัทรชี้หน้าคาดโทษ พอเห็นว่าเขาจะเลี้ยงรีบเชียวนะ
“มึงเลี้ยงเหล้าไอ้ปันเลี้ยงมิกซ์เซอร์กูก็โอเคแล้ว” นาวินยักคิ้วให้วรภัทรอย่างกวนๆ
หลังจากที่เหล้าและกับแกล้มมาเสิร์ฟพวกเขาก็ดื่มไปพลางดูบรรยากาศที่คึกคักด้านล่างอย่างสนุก แม้ว่าตอนที่พวกเขามากันเพิ่งจะสามทุ่มถือว่าเร็วไปสำหรับนักเที่ยว แต่โซนสายแดนซ์นั้นเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังโชว์ลีลากันจนแน่นไปหมด พอสี่ทุ่มเสียงดีเจประกาศชื่อนักร้องรับเชิญที่จะมาร้องเพลงให้ฟังในค่ำคืนนี้ เสียงกรี๊ดสนั่นดังลั่นจากสาวแท้สาวเทียม
“โห พี่ลมเปิดตัวโคตรสนั่นเลย” นาวินมองไอราที่เดินขึ้นเวทีท่ามกลางเสียงกรี๊ดจากผู้คนด้านล่าง
“แน่อยู่แล้ว แฟนคลับพี่เขาเยอะ กูว่าแล้วทำไมคนแน่นตั้งแต่หัววัน” วรภัทรเอ่ยขึ้น ตอนแรกเขาก็สงสัยว่าผับของที่นี่คนเยอะจนล้นออกไปด้านนอกทั้งๆที่อยู่ชั้นยี่สิบห้าของโรงแรม
“ว่าไงพวกมึง ไม่เจอกันนานเลย” เสียงทักทายดังขึ้นพร้อมร่างของนักร้องดังที่เพิ่งลงจากเวทีเข้ามานั่งที่โต๊ะ
“สวัสดีครับพี่ลม” ทั้งหมดยกมือไหว้ทักรุ่นพี่ที่คุ้นหน้ากันเป็นอย่างดี
“ได้ข่าวว่าจะมากันกูเลยมาขอแจมโต๊ะด้วย” ไอราเอ่ยกับรุ่นน้อง เขาอยู่ตอนที่พี่ชายบอกเลขาให้จองโต๊ะที่ผับให้ พอรู้ว่าใครจอง เขาจึงบอกเลขาพี่ชายว่าจะไปร่วมโต๊ะด้วยหลังร้องเพลงเสร็จเพราะรู้จักน้องๆกลุ่มนี้
“พวกผมก็ยังแปลกใจเลยตอนที่พนักงานบอกว่าจองโต๊ะไว้ เพราะพวกเราไม่มีใครจองสักคน แต่พอเขาบอกชื่อพี่ก็เลยมานั่งรอกันเนี่ย” นาวินอธิบาย เขายังงงไม่หาย
“มึงบอกใครหรือเปล่าว่าจะมาที่นี่กัน เขาเลยโทรหาพี่กูให้จองโต๊ะให้น่ะ” ไอราไม่เฉลยว่าใคร เขาอยากให้พวกนี้คิดเองดีกว่า
“นี่พี่ภาคบอกคุณดินให้จองโต๊ะให้เหรอครับ” ปัญญวัฒน์หันมาถามไอราอย่างนึกได้ว่าโรงแรมนี้พสุธาบริหารงานอยู่ แต่เขาคิดไม่ถึงจริงๆว่าชายหนุ่มจะทำแบบนี้
“ใช่แล้ว พอดีวันนี้กูมาร้องเพลงที่ผับนี้คนเลยเยอะถ้าไม่จองก็ไม่มีโต๊ะนั่งหรอก” ไอรายอมรับก่อนอธิบายสาเหตุที่ต้องจองโต๊ะ
“พี่มาร้องที่นี่ประจำเหรอครับ” วรภัทรเอ่ยถามอย่างสงสัยเพราะไม่มีแผ่นป้ายโฆษณาติดเอาไว้
“เดือนละครั้ง ทุกคืนวันเสาร์ที่สามของเดือน” ไอราตอบก่อนจิบเหล้าที่นาวินชงส่งมาให้ ความจริงแล้วงานนี้เป็นกิจการของครอบครัวที่เขาเองก็บอกกล่าวต้นสังกัดเอาไว้แล้วก่อนเซ็นสัญญา
“ถือว่าพวกผมโชคดีนะเนี่ยที่ได้มาฟังพี่ร้องเพลง” ศรัณรู้สึกแบบนั้นจริงๆ เพราะตั้งแต่เขาขึ้นปีสามจนมาถึงปีห้านี้แทบไม่มีเวลาไปไหนเลย แค่มีเวลานอนก็ดีถมไป วันนี้นอกจากได้มางานแต่งพี่ชายแล้วยังได้มาเปิดหูเปิดตาอีกด้วย
พวกเขากินดื่มกันจนถึงเที่ยงคืนกว่าจึงเช็คบิล ไอรานั้นขอตัวไปตั้งแต่ห้าทุ่มกว่าเพราะมีโทรศัพท์โทรมาตาม เมื่อจ่ายเงินเรียบร้อยแล้วก็ลงลิฟท์มาที่ห้องพัก เมื่อถึงชั้นที่ต้องการปัญญวัฒน์จึงเดินออกมา
“แน่ใจนะว่าพวกมึงกลับห้องไหว” ปัญญวัฒน์ถามเพื่อนอีกครั้งก่อนเดินออกจากลิฟท์ เขาพักชั้นนี้คนเดียว ส่วนอีกสองห้องที่เหลือพักชั้นถัดไป
“กูเอาไอ้สองตัวนี้ไหว ไม่ต้องห่วง” ศรัณตอบแทน เพราะเขาเองสติอยู่ครบเหมือนปัญญวัฒน์ผิดจากสองคนที่เหลือเดินแทบไม่ตรงทางอยู่แล้ว
“เออๆ งั้นกูไปแล้ว” ปัญญวัฒน์มองดูลิฟท์เลื่อนลงไปด้านล่างก่อนเดินกลับไปที่ห้องพัก
เมื่อเปิดเข้าไปที่ห้องพักปัญญวัฒน์รู้สึกแปลกใจที่ไฟหน้าประตูห้องเปิดไว้ทั้งๆที่เขาเพิ่งเข้า แถมแอร์ยังเปิดเย็นฉ่ำอีกด้วย ชายหนุ่มออกไปมองหน้าประตูห้องพัก เลขที่ห้องก็ถูกนี่นา สงสัยเขาจะเมา ถ้าผิดห้องคีย์การ์ดจะเปิดประตูได้ไง ชายหนุ่มยิ้มกับความคิดตัวเองก่อนเดินเข้ามาในห้องอีกครั้ง
“กลับมาแล้วเหรอปัน” เสียงทักดังขึ้นทันทีที่เขาเดินเข้ามา
“พี่ภาค มาอยู่ที่นี่ได้ไง” นี่เขาเมาจนเห็นภาพหลอนหรือเปล่าเนี่ย
“เป็นอะไรหรือเปล่า เมาเหรอเรา” ภาสวรโบกมือไปมาหน้าชายหนุ่ม
“สงสัยผมจะเมาที่เห็นพี่อยู่ในห้อง” ปัญญวัฒน์พูดออกมาเบาๆ จะว่าเขาเมาก็ไม่น่าใช่เพราะเขากินไปสามแก้วกว่าๆ แก้วที่สี่ยังไม่หมดเสียด้วยซ้ำเมื่อเพ่งดูภาสวรที่อยู่ตรงหน้าก็พบว่าเขาเห็นจริงๆ
“หึๆ งั้นคนเมาเข้าไปอาบน้ำล้างตัวจะได้มานอนนะ” ภาสวรส่งเสื้อคลุมพร้อมผ้าเช็ดตัวให้ปัญญวัฒน์ก่อนดันชายหนุ่มเข้าไปในห้องน้ำ
ปัญญวัฒน์เดินเข้าห้องน้ำด้วยความมึนๆงงๆ หลังจากที่อาบน้ำสดชื่นแล้ว เขาสวมเสื้อคลุมเดินออกมาเอาชุดนอนในตู้เสื้อผ้าออกมา เขาฝากคนที่บ้านให้เอาเสื้อผ้ามาให้หลังจากที่รู้ว่าต้องค้างที่นี่ จากนั้นก็เข้าไปสวมในห้องน้ำให้เรียบร้อย เมื่อเดินออกมาอีกที ก็เห็นภาสวรยืนอยู่หน้าประตูกระจกมองแสงสีกรุงเทพยามราตรีอยู่
“ตกลงพี่ภาคมาได้ยังไงครับ” ปัญญวัฒน์ถามขึ้นเมื่อชายหนุ่มหันมาทางเขา
“น้องเรนอยากนอนที่นี่น่ะ” ภาสวรบอก โชคดีนะที่เขามีกระเป๋าเสื้อผ้าติดมาในรถ ส่วนของน้องเรนเขาได้เอามาเผื่อตั้งแต่กลางวันแล้วไม่ได้ใช้ ส่วนคีย์การ์ดเขามีอยู่ใบหนึ่งเพราะต้องฝากกระเป๋าน้องเรนไว้ที่นี่ กะว่าตอนขากลับจะแวะมาเอา
“น้องเรน” ปัญญวัฒน์เอ่ยถามอย่างประหลาดใจ แต่เมื่อเห็นภาสวรชี้ไปที่เตียงมีร่างเล็กๆนอนหลับอยู่ เมื่อกี้เขาไม่ทันได้สังเกตุ
“ปันไปนอนเถอะ หาวใหญ่แล้ว พรุ่งนี้ค่อยคุยกันนะ” ภาสวรบอกเมื่อเห็นว่าดึกมากแล้ว
“แล้วพี่ภาคล่ะครับ” ปัญญวัฒน์เองง่วงมากแต่เขาเองก็อดเป็นห่วงคนตรงหน้าไม่ได้
“งั้นไปนอนด้วยกันเลย” ภาสวรจูงมือปัญญวัฒน์ไปส่งด้านหนึ่งของเตียงเมื่อเห็นชายหนุ่มนอนข้างลูกชายเรียบร้อยแล้ว เขาก็เดินไปนอนอีกด้านของน้องเรน
“ราตรีสวัสดิ์ครับพี่ภาค” ปัญญวัฒน์เอ่ยขึ้นก่อนหลับตาลง
ภาสวรอดที่ชะโงกหน้าไปสัมผัสที่หน้าผากชายหนุ่มเบาๆ
“ฝันดีนะปัน”
*************
ตอนที่ 18 เพิ่มเติมและตอนที่ 19 พอดีผู้เขียนตัดตอนที่ลงผิดค่ะ
ขออภัยในความสะเพร่านี้ด้วยค่ะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันนะคะ
แล้วพบกันอาทิตย์หน้าค่ะ