- 26 -
ตกบ่ายขณะที่ผมกำลังแชทไลน์กับเด็กเจ้าปัญหาส่วนตาก็ดูหนังไปด้วย จู่ๆก็มีข่าวดีสำหรับคนที่กำลังจะติด F วิชาภาคที่อ.ดนัยสอนอย่างผม เพราะเพื่อนๆในภาควิชาที่ร้อยละ 90 ล้วนได้ปลามารับประทานนั้นกำลังเห่อคุยในกรุ๊ปของภาค แจ้งเตือนนี่เด้งรัวๆ ไอ้กอล์ฟตัวแทนรุ่นได้บอกว่าอ.จะให้โอกาสแก้ตัวอีกหนึ่งครั้งสำหรับคนที่ได้ 45 คะแนนขึ้นไป โดยการมาสอบใหม่ใช้โจทย์ที่คล้ายของเดิม และเกรดที่ออกมาก็จะสูงสุดแค่ D เท่านั้น
อยากจะกราบแทบเท้าอาจารย์จริง ๆ ขอบคุณที่ให้โอกาสพวกผมอีกครั้ง เพื่อนๆหลายคนที่กลับต่างจังหวัดไปแล้วลงทุนเสียค่ารถทัวร์ ค่าเครื่องบินเพื่อกลับมาสอบใหม่ โดยอาจารย์นัดหมายในอีก 4 วันข้างหน้านี้ เพราะเดี๋ยวไม่ทันตัดเกรดส่งสำนักทะเบียน
“ตามมานี่” ไอ้โทลุกขึ้นไปเปิดไฟ หนังในจอที่กำลังมันส์ๆเป็นอันต้องปิดไป ย้ายก้นจากห้องดูหนังขนาดย่อมมายังห้องหนังสือ
ผมไม่รู้ว่ามันจะทำอะไร เพราะร่างสูงของมันกำลังเลือกหนังสือบนชั้นอย่างเคร่งเครียด ทำเอาผมไม่กล้าถาม เมื่อหยิบหนังสือมาได้ 3-4 เล่ม ไอ้โทก็เอามาวางตรงหน้าผม นั่งลงข้าง ๆ แล้วบอกว่า
“อ่านสิ”
ผมหันไปมองมันอย่างลังเล ซึ่งมันก็ทำท่าบุ้ยใบ้บอกให้ผมหยิบเล่มบนสุดมา หนาจนปาหัวหมาแตกได้เลยนะเนี่ย ผมเปิดหนังสืออย่างกล้า ๆ กลัว ๆ หันไปมองมันอย่างไม่มั่นใจ
“เพราะเล่มนี้กูถึงสอบผ่าน อ.ดนัยก็เอาโจทย์มาจากหนังสือพวกนี้แหละ”
กวาดสายตาแบบผ่าน ๆ มือก็เปิดที่ละหน้า ๆ อย่างไร้จุดหมาย หันไปมองมันอีกทีเพื่อความมั่นใจว่าจะให้กูอ่านหมดนี่จริงหรอ?
“นะโม ถ้ามึงไม่อ่านมึงก็อย่าหวังจะสอบผ่าน เพราะกูช่วยติวให้มึงได้แค่นี้”
“คือ...”
“อะไร?”
“กูแปลไม่ออก...”
ไอ้โทถึงกับสตั้น แล้วถอนหายใจยาว ๆ
“ชวนเพื่อนๆมาติวด้วยกันสิ” ผมเสนอไอเดียเหมือนทุกๆครั้งก่อนจะมีการสอบ พวกเพื่อนๆมักจะชอบถามไอ้โทในสิ่งที่ไม่เข้าใจ จนถ้าจะบอกว่ามันคืออาจารย์อีกคนก็คงไม่ผิด
“เออค่อยชวน”
อ่าว แล้วทำไมไม่ชวนเลยวะ เริ่มติวพร้อมกันจะได้ไม่ต้องมานั่งอธิบายใหม่หลายๆรอบ
ไอ้โทไม่ได้ตอบอะไร มันลุกออกไปนอกห้องประมาณ 15 นาทีก็กลับมาพร้อมชีทสรุปด้วยลายมืออันสวยงามของมัน พี่บัวเดินตามเข้ามา ยกขนมกับน้ำวางบนโต๊ะใกล้ ๆ แล้วปล่อยให้ผมอยู่ตามลำพังกับไอ้โทเหมือนเดิม
เสียงทุ้มนุ่มอธิบายอย่างช้า ๆ ทำความเข้าใจไปทีละส่วน และเริ่มทำโจทย์ไล่จากง่ายไปหายาก ยอมรับเลยว่าพอได้ฟังเนื้อหาจากมันแล้วเข้าใจกว่าที่อาจารย์ดนัยอธิบายเยอะ คงเพราะใช้ศัพท์ธรรมดาๆ ไม่ได้เป็นทางการหรือศัพท์เทคนิคอย่างที่อาจารย์ชอบใช้ ประมาณว่าเรื่องนี้กูกำลังงงเสือกเจอคำศัพท์ใหม่ก็ต้องเปิดหาอีก กลายเป็นว่าไม่ได้ไม่เข้าใจสักเรื่อง
“อ่ะ นี่ คำตอบสุดท้าย กูมั่นใจว่าถูกแน่” ผมยื่นสมุดกางหน้ากระดาษที่เต็มไปด้วยดินสอลายมือผม ร่ายแสดงวิธีทำตามขั้นตอนอย่างที่ไอ้โทสอนเป๊ะๆ ติวเตอร์จำเป็นรับไป กวาดสายตาดูอย่างรวดเร็ว ก่อนจะยื่นกลับมาให้
“ผิด”
“ห๊ะ?”
“ผิด”
ผิดตรงไหนวะ กูก็ทำตามขั้นตอนตีโจทย์ทีละส่วน ๆ แล้วนะ
นิ้วผมไล่ทีละบรรทัดเพื่อหาจุดผิด โดยมีติวเตอร์หน้าหล่อนั่งจ้องอย่างอึดอัด ไอ้ตอนมันอธิบายผมก็ไม่รู้สึกอะไรหรอก เพราะมันพูดไปด้วย มือก็แสดงโจทย์ให้ผมดู ไม่ได้มานั่งโฟกัสเพ่งเล็งแบบนี้
โอ๊ย กูวนหา 3 รอบแล้วนะ ตรงไหนวะที่ผิด
“มึงคิดผิดเองป่าว แล้วมาบอกว่ากูตอบผิด”
“แล้วถ้ากูหาเจอล่ะ?” มันยักคิ้วกวน
“กูยอ-....”
เกือบละ ดีนะผมยั้งคำพูดไว้ทัน ไอ้ห่านี่ไว้ใจไม่ได้ แถมมันเรียนเก่งกว่าอีก ผมอาจจะพลาดเองจริงๆ
“อะงั้นผิดตรงไหน”
“รูปร่างโมเลกุลโควาเลนต์ของคาร์บอนกับคาร์บอนที่จัดเรียงตัวแบบพีระมิด มันคือเพชร ไม่ใช่แกรไฟต์”
ผมรีบยิ้มแห้งๆไปให้มัน ดึงสมุดมาลบคำตอบอย่างเจี๋ยมเจี้ยม ถ้าเอาไปถามไอจ๊อบหรือบูมมันก็ตอบไมได้เหมือนผมนั่นแหละน่า เรียนตั้งแต่ม.6ละ ความรู้คืนครูไปหมดแล้ว
“โด่วว ผิดแค่นี้เอง”
“ก็แค่ได้ 0 เอง”
เดี๋ยวนี้มียอกย้อน
ไอ้โทมันกล้าเล่น..เอ่อเอาจริง ๆ คือกวนตีนใส่ผมมากขึ้น มากกว่าตอนที่เกิดเรื่องเลวร้ายทั้งหลายนั่นอีก ซึ่งบอกตามตรงผมรู้สึกสนิทใจมากกว่าด้วยซ้ำ คงเป็นเพราะมันไม่ได้ปิดบังอะไรอีกต่อไป ผมรู้ว่ามันอยากจะเข้าหามากว่านี้ แต่ยังกลัวว่าผมจะออกห่าง มันเลยเว้นระยะไว้ให้ ยอมทำตามข้อตกลงที่ผมสร้างขึ้นมา
สำหรับผม...คำขอโทษที่ดีที่สุด ไม่ใช่คำพูด แต่คือการกระทำของตัวมันเอง
ตั้งแต่ไอ้โทรู้ความจริงมันก็ไม่ได้แตะต้องผมอีกเลย ถึงแม้ว่าก่อนหน้านั้นมันจะทำระยำหมาไว้สักแค่ไหน มันคงเพิ่งสำนึกได้ เลยหันมาทำดีด้วย ไม่ว่าจะเหตุผลอะไรก็ตาม มันได้พิสูจน์ตัวเองในระดับหนึ่งแล้ว ไม่อย่างนั้นผมคงไม่มาดูแลมันง่าย ๆ แบบนี้หรอก เห้อ
“พักก่อนได้ไหม กูปวดหัว”
“อืม” มันเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ “พรุ่งนี้ค่อยไปติวที่หอสมุดแล้วกัน เดี๋ยวกูบอกเพื่อนๆในภาคเอง”
ว่าแล้วก็หยิบโทรศัพท์มาเช็กไลน์สักหน่อย ปกป้องถ่ายรูปตัวเองตอนเล่นบาสมาให้ดู ส่วนผมถ่ายรูปกองหนังสือส่งกลับไป พร้อมกับบอกเรื่องสอบซ่อมด้วย
อยากไปให้กำลังใจต่อหน้าคงไม่มีหรอกคำพูดหวาน ๆ แบบนี้น่ะ
อันที่จริงพรุ่งนี้ปกป้องชวนผมไปถ่ายรูปเล่น แต่บังเอิญว่ามีเรื่องสอบแก้ตัวกะทันหัน ผมเลยบอกปัด ขอเป็นหลังสอบเสร็จแทน
ผมสลับมาที่แชทกรุ๊ป 4 หล่อ กระดอใหญ่ กูล่ะเกลียดชื่อกรุ๊ปจริง ๆ ส่วนใหญ่พวกเราไม่ได้คุยอะไรกันมากหรอกครับ มีแต่ไอ้จ๊อบกับบูมนี่แหละที่แกล้งกวนตีนกันไปมา ผมแจมๆไปบ้างนิดหน่อย ส่วนคุณชายเขาอย่างมากก็ส่งสติ๊กเกอร์ 1 ตัว
ไอ้ฟูมันส่งรูปมาในแชทกรุ๊ป พอกดโหลดรูปก็พบว่านั่นมันตอนที่ผมกำลังซื้อของในห้างนี่หว่า
ใครวะ หล่อทุกรูป ดูดีทุกมุมชมตัวเองไป1ดอก
อ๋อ คอร์กี้แถวบ้านกูเอง 55555สัด เปรียบเป็นหมาว่าแย่แล้ว นี่เสือกพันธุ์ขาสั้นอีก
“ขำเหี้ยไร” ไอ้คนข้างๆผมเอง จู่ๆเสือกหัวเราะ
“เปล่า ดูรูปแล้วมันตลก”
มีคนร้อนตัวอันนี้ไอ้โทพิม แล้วส่งรูปด้านหลังของใครบางคน...อ๋อ หลังกูเอง เพิ่งถ่ายเมื่อกี้สินะ
ข้างหลังยังหล่อกูก็ชมตัวเองต่อได้เนอะ
ผมเลื่อนดูรูป มันมีอยู่รูปนึง เป็นรูปผมกำลังเข็นรถเข็น สายตามองไปยังชั้นวางสินค้า คือแบบโคตรดูดีอ่ะครับ เพอเฟ็คมาก จนอดไม่ได้ที่จะเอามาตั้งเป็นรูปโปร แต่ติดที่ว่าเห็นไอ้โทกำลังหยิบแพ๊คนมกล่องเนี่ยสิ
ครอปแม่งออกเลยก็แล้วกัน ไม่มีใครรู้หรอก
ผมอัพรูปโปรไฟล์ในเฟสบุคยังไม่ถึงนาทีก็มาคนมากดหัวใจให้
Pariwat Waithayawanthiti กินนมเยอะ ๆ จะได้สูงๆ
ปกป้อง...กวนตีนละมึง
ผมตอบรูปอิโมจิที่เป็นฝ่าเท้ากลับไป ระหว่างนั้นก็มีคนทยอยมากดไลค์เรื่อย ๆ ผมวางโทรศัพท์แล้วมาสนใจหนังสือเล่มหนานี้ต่อ ไอ้โทบอกให้ผมอ่านบทต่อไปให้เข้าใจเองก่อน สงสัยตรงไหนค่อยถามมัน
“ละมึงจะไปไหน”
“ครัว จะไปเอาข้าวเย็น อยากกินอะไรไหม”
“เป๊บซี่”
“อย่างเดียว?”
“คุกกี้ที่พี่บัวเอามาให้ด้วย กูแดกหมดแล้ว อร่อยดี”
มีคนคอยบริการให้มันดีแบบนี้นี่เอง ผมสนใจตัวหนังสือภาษาอังกฤษตรงหน้าต่อ ไม่ใช่แปลว่าไม่ออกหรอก คำบางคำมันก็พอถูๆไถๆ แต่ถ้าศัพท์ตัวไหนไม่รู้จริง ๆ ก็เปิดดิกเอา
เจ้าของบ้านติวสอบให้ผมจนเวลาล่วงเลยมาถึง 5 ทุ่ม มันถึงไล่ให้ผมไปอาบน้ำ เดินไปหยิบชุดนอนและตรงไปยังประตูห้องน้ำ
ทำไมมันเปิดไม่ออกวะ
“นะโม เลื่อนขวา”
อะ อ้าว... อย่าขำนะไอ้โท แค่กูยังไม่ชินกับประตูบ้านมึงหรอก เดี๋ยวเป็นลูกบิด เดี๋ยวเป็นกลอน เดียวมีรหัส อะไรไม่รู้เยอะแยะ คือจะออกแบบให้ประตูทั้งบ้านเหมือนกันหมดไม่ได้หรอวะ ไม่เข้าใจบ้านคนรวยจริง ๆ แถมตอนนี้สมองยังเบลอสุด ๆ ในหัวที่เคยมีแต่ขี้เลื่อยเริ่มปรับตัวเอาความรู้เข้าไปแทรกมั่ง
เสียเวลากับการอาบน้ำไม่นานก็ออกมา พบว่าร่างสูงนอนอยู่บนเตียง นอนคุยโทรศัพท์กับใครก็ไม่รู้ แต่ผมพอจะเดาออกว่าเป็นผู้หญิง
“ช่วงนี้ผมไม่ว่าง...อยู่กับเพื่อน...” สายตาคมเหลือบหางตามาทางผมที่กำลังขยี้หัว หวังจะให้มันแห้งเร็ว ๆ “แค่นี้ก่อนนะครับ และไม่ต้องโทรมาอีก”
โห พูดไร้เยื่อใยแบบไม่ไว้หน้าผู้หญิงในสายเลย แต่ไอ้โทมันก็เป็นของมันแบบนี้อยู่แล้ว มันเบื่อใครก็ตัดทิ้งเลย แล้วควงคนใหม่แบบไม่แคร์สื่อ เพียงแต่ช่วงนี้ผมไม่เห็นว่ามันจะกิ๊กกับใครเลยว่ะ หรือว่าโดนไอ้จ๊อบแอบคาบไปแดกหมดแล้ว
“มานั่งนี่” ไอ้โทนั่งขัดสมาธิรออยู่บนเตียง มือตบปุๆใกล้ๆหว่างขามัน “จะเป่าผมให้ เดินขยี้หัวแบบนั้น น้ำมันหยดทั่วห้อง”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวมันก็แห้ง”
“ลำบากพี่หญิงเขาต้องมาถูพื้นให้” มันทำน้ำเสียงดุ “เร็ว ๆ แป๊บเดียว”
“เออ”
ก็ได้วะ รีบ ๆ เป่า รีบๆแห้ง ผมจะได้นอนสักที
ผมปีนขึ้นเตียงนั่งหันหลังให้ ไอ้โทหยิบไดร์เป่าผมเสียบกับปลั๊กหัวเตียง นึกขอบคุณเสียงมอเตอร์ไดร์ที่ดังไปทั่วห้องกลบบรรยากาศประหลาดๆนี้ นิ้วมือเรียวสางผมพร้อมกับเป่าลมเย็น จะว่าไปมันก็สบายดีแหะ เกิดมายังไม่เคยมีใครทำแบบนี้ให้ ปกติสระผมเสร็จก็เช็ดพอหมาดแล้วนอนเลย
“ใช้แชมพูขวดสีส้มเหรอ”
“เออ หรือว่ามันไม่ได้ไว้สระผม” เอี้ยวคอกลับไปถาม
อย่าเชียวนะเห้ย...กว่ากูจะอ่านตัวหนังสือภาษาอังกฤษเล็กๆข้างขวดออกนี่กินเวลาไปเกือบ 10 นาที ตั้งเรียงรายไว้ทำไมเยอะแยะ ในเมื่อสุดท้ายก็ใช้แค่ขวดเดียว
“เปล่า หอมดี” ไม่พูดเปล่า ปลายจมูกโด่งยังสัมผัสกับเส้นผมเพื่อพิสูจน์โดยตรง
ผมตัวแข็งทื่อ...นี่ถ้าเอียงคอมุมองศาผิดไปนิดหน่อยจมูกโด่งๆนั่นมาสามารถกระทบแก้มผมได้เลยนะ...
“เสร็จแล้ว ปิดไฟละนะ” พูดปุ๊บปิดปั๊บ
รีบไปไหนเนี่ย ให้กูเดินไปที่โซฟาก่อนไม่ได้ไง๊
“นอนนี่แหละ มันดึกแล้ว”
“อย่ามาเนียน”
ดึกแล้วเกี่ยวอะไรกับที่นอนกูไม่ทราบครับ อีกไม่กี่เมตรกูคลานไปเองได้น่ะ
แต่ขณะที่ผมกำลังคลำลงจากเตียง อีกฝ่ายก็คว้าข้อมือไว้เสียก่อน ดึงให้ผมล้มนอนลง แม้ว่าผมจะลืมตาแต่ก็มองไม่เห็นอะไรเลย เพราะมันมืดมาก รู้แต่ว่ากายอุ่นนั้นเบียดเข้ามาใกล้ เสียงทุ้มกระซิบข้างหูบอกให้ยกหัวขึ้น พอผมทำตามก็ได้สัมผัสกับหมอนนุ่ม โดยที่ต้นคอมีแขนของคนข้างๆรองหนุนให้
แม้อยากจะกระเถิบหนี แต่ติดที่ผ้าห่มหนาปกคลุมลงมาแล้วมันช่างพอดีและลงตัวจนไม่อยากลุกไปไหน อีกอย่างผมก็ง่วงมากแล้วด้วย ใช้พลังงานทั้งวัน ขี้เกียจต่อล้อต่อเถียงด้วยเรื่องไร้สาระ ไหนๆเจ้าของเตียงก็บังคับผมให้นอนอยู่แล้ว งั้นไม่เกรงใจล่ะนะ
ผมนอนหงายแบบปกติ สายตาที่จับจ้องเพดานหรูค่อยๆปรือลงอย่างช้า ๆ ก่อนเปลือกตาจะปิดลงผมเห็นว่ามีคนแอบยิ้มกว้างในความมืด
แบบนี้มันสบายกว่านอนโซฟาเป็นไหนๆ...
ผมปรือตาขึ้นมาเพราะแสงแดดที่ส่องผ่านผ้าม่าน พลิกตัวหลบแดดหันไปอีกทางโดยลืมไปว่าตัวเองนอนอยู่ที่ไหน คว้าผ้าห่มหนานุ่มมาซุกไว้ที่คอ ขาข้างซ้ายยกขึ้นเพื่อที่จะได้ก่ายหมอนข้าง
แต่ทำไมหมอนข้างมันแข็ง ๆ วะ ?
ในหัวคิดพิจารณาถึงสถานการณ์ตอนนี้อย่างถี่ถ้วน...หมอนนุ่ม ผ้าห่มหนา เตียงกว้าง แสงแดดส่องผ่าน .. และสุดท้าย...หมอนข้างแข็ง ๆ
เดี๋ยวนะ เมื่อคืนผมหลับบนเตียงไอ้โทนี่หว่า 2 คืนแล้วที่ผมนอนเตียงเดียวกับมันแบบงงๆ เมื่อคิดได้ดังนั้นผมก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา เห็นใบหน้าหล่อจ่ออยู่ใกล้ในระยะไม่ถึงคืบ ผมตัวแข็งไปชั่วขณะ ก่อนจะค่อยๆ เขยิบออกห่าง
ฟึ่บ !
เชี่ย มีท่อนซุงมาทับขาผม หนักชิบหาย แบบนี้ไอ้คนข้าง ๆ แอ๊บหลับแน่ ๆ
“ไอ้โท เอาขามึงออกไป”
มีเพียงแค่เสียงครางในลำคอตอบรับ เหมือนคนหงุดหงิดที่โดนกวนตอนหลับ ผมเลยลุกขึ้นมา แม้ขาจะยังโดนทับนั่นแหละ ผมปัดผ้าห่มให้ออกจากตัว แล้วก้มมองขายาว ๆ ของใครบางคน
ตอนนี้ผมตื่นเต็มตาแล้ว ดังนั้นไอ้โทก็ต้องตื่นเหมือนกัน เพราะวันนี้ผมต้องไปสอบซ่อมตามที่อ.นัดเมื่อหลายวันก่อน แต่ในเมื่อผมพยายามลุกแล้วแต่ขาก็ยังติดอยู่ มันก็ต้องมีมาตรการขั้นเด็ดขาดสักหน่อยล่ะ
“โอ๊ย!!” คนที่นอนอยู่ถึงกับลุกขึ้นมา
“555555555” ส่วนผมน่ะหรอ ก็ขำแบบสะใจอยู่นี่ไง
“มึงทำไรเนี่ย” ไอ้โทถามหงุดหงิด
ผมไม่ตอบ แต่ชูขนหยิก ๆ 2 เส้นให้มันดู ขนที่ว่านี่ก็มาจากการที่ผมดึงขนหน้าแข้งมันเองนั่นแหละครับ ฮ่าๆๆๆๆ แม่งเป็นอะไรที่เจ็บสุดในชีวิตลูกผู้ชายแล้ว ถ้าไม่นับโดนเตะไข่น่ะนะ
ไอ้โทขยี้หัว บ่นพึมพำว่าผมเล่นไม่รู้เรื่อง และก่อนที่ผมจะรู้ตัว มันก็ใช้ผ้าห่มคลุมตัวผมแล้วนอนทับ
“สัดโท กูหายใจไม่ออกโว๊ยยยยยยย”
ผมดิ้นสุดกำลัง แต่แน่ล่ะ แรงผมหรือจะไปสู้แรงมันได้ ผมถีบผ้าห่ม พยายามเอาหัวออกเพื่อสูดอากาศหายใจให้ได้ แต่พอได้ยินเสียงไอ้โทหัวเราะผมเลยคิดแผนการอะไรดี ๆ ออก
หึหึ รู้จักนะโมน้อยไปซะแล้ว
แกล้งทำเป็นดีดดิ้นได้สักพัก ก็ค่อยๆผ่อนแรงจนนิ่งไป ไอ้โทยังคงแกล้งทับผมผ่านผ้าห่มอยู่ แต่พอผมนิ่งเป็นเวลานาน ไอ้โทเรียกเท่าไหร่ก็ไม่ตอบ น้ำเสียงมันกระวนกระวายใจ รีบเอาผ้าห่มออกแล้วเอามือตบหน้าผมเบา ๆ
“นะโม นะโม เป็นอะไร? เห้ย อย่าเล่นแบบนี้ กูใจไม่ดี”
“แบร่ !!”
ไอ้โทหน้าเหวอ ผมละอยากถ่ายรูปช๊อตนี้เก็บไว้จริง ๆ กร๊ากกกกกกกกกกก
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆ” ผมขำไม่หยุด ก็มันตลกจริง ๆ ไม่คิดว่าคนอย่างไอ้โทจะเหวอเป็นกับเค้าด้วย เห็นแม่งเก๊กหน้านิ่งตลอด น่าเอามุขนี้ไปแกล้งที่มหาลัย ไอ้บูมไอ้จ๊อบคงขำน้ำตาเล็ด
“นะโมมึงแกล้งกูหรอ”
“เปล๊า” ผมตอบเสียงสูงก่อนจะลุกจากเตียงไปหยิบผ้าเช็ดตัว บ่งบอกว่าหมดเวลาเล่นแล้ว เพราะนี่มันก็ปาไป8โมงกว่า ๆ อาจารย์เขานัดสอบ 9 โมงครึ่ง กว่าจะกินข้าว อาบน้ำแต่งตัว เฉียด ๆ เข้าห้องสอบสายด้วยมั้งเนี่ย
ขณะทานข้าวเช้าผมก็นั่งอ่านชีทสรุป แต่ไม่ใช่ชีทสรุปลายมือไอ้โทที่ผมอ่านเมื่อหลายวันก่อนนะครับ อันนี้เป็นชีทสรุปของผมเอง ที่ไอ้โทมันบังคับให้ผมทำ มันบอกว่า
‘ถ้ามึงจำไม่ได้ ไม่เข้าใจ ตีโจทย์ไม่แตก อย่างน้อยมึงก็เคยอ่านผ่านตา เขียนผ่านมือมาแล้ว มันต้องมีนึกออกบ้างแหละน่า’
จะได้ผลหรือไม่ได้ผลก็วัดกันในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านี้แล้วล่ะครับ
ไอ้โทขับรถไปส่งที่มหาลัย ส่วนผมก็จดจ่ออยู่กับชีท จนไม่รู้ตัวเลยว่ามาถึงหน้าห้องสอบเมื่อไหร่ รู้ตัวอีกทีก็นั่นแหละ ไอ้จ๊อบไอ้บูมโหวกเหวกโวยวายมาแต่ไกล
“ไอ้เตี้ย เดี๋ยวนี้หัดทำชีทสรุปหรอ มาแบ่งเพื่อนอ่านเลยสัด” ไม่ต้องขอแม่งก็ฉกไปแล้วครับ สันดานจริง ๆ ไอ้บูมเอ๊ย อยากด่ามัน แต่ผมก็ยอมให้มันเอาไปอ่าน ในขณะที่หัวผมกำลังนึกทบทวนว่าอาจารย์น่าจะออกสอบแนวไหนบ้าง ปากหมา ๆ ของไอ้ฟูก็แซวขึ้นมา
“คนแถวนี้มีติวเตอร์ส่วนตัวเว้ยเห้ย น่าอิจฉาซะจริง”
“ติวเตอร์ส่วนตัวเหี้ยไร ได้ข่าวว่าเมื่อวานไอ้โทก็มาหาที่หอสมุดเพื่อติวให้พวกมึงไม่ใช่หรอไงวะห๊ะ”
“มีคนร้อนตัวว่ะ”
สัด! ไม่คุยกับพวกมันและ เช็กไลน์ดีกว่า ปกป้องน่าจะส่งข้อความมาแล้วล่ะ ซึ่งก็จริง ๆ พอผมเข้าแอพลิเคชั่น เจ้าของห้องแชทเดิม ๆ ก็ส่งข้อความให้กำลังใจมา
‘ขอให้ทำข้อสอบได้นะครับ ถ้าทำไม่ได้ก็ให้นึกถึงหน้าผมไว้ ว่ายังมีอีกหนึ่งกำลังใจอยู่ข้าง ๆ ตรงนี้นะครับ’
เลี่ยนชะมัด ว่าแต่ผมยิ้มทำไมวะเนี่ยยยยย
‘จริงอ่ะ ? ไม่เชื่อ ถ้าอยากเป็นกำลังใจจริง ๆ ก็ต้องมาอยู่ข้าง ๆ ตอนนี้ดิ’
คือตอนนี้กลายเป็นว่าปกป้องกับผมคุยแชทไลน์กันหวานเลี่ยน จนบางทีผมก็ไม่อยากเชื่อว่าตัวเองจะพิมลงไปได้ บางอารมณ์ผมก็ตอบสติ๊กเกอร์กลับไปตัวเดียวบ้าง บางอารมณ์ก็เล่นบทหวานๆตอบไป ขึ้นอยู่กับอารมณ์
‘งั้นเดี๋ยวสอบเสร็จแล้วไปหา เสร็จเที่ยงใช่ไหม สอบห้องไหน?’
มาเป็นชุด
‘ถ้าโดดเรียนไม่ต้องมาเลยนะ’
‘แง รู้ทันอีก’
ส่งสติ๊กเกอร์หมีบราวร้องไห้มาอีก เด็กน้อยเอ๊ยยยยย
‘เข้าห้องสอบและ’
ผมพิมเสร็จก็กดปิดเครื่องทันที หันไปหาเพื่อน ๆ ก็เห็นไอ้จ๊อบ ไอ้เฟิสและไอ้หนุ่มกำลังเล็งฮวงจุ้ยแจ่ม ๆ ปกติแล้วพวกมันจะเล็งข้าง ๆ ไอ้โทไม่ก็พวกผู้หญิง แต่คราวนี้ไม่เหลือใครให้สะกิดถามแล้วไง แม่งเลยเบนเข็มมาที่ผมแทน
“ไอ้เตี้ย มึงนำเลย อยากนั่งไหน เดี๋ยวกูประกบเป็นบอดี้การ์ดให้เอง” ไอ้เฟิสดัน ๆ หลังผม
“นี่พวกมึงแน่ใจว่าจะฝากชีวิตไว้ที่กูแล้วเหรอวะ?” ผมหันไปถามอย่างงงๆ
“ก็มึงได้รับการถ่ายทอดวิชามาจากปรมาจารย์แล้ว มึงก็ต้องทำได้สิวะ”
เอ้า! ไอ้นี่ มีงี้ด้วย?
คืออันที่จริงพวกผมก็ไม่ได้จะลอกแบบหน้าด้าน ๆ หรอกครับ แค่แบบกระซิบถามกันนิดหน่อยเท่านั้นเอง ผมเดินไปนั่งที่แอร์ไม่ตก เพราะถ้านั่งมีหวังมือแข็งเขียนไม่ได้คิดคำตอบไม่ออกแน่ ๆ ปล่อยให้ไอ้ฟูนั่งไปละกัน อาจารย์เดินมาแจกกระดายคำถามขนาดครึ่งเอสี่กับสมุดคำตอบ เน้นอีกครั้ง สมุดคำตอบ หมายความว่าจะทำยังไงก็ได้ให้เขียนคำตอบออกมาสมกับที่ต้องใช้สมุด ไม่ใช่กระดาษแผ่นสองแผ่น
เมื่อได้รับข้อสอบมา ผมก็อ่านอย่างรวดเร็ว ในสมองเค้นความรู้ทุกอย่างที่ไอ้โทพร่ำสอนมา2วันเต็ม ๆ
ข้อสอบตรงกับที่ไอ้โทเก็งมาให้ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมมันเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ผ่านและได้เอมาครอง
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว แป๊บเดียวก็หมดเวลาทำข้อสอบ 3 ชั่วโมง
“ไงมึง กูเห็นนั่งเหม่อมองฟ้า” คนแรกที่ออกจากห้อง ไอ้เจษ
“แล้วมึงล่ะ กูเห็นนะว่ามึงนั่งแคะขี้เล็บตัวเอง” ไอ้บูมด่ากลับไป
“มั่วแล้ว นั่นเขาเรียกว่ากำลังใช้สมาธิเว้ยยย” ไอ้เจษแก้ต่างแล้วหันมาถามเต้บ้าง “แล้วมึงอ่ะเต้ เป็นไง”
“ปากกาหมดไป 2 แท่ง”
“โห ทำได้หรอวะ ?”
“เปล่า กูซื้อมาแท่งละ3 บาท เขียนได้ 2 บรรทัดหมึกก็หมดแล้ว กากชิบหาย อย่าไปซื้อนะยี่ห้อนี่อะ”
“สัด กูก็นึกว่าทำได้ ฮ่าๆๆๆๆๆ”
“ไอ้เตี้ยนี่เงียบ ทำได้ล่ะสิมึง” แหนะ ยังจะวกมาหากูอีก อุตส่าห์นั่งฟังเงียบ ๆ แล้วนะ แต่เล่นกับพวกมันสักหน่อยก็ได้ ผมยักคิ้วกลับไปให้แบบเท่ ๆ พร้อมกับพูดว่า
“จะเหลือเหรอ”
“เหยดดดด” ทุกคนพากันโห่
“หมายถึงคะแนนกูอ่ะ....จะเหลือเหรอ 5555555555”
เฮฮาขำขันกันไป แต่ทุกคนดูมั่นใจมากกว่าคราวที่แล้ว น่าจะผ่านกันหมดไม่มีเอฟแล้วล่ะครับ ซึ่งแน่นอนว่ามีสอบก็ต้องมีฉลองหลังสอบเสร็จ พวกมันพากันนัดโดยไม่ถามความสมัครใจ แม่งบอกบังคับว่าทุกคนที่สอบในวันนี้ต้องไป รวมถึงไอ้โทด้วย ที่ถึงแม้ว่าจะผ่านแล้วแต่มันก็มาอยู่หน้าห้องสอบตลอดเวลา ดังนั้นถือว่ามันก็มาสอบด้วยเหมือนกัน
ตรรกะเหี้ยไรวะเนี่ย ?
ช่างเหอะ เอาเป็นว่าตอนนี้ขอไปหาอะไรลงท้องก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากัน
พวกผมพากันมากินเตี๋ยวหน้า ม. นั่งโต๊ะใหญ่เอะอะโวยวายเสียงดังที่สุด ดีที่ไม่มีลูกค้าคนอื่น เพราะตอนนี้ยังปิดเทอมอยู่ ตัวผมนั่งกินไปเรื่อย คอยหัวเราะตามมุกแป้ก ๆที่พวกมันชอบยิงใส่กัน จนกระทั่งมีสายเรียกเข้าจากเด็กหัวเกรียน ผมจึงขอตัวออกไปคุยโทรศัพท์
ปกป้องถามเรื่องข้อสอบที่เพิ่งสอบเสร็จไป แล้วถามว่าตอนนี้ทำอะไรอยู่
“กำลังกินเตี๋ยวกับพวกเพื่อนๆ มึงล่ะ?”
/กินข้าวผัดพริกแกงอยู่...เออนี่ พรุ่งนี้ออกไปถ่ายรูปกันนะ/ น้องมันยังยืนยันตามนัดหมายเดิม /ผมได้กล้องใหม่มา อยากลองวิชาแล้ว ไปกันนะๆ เดี๋ยวผมไปรับ/
ผมยิ้มให้กับน้ำเสียงอ้อน ๆ ก่อนจะตอบตกลง
/งั้น 10 โมงเจอกันที่หน้าร้านกุ้งเต้นนะ/
“เออๆ อย่าสายนะมึง มารับกูช้าเกิน 10 นาทีกูไม่ไป”
/โอ๊ย บอกตัวเองเหอะโม ฮ่าๆๆๆๆ/
“เออ แค่นี้แหละ ไปกินข้าวไป” ผมกดวางสาย ตั้งใจจะหันหลังกลับไปเข้าไปในร้าน แต่ดันมีรอยยิ้มกรุ่มกริ่มส่งมาจากไอ้บูมซะก่อน
“ยิ้มเหี้ยไร”
“โหย ด่ากูไมงะ แค่กูยิ้มนี่ก็ผิดหรอ ใช่สิ กูไม่ใช่เด็กนักเรียนกางเกงน้ำเงินนี่”
“พรุ่งนี้ไปถ่ายรูป ไปด้วยกันไหม?” ผมเปลี่ยนเรื่อง ขี้เกียจโดนแซว
“ปกป้องถ่ายให้หรอ?” ผมพยักหน้า “ก็อยากไปนะ แต่ไม่ดีกว่า ไม่อยากไปเป็นก้าง คิคิ ทำไมไม่ลองชวนไอ้โทล่ะ รับรองรายนั้นตอบตกลงแน่นอน”
“ไม่ล่ะ แทนที่จะได้ถ่ายรูป กูว่ากูต้องไปเป็นกรรมการห้ามมวยต่างหาก”
“แล้วคืนนี้มึงจะไม่ไปแดกเหล้ากับพวกเพื่อนหรอ”
“ไปดิ แม่งกดดันกูขนาดนั้น” ตอบไอ้บูมพลางมองไปยังโต๊ะที่ยังโวยวายตั้งแต่เข้าร้านจนเรียกเก็บเงิน
ทุกคนพากันแยกย้าย กลับไปนอนบ้าง ร้านเกมบ้าง ไปหาแฟนบ้าง แต่นัดหมายไว้แล้วว่า 2 ทุ่มต้องได้เห็นหน้าทุกคน ณ ร้านเหล้า ยังดีที่คราวนี้ไม่ใช่ผับ แต่เป็นร้านนั่งชิล ฟังเพลงสบาย ๆ เพราะจุดหมายคือไปนั่งคุย นั่งก๊งเหล้า มากกว่าที่จะไปหลีสาว ดังนั้นแต่งตัวไม่ต้องหล่อมากก็ได้ครับ บางคนใส่เสื้อกีฬามหาลัยไปด้วยซ้ำ
ผมเดินกลับไปที่รถพร้อมไอ้โท ขณะที่กำลังจะเปิดประตูข้างคนขับ มันกลับบอกให้ผมไปนั่งที่คนขับแทน
“กูจะสอนมึงขับรถ” ไอ้โทขยายความ
“ขับเป็นก็เท่านั้น กูไม่มีปัญญาซื้อรถหรอก” ถึงในอนาคตผมจะทำงานเก็บตังจนซื้อรถได้ แต่ไม่ใช่ตอนนี้แน่ๆล่ะ
“ไหนบอกมาดูแลกูไง”
“พยาบาลดูแลคนป่วย ไม่รวมหน้าที่ขับรถเว้ย” อย่ามาหัวหมอ ขี้เกียจขับเองล่ะสิ
“มาเหอะน่า เผื่อคืนนี้กูเมาขับเองไม่ไหว” ไอ้โทยังตื้อต่อ
“เพื่อนคนอื่นมีเยอะแยะ”
“ไม่คิดบ้างเหรอว่าพวกมันอาจเมาเละหนักกว่ากูก็ได้”
“งั้นก็ไปแท็กซี่ จบ” สิ้นเสียงผมก็เปิดประตูข้างคนขับแล้วยัดตัวเองลงไปนั่งประจำที่ทันที
คนที่พยายามจะให้ผมขับรถไม่ได้ว่าอะไรอีก นอกจากสตาร์ทเครื่องยนต์แล้วขับออกไป อันที่จริงแล้วผมก็ว่าดีถ้าหากผมขับรถเป็น แต่ผมกลัวครับ กลัวว่าจะไปชนคนอื่น กลัวอุบัติเหตุ กลัวโน่นนี่ไปหมด
และอีกอย่าง...
“ที่กูไม่อยากขับเพราะพ่อแม่กูตายด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์” ผมพูดขึ้นขณะติดแยกไฟแดง เรื่องนี้ผมไม่เคยบอกใคร ไอ้บูม ไอ้จ๊อบ รวมไปถึงคนข้าง ๆ ตอนนี้ก็รู้แค่ว่าพ่อแม่ผมเสียชีวิต แต่ไม่รู้ว่าด้วยสาเหตุใด
ตอนนั้นผมยังเด็ก ผมไม่รู้จริงๆหรอกว่ารถมีสภาพเป็นยังไง รู้แค่ว่ารถแหกโค้ง เพราะขับเร็วเกิน แถมถนนยังลื่น ผมไม่อยากจะเชื่อ เพราะพ่อเป็นคนที่ขับรถระมัดระวังและขับอยู่ในความเร็วตามที่กฎหมายกำหนดไว้ตลอด มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่พ่อจะขับเร็วจนแหกโค้งง่าย ๆ แต่แล้วพ่อและแม่ก็หมดลมหายใจตอนที่ถึงโรงพยาบาลพอดีเพราะเสียเลือดมาก ผมร้องไห้เอาเป็นเอาตาย นอนอยู่วัดเฝ้าศพไม่ยอมไปไหน ใครหาข้าวหาปลามาให้ก็ไม่ยอมกิน จนป้าต้องมาอยู่เป็นเพื่อน พูดกล่อมให้กินข้าวและรับผมไปเลี้ยงนั่นเอง
“ป้ากูบอกว่าพ่อกับแม่หมดกรรมแล้ว มีแต่สร้างบุญสร้างกุศล เทวดาท่านเลยรับไปอยู่บนสวรรค์ก่อนหมดอายุขัย”
“ถ้าอย่างนั้นกูคงบาปหนามาก เพราะขนาดโดนยิงเข้าจัง ๆ ยังทำไรกูไม่ได้เลย”
ผมหันไปหาคนพูด แล้วเราก็หัวเราะออกมาพร้อม ๆ กัน
“เออ มึงต้องอยู่ชดใช้กรรมบนโลกนี้ไปอีกนานนนนนนนนน”
“หึหึ รู้แล้วล่ะน่า...”