[การ์ด]
ก่อนหน้าที่รบจะมาถึงสองชั่วโมง
‘พวกเอกการแสดงมีเรื่องกันว่ะ’ ทีมโซเชียลของร้านอย่างผมพูดกับเพื่อนๆ ที่กำลังทำงานอย่างขะมักเขม้น ยกเว้นเจ้าของร้านที่เอาแต่นั่งเต๊ะอยู่ที่เดิม...บนระเบียงชั้นสอง
ครับ...ใครจะไปมีสิทธิ์ว่าหัวหน้าแก๊งที่เป็นเจ้าของร้านได้
‘เรื่องอะไร’ โฮมถามอย่างสนใจ
‘กำลังจะโดเนทช่วยกัน...ดูเหมือนแม่ไอ้ชู้ตจะเข้าผ่าตัดด่วน’ ผมอ่านรายละเอียดในโพสต์ของเพื่อนเอกอื่นแบบคร่าวๆ
‘กูเข้าใจแล้ว’ ก้องเอ่ยออกมาบ้าง ‘ก็คิดอยู่ว่าทำไมคนรวยอย่างไอ้รบถึงมาสมัครทำงานกับเรา ที่แท้ก็หาตังค์ช่วยคนในแก๊งมันนี่เอง’
‘แล้วมันรู้หรือยังว่าใครเป็นเจ้าของร้าน ใครทำงานในร้านนี้บ้าง’ ยุเลิกคิ้ว
ผมกับเพื่อนอีกสามคนค่อยๆ เงยหน้าขึ้นไปมองไอ้ธนูที่นั่งอยู่ที่ประจำของมัน...มันทำหน้าครุ่นคิด จากนั้นก็ไม่ยอมพูดอะไรออกมา
ยังไงรบมันก็ต้องวิ่งหนีแน่เมื่อเห็นว่าแก๊งผมอยู่ในร้านนี้กันหมด...มันคนเดียวจะมาอยู่กับกลุ่มคนที่คอยเขม่นกันในมอได้ยังไง คงไม่มีใครใจกล้าหรือสะดวกใจมากพอที่จะอยู่หรอกมั้ง
ไอ้ธนูมันกำลังคิดถึงความจริงเรื่องนี้อยู่มั้ยเนี่ย
สองชั่วโมงถัดมาผมจึงได้รู้คำตอบ...
มันใช้เงินมาล่อให้รบเซ็นสัญญาเป็นลูกจ้างชั่วคราวสามเดือนนี่เอง
[รบ]
ผมควรทำประกันชีวิตเอาไว้
ผมไม่รู้ว่าผมจะตายกับเรื่องไหนก่อน เรื่องที่ผมอึดอัดถึงขีดสุดกับเรื่องที่ว่าผมไม่กล้าสู้หน้าไอ้ธนู
มันไม่ได้ง่ายอย่างที่ผมนึกภาพเอาไว้เลยสักนิดเลย...โอย อยากกลับบ้านไปเล่นหมากเก็บกับรันฉิบเป๋ง
หน้าที่ของผมคือหน้าที่ทั่วๆ ไป เนื่องจากผมทำอาหารไม่เป็น (โฮมรับหน้าที่เป็นพ่อครัว) ชงกาแฟก็ไม่เป็น (ยุเป็นบาริสต้า) ผมจึงต้องยกของหรือไม่ก็ช่วยจัดร้านในจุดที่ยังไม่เสร็จ ฟังเหมือนทุกอย่างจะเป็นไปได้สวยใช่มั้ยครับ...แต่เปล่าเลย ทุกอย่างมันเต็มไปด้วยความอึดอัด
คนทำงานสี่คนอย่างไอ้โฮม ไอ้ยุ ไอ้ก้อง และก็ไอ้การ์ด...ทุกคนยังฝังใจเรื่องที่ผมเป็นหัวหน้าแก๊งที่พวกมันชังน้ำหน้า ซึ่งอันนี้ผมก็เข้าใจ แต่ผมจะต้องทำงานอยู่นี่สามเดือน มันจะเป็นอย่างนี้ทั้งสามเดือนไม่ได้ มันต้องมีอะไรเปลี่ยนแปลง ไม่อย่างนั้นผมอกแตกตายแน่นอน
“พวกมึง” ในฐานะที่เป็นผู้นำแก๊งอื่น...ผมยอมให้เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ไม่ได้ “กูมีเรื่องจะคุยด้วย”
ทั้งสี่คนหยุดกิจกรรมทุกอย่าง หันมามองหน้าผมด้วยสายตา...นิ่งๆ ผมกล้าเอ่ยปากพูดเพราะผู้นำของสี่คนนี้มันไม่อยู่น่ะ ไม่รู้ว่ามันหายหัวไปไหน แต่ก็ดีแล้ว...ผมไม่มีธุระที่จะคุยกับมัน
แม้แต่หน้ามันผมก็ยังไม่กล้ามองเลยเหอะ
“กูไม่เคยต่อยหน้าพ่อมึงใช่มั้ย...” ผมไม่รอให้ที่เหลือตอบผมก่อนที่ผมจะพูดประโยคถัดไป “เพราะงั้นพวกมึงเลิกเหม็นหน้ากูก่อนสักสามเดือนก่อนได้หรือเปล่าวะ...เราต้องทำงานด้วยกันอีกยาวนะ”
หรือพวกมันโกรธที่ไอ้ธนูให้เงินผมล่วงหน้ากันแน่นะ...งั้นผมพูดประเด็นนี้ด้วยเลยดีกว่า
“ส่วนเรื่องเงินกูจำเป็นต้องใช้จริงๆ...ค่ารักษาแม่ไอ้ชู้ตแพงมาก กูกับเพื่อนก็กำลังหาทางกันอยู่”
“เดี๋ยวก่อนนะ” ก้องเป็นคนที่เอ่ยออกมาก่อน “เงินที่ธนูเพิ่งให้มึง...มึงให้ไอ้ชู้ตเอาไปจ่ายค่ารักษาแม่มันทุกบาททุกสตางค์เลยเหรอ”
“ใช่”
“มึงไม่หักค่าแรงมึงเลยแม้แต่นิดเดียว?” การ์ดถามบ้าง
“ถูก”
พวกมันสี่คนมองหน้ากันอยู่นาน จนกระทั่งไอ้โฮมเป็นคนส่งเสียงทำลายความเงียบ “เดี๋ยวพวกกูจะช่วยด้วยอีกแรง”
ดวงตาของผมเบิกกว้าง...ไม่คิดว่าแก๊งที่ไม่ชอบขี้หน้าผมกับไอ้ชู้ตอย่างแรงจะออกปากช่วยเหลือ ผมรู้สึกซึ้งใจปนอึ้งทึ่ง นี่เป็นมุมที่ผมไม่เคยได้สัมผัสจากแก๊งเอกดนตรี
เห็นทีว่าผมจะได้เห็นอีกหลายๆ มุมที่ผมไม่ได้รู้มาก่อนแน่นอน
บรรยากาศระหว่างผมกับสี่คนนั้นเปลี่ยนไปหลังจากวินาทีนั้น...
ผมรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นเพราะสี่คนนั้นดูเหมือนจะเริ่มทำตัวสบายๆ ผมเริ่มถามว่าร้านเป็นยังไง เปิดกี่โมงถึงกี่โมง หยุดวันไหนบ้าง...ใครเข้ากะไหนอะไรยังไง
คำตอบที่ผมได้รับกลับมามีแต่การไม่ได้วางแผนชัดเจนเชี่ยอะไรเลย
ร้านแบล็คแพ็คเป็นร้านที้ตั้งใจเปิดให้เป็นร้านกาแฟกึ่งบาร์ เปิดสิบโมงยาวไปจนถึงตีหนึ่ง มีดนตรีสดโฟล์คซองโดยที่พนักงานในร้านนี่แหละจะเป็นคนวนเวียนกันขึ้นไปร้อง (พวกนี้มีนัดซ้อมร้องเพลงกันตอนเย็นด้วยนะ) แน่นอนว่าการร้องเพลงไม่ได้อยู่ในหน้าที่ของผม ฉะนั้นการ์ดมันจึงบอกให้ผมทำหน้าที่การจัดการทั่วไป นั่นก็คือเสิร์ฟกาแฟ เสิร์ฟอาหาร เก็บโต๊ะ ปัดกวาดเช็ดถู เติมของ จัดของ เก็บขยะไปทิ้ง และก็เป็นแคชเชียร์ ไม่น่าจะมีอะไรอย่างอื่น
ฟังดูเป็นหน้าที่ที่เหมาะสมกับเงินหกหมื่นในระยะเวลาการจ้างสามเดือนอยู่นะ...เอ๊ะ หรือมันมากเกินไปผมก็ไม่รู้หรอก
สัญญาที่ผมเซ็นมันคาบเกี่ยวกับช่วงเวลาเปิดเทอมด้วย ซึ่งพอถึงตอนนั้นร้านคงจะเปลี่ยนไปอีกทิศทางหนึ่ง เพราะพนักงานกับเจ้าของต้องกลับไปเรียนชั้นปีที่สี่ รวมถึงผมด้วย
เอาไว้พอถึงตอนนั้น...ค่อยว่ากันอีกทีก็แล้วกัน
ร้านนี้เป็นของไอ้ธนูร้อยเปอร์เซ็นต์ การ์ดเล่าว่าคนที่ออกทุนให้คือพ่อของธนู มันมีมิชชั่นที่จะต้องทำให้สำเร็จนั่นก็คือเปิดร้านแข่งกับพี่ชายของมัน...ซึ่งได้ข่าวว่ามาว่าแข่งขันกันทุกเรื่องมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว
ผมขอรู้แค่นี้พอ...รู้สึกได้ว่าถ้ารู้มากไปกว่านี้จะเป็นผมเองที่รู้สึกแปลกๆ ผมรู้จักธนูในฐานะมนุษย์สุดหล่อที่น่าหมั่นไส้และเป็นหนุ่มที่ได้พรหมจรรย์ด้านหลังของผม...ถ้ารู้จักไปมากกว่านี้ ผมคิดว่าบางทีผมอาจจะ...
...หวั่นไหว
เชี่ย...ทำไมต้องนึกถึงคำคำนี้เป็นคำแรกวะ
“อู้เหรอ” เสียงมาก่อนตัว...เพื่อนสี่คนของธนูเคยชินกับมันมากกว่าผม ทุกคนรีบกุลีกุจอกลับไปทำหน้าที่ของตัวเอง ส่วนผมก็ได้แต่ยืนเอ๋อๆ ถือไม้ถูพื้นอยู่ในมือ ไม่กล้าหันกลับไปเพราะรู้ว่าถ้าหันไปคงจะเจอะเข้ากับหน้าไอ้ธนูเต็มๆ
ผมทำงานร้านนี้มาเกือบสามชั่วโมงแล้ว...แต่ผมสบตาเจ้าของร้านรวมกันยังไม่ถึงครึ่งนาทีเลย
ยอมรับแหละว่าป๊อด
เห็นหน้าแล้วนึกถึงแต่เรื่องนั้นตลอดจริงๆ นะครับ
กลิ่นของมันโชยเข้าจมูกผม...ทำให้ผมรู้ว่าธนูแม่งต้องเดินมาใกล้ๆ แน่ๆ แต่มันไม่ได้หยุดอยู่ใกล้ๆ ผม มันแค่เดินผ่านไปเฉยๆ
“ไปยิมมาเหรอ” การ์ดถามเพื่อนมัน “ช่วงนี้ไปตอนกลางวันบ่อยนะ”
“เสือกนะการ์ด” ธนูเชือดนิ่มๆ
โห...มึงโหดกับเพื่อนมึงเกินไปเปล่า ผมหันไปมองทางหางตา การ์ดไม่ได้ทำหน้าเสียอะไร มิหนำซ้ำยังทำงานของมันไปเรื่อยๆ อีกต่างหาก
“มองไร” มันหันมาเชือดผมด้วย
ผมไม่กล้าสวนกลับเพราะมันคือเจ้านายผมในตอนนี้ ทำได้แค่ขมุบขมิบปากด่ากับไม้ถูพื้น จนกระทั่งผมเผลอสบสายตากับมันเข้า...มันหลุบสายตาลงต่ำแล้วตั้งใจมอง...สะโพกของผม
ไอ้เวรนี่...
ผมทำท่าจะชกมันผ่านอากาศ แต่แล้วในฉับพลันทันที...ผมเพิ่งนึกอะไรขึ้นมาได้
ผมต้องคุยกับไอ้ธนูเรื่องนี้ มันเป็นสิ่งที่เราสองคนเคยคุยกันมาก่อนแต่ไม่ว่าจะยังไงผมต้องคุยกับมันซ้ำอีกรอบ เรื่องที่ว่าผมกับมันเคยได้กันมาก่อนนั่นแหละครับ (พยายามพูดให้มันผ่านไปอย่างเร็วๆ...เพราะเผลอนึกถึงทีไรแล้วผมจะเขินทุกที) เพื่อนของมันจะรู้ไม่ได้อย่างเด็ดขาด เพราะมันเกี่ยวกับศักดิ์ศรีของผมล้วนๆ เลย
มันจะบอกเพื่อนมันหรือยังวะ...ผมไม่เคยบอกใครเรื่องนี้เลยนะ
เชี่ยแล้ว ผมชักจะกังวลแล้วนะเนี่ย
ผมเริ่มใช้ความคิดว่าทำยังไงผมถึงจะเข้าถึงตัวไอ้ธนูได้...แต่เพื่อนของมันอยู่กันทุกจุดในร้าน ยังไม่มีช่วงไหนที่ผมสะดวกมากพอที่จะคุยกับธนูเลย
เห็นทีคงต้องรอจนถึงช่วงเวลาที่ทุกคนไปซ้อมดนตรีกันหมด...
แต่ถ้าธนูมันก็ต้องไปซ้อมเหมือนกันล่ะ...
คงไม่หรอกมั้ง เจ้าของร้านอย่างมันจะปล่อยให้เด็กใหม่อย่างผมมาเฝ้าร้านอย่างเดียวได้ยังไง
[โฮม]
ธนูแม่งเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด...
มันไปยิมตั้งแต่เช้าไม่พอ (ไอ้บ้านี่ไม่ชอบไปยิมตอนกลางวันครับ) มันยังมาเดินป้วนเปี้ยนอยู่ในร้านซะจนผมกับเพื่อนไม่เป็นอันทำการทำงาน ธนูมันเป็นเพื่อนเราก็จริง แต่เป็นเพื่อนที่เรายกมันขึ้นไปเหนืออีกระดับหนึ่งน่ะครับ ซึ่งก็ช่างมันก่อนเถอะ ประเด็นมันไม่สำคัญเท่ากับเรื่องที่มันทำตัวผิดปกติไป
มันไม่เคยอยู่ติดร้านทั้งวี่ทั้งวันแบบนี้...ที่ผ่านมามันปล่อยให้ผมกับเพื่อนอีกสามคนอยู่จัดร้านกันเอง เพราะมันมัวแต่ออกไปนั่นไปนี่ ซึ่งเราก็ไม่ได้ว่าอะไรมันหรอกครับ มันเป็นเจ้าของร้าน เราเป็นแค่ลูกจ้าง แต่ในวันนี้...ซึ่งเป็นวันแรกที่พนักงานหน้าลูกครึ่งอย่างรบเข้ามาทำงาน ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อว่าคนที่มักจะไม่อยู่ติดร้านอย่างกับมันกลับอยู่นานมากซะงั้น
ไม่มีเหี้ยอะไรอย่างอื่นทำเรอะ
เรียกได้ว่าแม้แต่จะอู้ผมกับเพื่อนยังไม่กล้า ประสาอะไรกับเวลาที่เราจะเอาไปสืบดูว่ามันกับรบมีอะไรกัน ทำไมจากที่เคยเหม็นขี้หน้ากันชนิดที่ว่าอยู่บริเวณเดียวกันนานเกินสามนาทีไม่ได้ กลายเป็นอยู่ใกล้ๆ กันนานหลายๆ ชั่วโมงได้
มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ
ถ้าจะให้สังเกตจริงๆ ล่ะก็...เพื่อนผมมันก็ไม่ได้มีอะไรผิดแผกไปเท่าไหร่ มันยังคงชอบนั่งส่องคนนั้นคนนี้อยู่บนระเบียงชั้นสองเหมือนเดิม คอยสั่งไอ้การ์ด คอยด่าไอ้ก้องอยู่เหมือนเดิม แต่มันก็มันดูอารมณ์ดีผิดปกติอยู่นะ เพราะมันด่าเพื่อนคนอื่นน้อยลงเยอะ มันจะแปลกก็ตรงนี้นี่แหละ
คนที่น่าจับผิดอีกคนคงจะเป็นรบครับ
เด็กใหม่ของร้านคนนี้...ทำไมถึงไม่กล้าสบตาท่านผู้นำของผมก็ไม่รู้
เป็นภาพที่ตลกดีเหมือนกัน บางครั้งรบก็แอบมองธนู ทำท่าจะพุ่งตัวเข้าไปคุยด้วยแต่ก็หยุดชะงักกลางคัน มันชอบแอบมองธนูตอนที่เพื่อนผมหันหลัง ไม่กล้าประจันหน้า หรือแม้กระทั่งเดินผ่านในรัศมีสองเมตรครึ่ง
เพิ่งเห็นว่ามันมีมุมน่ารักก็วันนี้นี่แหละ ปกติไอ้รบมันจะเชิดหน้าราวกับภูมิใจในความเป็นลูกครึ่งของมันนักหนา แต่พอมาวันนี้กลับเอาแต่ก้มหน้างุดตั้งแต่เห็นเงาให้ธนูมาตั้งแต่ไกล...ซึ่งนับว่าเป็นภาพที่หาดูได้ยากอย่างยิ่ง
ไม่ได้มีแต่ผมที่คิดว่าสองคนนี้มีอะไรผิดปกติ...เพื่อนผมอีกสามคนที่เหลือก็คิดเหมือนกัน
ถ้าธนูมันเป็นเพื่อนคนอื่นผมคงกล้าถามไปแล้ว แต่นี่มันคือท่านผู้นำ...ถ้าถามไม่เข้าหูผมกลัวว่าจะแดกหัวผมเอา ไม่รู้สิครับ...แค่มันถลึงตามองพวกเราก็กลัวหัวหดกันแล้วอ่ะ ประสาอะไรกับการที่จะให้มันขู่หรือด่า
ผมกับเพื่อนก็เป็นกันซะอย่างงี้...ไม่กล้าถามธนูแบบนี้ ชาติหน้าล่ะมั้งถึงจะได้คำตอบ
[รบ]
ตอนสองทุ่มทางเริ่มใกล้จะสะดวก
เป็นไปตามที่ผมคิด...พนักงานสี่คนทั้งหมดต้องไปซ้อมดนตรีเตรียมตัวรับการเปิดร้านกันหมด ยกเว้นอยู่หนึ่งคนนั่นก็คือเจ้าของร้านอย่างธนู ผมต้องหาอะไรมาทำแทบตายเพื่อฆ่าเวลารอให้คนอื่นๆ กลับไปหมด เพราะผมต้องการคุยกับไอ้เจ้าของร้าน
เรื่องนี้มันสำคัญอย่างยิ่ง...แม้จะยังไม่กล้าสู้หน้ามัน แต่ถ้าจะให้ผมหลับตาคุยล่ะก็...ผมยอม ยังไงผมก็ต้องย้ำกับมันว่าห้ามมันเอาเรื่องคืนวันเกิดของผมไปบอกเพื่อนเด็ดขาด
การที่ผมต้องมาหาอะไรทำฆ่าเวลาเพื่อรอคุยกับไอ้ธนูเนี่ย มันเป็นความน่าอายที่ผมอยากจะให้มันรีบผ่านๆ ไปเสีย ผมต้องเช็ดแก้วที่มันใสอยู่แล้วหลายสิบใบ เช็ดโต๊ะที่สะอาดอยู่แล้วหลายตัว รวมไปถึงเช็ดเก้าอี้อีกหลายตัวด้วย ซึ่งผมทำเกินกว่าเหตุไปมากจริงๆ (เช็ดวนไปเรื่อยอยู่นั่น) แต่โชคดีที่ไม่มีใครสังเกต
ตอนที่สี่คนนั้นขับรถกันออกไปแล้ว...ผมค่อยๆ มองขึ้นไปยังระเบียงชั้นสอง ไม่มีมนุษย์ประหลาดอย่างธนูมานั่งพิงเสาชันขาข้างหนึ่งมองลงมาข้างล่างอยู่บนระเบียงอีกแล้ว สงสัยว่ามันจะอยู่ในห้องของมันแฮะ
คำเตือนเรื่องหนึ่งที่ได้มาจากการ์ดก็คือ...ห้ามผมขึ้นไปยังพื้นที่ส่วนตัวของธนูเป็นอันขาด เพราะมันเป็นเพื่อนสนิท มันยังโดนด่าชนิดที่ว่าหงอไปหลายวัน
ฉะนั้นผมจึงเลือกที่จะตะโกนเรียกให้มันโผล่หัวออกมาจากห้อง...
“ธนู”
ไม่มีสัญญาณตอบรับใดๆ
“ธนูโว้ย!”
ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ไอ้ควายธนู!”
ผมได้ยินเสียงคนถีบประตู...ธนูแม่งประทุษร้ายประตูเพื่อที่จะรีบมาดูหน้าคนที่เรียกมันแบบนั้น ซึ่งก็คือผมเอง
“ไหนมึงลองพูดอีกทีดิ๊” ผมกระพริบตาสองที ไอ้ธนูก็ลงจากชั้นสองมาอยู่ที่ชั้นหนึ่งด้วยความไวแสง
มึงหายตัวได้เหรอเนี่ย...
มันจ้องหน้าผมด้วยความไม่ชอบใจ...ส่วนผมได้แต่กระพริบตา มองสบตาตุ๊กตาหมาป่าที่วางอยู่บนเก้าอี้
“กูบอกว่าธนู...เฉยๆ” ผมแถ
“เชื่อตาย” มันตีแก้มผมเบาๆ สองทีเสียงดังแปะๆ
“ไอ้เหี้ยนี่” ผมชักโมโห จึงหันไปมองหน้ามัน หวังจะตาขวางใส่เต็มที่...แต่เมื่อเห็นว่ามันยืนอยู่ใกล้...มาก ผมจึงตวัดสายตากลับไปหาตุ๊กตาหมาป่าอีกครั้ง
ไม่ได้การแล้ว...กลับบ้านไปต้องไปเตรียมตัวเตรียมใจสำหรับสบตากับไอ้บ้านี่ใหม่
“ทำไม...เมื่อกี้มึงจะตีหน้ากูคืนเหรอ” เสียงของมันลดความโหดลงอย่างเห็นได้ชัด “คุยกับกูแต่ทำไมไม่มองหน้ากูล่ะ”
มึงไม่ต้องรู้หรอก!
“หันมาสิรบ”
ผมกลืนน้ำลาย...ทำไมต้องมารู้สึกวูบวาบกับคำพูดเสียงอ่อนลงไปมากของมันด้วยนะ
“หันมา...กูไม่กัดมึงหรอก”
เอาวะ ไหนๆ ก็อยู่กันแค่สองคนแล้ว จะไปอายทำไมนักหนา
ผมหันไปมองหน้ามัน...เพิ่งเห็นว่าดวงตาสีน้ำตาลสดใสของมันกำลังจ้องมาที่ผมด้วยสายตาที่มันไม่เคยมีให้ผมมาก่อน...ที่ผ่านมามันไม่เคยมองผมอย่างอ่อนโยนแบบนี้เลยแม้แต่ครั้งเดียว
คิดผิดคิดถูกที่หันมามองหน้ามันเนี่ย
ผมตั้งท่าหันหน้าไปทางอื่น...แต่มือธนูมันไวกว่า มันคว้าคางผมเอาไว้ได้ทัน ไม่ยอมให้ผมละสายตาจากมันไปไหน
“เป็นอะไรฮะ...ไม่ยอมมองหน้ากูทั้งวันเลย”
เพราะมันทำให้กูนึกไปถึงเรื่องตอนนั้นไงไอ้บ้า...
“เขิน?”
แล้วมึงจะมาขยี้ทำไม
“เปล่า!” ผมต้องสวนกลับไปในฐานะที่เป็นหัวหน้าแก๊งเอกการแสดง “กูก็แค่...รำคาญหนังหน้า”
ธนูเกือบจะหลุดขำ มันปล่อยคางผมจากนั้นก็ถอยไปยืนห่างๆ
“มีเรื่องอะไรจะคุยกับกู”
“มึงบอกคนอื่นหรือยัง” ผมพูดไวมากซะจนอีกฝ่ายถึงกับต้องเลิกคิ้ว “บอกกูมาเดี๋ยวนี้นะ”
“อะไรกันวะ...เห็นกูเป็นคนไม่รักษาคำพูดเหรอ”
“ดี” ผมถึงกับโล่งอกไปเลยทีเดียว...
“แล้วมึงล่ะ” มันถามย้อนกลับ “บอกคนอื่นไปหรือยัง”
“ไม่บอก!” เสียงของผมดังขึ้นมาก “กูบอกกูก็เสียหายสิวะ...”
“ทำไมต้องโวยวายเหมือนเป็นเรื่องที่อยากลืมด้วย” ธนูเริ่มชักสีหน้า “ได้กับกูมันไม่ดีเหรอ”
“มึง...มึงเองก็ยังบอกเลยว่าห้ามกูเอาเรื่องนี้ไปบอกคนอื่น” ผมเถียงเสียงอู้อี้
“กูบอกแค่ว่า...ห้ามบอกเรื่องที่ใช้ปากให้” เสียงของมันก็เริ่มจะอู้อี้พอกัน “เรื่องอื่นมึงอยากจะบอกใครมึงก็บอกไป”
“กูไม่บอกหรอกเว้ย”
“ตามใจ” ธนูโบกมือปัดอย่างขี้เกียจจะเถียง “แล้วนี่จะกลับเลยใช่ป่ะ”
“ใช่...จะให้อยู่หาพ่อมึงเหรอ”
“นี่มึงพูดกับเจ้านายมึงแบบนี้เนี่ยนะ” อีกฝ่ายเลิกคิ้วสูง
ผมหุบปากฉับ “ขอโทษครับ”
ธนูส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะโบกมือไล่ให้ผมกลับบ้านไปได้แล้ว “พรุ่งนี้อย่ามาสายล่ะ”
“เก้าโมงใช่ป่ะ”
“จะมาตั้งแต่ตีสามกูก็ไม่ว่า...ขอแค่อย่ามาสาย”
ผมลอบมองไปที่ด้านหลังของมัน...มีชุดหมอนและที่นอนกองพะเนินสูง
“เพื่อนมึงนอนนี่?” ผมถามอย่างสงสัย
“ใช่”
“มึงนอนข้างบน?”
“ถูก”
“งั้นกูไปล่ะนะ”
ผมโบกมือลาเจ้านาย...แม้จะยังไม่กล้าสบตามันเท่าไหร่นัก แต่การได้คุยกับมันถือว่าผมรู้สึกเก้อกระดากน้อยลงไปมาก ต่อไปผมคงทำงานได้ง่ายขึ้นและคงทำใจลืมเรื่องคืนนั้นได้มากขึ้นเรื่อยๆ ...ผมหวังว่าอย่างนั้นนะ
ตอนที่ผมหันหลังกลับไปมอง...ธนูแม่งกำลังทำในสิ่งที่ผมเกลียดนัก
มันมองสะโพกผมอีกแล้ว!
“มองตูดกูทำเหี้ยอะไรทั้งวัน...ไอ้สัด!” ขอด่าหน่อยเถอะ เพราะผมอดทนกับเรื่องนี้มาทั้งวันแล้ว
“มองไม่ได้เหรอ” มันถามอย่างหน้าด้านๆ
“ไม่ได้สิวะ”
“แล้วถ้าจะขอจับล่ะ”
“ก็ไม่ได้เหมือนกัน!” โว้ย...กำลังจะจบดีอยู่แล้วเชียว ทำไมไอ้ธนูต้องทำให้ทุกอย่างพัง
“แต่กูเคยจับมาแล้วนะ”
คำพูดของมันกำลังจะทำให้หน้าของผมแดง...ผมรีบถอยกรูดไปหลบอยู่ในมุมมืด เพราะไม่อยากให้มันเห็น
“มึงจะไม่มีวันได้จับอีก”
“จริงง่ะ” มันก้าวเท้าเข้ามาหาผมอย่างรวดเร็ว ผมรีบตั้งสติแล้วรีบวิ่งหนีออกไปจากร้านซะ
นี่แค่วันแรกนะ...ทำไมผมถึงได้รู้สึกเหนื่อยแบบนี้เนี่ย
ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่า ผมได้ยินเสียงหัวเราะร่วนของไอ้ธนูดังตามหลังผมมาด้วย
[การ์ด]
23.21 น.
“มึงได้ยินเสียงไอ้ธนูผิวปากอยู่ข้างบนป่ะ” ผมถามเพื่อนๆ
“ได้ยิน” ยุ โฮม และก้องตอบพร้อมกัน
“แม่งจะอารมณ์ดีไปไหนว้า”
To be continued