4
“ใส่ปุ๋ยเพิ่มหน่อยก็ดีนะ” น้ำเสียงเรียบบอกคนงานที่กำลังจัดแจงตารางใส่ปุ๋ยในไร่ ใหญ่กลับมาเร่งทำงานเพราะเริ่มมีออร์เดอร์เข้ามาไม่ขาดสาย ดังนั้นช่วงนี้ต้องดูแลดอกไม้ให้ดีเพื่อให้ออกดอกและสวยที่สุด “แล้วก็นะ ช่วยดูตรงท้ายๆ หน่อย ดอกมันดูเล็กกว่าที่ควรจะเป็น” เมื่อสั่งงานเสร็จ ร่างสูงก็เดินข้ามแปลงมาเรื่อยๆ ก่อนจะได้ยินเสียงคนเรียกทำให้ต้องหันหลังไปมอง
“คุณใหญ่ครับ”
“มีอะไร”
“คือคุณเล็ก...” ชื่อของน้องชายหลุดออกมาจากปากคนงานทำให้พี่ชายต้องขมวดคิ้ว “ท้ายไร่นะครับ” ไม่ต้องบอกรายละเอียดก็รู้ดีว่าคนงานหมายถึงอะไร
เกือบสองวันมาแล้วที่เล็กดื่มเหล้าหนัก นั่นเพราะถูกภรรยาเก่าโทรมาเร่งเร้าจะเอาลูกชายไปเลี้ยงเอง ขายาวรีบเดินย้อนกลับไปยังท้ายไร่ กึ่งเดินกึ่งวิ่งมาจนครึ่งทางคนรีบหยุดหอบหนักเพราะความเหนื่อย ก่อนจะมีเสียงบางอย่างดังจากด้านข้าง อัษฎาที่กำลังปั่นจักรยานผ่านมาพอดีเหล่หางตามองเจ้าของไร่หน้าดุ ขาเรียวรีบปั่นให้ผ่านไปโดยไว แต่กลับถูกมือยาวยื่นมาดึงท้ายจักรยานไว้จนรถที่เร่งสปีดเกือบล้ม ยังดีที่คนปั่นใช้ขาค้ำยันไว้ทัน ใบหน้าขาวมุ่ยลงอย่างไม่พอใจ
“คุณใหญ่ทำอะไรเนี่ย ผมเกือบจะล้มแล้ว เดี๋ยวๆ” อัษฎาเบิกตากว้างเมื่อคนที่อุกอาจดึงท้ายรถขึ้นมาซ้อน “คุณใหญ่ทำอะไรเนี่ย”
“รีบๆ ปั่นไปท้ายไร่ อย่าพูดมาก” คำสั่งนิ่งๆ ออกจากปากทำให้คนอ้าปากจะว่าต้องงับลงและออกแรงปั่นพาคนซ้อนท้ายไปท้ายไร่ แต่เพราะคนตัวโตซ้อนด้านหลังทำให้แรงปั่นหดหาย “แรงมีแค่นี้เหรอวะ ลงๆ” ใหญ่ใช้ขายันที่พื้นเพื่อหยุดรถก่อนดึงแขนคนปั่นให้ลงแล้วตัวเองก็ขึ้นมาประจำที่คนปั่นเอง อัษฎารีบกระโดดซ้อนท้ายเมื่อเห็นว่าจะถูกทิ้ง แขนขาวรีบรวบกอดเอวคนปั่นไว้แน่นเมื่อรถออกตัวอย่างเร็ว
“คุณใหญ่จะรีบไปไหนเนี่ย เหวอ” ทางลงลาดชันอัษฎายิ่งเพิ่มแรงกอดรัด หน้าขาวซบกับแผ่นหลังกว้างจนได้กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ เตะจมูก
คนปั่นที่ไม่สนใจคนซ้อนเท่าไหร่ ปั่นได้ก็เร่งความเร็วจนมาถึงสถานที่ๆ คนงานบอกไว้ อัษฎาทำหน้างงงวยเมื่อใหญ่รีบลุกออกไปและตรงไปที่เพิงพักสำหรับคนงานเฝ้าไร่ หน้าบึ้งตึงคล้ายกับโมโหยามเปิดประตูไปเห็นน้องชายกำลังนอนกอดขวดเหล้าเอาไว้ ท่าทางเหม่อลอยจนต้องตบแก้มเรียกสติ
“ไอ้เล็ก มีสติหน่อย”
“พี่ใหญ่” เล็กละเมอเรียกพี่ชายออกมา ดวงตายังล่องลอยเพราะความเมา “ผมไม่ดีตรงไหนแคทถึงทิ้งผมไป”
“มีสติหน่อย” ใหญ่พยายามเรียกน้องชายตัวเองที่พร่ำเพ้อพรรณนาถึงภรรยาเก่า แม้ตัวเขาเองจะเคยเป็นแบบนี้สมัยภรรยาเสียแต่ไม่นานก็กลับมาตั้งตัวใหม่ได้
“คุณใหญ่ ผมว่าพาคุณเล็กกลับก่อนเถอะครับ ขืนปล่อยไว้มีหวังยุงหามพอดี” อัษฎาที่เดินตามมาออกความคิดเห็น
“ไอ้เล็กกลับบ้าน ลุกขึ้น” ใหญ่หิ้วปีกน้องชายให้ยืน แต่คนเมาไม่ให้ความร่วมมือทำให้คนดึงแทบเซล้ม ยังดีที่อัษฎารีบเข้าไปพยุงช่วย จากนั้นสองแรงแข็งขันก็หิ้วแขนคนเมาคนละข้าง กว่าจะถึงเรือนก็ทำล้าไปทั้งตัว ทันทีที่เท้าเหยียบขึ้นเรือน นมอิ่มรีบวิ่งเข้ามาหาพร้อมกับสาวใช้อีกสองคนด้วยความตกใจเมื่อเห็นสภาพคนที่ถูกหิ้วกลับมา
พอพาคนเมาไปนอนในห้องได้ ใหญ่ก็จัดการเอาผ้าที่นมอิ่มยื่นให้เช็ดตัวน้องชายที่ไร้สติ มือคนเมาปัดป่ายจนคนเป็นพี่โมโห นมอิ่มเห็นท่าทางแล้วนึกกลัวเลยอาสาทำให้
“นมว่า คุณเล็กเธอชักจะหนักขึ้นทุกวันแล้วนะคะ” เป็นอย่างที่นมอิ่มว่าจริงๆ ใหญ่ถอนหายใจเฮือก ครั้งแรกที่น้องชายเคยติดเหล้า เขาสติหลุดเผลอต่อยหน้าจนคว่ำ ครานั้นถูกแม่โกรธหนักกว่าจะยอมพูดดีด้วยก็กินเวลาหลายวัน มาคราวนี้เขาละกลัวจะยั้งความโกรธไว้ไม่อยู่ซะจริง
“ผมก็เบื่อสภาพของมันเต็มทน” พูดจบก็เดินออกไป อัษฎายืนอยู่ที่กรอบประตูมองตามร่างสูงออกจากห้องไป ตอนขากลับจากท้ายไร่ สายตาของใหญ่ที่มองน้องชายเต็มไปด้วยความห่วงใย แม้จะทำตัวแข็งกร้าวดูไม่สนใจ แต่ที่จริงแล้วคงเป็นห่วงมากทีเดียว พวกปากแข็งแต่ใจอ่อน
“อัด ดูคุณเล็กให้แม่หน่อยนะ เดี๋ยวแม่ไปข้างนอกแป๊บหนึ่ง” นมอิ่มปรายตามองร่างที่นอนนิ่งบนเตียงก่อนจะเดินออกจากห้องไป ทิ้งให้อัษฎานั่งลงข้างเตียงแทนที่
“คุณเล็กกำลังทำให้พี่ชายและคนอื่นๆ เป็นห่วงอยู่นะครับ”
“แคท ผมไม่ยอมให้คุณไป” เสียงละเมอดังออกจากปากคนเมา มือยาวปัดป่ายไปทั่วจนคนนั่งเฝ้าสะดุ้งเมื่อถูกดึงแขน อัษฎาพยายามดึงแขนตัวเองให้ออกจากการจับ “แคท”
“ผมไม่ใช่ครับ ผมอัด คุณเล็ก”
“แคท”
อัษฎาพยายามยื้อยุดจนเกือบหมดแรง โชคยังดีที่ใหญ่ย้อนกลับมาเอาหมวกที่วางทิ้งไว้ พอเห็นคนตัวผอมทำท่าจะเซไปทับร่างน้องชาย มือใหญ่ก็รีบดึงแขนอีกข้างไว้แล้วออกแรงดึงให้กลับมา ร่างที่หลุดออกมาปะทะกับอกแกร่งจนหน้าผากมนกระแทกเข้าที่คางแหลมเสียงดัง คนเจ็บสองคนยกมือคนลูบในส่วนของตัวเองป้อยๆ
“เจ็บ” อัษฎาพูดหน้านิ่ว มือลูบหน้าผากตัวเองไปมา
“ฉันเจ็บกว่าอีก อูย คางแตกหรือเปล่าเนี่ย” คนที่เจ็บน้อยตวัดสายตามอง “จ้องแบบนั้นจะหาเรื่องหรือไง คนมาช่วยแท้ๆ กลับเจ็บตัวฟรี”
“ผมไม่ได้ขอให้ช่วยสักหน่อย” บอกพลางเชิดหน้าขึ้นสร้างความหมั่นไส้ให้คนที่เห็น
“หาว่าฉันยุ่งเองหรือไง”
“ใช่”
“นี่นาย...” กำลังจะตอบกลับ พอดีกับนมอิ่มเดินเข้ามาพอดี ใหญ่เลยได้แต่ชี้หน้าคาดโทษไว้
หลังจากใหญ่ออกไปแล้ว นมอิ่มมองท่าทางของลูกชายที่ทำปากขมุบขมิบตามหลัง เมื่อตะกี้เธอได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ตั้งแต่ลูกชายถูกเล็กดึงแขนและใหญ่มาช่วย ยิ่งได้ฟังคำบอกเล่าจากคุณพิกุลเกี่ยวกับอาการของสองคนนี้ที่รีสอร์ทยิ่งทำให้คิดหนัก
“อัดไปทำงานก่อนนะครับ เดี๋ยวมีคนกล่าวหาว่าอู้อีก”
“จ้ะ”
เมื่อไม่มีใครอยู่แล้ว นมอิ่มรีบต่อโทรศัพท์ถึงคุณพิกุลทันที รายละเอียดเกี่ยวกับลูกชายคนเล็กถูกรายงานตามที่เห็น ส่วนลูกชายคนโต นมอิ่มต้องขอให้คุณพิกุลมาพูดเอง
“คุณนายว่า คุณใหญ่จะยอมหรือคะ” นมอิ่มถามปลายสายอย่างไม่มั่นใจ
(ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ต้องลองดู) คุณพิกุลตอบกลับ (เดี๋ยวเย็นนี้ฉันจะเข้าไปพูดเอง)
วางสายไปแล้วแต่นมอิ่มยังถือหูโทรศัพท์ค้างไว้ ดวงตามองไปที่ร่างไร้สติกำลังละเมอเพ้อพกถึงภรรยาเก่าไม่ขาดสาย ช่างน่าสงสารซะจริงคุณเล็กของนมอิ่ม
“คางไปโดนอะไรมาน่ะ” คุณพิกุลเลิกคิ้วมองใบหน้าลูกชายคนโตที่ปลายคางดูแดงเด่นชัด
“อุบัติเหตุนิดหน่อย ว่าแต่น้องสร่างเมาแล้วเหรอครับ” ใหญ่เอ่ยถามแม่ที่เข้ามาดูอาการเล็กตั้งแต่บ่ายคล้อย วันนี้มีงานเร่งทำให้ต้องกลับค่ำกว่าปกติ
“ยัง แม่เห็นเล็กเป็นแบบนี้ล่ะกลุ้มใจจริงๆ”
“ให้เวลามันหน่อยก็คงดีขึ้นเองผมว่า”
“แม่ก็หวังให้มันเป็นแบบนั้น”
ผ่านพ้นมื้อค่ำไปแบบเรียบๆ คุณพิกุลเรียกลูกชายคนโตไปที่ชานเรือน วันนี้ตั้งใจจะพูดในสิ่งที่คิดไว้ แม้ไม่รู้ว่าลูกชายจะตอบรับหรือปฏิเสธ แต่สภาพลูกชายคนเล็กนั้นจะปล่อยทิ้งไว้ก็คงไม่ได้ ทันทีที่สองแม่ลูกนั่งลงที่เก้าอี้ คุณพิกุลถึงกับถอนหายใจออกมา
“แม่มีอะไรหรือเปล่าครับ หรือว่าเรื่องเจ้าเล็ก” เพราะท่าทางของแม่ดูกังวลหนักเลยเดาเรื่องที่หนักใจได้ไม่ยาก “เรื่องที่แม่คุยกับผม คือเรื่องที่แม่พูดค้างไว้เมื่อวันนั้นใช่หรือเปล่าครับ”
“ใหญ่ แม่ไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหนดี” ความสับสนจนยากจะพูดออกมา “เรื่องคำทำนาย”
“ผมว่ามันไร้สาระนะครับ” คิ้วดำขมวดจนเป็นปมเมื่อนึกถึงคำทำนายที่แม่เคยเล่าให้ฟัง ไม่ใช่จะไม่เชื่อ แต่มันดูไร้สาระจริงๆ นั่นแหละ “คำพูดของหมอดูหมอเดา ผมว่ามันไม่ค่อยน่าเชื่อถือนะครับ”
“แต่ใหญ่ก็เห็น ว่าทุกอย่างมันเกิดขึ้นจริง ทั้งใหญ่หรือว่าเล็ก” คำแย้งของแม่ทำให้ใหญ่เถียงไม่ออก “จะมีทั้งจากเป็นและจากตาย ใหญ่...แม่ไม่ได้จะงมงายเชื่อหรอกนะ แต่มันเกิดขึ้นจริงอย่างที่ลูกเห็น”
“แล้วมีทางแก้ไขไหมครับ”
“ใหญ่ทำเพื่อน้องได้ไหมลูก แม่ไม่รู้ว่า ถ้าทำไปแล้วจะเกิดผลอะไรตามมา แต่ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรแล้วปล่อยให้มันเป็นแบบนี้” คุณพิกุลพูดน้ำเสียงเครือสะอื้น “ยิ่งตอนนี้เล็กกลับมาดื่มเหล้าหนักอีก แม่แทบจะทนไม่ไหว”
“แม่ครับ” ใหญ่ยื่นมือโอบร่างบอบบางของแม่ “ผมต้องทำยังไงครับ” ยิ่งเห็นแม่ทุกข์ใจเขาก็ยิ่งทนไม่ไหว จนต้องถามออกไป
“เรื่องคู่”
“คู่?”
“หมอดูทำนายว่า หนึ่งในสองต้องมีคู่ที่ผิดแปลก”
“ผิดแปลกที่ว่า คือให้ผมแต่งงานกับเพศที่สามน่ะหรือครับ ผมทำไมได้หรอก” พอได้ยินก็รีบปฏิเสธเสียงแข็งทันที เพราะเป็นชายแท้และชอบผู้หญิง อยู่ๆ จะให้ไปแต่งงานกับเพศที่สามแบบนั้นคงทำไม่ได้
เมื่อลูกชายคนโตยืนยันเสียงหนักแน่นว่าทำไมไม่ได้ คุณพิกุลก็ปล่อยโฮออกมา หากไม่ทำตามคำที่ว่า เธออาจจะเสียลูกชายคนเล็กไปจริงๆ
“แม่เข้าใจแล้ว ใหญ่ไม่ต้องฝืนใจ เรื่องตาเล็ก เดี๋ยวแม่จะลองปรึกษาจิตแพทย์ดูว่าจะช่วยอะไรได้บ้าง” ความทุกข์ใจที่ได้เห็นไม่สามารถทำให้ใหญ่คลายปมขมวดของคิ้วได้ “ไปนอนเถอะจ้ะ แม่อยากนอนเต็มแก่แล้ว”
“เดี๋ยวครับแม่” ใหญ่รีบรั้งแม่ไว้ทันก่อนที่จะลุกออกไป ริมฝีปากเม้มเข้าหากันอย่างสับสน แต่พอเห็นน้ำตาของแม่กับความทุกข์ใจของน้องแล้ว ใหญ่ก็ปล่อยผ่านไม่ได้ “ผมต้องทำยังไง” ในที่สุดก็กลั้นใจถามแม่ของออกไป ครั้นพอได้ยินใหญ่ถาม คุณพิกุลถึงกับผุดรอยยิ้มบางๆ ออกมา
“ใหญ่ นี่ลูก”
“ครับ แต่ที่ผมทำก็เพราะแม่ ต่อไปอย่าร้องไห้อีกนะครับ” มือกร้านเพราะทำงานหนักยื่นไปเช็ดคราบน้ำตาบนแก้มของแม่ “แม่จะให้ผมไปหาคู่จากที่ไหน ผับหรือบาร์อย่างงั้นหรือ” เรื่องคู่นั้นช่างมืดมนซะจริงๆ ไม่รู้ว่าจะถูกใจไปได้ยังไง
“ก็ตาอัด ลูกชายนมอิ่ม” พอได้ยินคนที่แม่บอก ใหญ่ถึงกับสำลักน้ำลายจนต้องหาน้ำดื่มแทบไม่ทัน พออาการสำลักดีขึ้น ร่างกำยำก็กลับมาทิ้งตัวนั่งข้างแม่ตามเดิม
“แม่พูดล้อเล่นใช่ไหมครับ เด็กนั่นกับผมเนี่ยนะ” ช่างน่าขันซะจริง เกลียดขี้หน้าตั้งแต่แรกเห็น แล้วอยู่ๆ จะให้มากินนอนฉันสามีภรรยา
“ไม่ได้ล้อเล่น ลูกชายนมอิ่มเขาไม่ได้ชอบผู้หญิง”
“แม่รู้ได้ยังไงว่าเด็กนั่นไม่ชอบผู้หญิง” แม้รูปร่างจะดูบอบบางเฉกเช่นผู้หญิง ที่ท่าทางยังดูเป็นผู้ชายที่ดูยังไงก็ไม่เหมือนเพศที่สาม
“นมอิ่มเป็นคนบอกกับแม่เอง อีกอย่าง ที่เขามาที่นี่เพราะถูกแฟนที่เป็นผู้ชายหลอก”
“เหอะ เห็นไร่ของผมเป็นสถานสงเคราะห์คนอกหักหรืออย่างไรกัน” อดที่จะแขวะไม่ได้ “แล้วเขาจะยอมเหรอครับ”
“นมอิ่มน่าจะคุยอยู่ ถ้าเราจัดการไว เผื่ออะไรๆ มันจะดีทันตา”
“ผมก็ยังไม่อยากจะเชื่ออยู่ดี”
“แม่กำลังล้อเล่นอยู่ใช่ไหม ให้อัดเนี่ยนะ แต่งงานกับคุณใหญ่” ครั้งแรกที่ได้ยินก็เกือบทำจานหลุดร่วง ยังดีที่ประคองสติได้
“แม่ไม่ได้ล้อเล่น อัด คุณพิกุลเป็นผู้มีพระคุณต่อครอบครัวของเรา ถ้าไม่มีท่าน ทั้งแม่หรืออัดคงไม่ได้มาอยู่สุขสบายเช่นตอนนี้”
“แม่บอกอัดมาตลอดจนจำขึ้นใจแล้ว” ว่าเสร็จก็ต้องนิ่วหน้าเมื่อถูกหยิก
“เรานี่นะ”
“คุณใหญ่เขาจะยอมเหรอ เขาเกลียดขี้หน้าอัดจะตาย” อัษฎาเบ้ปากเมื่อนึกถึงใบหน้าเรียบเฉยของเจ้าของไร่คนโต
“แม่ก็ไม่รู้ ว่าแต่อัดเถอะ”
“ผม...ทำไมเหรอครับ”
“ก็เรื่องที่แม่เล่า อัดคิดว่าไงละลูก”
เรื่องคำทำนายเมื่อนานมาแล้วมันช่างไร้สาระและไม่น่าเชื่อถือสักนิด แต่จะไม่เชื่อเลยก็คงไม่ได้เพราะเหตุการณ์กลับเกิดขึ้นจริง ทั้งเรื่องภรรยาของใหญ่เสียชีวิตและการพลัดพรากจากเป็นของคู่ชีวิตคู่ของเล็ก
“แรกๆ ที่ได้ยินผมไม่เชื่อ แต่พอคิดๆ ดู มันก็...” เริ่มอธิบายความรู้สึกไม่ได้ จะบอกว่าเชื่อสนิทใจก็ไม่ได้ ไม่เชื่อก็คงไม่ได้อีก งั้นเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งคงดีที่สุด
“คุณใหญ่แกเป็นคนอารมณ์ร้อน แต่ที่จริงแกใจดีมากนะ เป็นที่รักของคนงานที่นี่ทุกคน” อัษฎายู่ปากเมื่อได้ยินคำเยินยอออกจากปากแม่ “อัดของแม่ก็เป็นคนน่ารัก ร่าเริง”
“ชมอีกหน่อยผมจะลอยแล้วนะครับ” เสียงหัวเราะของลูกชายทำให้นมอิ่มเหยียดยิ้มบางๆ “คุณใหญ่ของแม่เป็นคนดีอัดก็พอรู้ แต่ปากเขาเสียอันนี้แหละที่อัดไม่ชอบ ถ้าต้องให้อัดแต่งงานด้วย มีหวัง ฆ่ากันตายพอดี”
“ไม่หรอกน่า” น้ำเสียงไม่ได้จริงจังของลูกชายเริ่มคลายกังวลว่าจะปฏิเสธ “อัดตกลงใช่ไหมลูก”
“คุณใหญ่เขาไม่ตกลงหรอก อัดพนันได้เลย”
“เรื่องนั้นต้องรอคุณนายเขาอีกที ตอนนี้คงกำลังคุยอยู่” นมอิ่มเหม่อมองออกไปด้านนอก ป่านนี้ไม่รู้จะคุยกันไปถึงไหน ไม่แน่ อาจจะเป็นอย่างที่ลูกชายเธอว่า คุณใหญ่อาจไม่ยอมและปฏิเสธหัวชนฝาไปแล้ว
เช้าวันรุ่งขึ้น อัษฎาปรือตาตื่นขึ้นมา สิ่งแรกที่เห็นคือเพดานสีขาว ร่างบางลุกขึ้นนั่งแล้วบิดขี้เกียจอย่างเช่นทุกวัน หากแต่วันนี้มีบางอย่างที่ต่างออกไป เมื่อเก้าอี้หน้ากระจกมีคนนั่งหน้าบึ้งอยู่ คนเพิ่งตื่นนอนตกใจจนแทบหล่นจากเตียงนอน
“คะ คุณใหญ่” ยิ่งกว่าเห็นผีซะอีก
“ตื่นสาย” น้ำเสียงเรียบเฉยกับดวงตานิ่งที่มองตรงมายังคนที่ยังนั่งจุมปุ้กอยู่บนเตียง “รีบไปอาบน้ำแปรงฟันสิ แล้วขึ้นไปข้างบน เขารอนายอยู่แค่คนเดียว” คำสั่งกลายๆ ทิ้งท้าย ก่อนคนสั่งจะเดินออกจากห้องไป อัษฎารีบลุกออกมาเกาะกรอบบานประตูที่เปิดทิ้งไว้แล้วต้องสะดุ้งเมื่อคนที่เพิ่งเดินออกไปหันกลับมามอง
ใช้เวลาอาบน้ำแปรงฟันทำธุระแบบเร่งรีบจนลืมเช็ดผมให้แห้ง อัษฎาวิ่งขึ้นไปบนเรือนเจอกับแม่ที่ยืนอยู่ข้างคุณพิกุล ทุกสายตามองตรงไปยังคนมาสายที่ผมยังเปียกโชก
“รีบมากใช่ไหมเราน่ะ ผมเผ้าไม่เช็ดให้แห้ง” คุณพิกุลเอ็ดเบาๆ คนถูกเอ็ดโค้งศีรษะเชิงขอโทษ “นั่งสิ”
“ครับ” อัษฎามองหน้าแม่แป๊บหนึ่ง เมื่อได้รับการพยักหน้าจึงยอมนั่งลงตรงข้ามกับใหญ่
“นมอิ่มมานั่งข้างฉันมา” คุณพิกุลยังตบที่นั่งข้างๆ ให้คนสนิทมานั่งด้วย เมื่อถึงเวลา เจ้าของบ้านก็เริ่มเปิดประเด็นทันที “สรุปว่า ตกลงกันทั้งสองฝ่ายสินะ” ไม่มีเสียงตอบรับให้ได้ยิน แต่ก็ไม่มีคำปฏิเสธให้เห็นเช่นกัน “นมอิ่มก็ไม่ขัดใช่ไหมที่ฉันจะสู่ขอตาอัดให้กับตาใหญ่”
“ค่ะ” รอยยิ้มอบอุ่นอย่างที่อัดเห็นเช่นทุกวันฉายขึ้นบนใบหน้า อัษฎาลอบสังเกตคนที่นั่งตรงกันข้ามซึ่งไร้ท่าทางขัดข้องอย่างแปลกใจแต่ก็ไม่กล้าถามออกมา “คุณใหญ่คงไม่รังเกียจลูกชายของดิฉันใช่ไหมคะ ตาอัดแกเป็นเด็กเอาแต่ใจเพราะดิฉันตามใจเกินไปหน่อย หากคุณใหญ่จะช่วยปรามแก...”
“แม่...” พอได้ยินแม่พูดออกมา อัษฎาก็ต้องรีบขัดขึ้น
“ตาใหญ่ยิ่งกว่าเอาแต่ใจอีกนะนมอิ่ม” คุณพิกุลพูดบ้าง คราวนี้พากันหัวเราะเกือบหมด ยกเว้นคนที่ถูกยกว่าเอาแต่ใจมากกว่า “งั้น พรุ่งนี้ก็พาน้องไปเลือกแหวนที่ร้านในตัวเมือง เลือกเสร็จก็แวะไปพบคุณทัศนัยด้วย แม่ส่งรายละเอียดให้เขาแล้ว” คำสั่งกลายๆ ทำให้เห็นท่าทางขัดใจบ้างจากคนตรงหน้า อัษฎาเลือกที่จะจ้องหน้าอย่างไม่เกรงกลัว
“แล้วฤกษ์ล่ะคะคุณ”
“ฉันให้พระดูฤกษ์ไว้แล้ว ฤกษ์ดีใกล้ๆ นี้ก็อาทิตย์หน้า” กำหนดการที่กะทันหันทำเอาใหญ่และอัษฎาเบิกตากว้าง ทำไมฤกษ์มันถึงกระชั้นชิดเช่นนี้ ทั้งๆ ที่ควรจะให้เวลาทำใจอีกสักหน่อย
“ไม่เร็วไปหรือครับแม่” ใหญ่ทักท้วงขึ้นมา “อาทิตย์หน้าเราจะไปเตรียมงานทันได้ยังไง” เพราะเคยผ่านการแต่งงานมาก่อน อีกทั้งงานที่ผ่านมายังใช้เวลาตระเตรียมร่วมหลายเดือน
“ไม่เร็วไปหรอก เราจะจัดงานเล็กๆ ผูกข้อไม้ข้อมือ แล้วก็ทำบุญพระก็เท่านั้น” นมอิ่มลอบมองเจ้านายที่บอกรายละเอียดได้อย่างถี่ถ้วน คงคิดเรื่องงานก่อนหน้ามาหลายวันแล้วกระมัง อย่างฤกษ์งามยามดีก็ด้วย ไปดูไม่บอกไม่กล่าว
“เอ่อ...” คราวนี้เป็นอัษฎาที่ขัดขึ้น
“มีอะไรหรือเปล่าจ๊ะ” พอถูกสายตาสามคู่มองมา คนที่จะพูดก็รีบส่ายหน้าปฏิเสธ ก็ใครจะไปกล้าท้วงอยากขอเวลาทำใจกัน “งั้นตกลงตามนี้นะ พรุ่งนี้พาน้องเข้าเมืองแต่เช้าด้วยล่ะ” เมื่อถูกชี้นิ้วสั่ง ใหญ่จึงต้องพยักหน้าลงอย่างช่วยไม่ได้ ก็ออกตัวจะยอมแต่งงานเพื่อให้น้องชายสมหวัง หากคำทำนายบ้านั่นไม่ทำให้ชีวิตของเล็กดีขึ้นละก็ จะไปเผาบ้านหมอดูให้วอดเลยทีเดียว
“คุณเล็กขา ตื่นได้แล้วค่า ลูกเจี๊ยบจะไม่มีเสียงอยู่แล้ว คุณเล็กขา” เสียงแหลมเล็กดังจนแสบแก้วหู แต่คนที่ยังนอนอยู่กลับไม่มีท่าทีว่าจะตื่นแต่อย่างใด “คุณเล็กขา” คราวนี้ไม่ได้มาแค่เสียง แต่ลูกเจี๊ยบยังเปิดผ้าม่านให้แสงแดดส่องเข้ามา อีกทั้งยังเพิ่มเสียงตะโกนให้ดังขึ้นไปอีก
“หนวกหู” สุดท้ายคนที่นอนหลับก็ต้องลุกขึ้นมานั่ง สภาพผมเผ้ายุ่งเหยิงจนแทบดูไม่ได้ เสื้อผ้าที่สวมใส่หลุดลุ่ยโดยที่เจ้าตัวไม่ใส่ใจ “เอะอะทำไมตั้งแต่เช้าเนี่ย คนจะหลับจะนอน”
“เช้าที่ไหนกันคะ นี่มันจะเที่ยงแล้ว คุณเล็กเมาแล้วชอบตื่นสายตลอด” เมื่อถูกเสียงแหลมบ่น คนเพิ่งตื่นถึงกับยกมือขยี้ผมตัวเองไปมา “แล้วก็ เพราะคุณเล็กตื่นสายแบบนี้เลยพลาดข่าวดีไปอย่างน่าเสียดาย” ลูกเจี๊ยบพูดไปยิ้มไปสร้างความสงสัยให้คนตกข่าว
“ข่าวดีอะไร” หรือจะเรื่องส่งออก นั่นเขาก็รู้แล้วไม่น่าจะใช่ข่าวดี หรือว่าม้าที่เลี้ยงไว้ในคอกท้ายไร่ออกลูก แต่ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ ก็ในเมื่อตัวเมียเพิ่งออกลูกไปได้ไม่นาน
“ข่าวดีที่ว่าคือ...คุณใหญ่กำลังจะแต่งงานกับพี่อัดน่ะสิคะ”
“ก็แค่...หา พี่ใหญ่จะแต่งงาน กับใครนะ”
“กับพี่อัดค่ะ พี่อัดลูกของนมอิ่ม”
คล้ายกับถูกตีด้วยไม้หน้าสามจนมึน เล็กนั่งอยู่บนเตียงด้วยความเหม่อ นี่เขาได้ยินได้ฟังไม่ผิดใช่ไหม พี่ใหญ่พี่ชายของเขากำลังจะแต่งงานอีกครั้ง ยิ่งไปกว่านั้นคือแต่งงานกับลูกของนมอิ่มซึ่งเป็นผู้ชาย ไม่น่าเชื่อ ต้องล้อเล่นอยู่แน่ๆ ไม่มีทางเชื่อ
“อย่ามาพูดเล่นแบบนี้นะลูกเจี๊ยบ ฉันไม่ชอบ” เล็กบอกเสียงเข้ม แต่เด็กสาวยังยืนกรานว่าคือเรื่องจริง “ฉันไม่เชื่อ” ว่าแล้วก็รีบลุกจากเตียงไปที่ประตู หากไม่มีแรงที่ดึงชายเสื้อไว้คงพุ่งออกนอกประตูไปแล้ว “ดึงทำไมเนี่ยลูกเจี๊ยบ”
“คุณเล็กยังออกไปแบบนี้ไม่ได้ค่า” แรงที่น้อยนิดเมื่อเทียบกับผู้ชายตัวใหญ่เกือบทำให้ลูกเจี๊ยบล้ม
“ฉันจะไปหาพี่ใหญ่ ปล่อย”
“คุณเล็กยังไม่ได้อาบน้ำแปรงฟันเลย ตอนนี้ตัวเหม็นสุดๆ”
“จริงด้วย ฉันลืมไป”
ร่างสูงใหญ่ย้อนกลับเข้าห้อง ข้าวของถูกรวบขึ้นแล้วตรงเข้าห้องน้ำทันที ทิ้งให้คนปลุกส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจ คนขี้เมายังไงก็คือคนขี้เมา
ใช้เวลาไม่นานเล็กก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งมาหาพี่ชายตัวเองในไร่ ร่างคุ้นเคยยืนคุยอยู่กับลุงเหมือนหัวหน้าคนงาน เมื่อใหญ่หันมาเจอน้องชายตัวเองในสภาพที่ดูดีกว่าตอนนอนก็นึกชมลูกเจี๊ยบที่ทำงานได้ดี
“ออกมาได้แล้วหรือแกน่ะ” ใหญ่พูดแขวะทันทีหลังจากลุงเหมือนเดินแยกตัวไป เป็นจังหวะดีที่เล็กจะถามพี่ชายเรื่องที่ได้ยินมาจากลูกเจี๊ยบ
“พี่ใหญ่จะแต่งงานจริงๆ เหรอ กับลูกนมอิ่มน่ะ” คำถามที่ได้รับคำตอบคือการพยักหน้า เล็กแทบเซเมื่อเห็นพี่ชายไม่โวยวายอะไรอย่างที่ควรจะเป็น “นี่พี่ใหญ่จะแต่งงานกับผู้ชายด้วยกันเองเหรอครับ”
“มันเรื่องของฉัน แกควรสนใจเรื่องของแกมากกว่า ไปทำงานซะ” คำสั่งเฉียบขาดพร้อมสายตาดุทำให้คนที่มีความสงสัยเต็มหัวต้องหยุด เล็กมองตามหลังพี่ชายที่เดินห่างออกไป หรือว่าที่แต่งงานเพราะเขา
ความสงสัยที่มีมากทำให้ลืมมองทางจนเผลอเดินชนกับคนที่เดินสวนมา เล็กรีบเอ่ยคำขอโทษแต่พอเห็นว่าชนใครเข้าก็รีบคว้าแขนทั้งสองข้างคนนั้นแล้วเขย่า
“นายจะแต่งงานกับพี่ใหญ่เป็นเรื่องจริงเหรอ ล้อเล่นฉันอยู่ใช่ไหม”
“คุณเล็กผมเจ็บ” อัษฎานิ่วหน้าพยายามงัดแงะมือหนาให้ออกจากแขน พอคนจับได้สติก็รีบปล่อยและเอ่ยคำขอโทษ “ที่ผมแต่งงานกับคุณใหญ่คือเรื่องจริง”
“ทำไมต้องแต่ง”
“คุณเล็กต้องไปถามคุณนายเอาเองครับ แล้วก็ คุณเล็กต้องเซ็นต์เอกสารด้วย ผมเอาไว้บนโต๊ะ เอกสารต้องใช้ด่วนนะครับ” อัษฎาย้ำจนคนเกเรไม่ยอมเข้างานต้องเบือนหน้าหนี
“รู้แล้วน่า” เล็กว่าแล้วก็เดินไปทางออฟฟิต อัษฎายืนมองคนที่เดินไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย ทุกคนต่างก็หาทางทำให้เล็กมีชีวิตที่ดีขึ้น แต่จะให้ดีกว่านี้ถ้าเจ้าตัวทำตัวเองให้ดีตาม
“มายืนอู้อะไรแถวนี้ ไม่ไปทำงานของตัวเอง” เสียงเรียบๆ ดังในระยะใกล้ พอหันไปมองก็เจอคนปั้นหน้ายักษ์ยืนอยู่ข้างๆ
“ผมไม่ได้ยืนอู้นะครับ” อัษฎาเถียง
“ก็ฉันเห็นนายยืนเฉยๆ ไม่ไปทำงาน นี่แหละคืออู้”
“ผมไม่ได้ยืนเฉยๆ ผมกำลังหายใจอยู่นี่ไง ไปดีกว่า”
“นี่นาย...”
อยากจะด่าใจแทบขาด แต่ตัวต้นเหตุเดินไปไกลแล้ว ใหญ่ได้แต่เตะเศษหญ้าเพื่อระบายความโมโหที่ถูกกวนอารมณ์ แล้วแบบนี้การแต่งงานที่จะเกิดขึ้นเขาจะทนได้นานสักแค่ไหน ยิ่งเห็นคนที่เดินจากไปหันหน้ามาแลบลิ้นใส่ยิ่งอยากจะวิ่งไปตบกะโหลกแรงๆ สักทีสองที นี่เขาไม่น่ากลัวอีกแล้วหรืออย่างไรกัน เด็กนั่นถึงกล้ากวนโมโหขนาดนี้ เอาเถอะ ผ่านช่วงเวลานี้ไปก่อน เด็กนั่นจะได้รับรู้ถึงความน่ากลัวของเขาที่แท้จริง
...TBC