Chapter 41: อิเหนาไม่ได้เป็นของจรกา[1]
ผมบังคับตัวเองไม่ได้เลย พี่จิณห์สั่งให้ทำอะไรก็ทำตามหมด ตอนนี้ก็เลยมานั่งอยู่บนรถเขาขณะที่เขามุ่งหน้าพาผมไปที่ไหนก็ไม่รู้ ผมเหลือบมองเขาเป็นระยะด้วยความหวั่นใจ ในใจรู้แล้วล่ะว่าการที่เขาโผล่มาอย่างนี้จะต้องคิดทำอะไรไม่ดีกับผมแน่ แต่จะเป็นอะไร ก็สุดที่ผมจะคาดเดาได้เหมือนกัน
บทสนทนาของเราไม่มีเลยสักนิด จนกระทั่งขับรถมาได้ระยะหนึ่ง พี่จิณห์ก็ทำลายความเงียบขึ้น
“ไม่ต้องนั่งเกร็งขนาดนั้น กูไม่ได้จะทำอะไรมึงหรอก ส่วนไอ้ที่ป้ายจมูกมึงมันก็ไม่ได้อันตราย ไม่ต้องทำหน้าเหมือนกูจะฆ่ามึงขนาดนั้น”
ผมเหลือบมอง ไม่ไว้ใจเขาเลยสักนิดแม้ว่าเขาจะพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ ก็ตาม
“แล้วพี่จิณห์เอาอะไรป้ายจิครับ”
ผมถามเพราะรู้ทันทีว่ามันต้องเป็นยาอะไรสักอย่างที่มีผลในทางไสยศาสตร์ ไม่อย่างนั้นผมคงไม่ขึ้นรถมากับเขาง่ายๆ ทั้งที่สติสัมปชัญญะรับรู้เรื่องราวทุกอย่างครบถ้วนอย่างนี้หรอก ซึ่งก็ใช่เมื่อเขาว่าออกมา
“ยาสั่ง” พูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ ด้วยซ้ำ “ไม่ทำแบบนี้ มึงคงไม่ขึ้นรถมากับกูหรอก จริงไหม”
ผมไม่ตอบ แต่ความเงียบคือการตอบว่าใช่ พี่จิณห์ก็ไม่ได้พูดอะไร มีแต่ผมเท่านั้นที่ถามออกมา
“พี่จิณห์จะพาผมไปไหนเหรอครับ”
เขาไม่ตอบในทันที เหลือบมองก่อนจะว่าเสียงเรียบ
“อยากคุยอะไรด้วยหน่อย”
“คุยกันตอนที่พี่อินทร์อยู่ก็ได้”
“อยากคุยกับมึงแค่สองคน อย่าถามมาก เงียบๆ ปากไป กูไม่มีสมาธิขับรถ”
เขาขัดแทบจะในทันที ผมก็เงียบตามที่เขาสั่ง ไม่ใช่ว่าอยากเงียบ แต่เพราะฤทธิ์ยาที่ทำให้ผมไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่านี้
หลายชั่วโมงทีเดียวที่พี่จิณห์พาผมขับรถไปตามถนน เขาไม่มีจุดหมายอะไรเป็นพิเศษ ขับวนไปวนมาอยู่ในกรุงเทพฯ จนกระทั่งฟ้ามืด ผมเหลือบมองนาฬิกาที่วิทยุหน้ารถก็เห็นว่ามันเกือบจะสี่ทุ่มแล้ว พี่อินทร์โทรมาหาหลายสายแล้วเช่นกัน แต่ผมไม่มีแรงมากพอที่จะฝ่าฝืนคำสั่งคนข้างๆ ที่บอกว่าห้ามรับไปกดรับสายคนที่โทรมาได้เลย จนกระทั่งแบตเตอร์รี่หมด ตอนนั้นเองที่พี่จิณห์พาผมไปจอดยังข้างถนนแห่งหนึ่งซึ่งผมก็ไม่แน่ใจนักว่าที่ไหน แต่มองไปข้างหน้า ผมก็เห็นสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา เท่านั้นผมก็ใจไม่ดี แต่จะถามเขาก็ถามไม่ได้เพราะถูกสั่งให้เงียบ เลยได้แต่มองเขาทอดสายตามองไปข้างหน้า แสงสีส้มจากไฟข้างถนนทำให้เขาดูเหงายังไงก็ไม่รู้ ทว่านั่นไม่สำคัญเท่ากับการที่เขาพูดขึ้นมา
“ลงจากรถ”
ผมเบิกตาโตมองเขาทันที
“ไปเดินเล่น เป็นเพื่อนคุยกับกูหน่อย”
ตอนนี้เองที่ผมเปิดปากขึ้นมาได้
“คุยกันตรงนี้ก็ได้นี่ครับถ้าพี่จิณห์มีธุระอยากคุย”
“กูบอกให้ลงจากรถ”
เขาไม่ได้ตะคอกหรือตวาด แต่น้ำเสียงกลับทำให้ผมหวั่นใจขึ้นมา ผมลงจากรถโดยง่าย เดินตามเขาที่ก้าวขึ้นไปตามทางฟุตปาธที่เลียบไปกับสะพาน ก่อนที่เราจะมาหยุดตรงจุดที่สูงสุดบนสะพานนั้น
เขาไม่พูดอะไร เอาแต่เงียบ ปล่อยให้ลมเย็นๆ จากแม่น้ำพัดเส้นผมปลิวไปด้านหลังจนเห็นกรอบใบหน้าชัดเจน
จริงๆ แล้วพี่จิณห์เป็นผู้ชายที่หน้าตาดีมาก เมื่อครั้งที่เป็นจินตะหราวาตี ก็เป็นหญิงที่มีรูปงามมากเช่นกัน เกิดมาในชาติตระกูลที่ดี พรั่งพร้อมด้วยทุกสิ่งอัน เสียอย่างเดียวตรงที่เขามีใจรักคนที่ไม่มีทางมอบใจให้เขา ผมไม่อยากพูดแบบนี้หรอกนะ แต่มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ
“กูอยากคุยกับมึงเรื่องไอ้อินทร์”
เงียบกันอยู่นาน ในที่สุดเขาก็เอ่ยปากออกมา ผมเลิกคิ้วสูง
“พี่อินทร์ทำไมเหรอครับ”
ให้เดานะ ผมคิดว่าเขาจะต้องสั่งให้ผมเลิกกับพี่อินทร์แน่ หรือไม่ก็อะไรที่ทำให้ผมต้องพรากจากเขา
ทว่า...ผมก็คิดผิดเมื่อพี่จิณห์พูดขึ้นมาอีกครั้ง
“จริงๆ ที่ไอ้อินทร์บอกกับกูวันนั้น กูก็ไปคิดดูเหมือนกัน ที่มันพูดมาก็ถูก คนไม่รักก็คือไม่รัก กูไปบังคับอะไรมันไม่ได้”
ผมเหลือบมองหน้าเขา สายตาของพี่จิณห์ดูเศร้าสร้อยเกินกว่าที่ผมจะบรรยายได้ ยิ่งเขาพูดมาอีกว่า...
“แต่การที่กูรักมันไปแล้ว จะบังคับให้ไม่รัก มันก็ไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ง่ายๆ เหมือนกัน มึงเข้าใจใช่ไหมว่าการที่รักใครสักคนปักใจมันเป็นยังไง”
ผมเงียบ พยักหน้า ทำไมจะไม่รู้ล่ะ ตัวอย่างก็มีให้เห็น พี่อินทร์นี่ไง ต่อให้ผมโกรธเกลียดเขาแค่ไหน เขาก็ยังรักผมอยู่ดี รอข้ามชาติจนกระทั่งได้รักกันจริงๆ เพียงแต่การแสดงออกของเขากับพี่จิณห์ไม่เหมือนกันก็เท่านั้น
พี่อินทร์รักผม...แบบยอมสละให้ได้ทุกอย่าง
แต่พี่จิณห์รักพี่อินทร์...โดยที่จะเอาทุกอย่างมาเป็นของตัวเองโดยที่ไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะคิดยังไง
พอผมตอบไปอย่างนั้น เขาก็เงียบ ครู่หนึ่งเขาก็หันมามอง
“ถ้ามึงเป็นกู มึงจะทำยังไงกับความรู้สึกเวรๆ นี่ มึงจะทำยังไงต่อไปถ้ามึงรู้อยู่แก่ใจว่าไม่ว่าจะทำอะไร เขาก็ไม่รักมึง?”
“จิคง...ปล่อยวางแล้วไปใช้ชีวิตที่เหลือให้มีความสุขโดยไม่มีคนคนนั้นครับ”
ผมตอบไปตามตรง ไม่ได้เสแสร้งหรืออะไรทั้งนั้น ผมอยากให้คนตรงหน้าผมมีความสุขจริงๆ พี่จิณห์เองก็ยิ้มออกมาน้อยๆ
“นั่นสินะ ในเมื่อทำยังไง มันก็ไม่รัก ปล่อยวางคงจะเป็นเรื่องดีที่สุด”
ตอนนี้ดวงตาของเขามีน้ำใสๆ เอ่อคลอ ทว่าไม่ได้ร้องไห้ ผมเห็นแล้วก็สงสารขึ้นมาจับใจ ไม่อยากเชื่อเหมือนกันว่าเขาจะคุยกับผมรู้เรื่องในคราวนี้ทั้งที่ตอนแรกดูแล้วไม่ได้มาดีเท่าไร ดีแล้วล่ะที่ผมมาด้วย เพราะไม่อย่างนั้นคงจะต้องมีเรื่องคาราคาซังไม่จบสิ้นแน่ ได้คุยกันแบบเปิดอก คุยกันเหมือนคนธรรมดาคุยกันสักที ผมว่าก็ดีเหมือนกัน
ผมปลอบใจเขาด้วยการเอื้อมมือไปจับมือเขาที่จับราวสะพานอยู่ บีบเบาๆ เป็นการบอกว่าเขาจะไม่เป็นอะไร ขณะที่เขาว่าเสียงแผ่ว
“กูจะตัดใจจากไอ้อินทร์แล้ว กูรู้สึกว่ากูไม่ไหว ควรพอ ถ้าทำยังไงมันก็ไม่รัก...กูก็ควรจะพออย่างที่มันบอก”
เป็นประโยคแรกที่ผมได้ยินจากปากพี่จิณห์แล้วเข้าหูที่สุด
ใช่ เขาควรตัดใจได้แล้ว เขาควรมีความสุขสักที...
ทว่าจู่ๆ เขาก็ว่าขึ้นมาอีก
“แต่มึงจำได้ใช่ไหมว่ากูเคยพูดอะไรไว้อย่างนึง”
“อะไรครับ”
“ถ้ากูไม่ได้ ใครก็ต้องไม่ได้มันทั้งนั้น”
ผมชะงัก มองหน้าเขาอย่างไม่เข้าใจ
“พี่จิณห์หมายความว่ายังไงครับ”
เขาหันมามองผม
“กูไม่ได้รักกับมัน มึงก็ต้องไม่ได้รักกับมัน”
ผมใจหายวาบขึ้นมาในตอนนี้ มือที่จับเขาอยู่ค่อยๆ คลายออก ขณะที่สันหลังก็เริ่มเสียววาบขึ้นมาเมื่อเห็นใบหน้าเรียบเฉยของเขา
“แล้ว...พี่จิณห์คิดจะทำอะไร”
“บางทีการไม่มีมึงอยู่ มันน่าจะดีกว่า ถึงกูจะบอกว่าตัดใจ แต่กูก็ทนเห็นคนอื่นไปมีความสุขกับมันไม่ได้หรอกนะ ในเมื่อมันทำให้กูทรมาน มันก็ต้องทรมานเหมือนกับกู”
ผมเสียวสันหลังวาบขึ้นมาในคราวนี้ คิดผิดไปเลยที่เข้าใจว่าเขาจะปล่อยวางแล้ว จริงๆ ไม่ได้ปล่อยวางเลยต่างหาก ยังคงอาฆาตแค้นกับทุกอย่าง โทษทุกคนที่ทำให้เขาเจ็บปวด ที่สำคัญ...ตอนนี้เหมือนเขาจะมาลงที่ผมแล้ว
“พี่จิณห์...จะฆ่าจิเหรอ”
ผมกลั้นใจถามไปอย่างนั้น เขาไม่ตอบคำถาม แต่กลับถามผมพลางยิ้มเย็นแทน
“คิดว่ายังไงล่ะ... ระตูจรกา”
มือทั้งสองข้างของผมถึงกับเย็นเยียบ ไม่เคยกลัวอะไรขนาดนี้มาก่อนเลยในชีวิต เดาว่าหน้าผมคงซีดเผือดด้วยเพราะพี่จิณห์เห็นแล้วก็หัวเราะใหญ่ ก่อนที่เขาจะว่าขึ้นมาช้าๆ
“สตรีใดในพิภพจบแดน ไม่มีใครได้แค้นเหมือนอกข้า ด้วยใฝ่รักให้เกินพักตรา จะมีแต่เวทนาเป็นเนืองนิตย์...”
“...”
“มึงรู้จักกลอนบทนี้ไหม”
ทำไมผมจะไม่รู้จักล่ะ... รู้จักดีเลยล่ะ
นี่เขากำลังจะบอกว่าทุกอย่างที่กำลังเกิดขึ้นและจะเกิดหลังจากนี้คือผลพวงจากความอาฆาตแค้นของเขาใช่ไหม
ผมตัวสั่นขึ้นมาอย่างไม่สามารถควบคุมได้ คนข้างกายเหลือบมองผมแล้วหัวเราะในลำคอ
“ไม่ต้องกลัวขนาดนั้น กูไม่ฆ่ามึงหรอก”
ผมลอบถอนหายใจออกมา จะว่าโล่งอกก็ไม่ใช่ จะสบายใจขึ้นก็ไม่เชิง แต่ก็รู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อยเพราะสัมผัสได้ว่าเขาพูดจริง
“ถ้ากูทำอะไรมึง มีหวังไอ้อินทร์ได้เกลียดกูไปมากกว่านี้แน่ แค่นี้มันก็มองหน้ากูไม่ติดแล้ว”
ถูกต้อง คิดได้แบบนั้นก็ดีแล้ว... ผมไม่อยากจะเห็นดีเห็นงามกับเขาเท่าไรหรอกนะ แต่ต้องเห็นดีด้วยล่ะ เพราะผมก็รักชีวิตตัวเองเหมือนกัน
“ถ้างั้นเรากลับ...”
“แต่กูไม่ได้ มึงก็ต้องไม่ได้นั่นแหละ กูทรมานยังไง มันก็ต้องทรมานอย่างนั้น”
เขาแทรกขึ้น ผมก็ไม่กล้าชวนเขากลับ ได้แต่มองหน้าเขา ขณะที่เขามองไปยังเบื้องล่างของสะพานแล้วถามขึ้นมาลอยๆ
“มึงว่าถ้าโดดลงไปจะตายไหม”
ผมไม่ตอบ รู้แต่ว่าตัวสั่นขึ้นมาน้อยๆ ก่อนที่เขาจะผินหน้ามามองผม
“ที่มึงถามว่ากูจะฆ่ามึงไหม กูไม่ทำหรอก เพราะกูจะให้มึงทำเอง ฆ่าตัวตาย... ทำให้เข้าใจแบบนี้น่าจะง่ายกว่า”
เข้าใจแล้ว...
ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมเขาถึงได้บังคับให้ผมมากับเขาที่นี่
ทำไมถึงจะต้องจองล้างจองผลาญกันไม่จบไม่สิ้นอย่างนี้ด้วย หยุดได้แล้ว! หยุดสักที!
“พี่จิณห์หยุดสักทีครับ! พอได้แล้ว! ต่อให้จิตายไป พี่อินทร์ก็ไม่รักพี่จิณห์หรอกนะ! มันไม่มีประโยชน์!”
ผมตะโกนขึ้นมาอย่างเหลืออดกับความไม่มีเหตุผลและไม่รับฟังอะไรของเขา พี่จิณห์มีสีหน้ากรุ่นโกรธขึ้นมาน้อยๆ จากนั้นก็แสยะยิ้ม
“มีหรือไม่มี กูเป็นคนตัดสินใจเอง ไม่ใช่มึง” จากนั้นเขาก็เดินมาจับไหล่ผม ดันตัวให้ผมไปชิดกับขอบสะพาน พลันกระซิบที่ข้างหู “กูอยากรู้ว่าถ้าโดดลงไปแล้วจะตายไหม ไหนมึงลองโดดให้กูดูหน่อย”
ผมส่ายหน้าพรืด น้ำตาเอ่อคลอเบ้า ใจอยากจะหนีไปจากตรงนี้เต็มแก่ตามสัญชาตญาณการเอาตัวรอด ทว่าในความเป็นจริงกลับยืนนิ่งอยู่กับที่โดยที่หูยังคงได้ยินเสียงของคนข้างหลังชัดเจน
“มึงรู้เอาไว้... อิเหนาไม่ได้เป็นของกู แล้วก็ไม่ได้เป็นของจรกาเหมือนกัน เพราะงั้นอย่าลีลา”
“พี่จิณห์...”
“โดดซะจิระ”
“มะ...ไม่...”
“กูบอกให้โดดลงไป!”