รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ
สิบสาม(ครั้งที่สอง)...ย้อนกลับไปเป็นเรา
ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองอ่อนแอน่าทุเรศได้มากขนาดนี้เลยโว้ยยยยยยยยยยย
กับแค่คนเก่าคนแก่ วัวเคยค้ามาเคยขี่ลากไปกลางลานเปิดใจแค่นี้ ผมก็ร้องไห้เป็นเผาเต่าเพราะกลัวเขาจะบอกเลิกแสกหน้ากลางลานแล้ว เชี่ยอิม มึงเป็นอะไรวะ กับตอนเบสน้ำตาลูกผู้ชายมึงยังไม่ไหลตอนที่รู้ว่าเพื่อนคนสนิทที่คิดอยากรู้ใจมีแฟนเลย เหตุผลมันมีอย่างเดียวแหละ มันอยู่ที่คนตรงหน้า คนที่กำลังลากผมอยู่ตอนนี้ไง
เบื้องหน้ามีแต่ภาพแผ่นหลังกว้างพาผมเดินท่อมๆมาตรงกลางลานจอดรถ ผมเหลือบซ้ายมองขวา เอายังไงดีสะบัดแขนแล้ววิ่งหนีเลยดีมั้ย พอตั้งใจนับหนึ่งสองสาม เชี่ยแม่ง ของบางอย่างที่ทำให้ผมแทบสติหลุด
“จริงป่ะเนี่ย”
อุทานอย่างลืมตัว ขาสองข้างเปลี่ยนก้าวขึ้นหน้าลากคนจับข้อมือออกเดินแทน ไม่อยากจะเชื่อเลย ไอ้สิ่งที่ผมพูดคุยพร่ำบ่นกระปอดกระแปดว่าอยากได้อยากขับมันนักหนากลับมาปรากฏตรงหน้า
รถออกแนวสปอร์ตกึ่งคูเป้ คันค่อนไปทางอีโก้คาร์ที่เคยเอาแต่นั่งเปิดตารางราคาผ่อนดูอยู่ทุกวี่ทุกวัน แล้วภาวนาว่าถ้าทำงานหาตังค์ได้จะซื้อ กลับมาอยู่ตรงนี้ หรือว่า...
“นี่คุณซื้อคันนี้เหรอ” เกรทยิ้มๆมองจับผิดท่าที จนผมต้องกระแอมไอสำรวมอาการ ฝืนยืนหน้านิ่งอยู่ตรงนั้น “เออ พามาส่งถึงรถแล้ว ก็รีบกลับหอดิ”
“อิมก็ขึ้นรถสิ”
“ขึ้นทำไม ผมแค่มาส่ง”
“แต่ผมเจ็บขา”
“ตัดให้หมามันไปแดกเลยมั้ยล่ะ มีไว้ก็ไร้ประโยชน์น่ะ”
“ใจร้ายจังตั้งแต่เลิกกัน”
“ผมมันใจร้ายมาตั้งแต่ต้นแล้ว แค่คุณไม่รู้เท่านั้นแหละ”
“อยากรู้จักครับ”
“หา?”
“อยากรู้จักคนที่ชื่ออิมเมจให้มากกว่านี้” ต้องรีบประคองหนังสือในมือไว้ เพราะเกือบทำมันตก เฮ้ยนี่มันหนังสือเกรทนี่หว่า
“อ่ะ คุณเอาคืนไปแล้วรีบกลับบ้านไปได้แล้ว” ดันเจ้าเล่มหนาสี่เหลี่ยมใส่อก เจ้าตัวมองมันอยู่แวบนึงก่อนสายตาวาวโรจน์แบบแปลกๆ อีหยังวะเนี่ย
“โอเคครับ กลับก็กลับ” ของบางอย่างถูกยัดใส่มือ พอแบออกเสียงกรุ๊งกริ๊งของพวงกระดิ่งผูกด้วยเชือกป่านก็ดังขึ้น ผมตื่นตะลึงวิ่งเข้าไปคว้าที่จับประตูซึ่งเกรทพึ่งมุดตัวเข้าไปแทบในทันที ก่อนกระชากเปิดออก
“เกรท นี่มันอะไรของคุณวะ” เจ้าตัวปรายตามองของซึ่งห้อยต่องแต่งอยู่ในมือผม อย่างไม่ทุกข์ร้อนก่อนตอบนิ่งๆ
“กุญแจรถ”
“ให้มาเพื่อ”
“ให้อิมขับ”
...อย่าพูดอย่างนั้น...
“ให้คุณตั้งจิตปณิธานขับไปส่งผมครับ”
...บอกแล้วไงว่าอย่าพูด...
“หรืออิมไม่อยากขับ”
...ใครมันจะไม่อยาก...
“ไม่อยากขับก็ตามใจนะ”
“อยากดิ!!”
“...”
“อยาก อยากมากๆ” น้ำตาผมคลอแล้ว โดนล่อด้วยของชอบแบบนี้ไอ้เด็กนี่มันใจร้ายสุดๆ รอยยิ้มหล่อเหลาปนเจ้าเล่ห์ผุดขึ้นเต็มใบหน้า
“อยากก็ขึ้นมาสิครับ”
ไม่ต้องรอให้เกรทกระตุ้นเป็นคำรบสอง ผมเดินอ้อมโดดผลุงขึ้นนั่งฝั่งคนขับในบัดดล ประตูปิดลงฉับ จังหวะนั้นในรถอบอวลไปด้วยกลิ่นอายแห่งความเงียบ
สติ!!อิมสติ!! นี่มึงก้าวขึ้นรถคนที่วิ่งหนีมาตลอดเดือนกว่าเพื่อ!!
อึดอัดจนหูอื้อตามัว นิ้วมือเคลื่อนกดปุ่มสตาร์ทโดยหวังให้เสียงเครื่องยนต์ทำงาน ดังตัดบรรยากาศหายใจติดขัดนี้ไปได้บ้าง
“เอาคืนไป” ในมือเขวี้ยงของที่ไม่สมควรถือ มุ่งหมายให้ลงตักอีกฝ่าย กลับพลาดกระเด้งลงพื้นรถข้างคนขับเสียได้ “เฮ้ยๆๆ รับดีดีดิวะคุณ” เหมือนปฏิกิริยาตอบรับมันพาให้คนตัวสูงโค้งตัวโดยฉับพลันแล้วสิ่งที่ตามมานั้น
โป๊ก!!
เห็นดาวล่ะครับงานนี้ เสียงดังลั่นทุ่งเหมือนใครเอาของหนักๆไปทุบกับคอนโซลรถด้วยความเกรี้ยวกราด เกรทถึงกับตัวงอกุมหัวเป็นกุ้ง
“เฮ้ย คุณ เป็นอะไรรึเปล่า” ตกใจว่ะ แต่ก็อดขำไม่ได้เมื่อเห็นสภาพ ผมหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ “หึ...ค...ใครใช้ให้คุณนั่งอยู่ตั้งนานไม่ยอมปรับเบาะเนี่ย
“หา?” เกรทผุดตัวขึ้นโวยเสียงดัง พอเห็นใบหน้าเท่านั้นแหละ โอ๊ยสงสาร
“หัวโนเลย” ผมหลุดก๊าก สภาพตอนนี้อย่าว่าแต่พระเอกละครเวทีเลย ไหนจะรอยช้ำ ปากแตก หัวโน ความหล่อหายลงไปกว่าครึ่ง หยุดๆหยุดหัวเราะ คนโบราณว่าไม้ล้มอย่าซ้ำ ต้องชี้นำให้ดีขึ้นสิ “ปรับเบาะสิคุณ ปรับเบาะ”
เกรทหมุนรอบตัวหา ดูเก้กังขั้นสุด จนผมทนไม่ไหวดันตัวเขาให้หลังพิงเบาะ ใช้หลังมือตีปลีน่องให้หลบก่อนดึงก้านเหล็กเบาๆ
“เฮ้ย!!” ไอ้เหี้ย แขนดันอกอีกฝ่ายแรงไปหน่อยจนไถลออกด้านหลังจนสุด หน้าทิ่มพรวดลงต้นขาใต้ผืนผ้ากางเกงสีดำแบบไม่ปรึกษากูสักคำ ตอนจมูกได้กลิ่นอายจากน้ำยาปรับผ้านุ่ม แนบชิดสัมผัสต้นขาของอีกฝ่าย
“อิม” เสียงทุ้มเรียกผมเหมือนฉุดสติ รีบยันแขนกับขาของอีกฝ่ายขึ้นนั่ง
“ข...ขอโทษ กะแรงไม่ถูก”
“ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยเบามือกับน้องผมด้วยได้มั้ย” สองสายตาประสานมองไปยังทางเดียวกัน แค่นั้นผมแทบกรี๊ด มือชักกลับราวกับโดนของร้อน
ไอ้เหี้ย มือเกือบโดน มือเกือบโดน มือเกือบโดน โว้ยยยย เกือบลูบโดนเกรทน้อยแล้วไง!!
“อีกนิดมีจุกนะครับ”
“ข...ขอโทษ”
“เล่นแบบนี้คิดอะไรรึเปล่า”
“ก...ก็บอกว่าขอโทษไง”
“ทีหลังเล็งให้มันแม่นๆกว่านี้ได้มั้ยครับ”
“แล้วใครบอกว่าผมอยากจะจับเกรทน้อยกันล่ะวะฮะ!!”
กรุ๊งกริ้ง~~
เจ้ากระพรวนสีทองวาวมาห้อยต่องแต่งอยู่ตรงหน้า แถมถูกสั่นแหย่อารมณ์ไปมาอีก
“ผมหมายถึงเรื่องโยนกุญแจต่างหาก อิมคิดไปถึงอะไร” โว้ยยยยอยากฆ่าคน! ผมไม่ได้คิดว่าอยากจะจับตัวเดียวอันเดียวในโลกของมันซะหน่อยโว้ยยยย มือนี่แทบขยับไปบีบคอแกร่งแล้วเขย่าไปมาให้หัวหลุดจากบ่ากว้างๆนั้นเลย
“เลื่อนเบาะดีดีแล้วกลับกันได้แล้ว” อารมณ์เสียแบบอาภาภรณ์ นครปฐม จึงกดปุ่มเปิดเครื่องปรับอากาศไล่ความหงุดหงิดหัวร้อนให้คลี่คลาย ดึงสายจะคาดเบลล์หากแต่เงาร่างสูงใหญ่กลับขวางไว้จนผมสะดุ้งหลังพิงพนัก แขนแกร่งข้างหนึ่งโอบเบาะ ส่วนอีกข้างอ้อมมาจับบางอย่างข้างเก้าอี้ เกรทเหมือนจงใจหันมาเผชิญหน้า ริมฝีปากได้รูปห่างปลายคางไปไม่กี่เซนต์
จนกระทั่งร่างเอนไหววืบหงายหลังกะทันหัน สารร่างหนักๆกระแทกเข้าอกเต็มกำลัง ถึงได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร
“อึก!” หัวเกรทโหม่งลงคาอก ส่วนทางนี้แทบหยุดหายใจ เบิกตาค้าง เหมือนกำลังร่วงจากเครื่องเล่นผาดโผนอันใหม่ ไม่มีสัญญาณบ่งบอกว่าจะปล่อยตก
เชี่ย! วันนี้มันวันเล่นเบาะรถเจ็ทโคลสเตอร์ หรือไวกิ้งพนักพิงหรือไงวะ ทำไมผลัดกันเอนผลักกันล้มใส่กันขนาดนี้ เกรทที่นอนหน้าทิ่มอยู่กับอก ยังทรงตัวลุกขึ้นไม่ถูกหลัก หมุนหัวมาสบตาในระยะประชิด ส่วนผมได้แต่กะพริบตาปริบๆทำตัวไม่ถูกจ้องสู้
“โทษครับ”
“เล่นอะไรวะ”
“กะว่าจะปรับเบาะให้ เห็นแขนอิมห่าง”
“งั้นก็บอกกันก่อนดิ”
“ขอโทษครับ ตกใจเหรอ”
“อ...เออดิวะ”
“มิน่าล่ะใจเต้นแรงเชียว”“...”
“...”
รู้สึกแหม่งๆ ไม่ใช่ ที่ใจมันเต้นแรงไม่ใช่เพราะตกใจ แต่ใจมันเต้นตึกหนักๆเพราะใครบางคนที่นอนทับอกผมอยู่ต่างหากเล่า!! แล้วใครใช้ให้เล่นตลกเอาหูมากกที่หน้าอกข้างซ้ายแนบกับหัวใจผมได้วะ!
“เอาถึงเช้าเลยมั้ย”
“หา?”
“ผมถามคุณ จะนอนท่านี้ไปถึงเช้าเลยมั้ย”
“ถ้าอิมให้”
ร่ำเรียนมาจากไหนไอ้สกิลออดอ้อนพูดจาอ่อนหวาน กับสายตาหยาดเยิ้มปานหยดน้ำผึ้งเนี่ย ถ้าจำไม่ผิดคลับคล้ายคลับคลาว่าพักหลังก่อนจะเลิกคบกันเจ้าตัวก็อาการหนักประมาณนึง แต่ไม่ถึงขั้นนี้นี่หน่า
“เกรท ถ้าคุณง่วงก็รีบกลับไปนอนที่หอ”
“ยังไม่ง่วงครับ”
“คุณจะเอายังไงกันแน่วะ เจ็บตัวแทนที่จะรีบกลับไปพักผ่อน”
“เป็นห่วงผมเหรอ”หนึ่งคำถามสะท้านไปถึงทรวง ถ้าบอกว่าเป็นห่วง เป็นห่วงมากๆมันก็คงจะเกินคำว่ารุ่นพี่รุ่นน้อง แอบสะท้อนใจกับสถานะใหม่ที่ยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง เมื่อกี้ที่เขากล่าวกลางลานอาจจะเป็นเพราะไหลไปตามน้ำ ตามบทที่ยัยต้าเพื่อนน้องสาวผมเป็นคนส่งก็ได้
แต่เอาให้จริง เรื่องนี้ผมไม่อยากเป็นคนปากไม่ตรงกับใจ
“เป็นห่วงสิ”“...”
ทอดสายตามองคนอายุน้อยกว่าปิดปากเงียบ มองรอยช้ำซึ่งไม่ได้ดูแย่แต่ก็ใจไม่ดีเอาเสียเลยทุกครั้งที่ผ่านตา ไม่อยากให้คนตรงหน้าต้องเจ็บตัวซ้ำๆ
“รีบกลับไปนอนได้แล้ว พักผ่อนเยอะๆ แผลจะได้หายไวไว” ต้องใช้ความพยายามขนาดไหนในการเกร็งกล้ามเนื้อท้อง โยกที่ปรับเบาะดันตัวขึ้นด้วยท่าทีเก้กัง เกรทยังคงเงียบอาจจะนึกเสียใจที่ไม่ควรมาเล่นอะไรแบบนี้กับผม พลาดที่คนเลิกห่างร้างราไม่ยอมปฏิเสธทางวาจาเพื่อตัดสัมพันธ์
“อย่าทำให้ผมหลงพี่ไปมากกว่านี้เลย”“หา?” เสียงดังแผ่ว เกินกว่าจะจับใจความได้ทั้งหมด ไม่สำคัญ ช่างมันเถอะ วันนี้ขับไปส่งถึงหอก็ไม่รู้ว่าจะได้เจอกันอีกเมื่อไร นิเทศศาสตร์ก็ใช่ว่าใกล้กับคณะผม พอคิดได้สองมือจึงจับสายเข็มขัดนิรภัยตั้งใจจะคาด หากมือใหญ่กลับฉวยไปไว้ในมือ ใบหน้าราวกับเด็กขี้งอนชอบทำปากงุ้มปรากฏในครรลองสายตา
“ผมคาดให้”
“ผมคาดเองได้ ไม่ใช่เด็กๆซะหน่อย”
“ทีตอนนั้นอิมยังคาดให้ผมเลย”
“หืม?ตอนนั้น ตอนนะ...”
แกร๊ก!
เสียงเหล็กลงล็อกดังแว่วกะทันหัน จังหวะนั้นหมุนหัวไปสนใจต้นเสียงโดยไม่ทันเมียงมองคนใกล้ตัว วืบหนึ่งรู้สึกบางอย่างที่นุ่มหยุ่นมาแตะแนบ ก่อนถอยห่างอย่างไวราวกับงูฉก ผมเบิกตาโพลงด้วยความงงงวย ไม่อาจนึกรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น มีเพียงความรู้สึกอุ่นร้อนที่ยังประทับตราตรึงตรงจุดนั้น ใบหน้าร่างสูงอยู่โคตรใกล้
“เกรท...เมื่อกี้คุณ”
“ครับ” เจ้าตัวยิ้มเบาๆ หน้านิ่งไร้พิรุธเสียยิ่งกว่าอะไร หรือเมื่อกี้ผมคิดไปเองคนเดียววะ “มีอะไรรึเปล่าครับ?”
“เปล่า” ถามไปก็คงไม่ได้คำตอบ
“นึกออกรึยังครับว่าตอนไหน”
“หา?”
“วันนั้นที่อิมเอาหน้าเข้ามาใกล้ผมแบบเนี๊ยะ” เริ่มนึกคุ้นขึ้นมาแล้ว ราวกับเกรทกำลังจำลองเหตุการณ์เสมือน วันนั้นคงเป็นวันที่ผมขับรถพ่อไปส่งเจ้าตัวที่หอ
“...”
“ทำไปเพื่ออะไรครับ”
“ทำไปเพื่ออะไร...ผมก็แค่...”
“เพราะอยากจะลองใจผมใช่มั้ย” จะมีใครรู้ดีไปกว่านายคิรากรได้อีกล่ะ ไม่มีแล้ว ตอนนี้รู้ทั้งแผนการที่ลากเจ้าตัวไปหาใยไหมในวันหลังฝนตก รู้ทั้งตอนขึ้นรถคาดเข็มขัดนิรภัยให้เด็กน้อย ที่ไม่รู้อาจจะมีอยู่อย่าง...
“ถ้าบอกว่าใช่...”
“ตอนนั้นผมเกือบจูบอิม”
“...!”
“ถ้าอิมไม่ถอยไปก่อน” ร่างสูงแย้มริมฝีปากได้รูป ใช้ลิ้นตนเองแลบเลียไล่ความแห้งผากเบาๆ ภาพนั้นแทบทำให้ผมต้องกลืนน้ำลาย
“เก็บไว้ให้คนที่คุณรักเถอะ” ผมดันให้เกรทกลับไปที่เบาะ คราวนี้คนเป็นน้องยอมเลิกราอย่างว่าง่ายเกินคาด ย้ายสารร่างสูงใหญ่มารัดเข็มขัดนิรภัยอยู่กับที่ ก่อนนั่งนิ่งไม่ไหวติง ออกจะงงอยู่สักนิดกับท่าทีซึ่งผิดแผกจากเดิมราวฟ้ากับเหว ถ้าบอกว่าเกรทเป็นไบโพล่าผมนี่จะเชื่อเอาเสียตอนนี้
มีเพียงลมของเครื่องปรับอากาศที่พัดหึ่งๆเป็นเพื่อน เริ่มอึดอัดพิกลจนต้องหันไปมอง
“ผมบอกให้คุณเก็บไว้ให้คนที่รัก ไม่ได้บอกให้กลับไปนั่งเป็นคนใบ้”
“ผมไม่ได้ใบ้ แต่ผมกำลังห้ามใจไม่ให้จูบคนที่รักจนปากเบิร์นคารถคันแรกของตัวเองอยู่ครับ”
“...!”
พูดไม่ออก ไม่อยากเรียนการเชื่อมความใหม่ บอกไม่ให้จูบคนที่รักแล้วมันมาโยงกับบนรถคันแรกได้ไง แล้วตอนนี้มันจะมีใครนอกจากผมที่นั่งโง่อยู่บนรถคันนี้เล่า
ใจสั่งเหยียบเบรกโยกคันเกียร์มาตัวดี แล้วขยับตีนไปที่คันเร่งทันใด
“ก...กลับบ้าน กลับบ้าน”
“ครับ กลับบ้าน”
หืม? ผมหันไปมองใบหน้าหล่อเหลาเปื้อนรอยช้ำ ยอมง่ายๆแล้วเหรอ กว่าจะฟัดเหวี่ยงกับเก้าอี้และเข็มขัดนิรภัยเมื่อกี้ยังยื้อกันแทบตาย แต่ตอนนี้มาทำตัวว่าง่าย นั่งนิ่งกอดกระเป๋าทำหน้าตาใสราวกับคนต่างถิ่นเข้าเมืองมาตื่นแสงไฟยังไงอย่างนั้น ถ้านานกว่านี้อีกนิดผมเกือบคิดเข้าข้างตัวเองแล้วว่า ที่โดนเจ้าตัวดึงเกมไปมาเพราะต้องการอยู่ด้วยกันให้นานๆ
“โอเค กลับบ้าน”
“ใช่ครับ กลับบ้านพวกเรากัน”
ผมเหมือนพลาดที่ลืมฟังประโยคสุดท้ายไป...
“ช่วงนี้กลับกับพี่เบสตลอดเหรอครับ”
ขับออกจากลานจอดรถมาได้เพียงครู่ เบื้องหน้าคนกำลังจะเดินข้ามทางม้าลายเลยต้องหยุดจอด เลยเหมือนปล่อยโอกาสให้ร่างสูงได้เอ่ยบทสนทนาขึ้นมาอีกครั้ง
“อื้อ” ผมตอบแบบไม่ค่อยได้คิด เพราะจิตใจจดจ่ออยู่กับรถคันใหม่ของเกรท ถึงจะเล็กเกินกว่าไซส์เจ้าตัว แต่กลับขับสบายคล่องตัว เวลาเปลี่ยนเลนว่องไวราวกับสั่งได้ ผมชักจะปลื้มแล้วสิ
เท้าค้างอยู่แป้นเบรกยังคงมองหญิงสาวสองคนที่วิ่งกระหืบกระหอบตัดหน้าไป แล้วให้ได้เอะใจนึงถึงยัยต้ากับน้องผม ทำไมวันนี้เพื่อนน้องสาวตัวดีถึงมาโผล่ที่ศูนย์เรียนรวมได้ หรือว่าจะมีนัดกับพี่สิทธิ์ยืมหนังสือนิยายตามเคย
“ทำไมถึงมากลับด้วยกันล่ะครับ เมื่อก่อนเห็นอิมกลับรถไฟฟ้าตลอด แต่นี่เล่นนั่งรถพี่เบสกลับเกือบทุกวัน”
“สัญญากับเขาไว้น่ะ” ผมปล่อยขาให้รถออกตัวต่อ ขับด้วยสปีดที่กำหนดมาจนถึงประตูทางออกมหาวิทยาลัย ช่วงทางเดินที่ขับผ่านมาอาจดูเงียบเหงา แต่ถนนใหญ่กลับพลุกพล่านไม่เบา ผมเหยียบเบรกมองซ้ายมองขวารอให้เจ้าพวกสปีดเร็ววิ่งผ่านหน้าไปก่อน
“สัญญา? สัญญาอะไรครับ”
“ก็สัญญาว่า...” ช่วงจังหวะที่มองซ้ายกะระยะให้พ้นฟุตบาทกลับเห็นสายตาคมจดจ้องมาแบบโคตรตั้งใจฟัง มันแปลกพิลึก “ทำไมต้องสนใจขนาดนั้น แล้วก็ทำอย่างกับมาเฝ้าดูผมอยู่ตลอดน่ะ ทำไมถึงรู้ว่าผมกลับกับเบสทุกวัน” ต้องใช่แน่ๆ คนที่ผมเห็นวันนั้นคือเกรท ไม่งั้นเบสคงไม่มีอารมณ์เกรี้ยวกราดหัวเสียได้มากขนาดนั้นหรอก
“ถ้าไม่ให้สนใจตั้งแต่พรุ่งนี้ไปอิมต้องกลับกับผม”
“แล้วทำไมตั้งแต่พรุ่งนี้ไปผมต้องกลับกับคุณด้วยล่ะครับ ช่วยเล่าความสมเหตุสมผลให้ผมฟังหน่อยคุณคิรากร” คันเร่งเริ่มเหยียบแรงขึ้นเพื่อพุ่งตัวออกไป
“ผมยังขับไม่แข็ง”
“เหตุผลนี้ไม่ผ่าน ถ้าตราบใดที่คุณให้ผมขับตราบนั้นคุณก็ยังขับไม่แข็งอยู่ดี”
“ผมเจ็บเท้า”
“ผมเกิดมาเพื่อเป็นสารถีของคุณหรือไง เจ็บเท้าก็หยุดไป รอหายแล้วค่อยมา”
“ผมอยากกลับกับพี่”“...!”
“เหตุผลแค่นี้ พอมั้ยครับ”เกรทเรียกผมว่าอิมจนชินพอมาเจอดาเมจแววตาใสซื่อ และบทบาทอ้อนตีนของอดีตดาราเด็กผมเลยไปต่อไม่ถูก ปล่อยให้หน้าเห่อร้อนอย่างไร้สาเหตุต่อ
ปี๊นๆๆ
“อิม ไฟเขียวแล้ว”
“อะ...อื้อ”
ใจมันเหยียบเบรกห้ามล้ออยู่ มาบอกว่าไฟขงไฟเขียว ยังไม่ทันได้เตรียมตัวก็ต้องพุ่งไปด้านหน้าด้วยอาการเตลิด
“ตกลงอิมสัญญาอะไรกับพี่เบสไว้”
“บ...เบสมันบอกว่าถ้าปฏิเสธก็ขอแลกกับการกลับด้วย” สมาธิ ผมไม่มีสมาธิจริงๆนะระหว่างขับรถ เวลาโดนถามอะไรมักจะเผลอตอบไปแบบปกปิดไม่หมด
“ปฏิเสธ? ปฏิเสธอะไรครับ”
เอี๊ยดดดดดด!
เบรกหน้าทิ่ม ผู้โดยสารถึงกับตกใจเอามือยันคอนโซลรถ
“อิมเป็นอะ...”
“ถ...ถึงหอคุณแล้ว” ขอบคุณสวรรค์จริงๆที่หอไอ้ดารามันอยู่ใกล้ ไม่งั้นคงโดนสอบสวนไปถึงไหนต่อไหน เกรทกวาดตามองโดยรอบ เหมือนแปลกใจว่าทำไมมาถึงหอเร็วเกินคาด แตกต่างจากผมที่รีบเข้าเกียร์จอดปลดเข็มขัดนิรภัยเปิดประตูได้ก็กล่าวคำลา “ผมกลับก่อนนะ”
แค่ขับจอดอีกฝ่ายคงมีปัญญา ไม่ต้องมาลำบากผมแล้วล่ะ เหมือนจะได้ยินเสียงเปิดปิดประตูไล่จากด้านหลัง แต่คนออกตัวสตาร์ทก่อนย่อมได้เปรียบ
ผมกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาจนถึงป้ายรถเมล์ใกล้สุด นับเป็นโชคดีที่ไม่ต้องรอนานเพราะสายผ่านสถานีรถไฟฟ้ากำลังตะบึงห้อมาทางนี้ แต่สภาพดำทะมึนที่มองทะลุไม่ถึงท้ายรถ เห็นแล้วมันหวั่นๆจนใจอยากร้องตะโกนให้ก้องดัง ว่าทำไมตรูต้องมาเจอสงครามปลากระป๋องอีกแล้วฟระเนี่ย พอรถใหญ่จอดเปิดประตูคนแม่งแทบหลุดกรูกับออกมา
เชร้ดดดดดยัดไปได้ไงวะ
“ขึ้นเลยครับ ขึ้นเลย ไวไวเลยพี่” แต่ตอนนี้กูอยากกินมาม่า~
ฝืนถีบตัวเองขึ้นเบียดเสียดกับผู้คนจนเข้าอาณาเขตตัวรถ พนักงานเก็บสตางค์เอาแต่ตะโกนสั่งให้ชิดใน มึงดูบ้างมั้ยว่าข้างในมีรูให้กูชิดด้วยรึเปล่า นับว่ายังดีที่มีคนวิ่งขึ้นต่อหลังเลยโดนดันเบียดเข้าอัตโนมัติ ไม่เสี่ยงต่อการโดนจิกกัดว่าไม่ให้ความร่วมมือ
เสียงเหล็กแช่บๆ ค่อยๆดังไล่จากด้านหลัง โล่งใจฉับพลันเพราะวิ่งแบบไม่ทันเตรียมสตางค์ไว้ล่วงหน้า เดี๋ยวได้มีพนักงานมันด่ารอบสองว่าทำไมไม่เตรียมตังค์ก่อนขึ้นรถ ผมคลำมือตั้งใจคว้ากระเป๋าสะพายข้าง แต่บางอย่างทำให้ผมใจหาย
...ไอ้เหี้ย...กระเป๋า!! กระเป๋าสะพายข้างหายไปไหนวะ!!...
หมุนรอบตัวมองหาจนเกือบโดนคนแวดล้อมด่าว่าเบียดมาทำไม ชะโงกหน้ากวาดตาไปตามพื้นเผื่อว่าจะเผลอไผลตกไประหว่างเบียดผู้คนเข้ามา แต่กลับหาไม่เจอเลยสักนิด ฉิบหาย แล้วกูจะเอาอะไรจ่ายเขา ที่สำคัญผมเผลอทำกระเป๋าตกไปตอนไหน ข้างในมีแต่ของสำคัญ ไหนจะโทรศัพท์ มือถือ กระเป๋าสตางค์ อีกทั้งบัตรต่างๆนานา
แช่บแช่บแช่บ!!
เหี้ยมาถึงมาแล้ว! ผมหมุนตัวขวับหันหลังใส่กระเป๋ารถเมล์ งานนี้คงต้องเนียนปั้นหน้าแบบว่ากูจ่ายตังค์แล้วเท่านั้น
“ขึ้นใหม่ ส่งด้วยคร้าบ”
ผมขึ้นเก่าคร้าบ ขึ้นมานานสองนาทีแล้ว อย่าสังเกตเห็นกูเลยน้า
“พี่ขึ้นใหม่ป่ะเนี่ย ส่งด้วย”
ฉิบหาย!! ทำไมไม่มองผ่านตูไปเนี่ย!! พยายามโหนราวก็ว่าแย่อยู่แล้ว ยังต้องเบนหัวไปทางอื่นหลบสายตากระเป๋ารถเมล์ ส่วนคนขับก็เสี่ยโก๋มาเองเหยียบคันเร่งไปตามอารมณ์เพลงที่เปิด เพลินจนบางครั้งเบรกกะทันหันจนตัวโก่ง ทรมานร่างกายฉิบหายวายวอดเลยเว้ย!
“พี่คร้าบ ขึ้นใหม่ส่งด้วยน้า” จะถามถี่ขนาดนี้เอ็งอัดเสียงแล้วเปิดเป็นวีดิโอวนซ้ำให้มันรู้แล้วรู้รอดเลยเหอะ! “พี่คนนั้นน่ะ”
เฮือก!! สะดุ้งในจังหวะเดียวกับรถเบรก มือพลาดปล่อยหลุดจากราวจับตัวเซไปด้านหน้า งานนี้ไม่เหยียบตีนคนแวดล้อมจนโดนด่า ก็คงหน้าทิ่มพื้นเป็นแน่!!
หมับ!!
แต่แล้วบางอย่างกลับทำให้ประหลาดใจ ทั้งตัวไม่ล้มเอนเป็นพินลูกโบว์ลิ่งระเนระนาด แถมยังมีใครบางคนจับต้นแขนพยุงไว้แน่น
“พี่ครับ จะจ่ายป่ะ”
“บีทีเอสสองคนครับ”เสียงทุ้มนุ่มหูดังข้ามหัวไป เป๋ารถเมล์ตะโกนบอกราคาสี่สิบบาทก่อนฉีกตั๋วยื่นส่งให้ คนจ่ายตังค์รับมันมาไว้ในมือ แล้วหันไปตอแยคนอื่นต่อ
บ้าน่ะ เป็นไปไม่ได้...ต้องเป็นคนอื่นที่บังเอิญไปบีทีเอสขึ้นมาพร้อมกันสองคนแน่ๆ
“ก็ดีเหมือนกัน ยืนเกาะผมไปแบบนี้ ไม่ต้องโหนราวก็ได้” เป็นความจริงที่ไม่อยากรับรู้ แต่ถ้าไม่เงยหัวไปดูก็ไม่อาจรู้ถึงความเป็นจริง ผมชักหน้าขึ้นมอง และก็เป็นอย่างที่คิดไว้
“มาได้ไง”
“วิ่งตามมาครับ”
“ผมหมายความว่าทำไมต้องตามมาด้วย”
“ตามคนเอ๋อ คนเซ่อซ่ามา”
“ใคร?”
“เขียนไว้กลางหน้าผากเลยครับ” เจ้าตัวยกบางอย่างที่พาดไหล่โชว์ให้เห็นแวบๆ
“เฮ้ย กระเป๋าผม” มือจะฉวยกลับคืนมาแต่ทว่า
“ไม่ได้”
“เกรท!”
“ของที่ทำตกไว้ไม่มีชื่อเจ้าของ ก็ถือว่าคนเก็บได้เป็นเจ้าของ” เปิดมาดูบัตรประชาชนพิสูจน์เลยมั้ย พี่ไม่เข้าใจน้องเกรทเลยครับ!
“อยากได้ก็เอาไป” ถ้าลงไปได้คงมีแต่ต้องโกโฮมด้วยแท็กซี่แล้วไปเบิกตังค์แม่สินะ ผมยืนคิดแผนการต่อจากนี้ พื้นที่ที่เคยมีราวให้จับมันกลับไม่มีช่องให้แทรกแล้ว เลยมีแต่ต้องรับกรรมยืนตัวลีบไปกับคนข้างหน้า แต่รู้สึกจั๊กกะเดียมแปลกๆคงเป็นแขนที่โอบรอบเอวกระชับเสียดิบดีไม่มีเอนล้มเนี่ยสิ
“บีทีเอสคร้าบบบบ”
เหมือนได้กลับสู่อิสรภาพ หลังจากเบียดบู้บี้เป็นปลากระป๋อง พอแหวกผู้คนลงมาเดินด้านล่างได้เลยสูดอากาศหายใจให้เต็มปอดจนสะลักไอค่อกแค่ก
“คิดไงสูดควันท่อไอเสียเข้าปอดขนาดนั้นเนี่ย” มือใหญ่ลูบหลังผมปอยๆ เหมือนจะช่วยแต่กลับทำให้บริเวณผิวที่ต้องสัมผัสร้อนหนักกว่าเก่า ผมไม่คิดจะตอบอยู่แล้ว เดินสิบก้าวให้ห่างจากป้ายรถเมล์พอเห็นแท็กซี่ป้ายไฟเขียวจึงโบกไม่รีรอ แต่โชคร้ายโบกกี่รายกี่รายก็ไม่มีใครรับ น่าจะเป็นเพราะขากลับไม่คุ้มค่าไม่น่ามีคนเรียกแท็กซี่ล่ะมั้ง
“อิมเรียกแท็กซี่ทำไม” คนด้านหลังถาม หันไปทำตาค้อนขวับ
“ถามมาได้ ไม่มีตังค์วุ้ย!” ตอบรับแบบนี้ อีกฝ่ายมีแต่ยิ้มเหมือนคนบ้า ไปบ้าใกล้ๆตีนผมเลย เดี๋ยวบั๊ด หงุดหงิด กวนส้นว่ะ
“ให้เสี่ยเกรทเลี้ยงมั้ยล่ะ” ร่างสูงยกกระเป๋าสตางค์ชูขึ้นสูงแกว่งไปมาให้ผมเห็น หน้าตาคุ้นๆนะเราเหมือนกระเป๋าตังค์พี่ไม่มีผิด เออ...ของผมเอง ไอ้เด็กเกรทมันกวนประสาท เอามาแกว่งตรงหน้าผม
“ไม่เป็นไรครับที่บ้านมีฐานะ”
“ฐานะ? ฐานะอะไรครับ”
“ยากจน”
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า” น่าจะชินกับผมมาบ้าง ใช่ว่าช่วงหลังอยู่ด้วยกันแทบจะยี่สิบสี่ชั่วโมงแล้วจะสร้างภาพปั้นหน้านิ่งเป็นสิงห์อิมจอมโหดแบบใครเขาว่ากันได้ เกรทเลยมีโอกาสรู้จักมุมประหลาดของผมอยู่บ้าง
ผมถอนหายใจหนึ่งวืบ ก่อนตั้งหน้าตั้งตาหาแท็กซี่ใจดีไม่มีไปส่งรถต่อ
“เลิกโบกเถอะครับ”
“หรือจะให้ผมโบกหน้าคุณแทนล่ะ”
“เอาสิ ให้โบกด้วยปากนะ”
“ชาติหน้าเหอะ”
“ไป...ไปขึ้นรถไฟฟ้า” เกรทฉวยข้อมือผมไว้ก่อนทันได้โบกคันถัดไป
“ผมไม่มีบัตร”
“อยู่ในมือแล้วไงครับ”
มือ?
มือที่จับประสานกันแนบสนิทมีแผ่นแข็งๆแทรกตรงกลาง นี่ผมต้องเคลียร์ด่านไปเรื่อยๆถึงจะได้ไอเทมกลับบ้านมาหนึ่งอย่างใช่มั้ย
...เมื่อไรจะเกมโอเวอร์วะ...
…TBC…
+++++++++++++++++++++++
จากนี้จะเป็นการรีเทิร์นย้อนกลับไปเรื่อยๆค่ะ ตามชื่อเรื่องเลย
อาจจะมีเอ๊ะ อ๊ะ ตอนไหนหว่าสักเล็กน้อย...ขออภัยถ้าต้องย้อนไปเปิดดูค่า
ใครจะเจ้าเล่ห์กว่ากันระหว่างเกรทกับอิม555