ตอนที่ 16
อนุสรณ์สถาน...
ถึงจะเรียกด้วยชื่อที่สวยหรูเพียงใด แต่ที่อยู่ตรงหน้านี่ก็คือหลุมศพของคนสองคน
อติพัทธ์วางกระถางดอกฟอร์เก็ตมีน็อตที่หาซื้อมาไว้ที่ด้านหน้าของป้ายหลุมศพ เขายืนสงบนิ่งให้เป็นการเคารพขณะที่สายตาอ่านคำที่จารึกบนป้ายนั้น
เขาไม่รู้ว่าสิ่งที่ได้ยินจากพวกนักเรียนแพทย์นั้นเป็นแค่เรื่องเล่าที่บังเอิญมาตรงกับเหตุการณ์หรือเปล่า
หรือบางที...ศราวินกับผู้ชายคนนั้นเป็นคู่กันตั้งแต่ชาติที่แล้ว
อติพัทธ์ไม่รู้ว่าตัวศราวินกับอนิรุทธ์เองจะรู้เรื่องตำนานนี้หรือไม่
คิดแล้วก็อดนึกภาพเหตุการณ์ตอนผ่าตัดไม่ได้ อนิรุทธ์ตั้งใจช่วยเด็กหนุ่มเต็มที่ ทันทีที่เย็บแผลเสร็จ ผู้ชายคนนั้นก็ถึงขั้นล้มลงกับพื้นอย่างหมดแรง ทว่าใบหน้าใต้มาส์กสีเขียวอ่อนนั้น เขาเห็นสีหน้าโล่งอกที่ช่วยชีวิตศราวินเอาไว้ได้
“ถ้าพวกคุณ...เป็นอย่างตำนานที่เขาว่ากัน ที่บอกว่าพวกคุณจะช่วยให้ความรักของใครสองคนได้เป็นรักที่นิรันดร์...ผมขอให้ซันได้มีชีวิตรอดเพื่อที่จะได้รักกับคนรักของเขา ได้รักกันจนแก่จนเฒ่า...อย่าได้เหมือนเรื่องราวของพวกคุณ”
อติพัทธ์สูดลมหายใจ ความรู้สึกเหมือนกำลังจะสารภาพความรู้สึกให้ใครสักคนฟัง
“ผมเคยทำผิดกับซันมาครั้งหนึ่งแล้ว แค่สิ่งผมทำลงไป..มันก็เป็นบาดแผลให้กับซันมากพอแล้ว เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้...มันคงเป็นบาดแผลใหญ่ยิ่งกว่าที่ผมได้เคยทำร้ายเขา แต่...ผู้ชายคนนั้นได้ช่วยชีวิตซันไว้แล้ว ผมอยากให้เขามีชีวิตอยู่ต่อ ผมเชื่อว่าผู้ชายคนนั้นจะคอยอยู่เคียงข้างและทำให้ซันได้รับรู้ว่าบาดแผลเลวร้ายที่เขาได้รับ..มันสามารถลบเลือนได้ด้วยความรัก..”
สายลมพัดมาปะทะกาย กลีบดอกฟอร์เก็ตมีน็อตที่อยู่ในบริเวณนี้ปลิดปลิวไปตามสายลม อติพัทธ์แบมือไว้ก็รองรับกลีบดอกสีฟ้าซีดเอาไว้ได้ เขาวางกลีบดอกไว้บนส่วนบนนูนของป้ายหลุมศพแล้วถอยออกมา
“ความรักของพวกเขาควรค่าแก่คำว่ารักนิรันดร์...ได้โปรด...ช่วยคุ้มครองพวกเขาด้วยนะครับ”
ถึงแม้ไม่มีคำตอบกลับมา เขาพูดกับแท่งหินเหมือนกับคนบ้า แต่มันก็เป็นที่พึ่งทางใจอย่างหนึ่ง
อติพัทธ์พลิกข้อมือขึ้นดูเวลาอีกครั้ง เห็นว่าเป็นเวลาที่ศราวินจะได้ย้ายจากไปยังห้องไอซียูแล้ว เขามองไปที่ป้ายหลุมศพอีกครั้งและค้อมศีรษะเล็กๆก่อนจะเดินกลับขึ้นมาบนตึกศัลยกรรม
ภายในห้องเตียงเดี่ยวของไอซียู ศราวินนอนอยู่บนเตียงนั้น ศีรษะของเด็กหนุ่มมีผ้าพันแผลพันอยู่ ส่วนแก้มทั้งสองข้างก็บวมช้ำและมีผ้าพันแผลปิดอยู่ สายที่ระโยงระยางไปมาเต็มไปหมด อุปกรณ์ต่างๆกำลังทำงานอยู่ ไฟสีเขียวบนมอนิเตอร์อันหนึ่งกะพริบเป็นจังหวะ
ข้างเตียงของศราวินก็คืออนิรุทธ์ ศัลยแพทย์หนุ่มนั่งนิ่งอยู่ข้างเตียงราวกับปูนปั้นที่ขยับกายไม่ได้ ศัลยแพทย์หนุ่มยังคงอยู่ในชุดสครับสีกรมท่าที่เปลี่ยนมาสวมตอนผ่าตัด
“คุณอติพัทธ์ใช่ไหมคะ? อาจารย์บอกว่าถ้าเป็นคุณ..เข้าเยี่ยมได้นะคะ” พยาบาลประจำห้องไอซียูเดินเข้ามาบอกด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ขอบคุณครับ”
อติพัทธ์ขอบคุณเธอก่อนจะเลื่อนประตูกระจกเข้าไป เขาหยุดยืนอยู่ที่ปลายเตียง มองตรงไปยังศราวินอย่างห่วงใยก่อนจะเลื่อนสายตาไปมองมอนิเตอร์ เลขบนนั้นขยับไปเรื่อยๆ มันบอกทั้งค่าความดัน อัตราการเต้นของหัวใจ และค่าอื่นอีกที่เขาไม่รู้ว่าคืออะไร แต่กราฟที่ยังคงวิ่งขึ้นลงทำให้เขาวางใจได้
“ขอบคุณ...ที่ช่วยชีวิตซันไว้”
เขาเอ่ยพูดโดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะหันมาหรือไม่ แต่อนิรุทธ์ก็หันมา เขาเห็นทั้งแววตาที่โศกเศร้าหลังแว่นและความเหน็ดเหนื่อย
“เพราะผม...” อีกฝ่ายพูดแค่นั้น อติพัทธ์เลิกคิ้วอย่างไม่เข้าใจนัก
“ถ้าผม...ไม่ไปส่งเขาที่ด้านหลัง ถ้าให้ซันนั่งรถมาด้วยจนถึงตึก...ก็คงไม่เกิดเรื่องแบบนี้” เสียงของอนิรุทธ์แหบแห้ง อติพัทธ์ฟังก็รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังโทษตัวเองอยู่
“มันเป็นความผิดของคนร้าย ไม่ใช่ความผิดของคุณเลย”
อนิรุทธ์ถอดแว่นแล้วยกมือขึ้นลูบหน้าอย่างเหนื่อยล้า
“ผมคิดว่าประตูด้านหลังมันใกล้ ถ้าส่งซันให้ลงตรงนั้น เขาก็จะขึ้นบันไดเข้าตึกมาได้ใกล้กว่าให้เดินเข้าจากทางด้านหน้า เพราะผมไม่เชื่อมั่นในตัวเองที่จะปกป้องเขาได้ ถึงได้เอาแต่กลัวว่าถ้าใครรู้เรื่องราวระหว่างผมกับซันแล้ว มันจะเป็นผลเสียต่อเขา ผมผิดเอง...”
อนิรุทธ์เอาแต่โทษตัวเอง ดวงตาคมมองไปยังคนที่นอนอยู่บนเตียง ยิ่งเห็นสภาพที่เด็กหนุ่มถูกทำร้ายจนเจ็บตัวถึงขั้นเกือบเสียชีวิต อนิรุทธ์ก็แทบจะเป็นบ้า
“เวลาแบบนี้..คุณต้องเข้มแข็งไว้ คุณอาจปกป้องซันไว้ไม่ได้ แต่คุณรักษาเขาได้นี่”
อติพัทธ์เอ่ยให้กำลังอย่างที่ไม่คิดว่าตัวเองจะพูดเช่นนี้กับอีกฝ่ายได้ เขายื่นมือไปบีบไหล่กว้างเอาไว้
“จากนี้ไป..ซันไม่ได้แค่ต้องการการรักษาร่างกายเท่านั้น เขาต้องการให้ใครสักคนรักษาจิตใจของเขาด้วย และคุณก็เป็นคนเดียวที่จะรักษาหัวใจของเขาได้”
อนิรุทธ์เงยหน้ามองคนที่ให้กำลังใจ เขาพยักหน้ารับรู้ สีหน้ายังคงเหนื่อยอ่อนและเป็นกังวลอยู่
“อ่อ..แล้วผมก็ติดต่อให้ทางลูกน้องของผมมาเก็บหลักฐานที่เกิดเหตุแล้ว เราจะหาตัวคนผิดมาเข้าคุกให้ได้”
คำพูดของนายตำรวจหนุ่มทำให้อนิรุทธ์คิดได้
“อ่อ..ใช่ เรื่องแจ้งความ หมอเนม..อาจารย์นันทิชน่ะ เขาเก็บหลักฐานที่ซันถูกทำร้ายไว้ให้แล้ว ไม่มีอสุจิของคนร้าย มันคงใช้ถุงยางตอนที่...ทำร้ายซัน” อนิรุทธ์กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก เขาลูบมือที่พันแผลไว้ก่อนจะหันมาสบตาอติพัทธ์
“แต่มีเศษผิวหนังกับเลือดติดอยู่ที่ปลายเล็บของซัน คิดว่าน่าจะเป็นของคนร้าย เลยเก็บตัวอย่างไปแล้ว”
“ทางลูกน้องผมเก็บเสื้อผ้าของซันไว้ แล้วก็ยังมีเศษซองถุงยางที่คนร้ายมันทิ้งไว้อีก กล้องวงจรปิดที่อยู่ด้านหลังโรงพยาบาลก็ดันมาเสียตอนนี้ ถ้าซันฟื้นแล้ว และพร้อมที่จะให้ปากคำ...เราก็จะหาคนร้ายได้ง่ายมากขึ้นกว่านี้”
อติพัทธ์ถอนหายใจอย่างหนักอก ความเครียดทำให้เขาอยากได้บุหรี่สักมวน แต่พอนึกอยากบุหรี่แล้ว เขาก็นึกถึงคำของพยาบาลสาวขึ้นมาได้
‘ถ้าเลิกได้..ก็เลิกเถอะนะคะ’
บางที...เขาน่าจะลองซื้อหมากฝรั่งติดกระเป๋าเอาไว้บ้าง
“คุณรู้อะไรไหม...” อนิรุทธ์เกริ่นขึ้น ทำให้คนที่นึกอยากสูบบุหรี่หลุดจากภวังค์ของตัวเอง
“สี่สิบปีก่อน ที่โรงเรียนแพทย์แห่งนี้ เคยมีอาจารย์แพทย์กับนักเรียนแพทย์คู่หนึ่งที่แอบลักลอบคบกันเพราะต่างฝ่ายต่างตกหลุมรักซึ่งกันและกัน วันหนึ่งก่อนที่ฝ่ายนักเรียนแพทย์จะเรียนจบ เด็กคนนั้นถูกรุมโทรมและฆ่าทิ้งที่ใต้สะพานนั่น และอาจารย์แพทย์คนนั้นก็ตายตามไปด้วย...เรื่องราวของทั้งสองคนนั้นกลายเป็นตำนานของที่นี่ หลุมศพของพวกเขาทั้งสองคนกลายเป็นอนุสรณ์สถาน...อนุสรณ์สถานของความรักอันเป็นนิรันดร์”
อติพัทธ์ไม่รู้ว่าเพราะอะไร อีกฝ่ายจึงเล่าออกมาให้เขาฟัง แต่น้ำเสียงและบรรยากาศรอบตัวพาให้เขารู้สึกขนลุกขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“ถ้าผมบอกว่า...อาจารย์แพทย์กับนักเรียนแพทย์ที่พูดถึง...คือผมกับซัน คุณจะเชื่อไหม?” ใบหน้าหล่อคมดูเยือกเย็น อนิรุทธ์ไม่รู้ว่าตัวเองพูดให้อติพัทธ์ฟังเพื่ออะไร แต่การได้พูดออกไปทำให้เขารู้สึกสงบขึ้น
“อย่าล้อเล่นสิคุณ...” อติพัทธ์หัวเราะเสียงแห้งๆเล็กน้อยก่อนหยุดไปเมื่อเห็นแววตาจริงจัง
“ถ้าซันตายไป..คุณจะตายตามซันไปอีกหรือไง?”
อนิรุทธ์จับมือที่บอบช้ำขึ้นมาแนบแก้ม
“ผมไม่เคยจากเขาไปไหน...ที่คุณเห็นคืนนั้น ไม่ใช่ภาพลวงตา”
อติพัทธ์ขนลุกซู่ เขาไม่เคยเชื่อในสิ่งลี้ลับ แต่ก็ไม่เคยคิดที่จะลบหลู่...
ทว่า...เขาก็ไม่เคยคิดว่าจะได้รับรู้เรื่องราวลี้ลับ
“ถ้าอย่างนั้น...ผมก็วางใจให้คุณดูแลซัน”
อติพัทธ์สรุป เขาทอดสายตามองดูร่างที่นอนอยู่บนเตียงอีกครั้ง
เขากลับขึ้นมาบนห้องพักของตัวเองอีกครั้งตอนร่วมเที่ยงคืน ทันทีที่ถึงเตียงเขาก็ทิ้งหัวนอนลงบนหมอนอย่างเหนื่อยล้า อยากจะนอนหลับสักตื่นให้หายล้า แต่ภาพของศราวินที่ถูกทำร้ายมันก็ไม่ยอมหายไปจากความคิด จึงได้แต่นอนลืมตาโพลงอยู่ในความมืด
ก๊อก ก๊อก!
เสียงประตูเปิดดังขึ้นพร้อมกับเสียงฝีเท้าและเสียงรถเข็น
นอกจากนั้นแล้วยังมีแสงไฟที่เปิดสว่างขึ้นจนอติพัทธ์ต้องหยีตา เมื่อมองได้เต็มตาก็เห็นอธิชาส่งยิ้มบางๆมาให้
“คุณหายไปทั้งวันเลยนะคะ...ธิชานึกว่าคุณจะไม่กลับมาที่ห้องแล้วเสียอีก” อติพัทธ์เลิกคิ้ว มองสบตาเธอก็พอจะรู้ถึงความห่วงใย
“คุณรู้เรื่องที่เกิดขึ้นแล้วใช่ไหม?”
ถึงไม่บอกว่าเป็นเรื่องอะไร แต่อธิชาก็เข้าใจ
“ค่ะ..ไม่อยากเชื่อเลยว่าหมอซันจะ...”
อธิชากลืนน้ำลายลงคอและไม่พูดไปมากกว่านั้น เธอเองก็รอที่จะออกเวรเพื่อลงไปเยี่ยมดูอาการของศราวินเช่นกัน ความเงียบเกิดขึ้นกะทันหัน ต่างฝ่ายต่างก็ไม่พูดอะไรออกมา แต่ใจนั้นกลับคิดถึงคนเดียวกัน จนกระทั่งพยาบาลสาวนึกขึ้นได้ถึงจุดประสงค์ที่เข้ามา
“เอ่อ...ธิชาจะมาแทงเข็มให้คุณน่ะค่ะ น้ำเกลือคงไม่ต้องให้แล้ว แข็งแรงขนาดอยู่ได้ทั้งวันโดยไม่เป็นลมก็คงโอเคแล้วล่ะค่ะ แต่ขอแทงเข็มค้างไว้สำหรับให้ยาแล้วกันนะคะ”
“อืม...รบกวนด้วยครับ” อติพัทธ์ยิ้มให้ เป็นรอยยิ้มแรกที่พยาบาลสาวได้เห็น เธอส่งยิ้มให้เขากลับคืนไปและจัดการเช็ดแอลกอฮอลให้
โครก....
ระหว่างที่อธิชากำลังจะแทงเข็มให้ ท้องของอติพัทธ์ก็ร้องขึ้นมา นายตำรวจหนุ่มให้อีกมือที่ว่างเกาท้ายทอยอย่างเขินๆ
“ขอโทษครับ”
“ไม่ได้ทานอะไรเลยมาทั้งวันสินะคะ?”
อติพัทธ์พยักหน้ารับ ตอนเช้าเขาได้ทานอาหารเล็กน้อยก่อนที่อนิรุทธ์จะมาถึงห้อง แต่หลังจากนั้นเขาก็ทานอะไรไม่ลง จนตอนนี้รู้ว่าศราวินปลอดภัยดีแล้ว เขาก็ยังไม่นึกหิว แต่ท้องก็ยังร้องให้ขายหน้าอธิชา
“อืม..จะเที่ยงคืนแล้ว โรงอาหารกับครัวปิดแล้วด้วยสิคะ”
อธิชาว่าพลางเหลือบดูนาฬิกาทรงกลมที่แขวนอยู่บนผนังสีฟ้า
“งั้น...ผมขอเกเรลงไปหาซื้ออะไรกินที่มินิมาร์ทหน่อยก็แล้วกัน ได้หรือเปล่าครับคุณพยาบาล?” คนถูกขออนุญาตเลิกคิ้วก่อนยิ้มมาให้
“ถ้าไม่รังเกียจ...รับเสบียงของนางพยาบาลสักที่ไหมล่ะคะ?” อติพัทธ์มองรอยยิ้มที่พร้อมแบ่งปันให้แล้วก็ต้องยิ้มกลับไปให้เธออีกครั้ง
“ขอรบกวนด้วยครับ”
“ด้วยความยินดีค่ะ” อธิชารับคำด้วยรอยยิ้ม
เธอแทงเข็มให้อติพัทธ์เสร็จก็ลากรถเข็นออกไป อติพัทธ์ที่ได้อยู่เพียงคนเดียวก็ยกมือขึ้นลูบผมเก้อๆ รู้สึกได้ว่าใบหน้าเหนอะหนะและชื้นเหงื่อ เขาลุกจากเตียงไปล้างหน้า ถึงจะลำบากเพราะใช้มือได้แค่ข้างเดียว แต่ก็คุ้นชินแล้ว แผลก็ใกล้หาย กายภาพอีกไม่กี่วันก็คงได้ออกจากโรงพยาบาล ความจริงแล้วเขาก็อยากออกจากโรงพยาบาลไวๆ เพื่อที่จะได้ตามคดีของศราวินต่อ แต่กระนั้นก็รู้สึกใจหาย..ถ้าต้องออกจากโรงพยาบาลจริงๆ
“นายกำลังคิดอะไรอยู่..อติพัทธ์?” เขาถามตัวเองในกระจก ทั้งที่รู้คำตอบอยู่ในใจ แต่ก็ไม่กล้าที่จะยอมรับมัน
ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกหน อติพัทธ์เดินออกมาจากห้องน้ำ ใบหน้าหล่อคมยังคงมีหยาดน้ำเกาะพราวอยู่ อติพัทธ์มองดูพยาบาลสาวยกเอาถาดมาวางให้ กลิ่นกาแฟหอมกรุ่นโชยแตะจมูก เขาหยิบเอาผ้าขนหนูผืนเล็กจากราวพาดมาเช็ดหน้าขณะเดินไปนั่งที่โต๊ะ ในถาดมีจานขนมปังที่ทำเป็นแซนวิสง่ายๆอยู่สี่ชิ้นกับคุกกี้ในโหลแก้วอีกหนึ่งโหล
“ทานด้วยกันสิฮะ” อติพัทธ์เชื้อเชิญเธอด้วยไมตรีที่มีมากกว่าเดิม แต่พยาบาลสาวส่ายหน้าพลางยิ้มให้
“ไม่เป็นไรค่ะ คุณพัททานเถอะ ธิชาออกเวรพอดี เก็บท้องไว้ไปกินกับข้าวของแม่ดีกว่า”
“อ่อ..คุณกลับบ้านเลยหรอ?” อติพัทธ์ถามกลับพลางหยิบแซนวิสขึ้นมากัดทาน
“อืม..ว่าจะไปเยี่ยมหมอซันสักหน่อยก่อนกลับค่ะ”
“แล้วคุณกลับยังไง?” หลุดปากถามไปเพราะความเป็นห่วง ยิ่งเพิ่งเกิดเหตุการณ์ร้ายๆขึ้นมาก็ยิ่งวิตกมากกว่าเดิม กลัวว่าคนร้ายจะยังวนเวียนเพื่อหาเหยื่อรายใหม่ กลัวไปหมดทุกอย่างจนนึกแปลกใจตัวเอง
“ธิชาเอารถมาน่ะค่ะ” พยาบาลสาวตอบ นึกประหลาดใจกับกิริยาของอีกฝ่ายอยู่นิดๆ แต่ก็ไม่ได้เอามาใส่ใจนัก
“อ่อ..งั้นขับรถดีๆนะครับ”
อธิชาพยักหน้าก่อนจะขอตัวกลับออกไปเลย คนที่อยู่ในห้องเป่าปากอย่างโล่งอก อติพัทธ์มองดูแซนวิสที่กัดไปได้เพียงสองคำก่อนยิ้มมุมปาก
“เป็นอะไรไปนะเรา..”
อติพัทธ์ถามตัวเองลอยๆก่อนยักไหล่แล้วกัดแซนวิสเข้าปากไป
ส่วนอธิชานั้น พอออกมาจากห้องพักของอติพัทธ์แล้ว พยาบาลสาวก็เดินกลับไปเก็บของเพื่อเตรียมตัวกลับบ้าน ซึ่งก็มีเพียงแค่กระเป๋าสะพายข้างใบเดียวเท่านั้น แต่พยาบาลสาวก็เตรียมชงกาแฟพร้อมกับทำแซนวิสอีกชุดเพื่อนำลงไปให้พี่ชายของตัวเอง
บรรยากาศภายในห้องไอซียูนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความหดหู่ ส่วนมากผู้ป่วยที่ต้องมาอยู่ในไอซียูจะเป็นผู้ป่วยที่อาการหนักและต้องการการเฝ้าระวังกันอยู่ตลอดเวลา เสียงติ๊ดๆดังขึ้นเป็นจังหวะ อธิชาค้อมศีรษะทักทายพยาบาลรุ่นพี่ที่ประจำอยู่ในห้องไอซียูก่อนจะเดินเข้าไปด้านใน ศราวินถูกพามาอยู่ในห้องไอซียูที่แยกเดี่ยว พยาบาลมองเข้าไปก็เห็นร่างสูงที่คุ้นตานั่งอยู่ข้างเตียง ยังไม่ทันจะเข้าไป พยาบาลรุ่นพี่สองคนก็ปรี่เดินมาลากตัวเธอมายังมุมเคาน์เตอร์พยาบาลตรงกลางห้องเสียก่อน
“อาจารย์รุทธ์แกนั่งเฝ้าอยู่ตั้งแต่ผ่าตัดเสร็จแล้วล่ะ ไม่ยอมขยับไปไหน พี่เอากาแฟไปให้ แกก็ไม่สนใจจะดื่มเลย เขาลือกันให้แซ่ดทั้งตึกว่าอาจารย์รุทธ์กับหมอซันแก...มี-อะ-ไร-กัน ธิชารู้เรื่องนี้หรือเปล่า?” อธิชาคาดแล้วว่าจะต้องถูกถามอย่างนี้
เธอมองหน้าทั้งสองคนก็เห็นแต่ความอยากรู้อยากเห็น แต่คงไม่กล้าไปถามอนิรุทธ์เองจึงได้มาถามคนเป็นน้องสาวอย่างเธอ
“เอ๋...ธิชาก็ไม่รู้ค่ะ”
อธิชาส่งยิ้มแล้วเดินผ่านพวกเธอไปยังห้องของศราวินอีกครั้ง เธอเปิดประตูบานเลื่อนเข้าไป ศราวินที่เห็นตอนนี้ไม่เหลือเค้าเดิมที่เห็นเลยแม้แต่น้อย พยาบาลสาวรู้สึกสงสารขึ้นมาจับจิต ไม่รู้เป็นเวรเป็นกรรมอะไรที่อีกฝ่ายต้องมาเจอกับเรื่องเช่นนี้
เธอถอนหายใจยาวก่อนหันไปหาพี่ชายที่นั่งนิ่งอยู่
“พี่รุทธ์...ธิชาชงกาแฟกับทำแซนวิสมาให้ ทานหน่อยนะ”
อนิรุทธ์หันมามองด้วยสีหน้าอ่อนล้าก่อนส่ายหน้า
“พี่กินไม่ลง”
“กินไม่ลงก็ต้องกิน หรือจะให้ธิชาไปตามม๊ามาป้อนให้ดี?”
อธิชาเอ่ยขู่ก่อนยัดแก้วกาแฟใส่มือคนดื้อ อนิรุทธ์ถอนหายใจก่อนจะยกแก้วขึ้นดื่ม พยาบาลยิ้มบางๆแล้วเอื้อมมือไปดึงเก้าอี้มานั่งข้างๆ เธอแกะกล่องแซนวิสแล้วยื่นให้
“พี่ไปพักบ้างก็ได้นะ ยังมีพยาบาลอยู่เฝ้าอีก หมอซันคงไม่เป็นอะไร”
อนิรุทธ์ยกแซนวิสขึ้นแต่ไม่ได้กินมัน เขาถือมันเอาไว้เฉยๆ สายตามองไปยังร่างที่นอนอยู่บนเตียง ศราวินอ่อนแอจนกระทั่งหายใจเองยังไม่ได้ ต้องมีท่อช่วยหายใจสอดคาไว้ที่ปาก
“ตั้งแต่ออกจากโออาร์มา...หัวใจของเขาหยุดเต้นไปแล้วสามครั้ง”
สามครั้งที่อนิรุทธ์ต้องทำการกู้ชีพเด็กหนุ่มขึ้นมา มันทำให้เขากลัวว่าถ้าเขานอนหลับหรือละสายตาไปจากเด็กหนุ่ม ศราวินก็จะทิ้งเขาไปอยู่ในโลกแห่งความตายอีกครั้ง
“เข้าใจแล้ว...แต่ยังไงพี่รุทธ์ก็ต้องกินอะไรรองท้องหน่อยรู้ไหม”
“อืม..” อนิรุทธ์รับคำแล้วยกแซนวิสขึ้นมากัดทานทีละนิด อธิชามองพี่ชายอย่างเป็นห่วงและตัดสินใจที่จะอยู่เป็นเพื่อนในค่ำคืนนี้
“งั้นคืนนี้ธิชาจะอยู่เป็นเพื่อนพี่รุทธ์ก็แล้วกันนะ สองตาคอยเฝ้าดีกว่าตาเดียวใช่ไหมล่ะ?” อนิรุทธ์หันมามองรอยยิ้มจริงใจนั่นอย่างนึกขอบคุณ แล้วเขาก็นึกขึ้นได้ถึงท่าทีของน้องสาวที่มีต่อศราวิน
“ธิชา...พี่มีเรื่องจะพูดด้วย”
“ว่ามาสิ มีอะไรหรอ?” อธิชาเอียงคอ สงสัยในน้ำเสียงเคร่งเครียดกว่าเดิมของผู้เป็นพี่ชาย
“พี่กับหมอซัน...เรารักกัน พี่คงยกหมอซันให้เราไม่ได้ พี่ขอโทษ..”
“แล้วพี่รุทธ์จะมายกหมอซันให้ธิชาทำไมล่ะ?”
พยาบาลสาวถามกลับไปอย่างงงๆ เมื่อมองสีหน้าของพี่ชายก็พอจะเข้าใจแล้ว
“อย่าบอกนะ...ว่าพี่รุทธ์คิดว่าธิชาชอบหมอซัน?” อนิรุทธ์พยักหน้ารับ
“แสดงว่าที่เมื่อวานหลังจากกินข้าวเสร็จก็รีบพาหมอเขากลับบ้านนี่เพราะหึงใช่ไหมเนี้ย? โธ่...ธิชาน่ะรู้เรื่องที่พี่กับหมอซันคบกันอยู่ ถึงได้พาไปให้ม๊าดูตัวไง หมอเขาจะได้สนิทกับพวกเราไวๆด้วย”
อธิชาพูดด้วยน้ำเสียงไม่เคร่งเครียด เป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่าเธอยอมรับความสัมพันธ์ของพี่ชายกับเด็กหนุ่ม
“แม่เล็กก็รู้ด้วยอย่างนั้นหรอ?” อนิรุทธ์ถามอย่างตกใจ
“ช่ายยย...ม๊าน่ะชอบหมอเขามากนะ เมื่อตอนบ่ายโทรไปบอกเรื่องที่เกิดขึ้นก็ตกใจจะแย่ จะมาโรงพยาบาลตั้งแต่เมื่อบ่ายแล้ว แต่ธิชาห้ามเอาไว้ก่อนว่าคงยังไม่พร้อมให้เยี่ยม แต่พรุ่งนี้ล่ะมาแน่ๆ”
“อืม แล้วรู้ตั้งแต่เมื่อไหร่..ว่าพี่กับหมอซันคบกัน?”
“ก็พักนึงแล้วนะ วันนั้นตอนที่ลงจากเวรดึกแล้วเห็นหมอซันขึ้นรถไปกับพี่ก็ตงิดๆ เลยขับรถตามไปจนถึงหอของหมอซัน เอารูปพี่ให้ยามดู เขาก็บอกว่าพี่มาค้างที่หอหลายครั้งแล้ว แต่ตอนนั้นก็ยังไม่มั่นใจหรอกนะ จนวันที่ไปชวนให้มากินข้าวที่บ้าน ธิชาเห็นพี่รุทธ์จูบกับหมอซัน เลยมั่นใจว่าคบกันชัวร์” อธิชาเล่าเสร็จก็มองคนที่นั่งนิ่งก่อนจะถามเพราะความอยากรู้
“พี่รุทธ์..กับหมอซันน่ะ...จริงจังใช่ไหม?” อนิรุทธ์ไม่ตอบแต่พยักหน้า แววตาคู่คมที่อ่อนล้าสะท้อนความอ่อนโยนในนั้น
คนเป็นน้องสาวยิ้มบางตอบกลับไปก่อนจะทิ้งศีรษะซบลงกับไหล่กว้าง ดวงตามองไปยังศราวินและภาวนาให้เขาปลอดภัย
เพราะเธอกลัวว่าหากศราวินเป็นอะไรไป
พี่ชายที่แสนใจดีคนนี้ของเธอ..จะตายตามไปด้วย
เหมือนกับในตำนานที่อยู่คู่กับวอร์ดศัลยกรรมมากว่าสี่สิบปี
-TBC-
ขอโทษนะคะที่หายยาวเลย สารภาพว่าลืมเลยว่ายังลงไม่จบ ;w;
ถ้าไม่มีคนทวงถามก็คงยาว TT^TT
ยังไงกระทุ้งๆถามกันได้นะคะ