สวัสดีค่ะทุกคน ก่อนอื่นเลยต้องขออภัยคนอ่านทุกคนนะคะ ที่หายไปแบบไม่บอกกล่าว งานยุ่งมากจริงๆค่ะ เหนื่อยมากและเพลียมากจึงหายไปแบบไม่ได้บอกอะไรเลย ขอโทษอีกครั้งนะคะ ตอนนี้กลับมาแล้วค่ะและอาจจะมีเหตุการณ์แบบนี้มาเป็นครั้งคราวนะคะ เนื่องจากงานของเราเป็นงานเกี่ยวกับนักท่องเที่ยว ซึ่งช่วงเวลานี้เป็นช่วงฤดูการท่องเที่ยวค่ะ เลยงานยุ่งเป็นพิเศษ แต่สัญญาว่าจะลงจนจบแน่นอน จะพยายามรักษาความสม่ำเสมอและตรงเวลาให้มากกว่านี้นะคะ ขอบคุณที่ยังติดตามและเป็นกำลังใจให้ ตอนนี้ถ้าหากมีคำผิดหรือข้อผิดพลาดใดๆก็ขออภัยด้วยนะคะ รัก ขอบคุณอีกครั้งค่ะ
+++++++++++++++++++++++++
Holler…เรียกฉันสิที่รัก
ตอนที่ 54 Trouble.
Trouble is a friend
ปัญหาก็คือเพื่อนคนหนึ่ง
But trouble is a foe
แต่ปัญหาก็เป็นศัตรู
And no matter
และไม่ว่า
What I feed him
ฉันจะป้อนสิ่งไหนให้เขา
He always seems to grow
เขาก็จะเติบโตขึ้นไปอีก
He sees what I see
เขาเห็นในสิ่งที่ฉันเห็น
And he knows
และเขาก็รู้
What I know
ว่าฉันรู้อะไร
So don’t forget
อย่าลืมนะ
As you ease
ในช่วงที่ปัญหาค่อยๆหายไป
On down my road
บนเส้นทางของฉัน
หลังจากที่พระพายกลับมาจากงานเลี้ยงก็ผ่านมาแล้วสองวัน จนมาถึงวันนี้ซึ่งเป็นวันเสาร์ทำงานสุดท้ายของสัปดาห์และแน่นอนว่าพรุ่งนี้คือวันหยุดที่รอคอย วันหยุดที่พระพายตั้งใจจะเริ่มแผนที่ตัวเองเอาแต่นั่งคิดมาตั้งแต่เมื่อวานจนถึงวันนี้
ตั้งแต่กลับมาจากงานเลี้ยง พระพายก็เอาแต่ขบคิดว่าจะต้องทำอย่างไรและวิธีไหนที่จะทำให้พิธานกับธนิตมีความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น เพิ่งจะมาคิดออกเอาตอนเมื่อสองชั่วโมงที่แล้วระหว่างที่พิธานกำลังขับรถมาส่งยังที่ทำงาน ว่าคงต้องหาเรื่องพาพิธานไปกินข้าวที่บ้านหรือทำอะไรสักอย่างที่นั่น ถ้าจะให้ดีก็คงต้องค้างคืนด้วย จากนั้นคงต้องดูกันอีกทีว่าจะทำอย่างไรต่อไปแต่ศึกใหญ่ไม่ใช่อยู่ที่ใครอื่นแต่เป็นพิธานที่คงจะไม่ยอมไปค้างที่บ้านแน่นอน เรื่องนี้ทำให้พระพายนั่งคิดต่อไปอีกว่าจะต้องทำอย่างไรให้พิธานตกลงยอมไปค้างที่นั่น
นั่งคิดมาจนถึงเวลาเที่ยงแต่พระพายไม่ได้รู้สึกหิวเลยสักนิดเพราะยังคงคิดไม่ตกว่าจะหาวิธีไหนดีที่จะให้พิธานไปค้างที่บ้านได้ นั่งหมุนเก้าอี้ทำงานไปอย่างคิดไม่ออกว่าจะทำอย่างไรดีจนพี่ปีและพี่กล้วยที่กลับมาจากกินมื้อเที่ยงก็เอ่ยทักขึ้น
“อะไรของมึงน้องพาย ข้าวปลาไม่กิน มานั่งหมุนเก้าอี้เล่นน้ำลายอยู่ได้” พี่กล้วยว่า
“ไม่ได้เล่นน้ำลายสักหน่อย เล่นอย่างอื่นอยู่ต่างหาก” พระพายย้อนทันที
“แล้วเล่นอะไรล่ะ กระจู๋น้อยๆเหรอจ๊ะ?” พี่กล้วยไม่มียอม
“ผิดครับ” พระพายส่ายหน้า
“ผิดตรงไหน?” พี่กล้วยถามกลับ
“ผิดที่กระจู๋ของผมไม่น้อย” พระพายหัวเราะร่วน พี่ปีที่ได้ยินถึงกับหัวเราะตาม
“พอทั้งสองคนเลย...ว่าแต่พายไม่หิวเหรอ?” พี่ปีถาม
“ไม่ครับ เดี๋ยวค่อยไปกินหลังเลิกงานดีกว่า” พระพายตอบอย่างนั้นไป
“มีเรื่องเครียดเหรอ?” พี่ปีถามในขณะที่พี่กล้วยเดินไปนั่งที่โต๊ะ
“ไม่หรอกครับ แค่กำลังคิดหาวิธีทำอะไรสักอย่างอยู่”
“อ๋อ เรื่องนั้นรึเปล่า?” พระพายพยักหน้า
“ค่อยๆคิด มีอะไรก็ปรึกษาพี่ได้นะ” พี่ปีว่า
“สองคนนั่นอะไร แอบคุยอะไรกัน?” พี่กล้วยที่กลัวจะไม่มีส่วนร่วมรีบแทรกขึ้นมาทันที
“คุยว่าเบื่อหน้าพี่กล้วยจัง ทำไงดี?” พระพายว่าพลางเหล่มอง
“เบื่อกูเหรอน้องพาย เดี๋ยวกูจะไปฟ้องแฟนมึงว่ามึงคบชู้กับไอ้ปี” พี่กล้วยว่า
“เชิญเลย...ว่าแต่นี่ห่วงใยแฟนผมหรือหวงพี่ปีล่ะครับพี่กล้วย?” พระพายถามพลางยิ้มเจ้าเล่ห์
“หึงอะไร เดี๋ยวโดนโบก” พี่กล้วยว่าพร้อมจะเอาปากกาขว้างมาทางพระพาย
“ใจเย็นๆ อย่าร้อนตัวสิพี่กล้วยใหญ่ของผม” พระพายหัวเราะถูกอกถูกใจ
“เงียบไปเลยไอ้พายจู๋เล็ก” พี่กล้วยว่าก่อนที่จะหันไปมองพี่ปีที่ยืนยิ้มอยู่
“ยิ้มอะไรของมึงไอ้ปี ไปทำงาน” พี่กล้วยหันไปลงกับพี่ปีแทน พระพายได้แต่หัวเราะแล้วหันไปทำงานที่นั่งทำค้าง หวังว่าระหว่างนี้จะคิดอะไรที่จะช่วยให้พิธานไปค้างที่บ้านได้
ในที่สุดเวลาเลิกงานก็มาถึง พิธานส่งข้อความมาว่าจะมารับที่ทำงานเพราะวันนี้เสร็จงานเร็ว พระพายจึงยืนรอหน้าออฟฟิศและขบคิดหาวิธีต่อไป
“โทรหาคุณแม่ดีกว่า” พระพายนึกได้และรีบหยิบโทรศัพท์มือถือโทรหาพัชชาทันที
“ว่ายังไงพระพาย” เสียงพัชชาทักทายเมื่อรับสาย
“คุณแม่...ผมว่าผมจะพาคุณพิธานไปนอนค้างที่บ้าน” พระพายรีบพูดทันทีอย่างไม่รอช้า
“เป็นความคิดที่ดีนะ แต่จะบอกยังไงให้เจ้าตัวยอมมาค้างที่นี่ได้ล่ะ ตั้งแต่ออกจากบ้านไปไม่เคยกลับมาบ้านเลยนะ” พัชชาว่า ครั้งที่แล้วที่มากับพระพายนั่นถือว่าครั้งแรกเสียด้วยซ้ำไป
“นั่นแหละครับ ผมเลยว่าจะถามคุณแม่ ให้ช่วยผมคิดหน่อยว่าจะพูดยังไงดี”
“บอกว่าแม่ป่วยเป็นไง?” พัชชาเอ่ยขึ้นมา
“ได้เหรอครับ จะไม่เป็นการแช่งใช่ไหมครับ?”
“ไม่เลย ลองบอกแบบนั้นไป เพราะทุกครั้งที่แม่ป่วยพิธานจะเป็นห่วงกว่าปกติ แต่ไม่เคยมาที่บ้านเพราะไม่อยากเจอพ่อเขานั่นแหละ”
“ถ้าอย่างนั้นผมจะบอกแบบนั้นนะครับ”
“จะมากันเมื่อไหร่?”
“น่าจะค่ำครับ ถ้าเป็นไปตามแผน บอกคุณธนิตด้วยครับ เป็นไปได้ผมว่าอย่าให้ท่านเจอกับพวกเราค่อย ค่อยเจอตอนที่พวกเราอยู่ในบ้านได้สักพักแล้วน่าจะดีกว่าครับ”
“ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้น ขอให้ทำสำเร็จนะ” พัชชาอวยพรให้พระพายก่อนวางสาย
พระพายยืนร่างคำพูดอยู่ในหัวระหว่างที่รอพิธานมารับ จะสรรหาคำพูดอะไรดีที่พิธานจะไม่สงสัย จะทำอย่างไรให้พิธานไม่รู้ตัวว่านี่เป็นถานการณ์ที่ถูกสร้างขึ้น รู้สึกกดดันพอสมควรเพราะยากที่จะพูดออกไปโดยไม่ให้พิธานรู้ทัน กับพิธานที่พระพายอ้าปากพูดหรือแค่แสดงสีหน้าผิดปกติก็จะรับรู้ได้ทันทีว่ามีเรื่องอะไรในใจแน่ๆ นี่คือปัญหาที่ยากจะแก้ไขได้ของพระพาย คือจะทำอย่างไรให้พิธานจับไม่ได้
ในที่สุดพิธานก็มาถึง พระพายรีบวิ่งขึ้นรถอย่างรวดเร็ว สิ่งแรกที่ทำคือการหันไปยิ้มกว้างๆให้พิธานที่นั่งประจำที่นั่งของคนขับ พิธานไม่ได้แสดงสีหน้าใดๆนอกจากสายตาที่มองมา
“วันนี้กินกาแฟไปเยอะเหรอ?” พิธานถาม พระพายถึงกับงุนงงที่ได้ยินเช่นนั้น
“เปล่า..ทำไมถามแบบนั้นล่ะ?”
“ดูดีดเกินไป” พิธานว่า พระพายได้แต่คิดในใจว่าการสังเกตของพิธานนั้นดูจะเก่งเกินไปแล้ว
“ดีดเพราะดีใจที่พรุ่งนี้จะได้หยุดซะที” พระพายว่า
พิธานไม่พูดอะไรต่อและขับรถออกไปทันที ระหว่างที่รถติดอยู่นั้นกลับมีเสียงสั่นจากโทรศัพท์มือถือของพิธานที่วางอยู่ตรงกลางระหว่างเบาะ สายเรียกเข้าขึ้นชื่อว่าคุณแม่ พิธานสวมหูฟังบลูทูธก่อนจะกดรับสาย
“ครับคุณแม่”
“เป็นอะไรมากรึเปล่าครับ?” พระพายเดาได้ทันทีว่าพัชชาคงโทรมาบอกว่าไม่สบายอย่างแน่นอน
“อยากให้ไปตอนนี้เหรอครับ?” พิธานถามขึ้นพลางเหล่มองพระพายที่กะพริบตาครั้งสองครั้งอย่างจะบ่งบอกว่าไม่เข้าใจว่าพูดเรื่องอะไรกัน
“เดี๋ยวผมจะโทรกลับอีกทีครับ” พิธานว่าแล้วกดยุติการโทร
“มีอะไรเหรอ?” พระพายถาม
“คุณแม่ไม่สบาย..อยากให้ไปหา” พิธานบอก
“คุณแม่ป่วยเหรอ เป็นอะไรมากรึเปล่า?” พระถามด้วยสีหน้าเป็นห่วงแต่ไม่ได้เล่นใหญ่เกินเบอร์เท่าที่ควรเพราะกลัวจะโดนจับได้
“ไม่รู้เหมือนกัน แต่เสียงดูเพลีย”
“ถ้าอย่างนั้นไปเยี่ยมท่านหน่อยดีไหม?” พระพายว่า
“ถ้าไปตอนนี้อาจจะกลับห้องดึกหน่อย นายไหวไหม?” พิธานถาม พระพายนิ่งไปนิดหน่อยก่อนพูด
“ถ้าอย่างนั้นทำไมไม่ค้างที่นั่นเลยล่ะ?” พระพายเสนอความเห็นขึ้นมา พิธานเงียบไป เหมือนจะกำลังคิดอะไรอยู่ก่อนจะเอ่ยออกมา
“นายก็รู้ว่าฉันไม่อยากไปเจอคุณพ่อ” พิธานว่า
“อืม...เอาจริงๆพวกเราไปเยี่ยมคุณแม่นะ ส่วนคุณพ่อของคุณเราก็ห่างๆท่านก็ได้” พระพายว่า
“นายอยากให้ฉันค้างเหรอ?” มาแล้วกับคำถามเจาะใจของพิธาน
“แล้วแต่คุณนะ ยังไงผมก็ตัดสินใจไม่ได้แต่แค่เป็นห่วงคุณแม่หน่อยๆ ถ้าเราค้างท่านคงจะดีใจน่าดู” พิธานที่ได้ยินเช่นนั้นก็เงียบไปอีกครั้งและไม่พูดอะไรออกมาจนกระทั่งขับรถมาถึงคอนโด
พิธานยังคงเงียบอยู่อย่างนั้นจนถึงห้อง พระพายเองก็ไม่ได้เซ้าซี้หรือถามอะไรอีกเพราะรู้ดีว่าพิธานเองก็หนักใจและลังเลว่าจะไปค้างหรือไม่ค้างดี พระพายจึงให้โอกาสนี้กับพิธานได้ใช้เวลาในการคิดว่าจะทำอย่างไรดี
พระพายเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดลำลองธรรมดาและนั่งลงบนโซฟาหน้าทีวีพลางกดรีโมทเลื่อนหาช่องหนัง พิธานเองก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วและนั่งลงข้างๆพระพายเช่นกัน
“คุณหิวรึยัง?” พระพายถาม
“นายหิวเหรอ?”
“เอาจริงๆวันนี้ผมได้กินแค่มื้อเช้าเอง”
“ทำอะไรถึงไม่ยอมกินข้าวตอนเที่ยง งานเยอะขนาดนั้นเลยเหรอ?” พูดไม่พอพลางทำสีหน้าไม่ชอบใจเท่าไหร่นักที่พระพายไม่ยอมกินข้าว
“ก็ทำงานเพลิน” พระพายยิ้มเผล้ก่อนที่จะซบไหล่พิธานเป็นการอ้อนนิดๆที่ไม่ดูแลตัวเองเท่าที่ควร
“ดูแลตัวเองด้วยสิ” พิธานพูดเท่านั้น
“อืม...ออกไปหาอะไรกินกันไหม?” พระพายเอ่ยชวน
“ปกติชอบกินที่ห้องไม่ใช่เหรอ?” พิธานหันมองพลางถาม
“วันเสาร์ เปลี่ยนบรรยากาศหน่อย” รีบตอบด้วยความไวแสง
“อยากกินอะไร?”
“แต่เดี๋ยวสิ...จะไปเยี่ยมคุณแม่ไม่ใช่เหรอ?” พระพายผละออกจากไหล่ของพิธาน
“อย่าบอกนะว่าจะไปกินข้าวที่บ้าน?” พิธานรู้ทันอีกแล้ว
“ก็น่าสนนะ ประหยัดแถมได้ไปเยี่ยมคุณแม่ด้วย”
“เป็นคนขี้งกตั้งแต่เมื่อไหร่?” พิธานถามพลางจิ้มหน้าผากพระพาย
“ก็ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวไง” พระพายยิ้มแฉ่ง
“ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นไปเยี่ยมคุณแม่กัน”
“ถามหน่อย...อยากจะลองค้างสักคืนไหม?” จู่ๆพระพายก็ถามขึ้นมา
“ทำไมถึงถามแบบนั้น?”
“ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ผมเองก็อยากลองนอนห้องนั้นของคุณสักคืนนะ” พระพายว่า
“ห้องนอนที่บ้านเหรอ มันน่าสนใจตรงไหน?”
“ก็...อยากอยู่ในที่ๆคุณเคยอยู่เมื่อตอนเด็กไง” พระพายว่า พูดไปก็รู้สึกแปลกๆ พิธานมองหน้าของพระพาย จ้องมองอย่างกับใช้ความคิดอะไรสักอย่างอยู่
“เหตุผลมีแค่นั้นใช่ไหม?”
“แค่นั้นแหละ ฟังแล้วดูตลกใช่ไหมล่ะ?”
“ไม่ตลกหรอก แค่คิดว่ามีอะไรนอกเหนือจากนี้เสียอีก”
“จะไปมีได้ยังไง” พระพายส่ายหน้า แม้ในใจนั้นก็หวั่นไม่น้อยว่าพิธานจะจับพิรุธอะไรได้บ้าง
“เหตุผลฟังแล้วก็พอมีน้ำหนัก แต่ไม่รับปาก ค่อยว่ากัน” พิธานพูดเท่านั้น
“ถ้าอย่างนั้นไปเยี่ยมแม่คุณเลยดีกว่า” พระพายว่า
ทั้งสองคนจึงเปลี่ยนเสื้อผ้าอีกชุด เมื่อเดินลงมาข้างล่างพระพายก็แวะเข้าไปยังร้านสะดวกซื้อใกล้ๆคอนโดเพื่อซื้อรังนกขวดกับซุปไก่สกัดแบบขวดเช่นกัน เพื่อนำไปเยี่ยมไข้พัชชา แม้รู้ว่าไม่ใช่ความจริงแต่การซื้อเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพไปฝากก็ไม่ใช่เรื่องผิดแปลกอะไร
พิธานขับรถไปยังบ้านที่ห่างจากคอนโดมาก อีกทั้งวันเสาร์เช่นนี้รถราติดแน่นขนัดจนขยับรถได้ไม่มากนัก ระหว่างนั้นพระพายจึงเปิดเพลงฟังและเล่นโทรศัพท์มือถือฆ่าเวลาไปเรื่อยๆ
ใช้เวลานานกว่าที่คาดคิดไว้มาก ในที่สุดพิธานก็ขับรถมาถึงบ้านเสียที ท้องฟ้าโดยรอบมืดสนิทเพราะเข้าสู่ช่วงเวลาตอนค่ำแล้ว พระพายหิ้วถุงพลาสติกที่ซื้อจากร้านสะดวกซื้อพลางก้าวขาออกมาจากรถ ตามมาด้วยพิธานที่ตอนนี้ยืนนิ่งๆอยู่หลังจากที่ลงจากรถแล้ว
“เป็นอะไร?” พระพายถาม
“เปล่า แค่คิดว่าน่าจะบอกพี่เพลงให้มาด้วย”
“นั่นสิ ลืมบอกพี่เพลงไปเลยแต่คุณแม่น่าจะโทรบอกแล้วละนะ”
“ไปกันเถอะ” พิธานพูดและเดินนำเข้าไปในบ้าน
บ้านหลังนี้เงียบสงัดเหมือนครั้งที่แล้วที่มา เวลาค่ำแบบนี้นอกจากป้าแม่บ้านที่เดินมารับก็ไม่เห็นใครอีกเลย คงจะถึงเวลาพักผ่อนกันแล้ว
“สวัสดีค่ะ คุณพิธานคุณพระพาย”
“คุณแม่เป็นยังไงบ้าง?”
“ท่านนอนอยู่ในห้องค่ะ” ป้าแม่บ้านบอกเช่นนั้น
“แล้ว...” พิธานละไว้ รู้ได้ทันทีว่าจะถามถึงใคร
“คุณท่านธนิตยังไม่กลับมาเลยค่ะ ท่านออกไปตั้งแต่เมื่อเช้าค่ะ” ได้ยินเช่นนั้นพิธานจึงรู้สึกผ่อนคลายลงนิดหน่อย คงเตรียมตัวตั้งท่าจะปะทะกับธนิตมาตลอดทางอย่างแน่นอน
“ไปพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวผมไปดูแลคุณแม่เอง” พิธานบอก ป้าแม่บ้านพยักหน้ารับ
พิธานและพระพายเดินขึ้นไปยังชั้นสองของบ้าน เมื่อรู้ว่าธนิตไม่อยู่จึงหายใจหายคอโล่งขึ้นมาสักหน่อย พิธานเคาะห้องนอนที่อยู่อีกด้านซึ่งเป็นฝั่งตรงกันข้ามกับห้องของพิธาน เสียงตอบกลับของพัชชาดังขึ้นว่าให้เปิดเข้าไปได้ พิธานจึงเปิดเข้าไป
พบพัชชานอนอยู่บนเตียงด้วยท่าทางอิดโรย หน้าตาออกจะซีดเซียวไปพอสมควร พระพายตกใจไม่น้อยที่พัชชาป่วยสมจริงเกินกว่าแสดงไปหลายเบอร์ พิธานนั่งลงบนเตียงข้างๆพัชชา พระพายนั้นยืนนิ่งเพราะไม่รู้จะอยู่ตรงไหนดี
“พิธาน พระพาย ไม่คิดว่าจะมา” พัชชาว่า
“คุณแม่เป็นยังไงบ้างครับ?” พิธานเอ่ยถามพลางใช้สายตามองใบหน้าของพัชชา
“ท้องเสีย หมดแรงเลย” พัชชาว่า
“คุณแม่ทานอะไรได้บ้างครับ?” พระพายเอ่ยถาม
“แม่ทานซุปหมูน้ำใสเมื่อตอนเย็นแล้ว” พัชชาตอบ
“ผมซื้อซุปไก่สกัดกับรังนกมาให้ครับ ถ้าคุณแม่อยากกินบอกนะครับ ผมจะไปเตรียมให้”
“ขอบใจนะพระพาย เดี๋ยวแม่หิวแล้วจะบอก”
“คุณแม่เป็นตั้งแต่เมื่อไหร่ คุณพ่อไม่รู้เหรอครับว่าคุณแม่ท้องเสีย?” พิธานถามด้วยความไม่ชอบใจที่ธนิตละเลยไม่สนใจแม่ของตน
“คุณพ่อออกไปตั้งแต่เช้าแล้ว แม่เพิ่งเป็นเมื่อตอนบ่ายและไม่ได้บอกคุณพ่อด้วย” พัชชารีบแก้ความเข้าใจผิดเพราะกลัวพิธานจะเพิ่มความโกรธในตัวธนิตเข้าไปอีก
“ครับ” พิธานไม่พูดอะไรต่ออีก พัชชานอนนิ่งๆได้แค่ครู่เดียวจู่ๆก็ลุกขึ้นมาอีกครั้ง
“คุณแม่ จะไปไหนครับ?” พระพายถามขึ้นพลางวางถุงหิ้วบนโต๊ะ เพื่อจะเข้าไปช่วยแต่พิธานไวกว่า รีบประคองพัชชาที่จะลุกขึ้น
“ปวดท้องอีกแล้ว แม่ขอเข้าห้องน้ำหน่อย” พัชชาว่าและรีบลุกขึ้น พิธานช่วยประคองไปถึงหน้าห้องน้ำก่อนที่จะปล่อยให้พัชชาเข้าไปด้วยตัวเอง
พระพายหันไปมองแก้วน้ำที่วางอยู่ใกล้ๆถุงหิ้วที่เพิ่งวางไว้ครู่นี้ เป็นแก้วเปล่าที่มีร่องรอยของน้ำสีส้มติดอยู่ก้นแก้ว ซึ่งน่าจะเป็นเครื่องดื่มเกลือแร่สำหรับอาการท้องเสีย
“คุณพิธาน เกลือแร่ของคุณแม่หมดแล้ว”
พระพายเอ่ยบอกพิธาน เมื่อได้ยินดังนั้นพิธานก็เริ่มค้นหาแถวโต๊ะข้างเตียงว่ามีเกลือแร่ซองเหลืออยู่บ้างหรือไม่ เพียงไม่นานนักพัชชาก็ออกมา พระพายรีบเข้าไปประคองพัชชาให้มานั่งที่เตียงทันที พัชชาเอนตัวลงอย่างหมดแรง
“คุณแม่ ไปหาหมอดีกว่าไหมครับ?” พิธานถามขึ้น
“ไม่ต้องหรอก แค่ท้องเสียเอง เดี๋ยวแม่รอกินยาอีกรอบ น่าจะดีขึ้น”
“แล้วเกลือแร่ล่ะครับ พอมีเหลืออีกไหมครับ?” พระพายถามบ้าง
“อ๋อ ชั้นล่างจ๊ะ ในครัวมีตู้เก็บพวกยาอยู่”
“เดี๋ยวฉันไปหยิบเอง นายอยู่กับคุณแม่ดีกว่า” พิธานบอก ก่อนที่จะออกจากห้องแล้วลงไปชั้นล่างเพื่อไปหยิบเกลือแร่มา ตอนนี้จึงมีแค่พระพายกับพัชชาเท่านั้น
“คุณแม่ครับ..นี่คุณแม่ป่วยจริงๆใช่ไหม?” พระพายถามทันที่พิธานออกไป
“ตอนโทรหาเรามันไม่หนักขนาดนี้ แม่เลยคิดว่าป่วยนิดหน่อยก็ไม่ได้ถือว่าโกหกแต่ที่ไหนได้...หนักเลยล่ะ” พัชชาพลางหัวเราะนิดๆ
“คุณแม่...ผมขอโทษครับ เพราะแผนพวกนี้แท้ๆกลายเป็นแช่งคุณแม่ไปเลย” พระพายรู้สึกผิดไม่น้อย จากการปั้นเรื่องโกหกจนกลายเป็นเรื่องจริงไปเสียได้
“ไม่เป็นไร นี่เพราะจะเป็นผลพวงจากที่แม่คิดจะโกหกลูกชายละมั้ง” พัชชาพูดให้เป็นเรื่องขำขันแทน
“อย่าคิดอย่างนั้นสิครับ” พระพายพูดก่อนที่จะยิ้มให้พัชชา
ไม่ถึงห้านาทีพิธานก็กลับมาพร้อมเกลือแร่ชนิดซองสำหรับแก้ท้องเสียมาในมือหลายซอง พระพายจึงรีบชงให้พัชชาตามอัตราส่วนที่ระบุข้างซอง จากนั้นก็ให้พัชชาจิบไปเรื่อยๆ
“นี่กินอะไรกันมารึยัง?” เมื่อพัชชาจิบเกลือแร่ไปนิดหน่อยก็เอ่ยถามทั้งสองคน
“ยังเลยครับ” พิธานบอก
“หิวกันรึเปล่า ไปหาอะไรกินก่อนก็ได้ เดี๋ยวแม่ของีบหน่อย” พัชชาว่า
“ครับ เดี๋ยวพวกผมจะรีบมาขึ้นมา” พิธานบอก ทั้งสองจึงจำต้องลงไปข้างล่างเพื่อรีบหาอะไรกินแล้วกลับมาดูแลพัชชาต่อ
เมื่อลงมาในครัวก็พบว่าในตู้เย็นมีกับข้าวอยู่สองสามอย่างใส่กล่องถนอมอาหารไว้ ซึ่งซึ่งไม่รู้ว่าเป็นกับข้าวเมื่อไหร่อย่างไร ในเมื่อถามใครไม่ได้พระพายจึงตกลงกับพิธานว่านำมันมาอุ่นแล้วกินกันเพราะตอนนี้พระพายหิวไม่น้อยเลยทีเดียว
“อ่า..ข้าวหมด” พระพายหันไปบอกพิธานที่ยืนค้นหาอะไรสักอย่างในตู้เย็น
“ถ้าจะหุงรอไหวรึเปล่า?” พิธานรู้ดีว่าตอนนี้พระพายหิวจนไส้กิ่วแล้ว
“ยังไงก็ต้องหุง ไหวนั่นแหละ” พระพายว่าและรีบหุงข้าวทันที ไม่ทันที่พระพายจะหุงข้าว ป้าแม่บ้านดันเดินเข้ามาเสียก่อน
“คุณทั้งสอง ทำอะไรกันคะ?” ป้าแม่บ้านตกใจที่เห็นพิธานและพระพายป้วนเปี้ยนอยู่ในครัว
“อ่า ขอโทษครับป้า พวกผมหิวข้าวเลยมาหาอะไรกิน” พระพายรีบบอกทันที
“มาค่ะ เดี๋ยวป้าทำเอง”
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมทำเอง” พระพายว่า พิธานไม่พูดอะไรแต่ยังคงรื้อค้นตู้เย็นต่อไป
“เดี๋ยวป้าตั้งโต๊ะให้ค่ะ ป้าจะหุงข้าวให้ด้วย คุณๆรอกันไหวไหมคะ?” ป้าแม่บ้านถาม
“ไหวครับ” พระพายตอบ
“ไปนั่งรอค่ะ ป้าจัดการให้” พระพายจึงวางมือและเดินไปหาพิธาน
“คุณหาอะไรอยู่?” พระพายถามอย่างสงสัยเพราะเห็นพิธานค้นตู้เย็นอยู่นานแล้ว
“หาผลไม้” พิธานว่า
“อ๋อ หลังขวดน้ำมีถุงขนมวางทับอยู่ค่ะคุณพิธาน” ป้าแม่บ้านบอก เมื่อนั้นพิธานก็หาเจอ
“เอาไปกินรองท้องก่อน” พิธานว่าพลางยื่นให้พระพายที่รีบรับมาอย่างไม่ลังแล้วเดินออกไปจากห้องครัวเพื่อรอป้าแม่บ้านตั้งโต๊ะให้
พระพายนั่งกินผลไม้ในกล่องไปและนั่งดูทีวีไปพลาง พิธานที่กำลังเช็คอะไรสักอย่างในโทรศัพท์มือถือก่อนที่จะเอ่ยขึ้นว่า...
“คืนนี้ว่าจะค้างที่นี่” พิธานพูดขึ้นมา พระพายถึงกับชะงักและหันมองพิธานที่พูดคำนั้นออกมา
“เดี๋ยวนะ ค้างเหรอ?” พระพายทวนคำพูดนั้นอีกครั้ง
“อืม จะอยู่ดูอาการคุณแม่หน่อยเพราะพี่เพลงบอกว่าพวกเพื่อนๆเห็นคุณพ่อในงานเลี้ยง น่าจะกลับดึก”
“อย่างนั้นเหรอ?” พระพายพูดพลางคิด...การค้างของพิธานจะสูญเปล่าแน่นอนถ้าธนิตกลับดึกจริงๆ
“ไม่เป็นไรใช่ไหม?” พิธานถามพระพายที่นิ่งไป
“ดะ..ได้สิ” พระพายว่า
“ตามนั้น ตกลงจะค้างที่นี่ เดี๋ยวฉันจะให้แม่บ้านเตรียมของใช้ให้” พิธานว่าแล้วลุกขึ้นเดินไปยังครัวเพื่อไปบอกป้าแม่บ้าน
เมื่อพิธานหันหลัง พระพายรีบวางกล้องผลไม้ทันที เพื่อคิดแผนที่ไม่ทันตังตัวว่าจะต้องคิด คิดไปนั่งเขย่าขาไปพลางขบคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไปเพราะไม่ได้คิดอะไรเผื่อไว้เลยว่าจะทำอย่างไรหากพิธานนอนค้าง
“ค่อยๆคิดพาย ค่อยๆคิด”
พระพายพูดกับตัวเองเบาๆและยังคงคิดต่อไปแต่ตอนนี้หิวข้าวจนตาลายแล้ว คงต้องเติมอาหารเข้าท้องเสียก่อนแล้วอาจจะคิดอะไรดีๆขึ้นมาได้ เมื่อตกลงกับตัวเองอย่างนั้นพระพายจึงรีบกินผลไม้ที่เหลือต่อและรอการตั้งโต๊ะของแม่บ้าน เพื่อเติมพลังก่อนใช้ความคิดถึงแผนที่ไม่รู้ว่าจะเป็นแผนอะไรดี...
Lyrics: Trouble is a friend by Lenka