แม่สื่อแม่ชัก มักได้ "ชัก" เอง : 02 06 2020 Rewrite : ตอนพิเศษ หน้า 76
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

โพลล์

คุณยกป้ายไฟเชียร์ใคร...?

พี่จิ้น   ยักษ์ตี๋
พี่โอม ยักษ์เข้ม
กราฟ  ยักษ์แว่น
มะนาว คางคกตัวที่สอง
เชียร์ทุกคน เหมาหมด ^ ^

ผู้เขียน หัวข้อ: แม่สื่อแม่ชัก มักได้ "ชัก" เอง : 02 06 2020 Rewrite : ตอนพิเศษ หน้า 76  (อ่าน 578396 ครั้ง)

ออฟไลน์ ryoushena

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +157/-2
THE CALL - เมื่อผมเป็นพ่อสื่อให้คางคก

The Call Chapter 18: ทะเลดาว

…จากที่แปลกใจ ตอนนี้ผม ‘ชัก’ มั่นใจ…
ผมเพิ่งรู้สึกตัว…

ถ้าหากผมรู้ตัวก่อนหน้านี้ว่าความรู้สึกบางอย่างจะเกิดขึ้น วันนั้นผมคงไม่รับทำหน้าที่นั้นตั้งแต่แรก
ถ้าหากผมรู้ตัวก่อนหน้านี้ว่าความรู้สึกบางอย่างจะเกิดขึ้น วันนี้ผมคงหาคำตอบให้ตัวเองได้
ถ้าหากผมรู้ตัวก่อนหน้านี้ว่าความรู้สึกบางอย่างมันได้ก่อตัวขึ้นเงียบ ๆ ผมคงหยุดมันทัน
แต่ทำไมผมเพิ่งรู้สึกตัว…

“มะนาว! มะนาวตื่น!”

“...”

“วันนี้มีสอบเช้าไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวก็สายหรอก ตื่นขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวเร็ว”

“...”

“เป็นอะไรหรือเปล่า หรือว่าไม่สบาย?” เพื่อนตัวกลมเดินเข้ามาหาผมที่ยังคงนอนอยู่บนเตียง ใช้หลังมือแตะหน้าผากผมเพื่อวัดไข้

“...”

“ตัวก็ไม่ร้อน ปวดหัวไหม?” แม่หมูเดินกลับไปที่โต๊ะอ่านหนังสือที่ติดอยู่กับเตียงนอนของตัวเอง ปิดลิ้นชักหยิบยาแก้ปวดลดไข้ออกมาแล้วเดินกลับมาหาผมอีกรอบ

“...”

“ยาแก้ไข้แล้วนี่หมูปิ้ง อาบน้ำเสร็จแล้วกินข้าวก่อนแล้วค่อยกินยาตามนะ”

“...”

“ไม่ต้องทำหน้าสงสัยเลย หมูปิ้งของกราฟจ้ะ เอามาห้อยไว้ที่หน้าประตูห้องตั้งแต่เช้ามืดมั้ง เปิดประตูไปก็เจอหมูปิ้งแขวนอยู่ที่ประตูเลย มีโน้ตเขียนบอกเอาไว้ด้วยนะ ‘วันนี้ตื่นเช้าเลยซื้อหมูปิ้งมาฝาก กราฟ’ น่ารักที่สุดเลยเนอะว่าไหม” เธออ่านโน้ตที่อยู่ในถุงหมูปิ้งให้ผมฟัง ดวงตามีประกายแห่งความสุขฉายออกมา

“...”

“ตื่นได้แล้ว อย่าลืมกินยาด้วยล่ะ คืนนี้จะได้ไปฉลองสอบเสร็จกัน” แม่หมูหันมากำชับผมอีกรอบก่อนจะเดินเปิดประตูออกจากห้องไปสอบ วันนี้เพื่อนตัวกลมผมมีสอบสองตัว ทั้งเช้าและบ่าย คงกลับเข้าห้องอีกทีประมาณช่วงเย็น

หลังจากที่เพื่อนตัวกลมผมเดินออกไปไม่นาน ผมก็ลุกจากเตียงอาบน้ำแต่งตัวเตรียมไปสอบ

ถุงหมูปิ้งกับซองยาแก้ไข้ยังวางอยู่ที่เดิม

ผมไม่ได้ป่วย ‘กาย’

“อีกครึ่งชั่วโมงจะหมดเวลาทำข้อสอบนะคะนักศึกษา”

ผมทำข้อสอบเสร็จแล้ว หยิบกระดาษคำตอบกับโจทย์ข้อสอบเดินไปส่งให้กับอาจารย์แล้วเดินออกมา หันไปมองเพื่อนที่อยู่ในห้องสอบ โก๋ยังนั่งทำข้อสอบอยู่ พอเงยหน้าเห็นผมลุกออกจากห้องก็เหมือนจะพูดอะไรบางอย่างกับผม แต่ผมเดินออกมาก่อน ผมไม่แน่ใจเรื่องคะแนนสอบครั้งนี้เท่าไหร่ คงต้องรอลุ้นผลสอบที่บ้านอีกทีช่วงปิดเทอม เพราะอาจารย์จะประกาศคะแนนช่วงนั้น
แสงแดดตอนเย็นส่องลอดผ่านหน้าต่างบานเกล็ดลงมาทาบตัวผมที่นอนเอามือก่ายหน้าผาก ในหัวกำลังครุ่นคิดเรื่องบางอย่างอยู่บนเตียง หลังสอบเสร็จผมรีบขับรถกลับมาห้องทิ้งตัวนอนอยู่บนเตียงตั้งแต่เที่ยงจนถึงเย็น เห็นภาพเหตุการณ์เดิมฉายวนซ้ำไปซ้ำมา

“เราชอบนาย ขอจีบได้ไหม...?”

ประโยคนี้มันก้องอยู่ในหัวผมไปมา

จากนั้นกราฟเอื้อมมือมาจับมือผมที่กำลังกุมหูฟังสีขาวเอาไว้เพื่อดึงหูฟังออก สงสัยเห็นผมเงียบนานเลยคิดว่าผมคงไม่ได้ยิน กราฟสบตาผมนิ่งแล้วพูดย้ำให้ผมฟังอีกรอบ

“เราชอบนาย”

ผมตกใจและรู้สึกตัวว่ามันมีความรู้สึกบางอย่างแทรกขึ้นมาข้างในหัวใจ

“กะ...กราฟ?” เสียงผมกระตุก ผมถูก ‘รุก’ ขอจีบแบบไม่ทันได้ตั้งตัว ยังดีที่ผมอ่านหนังสือและฟังบรรยายจากอาจารย์จบไปแล้ว ไม่อย่างนั้นผมคงไม่มีสมาธิอ่านหนังสือต่อแน่ๆ เพราะตอนนี้สติผมร่วงกระจัดกระจายหล่นลงไปกองอยู่บนพื้นห้องสมุดเรียบร้อย กราฟกลายเป็นยอดมนุษย์ตัวสีแดง ส่วนผมกลายเป็นปีศาจน้ำแข็ง รู้สึกชาตามหน้า ค่อยๆ แข็งขึ้นมาทีละส่วน จนแขนขาก็เหมือนจะขยับไม่ได้

“...” กราฟจ้องมองตาผมนิ่งผ่านเลนส์แว่นสายตา แววตาจริงจังที่มองมาไม่มีท่าทีว่ากำลังพูดเล่นอยู่เลย

“ได้ไหม?”

“น้องเมต” ในระหว่างที่ผมกำลังถูกรุกอย่างหนัก เสียงระฆังพักยกก็ช่วยชีวิตผมเอาไว้ได้ทันเวลา ผมเงยหน้ามองไปทางต้นเสียงก็เห็นพี่มีนยืนหน้าโหดยิ้มร่าให้ผมอยู่ “บรรณสารจะปิดแล้ว กลับพร้อมกันกับพี่เมตเลยไหมครับ?”

“กะ...กลับเลยพี่มีน”

ผมรีบเก็บหนังสือใส่กระเป๋าแล้วลุกพรวดพราดเดินตามหลังพี่มีนออกไปเลย
ผมไม่ได้หันหลังกลับไปมองกราฟ
ผมกลัวความรู้สึกตอนนี้
กลัวเสียงเต้นของมัน
มันทั้งเต้นทั้งสั่น
ตามจังหวะ
หัวใจ

ผมหลับตาลงไล่ความคิดที่กำลังสับสน ก่อนตัดสินใจลุกจากเตียงนอนเดินออกไปหลังห้องหยิบผ้าเช็ดตัวขึ้นพาดบ่าเดินเข้าไปอาบน้ำ ทำกิจวัตรทุกอย่างให้เป็นปกติ แต่ผมรู้ข้างในใจผมตอนนี้มันไม่ปกติ อาบน้ำเสร็จ เปิดตู้เสื้อผ้าหยิบเสื้อยืดกางเกงขาสั้นออกมาใส่ลวกๆ เดินไปหยิบกุญแจรถมอเตอร์ไซค์ที่วางอยู่บนโต๊ะติดกับกองหนังสือการ์ตูนวายที่อ่านจนจบครบหมดทุกเล่ม แต่ยังไม่มีเวลาว่างเอาไปคืนร้านเช่าการ์ตูน สงสัยตอนนี้พี่จ๋าเจ้าของร้านเช่าการ์ตูนคงบ่นถึงผมจนปากแฉะ

ผมวางกุญแจรถมอเตอร์ไซค์ไว้บนโต๊ะเหมือนเดิมแล้วเดินไปหลังห้องอีกครั้งหยิบถุงพลาสติกที่เก็บเอาไว้ เลือกถุงใบใหญ่พอสมควรเดินกลับมาที่โต๊ะหนังสืออีกรอบ หยิบหนังสือการ์ตูนวายใส่ลงในถุงพลาสติกทีละเล่มจนครบหมดทุกเล่ม แล้วค่อยหยิบกุญแจรถมอเตอร์ไซค์ที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาใหม่

ผมยืนมองสำรวจกองหนังสือบนโต๊ะอีกรอบเพื่อความแน่ใจว่าไม่ลืมหนังสือการ์ตูนเล่มอื่นทิ้งเอาไว้ หลังจากแน่ใจว่าหมดเรียบร้อยแล้ว ผมก็ใช้มือซ้ายหิ้วถุงเดินไปเปิดประตูห้อง ล็อกห้องเรียบร้อย เดินออกไปหน้าหอพัก เดินไปเรื่อยๆ ตามทางเดินจนถึงรถมอเตอร์ไซค์คุรุสภาสีขาวที่ผมจอดเอาไว้

ผมเอาถุงพลาสติกใส่ไว้หน้าตะแกรงรถ ไขกุญแจ สตาร์ตรถ ขับรถมอเตอร์ไซค์ออกไป สวนทางกับนักศึกษาที่ขับรถกลับเข้าหอพักหลังจากสอบเสร็จที่มักจะสวมเสื้อแจ็กเกตตัวโต ใส่กันร้อนนอกห้องเรียนและกันหนาวในห้องเรียน เพราะอากาศที่นี่ร้อนมากในหน้าร้อน เมื่อถึงหน้าหนาวอากาศก็หนาวจัด พี่มีนเคยบอกผม เจอทั้งคนที่รู้จักและไม่รู้จักขับสวนมา คนไหนรู้จักก็โบกมือบีบแตรทักทายกันตามมารยาท ส่วนผมก็ขับรถมอเตอร์ไซค์ไปเรื่อยๆ

ในที่สุดผมก็มาถึงร้านเช่าหนังสือการ์ตูน หลังจากจอดรถเสร็จผมก็หยิบถุงพลาสติกหน้าตะแกรง เอาหนังสือไปคืนให้พี่จ๋าเจ้าของร้านเช่าการ์ตูน ผมเดินเข้าไปบริเวณชั้นวางหนังสือการ์ตูนวายที่ผมมักเลือกหยิบเช่าสักเล่มไปอ่านเป็นประจำ แต่วันนี้ผมไม่ได้หยิบการ์ตูนออกมาจากชั้นวางหนังสือแม้แต่เล่มเดียว ผมไม่อยากเช่าการ์ตูน ไม่อยากอ่านอะไร

คืนการ์ตูนเรียบร้อย เดินออกมาจากร้านเงียบๆ ไม่ได้คุยกับพี่จ๋าเหมือนเช่นปกติ สตาร์ตรถเสร็จแล้วก็ขับออกไป ขับไปเรื่อยเปื่อย ขับไปตามถนนของมหาวิทยาลัย เหมือนวันแรกที่ผมมาที่นี่ ขับผ่านสระสามแสน อ่างน้ำที่มีขนาดสามแสนลูกบาศก์เมตร แม้ปัจจุบันจะเพิ่มขนาดเป็นสามล้านลูกบาศก์เมตร แต่คนก็ยังเรียกสระสามแสน ขับผ่านหอแห้วสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยหรือหอสุรนภา หอทรงสูงลักษณะคล้ายดอกบัวตูม แต่นักศึกษามักเรียกหอแห้ว ข้างในมีลิฟต์และบันไดประมาณสองร้อยกว่าขั้น

หอแห้วจะเปิดให้ขึ้นไปชมทัศนียภาพรอบๆ มหาวิทยาลัยและจะเปิดให้ขึ้นไปด้านบนปีละครั้งในวันงานรับปริญญา เชื่อกันว่าหากนักศึกษาเดินขึ้นทางบันไดจะเรียนจบภายในสี่ปี ไม่ได้เป็นพี่เปอร์ ขับผ่านสุรสัมมนาคาร โรงแรมที่ทางมหาวิทยาลัยจัดไว้ให้บริการ ขับผ่านสุรนิทัศน์หรือแอมฟิเธียเตอร์ เป็นเวทีแสดงดนตรีกลางแจ้งขนาดใหญ่ ความจุประมาณสองพันที่นั่ง แต่ถ้าอัดกันนั่งจริงๆ สี่พันคนก็เอาอยู่ แต่นักศึกษามักเรียกติดปากว่าแอมฟิ ขับผ่านอาคารสุรพัฒน์ ขับผ่านศูนย์ซินโครตรอน

ขับไปเรื่อยๆ จนครบถนนทุกเส้นของทางมหาวิทยาลัย ขับออกไปหลังมหาวิทยาลัยไปอ่างเก็บน้ำห้วยยาง จอดรถมอเตอร์ไซค์ไว้บนสะพานนั่งอยู่บนรถสักพัก ปล่อยอารมณ์ให้ปลิวไปกับสายลม เผื่อได้คำตอบให้ตัวเอง แต่ก็ว่างเปล่า ผมตัดสินใจสตาร์ตรถขับกลับเข้าไปในมหาวิทยาลัยอีกครั้ง ขับเข้าไปเส้นอาคารเรียนรวม จอดรถแล้วเดินตรงไปลานย่า ลานสัญลักษณ์ของทางมหาวิทยาลัยที่มีรูปปั้นเท้าสุรนารี รอบๆ ลานสัญลักษณ์มีหุ่นปูนปั้นช้าง ม้า วางเรียงรายมากมาย ซึ่งช่วงก่อนสอบจะมีนักศึกษามากราบไหว้รวมถึงบนบานเอาไว้ ขอให้จบในสี่ปีบริบูรณ์บ้าง ขอให้จบด้วยเกรดสูงกว่า 2.75 บ้าง หรือขอให้ไม่ติด F ก็มี พอถึงช่วงเปิดเทอมจึงมักจะมีประเพณีขัดลานย่าตามมา นักศึกษามักจะหมุนเวียนมาทำความสะอาดตามจำนวนความยากของพรที่บนบานเอาไว้ อาจจะสักหนึ่งอาทิตย์หรือไม่ก็เป็นเดือนๆ ก็เคยมี ผมเคยพาเพื่อนตัวกลมมาบนกับย่าเอาไว้เหมือนกันหลังสอบกลางภาคที่ผ่านมาเพราะทำคะแนนสอบได้ไม่ดี แต่ผมไม่เคยบนอะไรไว้กับย่า จุดธูปเทียนไหว้ย่าเสร็จแล้ว ผมก็เดินไปหยิบไม้กวาดเริ่มกวาดตั้งแต่ฐานรอบๆ ลานสัญลักษณ์จนถึงชั้นที่สอง กวาดเสร็จก็หยิบถังน้ำกับไม้ถูพื้นที่วางอยู่ใกล้ๆ เปิดก๊อก จุ่มไม้ถูพื้น เริ่มลงมือถูพื้น

แสงแดดเริ่มอ่อนแสงลง ผมปัดกวาดเช็ดถูอยู่นาน จนมีนักศึกษาชายหญิงคู่หนึ่งเดินถือดอกไม้ธูปเทียนเข้ามา หลังจากถูเสร็จผมก็เดินกลับออกไปเอารถที่จอดเอาไว้ ระหว่างทางเดิน เสียงโทรศัพท์ผมก็ดังขึ้น ผมล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู เมื่อรู้ว่าใครโทรมา ผมก็ตัดสินใจกดปิดเครื่อง เปิดท้ายรถแล้วหย่อนโทรศัพท์ใส่ไว้ใต้เบาะรถมอเตอร์ไซค์
สตาร์ตรถอีกครั้งแล้วก็ขับมาเรื่อยๆ จนถึงเส้นสนามกีฬา จู่ๆ รถผมก็ดับ ก้มหน้าดูหน้าปัด น้ำมันรถผมหมด ตอนนี้แม้แต่รถก็ยังไม่เข้าข้างผม ผมจอดรถทิ้งเอาไว้ เดินเข้าไปนั่งข้างสนามฟุตบอล มองดูคนอื่นเล่นกีฬา ฟ้าเริ่มมืดลง เหมือนฝนกำลังจะตก ลมเริ่มพัดแรงขึ้น คนที่เล่นกีฬาอยู่ในสนามเดินแกมวิ่งออกมาขับรถมอเตอร์ไซค์ออกไปจากสนาม แต่ผมยังนั่งอยู่ที่เดิม

ผมมองเห็นท้องฟ้าตอนเย็นที่กำลังเปลี่ยนสี เงาของเมฆหมอกสีดำอมเทากำลังทอตัวขึ้นบนฝืนฟ้า พร้อมกับความสับสนที่ก่อตัวขึ้นภายในจิตใจ สิ่งเดียวที่ผมพอทำได้ตอนนี้คืออธิษฐานขออย่าให้ฝนตก แต่คำอธิษฐานของผมไม่เป็นผล ผมห้ามให้ฝนหยุดตกไม่ได้ ผมทำได้แค่ปล่อยให้ฝนมันตกไป หยาดเม็ดฝนโปรยตกลงมากระทบตัวผมที่นอนนิ่งไม่ไหวติงบนผืนหญ้า ไร้เกราะกำบัง ไร้หนทางหลีกหนี สายฝนที่กระหน่ำตกลงมาจากฟ้าเหมือนลูกธนูนับพันๆ ลูกพุ่งเข้าทิ่มแทงผ่านร่างกายแทรกซึมเข้ามาถึงจิตใจที่กำลังสับสน

สายฝนที่กำลังตกลงมาจากฟ้าอย่างบ้าคลั่งมันช่างเหน็บหนาวอ้างว้าง ท้องฟ้ามืดมิดมืดมนไม่มีแม้แสงนำทาง ผมเห็นตัวเองยืนไร้เรี่ยวแรงอยู่ในเรือลำเล็กที่กำลังหลงทางในมหาสมุทรอันเวิ้งว้างกว้างใหญ่ มีแค่เพียงแสงริบหรี่จากดวงดาวให้เดินไล่ตาม ฝนหยุดแต่สายน้ำอุ่นที่ไหลออกมาจากดวงตายังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดไหล

ท่ามกลางหมู่ดาวบนผืนฟ้าผมนอนลืมตาครุ่นคิดอยู่กับตัวเองเพียงลำพัง อยากหลับตา หลับฝันเพื่อพบความสุขอันเป็นนิรันดร์
น้ำตาไหลออกมาเงียบๆ ทุกหยาดหยดแห่งความเศร้าพรั่งพรูออกมาราวสายน้ำ มากมายเสียจนกลายเป็นทะเลน้ำตา
ผมไม่รู้ว่าควรต้องทำอย่างไร ได้แต่ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาอย่างช้าๆ ผมยังคงนอนราบไปกับพื้นหญ้ามองดูผืนฟ้าผ่านม่านทะเลน้ำตาไปยังหมู่ดาวที่กำลังทอแสงของตัวเอง ผมมองเห็นทะเลน้ำตาที่มีดวงดาวเป็นฉากหลัง

ทะเลน้ำตาของผมมันไม่มีทีท่าว่าจะหยุดไหลเหมือนหัวใจของผมที่กำลังดำดิ่งลงสู่ความมืดมนเฉกเช่นดวงดาวที่ไร้แสง

ทะเลดาวของผมมีแต่ความมืด เต็มไปด้วยหมู่ดวงดาวอันอับแสง ผมรู้สึกอ่อนแรงไร้เรี่ยวแรงต้านทานที่จะห้ามไม่ให้น้ำตาไหลออกมา

ผมปล่อยให้สายลมช่วยดูดซับเช็ดน้ำตาที่พรั่งพรูไหลออกมาในความมืดที่มีเพียงแสงดาวรางเลือนเพราะทะเลน้ำตากำลังหลั่งไหล

ผมไม่เคยรู้สึก ไม่เคยรู้ตัว ผมเพิ่งรู้ตัวและรับรู้ถึงความอบอุ่นจากสัมผัสที่เขาเอื้อมมือมาจับมือผมเอาไว้

ผมเพิ่งรู้สึกตัวว่าส่วนลึกในหัวใจของผมจากเมื่อก่อนที่เคยนิ่งสงบตอนนี้มันมีเงาของใครบางคนสะท้อนอยู่

มันคือเหตุผลที่ผมมองเห็นความเศร้าท่ามกลางทะเลแห่งดวงดาว…

ผมตกอยู่ในความเศร้า ที่ผมต้องยอมแพ้เพราะไร้หนทางต่อสู้แม้เพิ่งจะรู้สึกตัว

ผมมองเห็นแค่ความว่างเปล่าที่อยู่ภายใต้ความสับสนที่กำลังก่อตัวขึ้น

ผมได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองที่ยังคงเต้นรัวแต่เหมือนไร้ความรู้สึก…

ผมปล่อยให้ความคิดไหลหมุนวนจมอยู่ในทะเลดาว

ปล่อยให้เวลาหมุนตามหน้าที่ของมัน

ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาเรื่อยๆ

ปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไป

ปล่อย...

ผมลุกขึ้นยืนเดินหันหลังให้กับสนามหญ้าเดินตรงมายังรถมอเตอร์ไซค์คุรุสภาสีขาวของผมที่จอดทิ้งเอาไว้ ใช้มือขวาล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงขาสั้นหยิบกุญแจรถออกมาไขเปิดเครื่องสตาร์ตรถ

อ้าว! ลืม รถมอเตอร์ไซค์ผมน้ำมันหมด ความโง่เง่าของผมทำอารมณ์เศร้าผมกระตุก

ผมเดินคอตกค่อยๆ จูงรถไปตามถนนมุ่งตรงกลับหอพัก

Special: แบบทดสอบฉบับยักษ์

ณ ห้องสมุด ช่วงบ่ายแก่ๆ ของวันอาทิตย์มีนักศึกษาหญิงสองคนนั่งอ่านหนังสืออยู่บนโซฟามุมนิตยสาร หนึ่งคนกำลังอ่านนิตยสารเกี่ยวกับบ้าน ส่วนอีกคนกำลังตั้งใจทำแบบทดสอบบนหน้าคอลัมน์เกี่ยวกับความรักในนิตยสารผู้หญิงฉบับหนึ่ง

“เฮ้ย แกอย่างตรง แม่นมาก” หลังจากที่เธอทำแบบทดสอบเสร็จเธอก็สะกิดเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างเพื่อแบ่งปันความตื่นเต้นปนประหลาดใจ
“เวอร์ไปละ”
“ไม่เชื่อ แกลองเล่นดูสิ อยากรู้ไม่ใช่เหรอว่าพี่เขาจะชอบแกหรือเปล่า? ตรงจริงๆ นะเว้ย”
จากนั้น
“แก๊! ตรงจริงๆ ด้วย แสดงว่าพี่คนนั้นต้องชอบฉันด้วยแน่ๆ เลยอะ”
ไม่นานหลังจากนั้นสองสาวก็เดินออกไปจากห้องสมุดด้วยความอิ่มเอมในหัวใจ
สองสาวหารู้ไม่ว่าบทสนทนาของพวกเธอทั้งสองคนได้ลอยเข้าหูนักศึกษาชายผิวเข้มร่างยักษ์คนหนึ่งเข้าจนทำให้เขาเกิดความสงสัย จากตอนแรกที่คิดว่าเป็นเรื่องไร้สาระ แต่พอมีคนยืนยันความแม่นจึงตัดสินใจลุกจากโต๊ะที่เขานั่งแล้วเดินไปตรงมุมนิตยสาร เหลือบมองซ้ายขวาเพื่อความแน่ใจว่าไม่เห็นว่ามีใครมอง เขาจึงหยิบนิตยสารเล่มนั้นออกมาจากชั้นวางแล้วค่อยๆ ไล่หาหน้ากระดาษของคอลัมน์ที่นักศึกษาสาวสองคนได้ทำเอาไว้จนเจอ

แบบทดสอบ : เขาชอบเราไหม? เขาคือคนที่ใช่สำหรับคุณหรือเปล่า?
กรุณาตอบถูกในข้อที่ใช่ และข้อไหนไม่ใช่ก็ข้ามไปเลยนะคะ แล้วเรามาลุ้นกันว่าคำตอบในใจของเขาคนนั้นจะ ‘ชอบ’ เราบ้างหรือเปล่าน้า
1.มองไปที่เขาทีไร เขาชอบส่งยิ้มกลับมาให้ทุกที
2.เขาชอบหาโอกาสเข้ามาคุยด้วยเสมอ
3.เขาเคยมาขอคำปรึกษาเรื่องงานหรือการเรียนกับคุณ
4.เขาเคยเอาเรื่องส่วนตัวมาเล่าให้คุณฟังเป็นประจำ
5.เขาเคยชมเครื่องประดับของคุณ > หนุ่มเข้มคิดในใจ ‘แล้วรถมอเตอร์ไซค์ถือว่าเป็นเครื่องประดับไหมวะ?’
6.เขามักเรียกชื่อเล่นของเธอ แถมคุณยังเคยได้ยินว่าเขาแอบตั้งฉายาให้คุณด้วย > เขาลอบยิ้ม เพราะเคยได้ยินมันเรียกเขาว่าพี่เข้ม
7.เวลาเขาคุยอยู่กับกลุ่มเพื่อน แต่สายตาของเขามักมองมาทางคุณเสมอ > พฤติกรรมข้อนี้หนุ่มเข้มเริ่มรู้สึกคุ้นๆ
8.เขาเคยยืมสมุดหนังสือหรือเคยส่งข้อความหวานๆ มาให้ด้วย > เคยให้มันยืมเสื้อ ยังไม่ได้เอาคืนเลย
9.เขาเคยเอาของบางอย่างมาอวดคุณ
10.เขาเคยชวนคุณไปกินข้าวแบบไม่ทันได้ตั้งตัว
11.ทุกครั้งที่เขาคุยกับคุณ เขามักมีท่าทีเก้ๆ กังๆ หรือดูเงียบผิดปกติ
12.เขาเคยถามคุณว่ามีแฟนหรือยัง
13.เขาก็เคยขอเบอร์โทรของคุณ
ถึงเวลาดูคำตอบกันแล้วนะคะ ตอบถูกกันกี่ข้อบ้างเอ่ย?
ถ้าตอบถูกได้ 9 ข้อขึ้นไป อ่านคำตอบที่ A ถ้าตอบถูกได้ 6-8 ข้อ อ่านคำตอบได้ที่ B ถ้าตอบถูกได้ 3-5 ข้อ อ่านคำตอบได้ที่ C ถ้าตอบถูกได้ 0-2 ข้อ อ่านคำตอบได้ที่ D

A – ทางรักของคุณโรยด้วยกลีบกุหลาบ เขา ‘ชอบ’ คุณ
ขอคอนเฟิร์มตรงนี้เลยค่ะว่าเขา ‘ชอบ’ คุณแน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัย ควรหาโอกาสอยู่ด้วยกันแบบสองต่อสอง ถ้าคุณอยากได้ยินคำสารภาพรักจากปากเขา

B – เขาก็เหมือนมีใจให้คุณอยู่นะ
ทำตัวเป็นกันเองเข้าไว้ พยายามสร้างความประทับใจ เพราะเขาก็กำลังรู้สึกถูกใจคุณอยู่บ้างเหมือนกัน

C – เขากำลังสนใจคุณ
คุณเริ่มเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเขาบ้างแล้ว ค่อยๆ ตีสนิท อย่าปล่อยโอกาสนี้หลุดไป

D – เขายังไม่รู้ตัว
‘ช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม’ สำนวนนี้ไม่เหมาะกับคุณอย่างยิ่งในสถานการณ์ตอนนี้ คุณอย่ามัวแต่เก็บความรู้สึก จะทำอะไรก็รีบทำ ไม่เช่นนั้นคุณจะพลาด ถึงเวลาออกล่าของคุณแล้ว Let’s go!

อ่านคำตอบจบเขาก็ยิ้มกับตัวเอง เขาเคยทำเหมือนคำถามในแบบสอบถามมากกว่า 9 ข้อ
END

ออฟไลน์ ryoushena

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +157/-2
THE CALL - เมื่อผมเป็นพ่อสื่อให้คางคก

The Call Chapter 19: เด็ก ‘หลง’

“มะนาว!”

เด็กหนุ่มที่กำลังยืนกดโทรศัพท์อยู่หน้าหอพักรู้สึกเหมือนถูกใครเรียกจากทางด้านหลังจึงหันหลังกลับไปหาต้นเสียง เขาเห็นชายหนุ่มผิวขาวหน้าตี๋ตัวหนาสูง ตัดผมทรงสกินเฮด สวมเสื้อยืดสีขาวคอกลม ใส่กางเกงขาสั้นเลยเข่าสีดำ มีรอยสักที่ต้นแขนขวากับน่องขาด้านซ้าย ใบหน้าฉาบด้วยรอยยิ้มกำลังเดินตรงเข้ามาหาเขา

“ทางนี้! สอบเสร็จแล้วใช่ไหม?”

“ครับ?”

“ไปเดินเล่นเซฟวันกัน ไปช่วยพี่ถือของหน่อยปะ”

หนุ่มตี๋ตัวสูงเห็นอีกคนไม่ได้ตอบอะไรออกมามีท่าทีลังเลอยู่เลยพูดออกไปว่า

“หรือเราไม่สะดวก?” หนุ่มตี๋เลิกคิ้วถาม ยืนนิ่งรอฟังคำตอบจากอีกคน

“เปล่าครับ คือตอนนี้ผมหิว” หนุ่มตี๋พอได้ยินคำตอบก็อดยิ้มปนเอ็นดูไม่ได้

“วันนี้ป๋าจิ้นเลี้ยง โอเคไหม?” หนุ่มตี๋เอามือตบหน้าอกตัวเองเบาๆ ทำท่าทางเหมือนป๋าแก่ๆ ที่ใจดีและสปอร์ต กำลังจะหลอกล่อพาอีหนูไก่อ่อนไปเลี้ยงข้าวแล้วค่อยฟัด “แล้วเราอยากกินอะไร?”

“อยากกินเหล้าปั่นเย็นๆ”

“เฮ้”

“ล้อเล่นน่ะครับ อาหารตามสั่งก็ได้ครับพี่”

หนุ่มตี๋กระตุกมุมปากยกยิ้มรู้สึกขำกับคำตอบของเด็กหนุ่มอีกคน “อาการหลังสอบเสร็จสินะ งั้นเดี๋ยวไปกินข้าวก่อน เหล้าปั่นค่อยกินทีหลัง โอเค้” พี่ตี๋จิ้นยกนิ้วมือเป็นสัญลักษณ์ OK บริเวณตาข้างซ้าย แววตาเขาช่างวิบวับแวววาวดูพออกพอใจที่วันนี้มีหนุ่มหน้าใสที่หมายตาไว้ได้มานั่งซ้อนท้ายเสียที

ตกลงกันเสร็จสรรพหนุ่มตี๋ก็เดินนำเด็กหนุ่มอีกคนให้เดินตามหลังมายังรถเวสป้าสีครีมที่มีธงติดอยู่ท้ายรถ แล้วทั้งคู่ก็ขับรถมุ่งตรงออกไปยังร้านข้าว ระหว่างทางหนุ่มตี๋ที่รับตำแหน่งคนขับรถก็ผิวปากเป็นเพลงไปตลอดทางอย่างคนอารมณ์ดี

“เบาะนิ่มไหม?”

“เบาะเหรอครับ ก็นิ่มดีนะครับ”

“แต่นิ่มไม่สู้แก้มพี่หรอกครับ”

“เห ได้เหรอฮะ แบบนี้ ฮ่าๆๆ”

“ได้ดิ ลองจับดูไหม”

“อย่าดีกว่าครับ เกรงใจ”

“ฮ่าๆๆ”

ร้านข้าวที่พี่จิ้นพามากินเป็นร้านนมผสมร้านอาหารที่ดัดแปลงจากตึกทาวน์เฮาส์ขนาดกว้างประมาณสองคูหา บริเวณด้านหน้าของร้านถัดจากประตูรั้วเหล็กดัดสีน้ำตาลเข้ามาเล็กน้อยมีต้นบานบุรีพุ่มใหญ่เลื้อยพาดไปตามรั้วที่กำลังแข่งกันออกดอกรูปแตรสีม่วงอยู่เต็มปลายยอด บรรยากาศจึงเหมือนนั่งกินข้าวที่บ้าน

ร้านนี้เริ่มเปิดขายตั้งแต่ช่วงเย็นไปจนถึงดึกประมาณตีสอง มีทั้งอาหารคาวหวานและไอศกรีม รวมถึงพวกขนมปังปิ้งต่างๆ ให้บริการด้วย เมนูขึ้นชื่อก็มีสเต๊กหมูจิ้มแจ่ว เนื้อหมูสเต๊กปรุงสุกใหม่ๆ ที่เสิร์ฟคู่กับข้าวสวยร้อนๆ พร้อมน้ำจิ้มแจ่วรสเด็ด ซึ่งเมนูนี้ก็ถูกสั่งมาสำหรับสองที่

“เป็นไงบ้าง อร่อยไหม”

“อร่อยฮะ ข้าวนุ่มดี” เด็กหนุ่มที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามเงยหน้าขึ้นมาตอบกับหนุ่มตี๋ เขาเห็นอะไรบางอย่างติดที่ริมฝีปากล่างของอีกคนจึงพยายามชี้นิ้วบอก พอหนุ่มตี๋รู้ตัวก็พยายามแกล้งใช้มือลูบตามคางตามแก้มให้ไม่ถูกจุดที่มีข้าวติด

เด็กหนุ่มนั่งมองหนุ่มตี๋พยายามปัดเศษเม็ดข้าวอยู่นานแต่เม็ดข้าวก็ยังติดอยู่ที่เดิม อีกคนจึงตัดสินใจลุกขึ้นจากเก้าอี้ค่อยๆ โค้งตัวเอื้อมมือเข้าไปหาหนุ่มตี๋ตัวสูงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวตรงข้ามเพื่อหยิบเม็ดข้าวที่ติดอยู่ที่ปากออก หน้านิ่มเหมือนข้าวเลยแฮะ

“เม็ดข้าวติดน่ะครับ”

“อ...อ้อ น่าขายหน้าจังเลย แล้วยังมีติดอยู่ตรงไหนอีกไหมน้า” หนุ่มตี๋ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆ อีกคน พลางยื่นแก้มที่ทำป่องลมขวาทีซ้ายทีให้อีกฝ่ายช่วยดูให้ แถมพี่ตี๋ยังมือไว จับมือเรียวๆ ของอีกฝ่ายมาปัดหน้าปัดปากตัวเองขำๆ อีก ถ้าไม่สังเกตคงคิดว่าหนุ่มตี๋ทะเล้นทะลึ่งแกล้งต้อนให้อีกคนจนมุม แต่ถ้าดูดีๆ จะรู้ว่าเขาพยายามทำแก้เก้อเพราะเมื่อกี้เขารู้สึกฟินสุดๆ ที่นิ้วมือนุ่มๆ มาจับหน้าของเขา และตอนนี้หน้าเขาก็ขึ้นสีแดงนิดๆ อย่างว่าแหละ คนมันเขิน แต่โทษที อีกฝ่ายไม่ใช่ไก่อ่อนอย่างที่คิด เขารู้น่า อย่ามาตีเนียนกลบเกลื่อนนะ คนแบดๆ เวลาทำอะไรปกปิดนี่ก็น่าเอ็นดูไม่เบา

ทานข้าวเสร็จทั้งสองคนก็มุ่งหน้าไปตลาดนัดกลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดในโคราช ระหว่างนั้นคนซ้อนท้ายก็พยายามกดโทรศัพท์แต่ปลายทางก็ขึ้นข้อความเสียง ‘ไม่สามารถติดต่อหมายเลขปลายทางได้ขณะนี้’ ตลอดเวลา
ก่อนถึงหนุ่มตี๋แวะจอดเอาหมวกกันน็อกจากร้านประจำที่สั่งซื้อเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้ว

ณ ร้านขายของเกี่ยวกับรถเวสป้า

“หวัดดีครับเฮีย หมวกกันน็อกเสร็จยังครับ” หนุ่มตี๋ยกมือขึ้นไหว้เจ้าของร้านที่มีลักษณะเหมือนพวกยากูซ่าญี่ปุ่นและมีสไตล์การเลือกใช้สีในการแต่งตัวที่ไม่ซ้ำแบบใคร และถ้าคุณเดินผ่านก็ต้องอุทานว่า ‘โคตรเจ็บ’

“ของมาละ มึงจะเอาไปเลยไหม”

“เอาเลยครับ”

พอได้คำตอบยากูซ่าร่างใหญ่หัวเกรียนก็เดินกลับเข้าไปหลังร้านหยิบหมวกกันน็อกสองใบออกมายื่นส่งให้หนุ่มตี๋ พร้อมกับชำเลืองผ่านกระจกมองออกไปบริเวณหน้าร้านเพื่อสำรวจเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่บนเบาะรถเวสป้า ก่อนจะกระซิบที่หูให้ได้ยินกันแค่สองคนว่า “นี่ใช่ไหม เด็กมึงที่เคยเล่าให้ฟัง น่ารักดีนี่หว่า” พูดเสร็จก็ตบไหล่อีกคนเบาๆ

หนุ่มตี๋ยิ้มรับเป็นคำตอบก่อนจะล้วงมือหยิบกระเป๋าสตางค์ในกระเป๋ากางเกงออกมา แล้วยื่นธนบัตรสำหรับค่าหมวกกันน็อกส่งให้ยากูซ่าร่างใหญ่เจ้าของร้าน

“เฮ้ย! ไม่ต้อง คราวนี้กูไม่คิดเงิน คิดซะว่าค่าซองกินดองมึงละกันจิ้น เผื่อวันไหนมึงแต่ง กูจะได้ไม่ต้องใส่ซองอีก” ยากูซ่าร่างใหญ่กล่าวอย่างอารมณ์ดีราวกับว่ากำลังได้ของเล่นชิ้นใหม่ที่ถูกใจ

“ขอบคุณครับ ผมไปละ”

“เออ ได้เสียเมื่อไหร่ให้รีบมาบอก เด็กมึงโคตรน่าให้ดูเอ็น”

หนุ่มตี๋อมยิ้มนิดๆ แต่ยังไม่ทันเดินออกมาพ้นจากร้านดี เขาก็ได้ยินเสียงยากูซ่าร่างใหญ่ร้องตะโกนไล่ตามหลังออกมา
“ระวังอย่าดุกับน้องเขามากนะโว้ย เด็กเผ่นหมด!”

“รอนานไหม น่าจะเข้าไปด้วยกัน” หนุ่มตี๋ให้เด็กหนุ่มอีกคนที่เขาพามาด้วยนั่งรออยู่บนเบาะรถที่จอดไว้หน้าร้านเพราะเขาไม่อยากให้ ‘เด็ก’ ที่ตัวเองพามาด้วยถูกแทะโลมด้วยสายตาจากเฮียเจ้าของร้าน เพราะเขา ‘หวง’ ถึงแม้ว่าเฮียจะมีเมียแล้วก็เถอะ
“ไม่ครับ แป๊บเดียวเอง แล้วไหนล่ะครับของที่ให้ช่วยถือ”

“ไม่ต้องถือหรอก ใส่ไปเลยก็ได้”

หนุ่มตี๋หยิบหมวกกันน็อกอีกใบที่ลักษณะเหมือนกันกับใบที่เขาถืออยู่สวมลงบนหัวเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่บนเบาะ ต่างกันแค่อักษรภาษาอังกฤษตัวเล็กที่อยู่ด้านหลังหมวกใบละหนึ่งคำ คือ ‘boyy’ และอีกใบเขียนว่า ‘friend’ ถ้าแยกใส่คงไม่มีความหมายมากมายอะไร แต่ถ้าใส่เป็น ‘คู่’ มันก็จะมีความหมายถูกใจคนซื้อทันที นี่คือเหตุผลที่เขาสั่งซื้อหมวกกันน็อกมาสองใบเพื่อใส่คู่กัน พอเห็นอีกฝ่ายใส่ได้พอดีก็ลอบยิ้มให้กับตัวเองอย่างภูมิใจ (ซึ่งใครก็ใส่พอดีทั้งนั้น)

เสร็จธุระรถเวสป้าสีครีมก็เคลื่อนตัวออกไปตามถนนโดยมีจุดหมายปลายทางเป็นตลาดนัดกลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดของเมืองโคราช
เหลืออีกแค่โค้งเดียวก็จะถึงที่หมายแต่จู่ๆ ฝนก็เริ่มลงเม็ดอีกรอบเปาะแปะๆ ก่อนจะตกลงมาอย่างหนักซ่าๆ!

หนุ่มตี๋รีบเร่งความเร็วขับตรงเข้าไปหาที่จอด แต่กว่าจะหาที่จอดรถได้ทั้งสองคนเนื้อตัวก็เปียกปอนไปด้วยน้ำฝนจนเสื้อยืดสีขาวตัวบางที่ใส่มาแนบลู่เข้ากับลำตัว พอหนุ่มตี๋สังเกตเห็นจึงรีบอาสาไปเสื้อยืดมาเปลี่ยน เพราะกลัวว่าคนอื่นจะเห็น ‘จุดสีชมพู’ ที่ลูกตาเขาเพิ่งสังเกตเจอ

“เปียกจนได้ วันนี้โชคไม่ดีแฮะ กลับกันเลยดีกว่า”

“เดินไปเดินมา เสื้อก็น่าจะแห้งนะครับ”

“อยากเดินเหรอ”

“ก็อยากลองเดินดูนะครับ”

“เอ...อยากเดินใช่ไหม แต่ถ้าใส่เสื้อเปียกๆ แบบนี้ ไม่น่าจะเวิร์ก งั้นยืนรอตรงนี้แป๊บหนึ่งนะ เดี๋ยวพี่เดินไปซื้อเสื้อมาเปลี่ยน”
“ไม่เป็นไรครับ อีกเดี๋ยวก็คงแห้ง เปลืองตังค์”

“เอาน่า ซื้อตัวใหม่เปลี่ยนแหละดีแล้ว พี่ไม่อยากให้เราไม่สบาย แล้วก็ห้ามดื้อ ยืนรอตรงนี้แป๊บเดียว แต่ถ้าดื้อ พี่พากลับเลย ไม่รู้ด้วยนะ”

จากจุดที่ยืนหลบฝนหนุ่มตี๋พยายามสอดส่ายสายตามองหาร้านขายเสื้อยืดสำหรับผู้ชาย มองไปรอบๆ ก็เจอแต่ร้านขายเสื้อสำหรับผู้หญิงเต็มไปหมด เขาจึงรีบวิ่งฝ่าสายฝนไปอีกซอยที่อยู่ติดกันก็เห็นร้านขายเสื้อยืดอยู่หนึ่งร้านจึงรีบเดินเข้าไปข้างในร้านทันที

พอเดินเข้าไปถึงด้านในร้าน กวาดตามองเสื้อที่แขวนเอาไว้ถึงรู้ว่าร้านนี้ขายเสื้อยืดก็จริงแต่เป็นเสื้อสำหรับคู่รัก มีเสื้อยืดสีหวานที่มีลายข้อความกุ๊กกิ๊กไซซ์ผู้หญิงกับไซซ์ผู้ชายแขวนคู่กัน เขาจึงถอยหลังกลับเพราะอยากได้เสื้อไซซ์ผู้ชายสองตัว แต่ถูกคนขายร้องทักเอาไว้ซะก่อน

“อยากได้ลายแบบไหนหนุ่ม ลองเลือกดูได้นะ แต่ถ้าเลือกไม่ถูก มีลายในใจหรือเปล่า เดี๋ยวช่วยหา”

“ผมอยากได้เสื้อผู้ชายสองตัว พี่แยกขายไหมครับ?” เขาถามเพราะคิดว่าร้านขายเสื้อคู่รักแบบนี้น่าจะขายเป็นคู่

“เสื้อคู่ผู้ชายกับผู้ชาย ร้านพี่ก็มีหนุ่ม ไม่ต้องแยกขาย ผู้หญิงกับผู้หญิงร้านพี่ก็ยังมีเลย เมื่อกี้ไม่ได้อ่านชื่อร้านพี่อะดิ” คนขายบุ้ยปากไปที่ป้ายหน้าร้านที่เขียนว่า UNCONDITION LOVE “แล้วแฟนเราใส่ไซซ์อะไรล่ะ”

“น่าจะใส่ไซซ์ M ที่ร้านพอจะมีเสื้อสีดำลายที่ไม่ใช่ตัวการ์ตูนหรือข้อความหวานๆ ไหมครับ” เขาไม่อยากให้อีกคนที่มาด้วยใส่สีขาวเผื่อขากลับฝนตกลงมาอีกรอบ

“โจทย์ยากว่ะหนุ่ม แต่ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่หาให้” คนขายก้มลงหยิบเลือกเสื้อที่ชั้นวางก่อนเงยหน้าขึ้นมาถาม “เป็นลายนี้ได้ไหมล่ะ?”คนขายกางเสื้อยืดสีดำสองตัวให้ดู มีข้อความภาษาไทยสีขาวพิมพ์เอาไว้ตรงกลางด้านหน้าของเสื้อตัวละหนึ่งคำ

หนุ่มตี๋มองดูข้อความบนเสื้อเสร็จก็พยักหน้าตกลงด้วยความพอใจ จนคนขายได้แต่คิดว่าคนมีความรักช่างสดใสจริงๆ เลยน้า สงสัยกำลังอยู่ในช่วงข้าวใหม่ปลามันแน่ๆ

หลังจากจ่ายเงินค่าเสื้อเรียบร้อยหนุ่มตี๋ก็รีบเดินกลับไปหาอีกคนที่ยืนรออยู่พร้อมกับยื่นถุงเสื้อให้

“ขอบคุณครับ”

“ใส่ได้ไหม?”

“ครับ?”

“ข้อความบนเสื้ออาจจะดูแปลกๆ หน่อย”

เด็กหนุ่มอีกคนก้มหน้าลงไปมองข้อความบนเสื้อ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาตอบ “อ่อ แค่นี้เอง ใส่ได้ครับ”

“งั้นเดี๋ยวพี่พาไปเปลี่ยนเสื้อ ห้องน้ำตรงนู้น”

“ไม่ต้องไปห้องน้ำก็ได้ครับ เปลี่ยนตรงนี้เลยก็ได้” จบประโยคเขาก็ถอดเสื้อยืดสีขาวที่เปียกน้ำฝนออกทันที แล้วกางเสื้อยืดสีดำที่เพิ่งซื้อมาสวมแทนตัวเดิมอย่างรวดเร็ว หนุ่มตี๋ยืนจ้องเหตุการณ์ตรงหน้าแทบไม่กะพริบตา ถอดเร็วไป ขอ RE-PLAY ใหม่อีกสักสิบรอบ เขาคิดในหัว

“แล้วพี่ไม่เปลี่ยนเสื้อ?”

“อะ...อ่อ เอ้อ...” หนุ่มตี๋จึงรีบถอดเสื้อเปียกออก ใส่เสื้อตัวใหม่แทนทันที รอจนฝนหยุดตกพวกเขาทั้งคู่ถึงออกไปเดิน วันนี้คนเดินตลาดนัดค่อนข้างน้อยหากเทียบกับวันปกติ อาจจะเป็นเพราะฝนเพิ่งหยุดตก คนที่มาเดินซื้อของจึงดูบางตา บ้างก็ถือร่มติดมือมาด้วยเผื่อฝนตกลงมาอีกรอบ

ตื๊ดดด ตื๊ดดด ตื๊ดดด
ตื๊ดดด ตื๊ดดด ตื๊ดดด
ตื๊ดดด ตื๊ดดด ตื๊ดดด

เด็กหนุ่มผิวขาวล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง หยิบโทรศัพท์ที่กำลังสั่นขึ้นมากดรับสาย

“ฮัลโหลแม่”

“ถึงแล้ว”

“ครับๆ แค่นี้ก่อนนะแม่ หนูกำลังเลือกถุงเท้า”

สองหนุ่มแวะที่ร้านขายถุงเท้า เห็นเด็กหนุ่มอีกคนยืนเลือกซื้ออยู่นาน หนุ่มตี๋จึงอาสาช่วยเลือก

“ให้พี่ช่วยไหม เราจะซื้อกี่คู่” หนุ่มตี๋เห็นในมือของเด็กหนุ่มถือถุงเท้าแบบเดียวกันต่างกันแค่สี กะจากสายตาคร่าวๆ ตอนนี้ที่ถืออยู่น่าจะมีประมาณสี่คู่จึงเอ่ยปากถามด้วยความสงสัย

“ครับ” เด็กหนุ่มอีกคนพยักหน้ารับแล้วโบ้ยปากไปที่ป้ายกระดาษที่เขียนด้วยลายมือหวัดๆ ติดเอาไว้ด้านบนแผงขายถุงเท้า ‘5 คู่ 100’

“จริงๆ อยากได้แค่สี่คู่” หนุ่มตี๋กวาดตามองถุงเท้าที่วางอยู่ แล้วสายตาก็ไปสะดุดกับบางอย่างเข้า

“เอาสี่คู่ก็ได้มั้ง” เขากระซิบบอกที่หูของอีกคนเบาๆ ก่อนจะสะกิดให้มองป้ายอีกอันที่วางอยู่กับถุงเท้า ‘คู่ละ 20’

“อ้าว!” เขาอุทานออกมาเบาๆ ยืนเลือกอยู่ตั้งนาน

หนุ่มตี๋เห็นอาการของอีกคนที่ทำหน้าบรรลุก็อดจะพูดแซวแหย่เล่นไม่ได้

“งั้นพี่ช่วยซื้อคู่หนึ่ง หนูช่วยเลือกให้หน่อยสิ” เด็กหนุ่มเลือกถุงเท้าจากบนแผงยื่นลายแมวการ์ฟีลด์กับลายมิกกี้เมาส์ให้พี่จิ้นเลือก

“ถ้าสองคู่นี้เหรอ งั้นพี่เอาคู่นี้ ชอบหนูมากกว่า” หนุ่มตี๋ยิ้มมุมปาก หยิบถุงเท้ารูปมิกกี้เมาส์ส่งให้คนขาย ส่วนอีกคู่ที่เป็นรูปแมวการ์ฟีลด์หยิบไปวางไว้ที่เดิม

สองคนกับเสื้อคู่สีดำก็เดินดูของไปเรื่อยๆ ร้านไหนสนใจก็แวะเข้าไปดูบ้าง ไม่ได้รู้ตัวเลยว่ากำลังถูกสายตานับร้อยๆ คู่จ้องมองมาที่พวกเขาในระหว่างที่กำลังเดินดูของในตลาดนัด

“เธอๆ ดูนั่นๆ”

หญิงสาววัยทำงานสองคนอายุประมาณสามสิบต้นๆ สะกิดเพื่อนให้หันมามองผู้ชายสองคนที่สวมเสื้อยืดสีดำเหมือนกันและกำลังจะเดินผ่านพวกเธอไป ชายหนุ่มหน้าตี๋ใส่คำว่า ‘หลง’ ส่วนตัวเล็กกว่าอีกคนใส่คำว่า ‘เด็ก’

“ตายแล้ว เปรี้ยวมาก ฉันรู้สึกตาทั้งสองข้างกำลังจะลุกเป็นไฟ”

“อิจฉาใช่มะ”

“ไม่น่าถาม” หญิงสาวอีกคนตอบเพื่อนด้วยน้ำเสียงขมขื่นก่อนจะพูดขึ้นมาอีกประโยค “สงสัยลอยกระทงปีนี้ ฉันคงต้องอยู่ในกลุ่มยี่สิบเปอร์เซ็นต์อีกปีแน่เลย”

“ทำไม”

“อ้าว ไม่น่าถามเล้ยยย ก็เขาบอกว่าคืนวันลอยกระทง แปดสิบเปอร์เซ็นต์ผู้หญิงมักจะเสียตัว แล้วเธอเบิ่งตาดูสิ ผู้ชายหน้าตาดีสองคนหันมาบริโภคกันเองหมด แล้วฉันจะยังเหลือความหวังอะไรให้ฝันถึงอี๊ก!” สิ้นประโยคสุดท้ายเธอขึ้นเสียงสูงมากกกก...

“ฟังแล้วคิดตามฉันเริ่มรู้สึกเครียด วันนี้เราชอปปิ้งให้กระเป๋าฉีกกันเถอะ แม่ชอป ชอป ชอป ให้กระเป๋าฟิบเลย”

“จ้ะ เอาเต็มที่เลยจ้ะเพื่อน แต่ชอปเสร็จแล้วขอต่อด้วยบุฟเฟต์หมูกะทะนะ”

“ไหนเธอบอกว่าไดเอต”

“เอาไว้วันหลัง วันนี้เครียด”

“เธอๆ”

“อะไรอีก”

“เธอดูหลังเสื้อของคู่เมื่อกี้ใหม่สิ”

หญิงสาวอีกคนที่ถูกเพื่อนสะกิดก็รีบหันหลังกลับไปมองผู้ชายสองคนที่เพิ่งเดินสวนกับพวกเธอไป เธอถึงกับเบิกตากว้างเพื่อจะได้อ่านข้อความบนเสื้อให้ถนัด รู้สึกว่าที่ใบหน้ากำลังเห่อแดงด้วยความร้อน

เธอเห็นข้อความด้านหลังเสื้อคนตัวสูงพิมพ์คำว่า ‘ผัว’ ส่วนอีกคนที่ตัวเล็กกว่าพิมพ์คำว่า ‘รัก’

‘ผัว’ ‘รัก’

“รัก-ผัว” เธอไล่อ่านข้อความบนเสื้อของทั้งสองอีกครั้ง ก่อนจะนำมาเรียงต่อกันอีกรอบ “ผัว-รัก”

“แซ่บ!”

“อะไรมันจะเด็ดปานนั้น โอ๊ยยยย อิจในอิจในอิจในอิจจจ”

แล้วสองสาวที่มีแนวโน้มจะถูกจัดอยู่ในยี่สิบเปอร์เซ็นต์สำหรับคืนวันลอยกระทงก็เดินออกจากตลาดนัดเพื่อไปฟีเจอริ่งกับหมูกระทะตามที่ตั้งใจเอาไว้

ขณะที่เด็กหนุ่มก้าวขาขึ้นซ้อนท้ายรถเวสป้าสีครีมที่มีหนุ่มตี๋ร่างยักษ์เป็นคนขับ ตาเขาก็เบิกกว้างเพราะเขาเห็น ‘ผัว’ ตัวใหญ่ติดอยู่ด้านหลังหนุ่มตี๋ กว่าเขาจะรู้ตัวอีกทีก็เดินจนเสร็จ แต่เหมือนหนุ่มตี๋จะยังไม่รู้ตัว เขานั่งเงียบไม่ได้พูดอะไรออกไป ทั้งคู่ขับรถเวสป้าสีครีมมุ่งหน้ากลับเข้ามหาวิทยาลัย แต่ไม่ได้ขับตรงดิ่งเข้าหอพักเพราะเขาจะพาเด็กที่นั่งซ้อนท้ายไปกินเหล้าปั่นเย็นๆ พวกเขาจึงขับรถแวะที่ร้านเหล้าปั่นก่อน บรรยากาศร้านเหล้าปั่นคืนนี้เริ่มคึกคักแล้วเพราะนักศึกษาส่วนใหญ่เริ่มสอบเสร็จกันหมดแล้ว ทำให้มีกลุ่มนักศึกษาทั้งชายและหญิงชักชวนกันออกมาเลี้ยงฉลองสอบเสร็จก่อนจะกลับบ้านในช่วงปิดเทอม
“สั่งเต็มที่ได้เลยนะ”

“งั้น รบกวนพี่สั่งให้หน่อยนะครับ ขอตัวไปโทรศัพท์แป๊บหนึ่ง”

“น้องบลูฮาวายเหยือกหนึ่ง” หนุ่มตี๋หันไปสั่งเครื่องดื่มกับพนักงานเสิร์ฟ

“เอาแคนตาลูปกับกามิกาเซ่อีกอย่างละเหยือก เพิ่มวอดก้าอย่างละสองช็อตนะครับ” เด็กหนุ่มอีกคนหันมาสั่งเพิ่มหลังจากที่พยายามโทรศัพท์หาใครสักคนแต่ก็ยังโทรไม่ติดอยู่ดี ขณะที่นั่งรอเหล้าปั่นอยู่บนโต๊ะหนุ่มตี๋สังเกตเห็นเด็กหนุ่มพยายามโทรศัพท์อยู่หลายทีแถมมีท่าทางร้อนใจ

“รีบหรือเปล่า?”

“เปล่าครับ”

“สอบเสร็จแล้ว ปิดเทอมนี้พี่ก็จะจบแล้วนะ”

“ครับ?” เด็กหนุ่มอดแปลกใจไม่ได้ที่จู่ๆ อีกฝ่ายก็พูดขึ้นมา “แล้วพี่ไม่ไปฉลองที่ไหนเหรอครับ?”

“ตอนนี้ก็ฉลองอยู่” หนุ่มตี๋ตอบยิ้มๆ

“ดีจังเลยฮะ ผมนี่สิอีกหลายปีกว่าจะจบ” เด็กหนุ่มตอบก่อนจะหันเรียกเด็กเสิร์ฟเพื่อสั่งเหล้าปั่นเพิ่ม “พี่ครับขอเพิ่มแคนตาลูปกับกามิกาเซ่อีกอย่างละเหยือก เพิ่มช็อตเหมือนเดิมนะครับ”

นั่งกินกันไปพักใหญ่ๆ เด็กหนุ่มก็เริ่มรู้สึกตึง มึน และเมา แต่เก็บอาการเก่งไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมา จนเหล้าปั่นหมดทั้งสองคนจึงเดินออกจากร้านพร้อมกันโดยหนุ่มตี๋เดินนำหน้าออกไปก่อนเพราะต้องเดินไปขับรถออกมารับอีกคน

บนถนนเส้นยาวใต้แสงไฟสีเหลืองนวลอมส้มรถเวสป้าสีครีมกำลังขับเคลื่อนไปตามทาง มีชายหนุ่มหน้าตี๋ทำหน้าที่คนขับและมีเด็กหนุ่มซ้อนท้าย ระหว่างทางไม่มีใครพูดอะไรออกมา เพราะอีกคนกำลังคิดอะไรบางอย่าง

รถเวสป้าค่อยๆ ชะลอความเร็วลง จนจอดสนิทใต้แสงไฟสีเหลืองส้ม

ชายหนุ่มหน้าตี๋หันหลังกลับมามองหน้า สบตาอีกคนนิ่งแล้วพูดประโยคที่เขาคิดว่าควรจะบอก
“เรารู้ใช่ไหมว่า พี่ชอบเราน่ะ”

เด็กหนุ่มที่นั่งอยู่บนเบาะนิ่งสนิทไร้ซึ่งการเคลื่อนไหว

ปากเขาค่อยๆ ระบายยิ้มออกมา

แล้วขยับปากพูดโต้ตอบ

ด้วยเสียงอ้อแอ้

ตามประสา

‘คนเมา’

“ชอบก็จีบสิครับ? ง่ายๆ ตรงๆ ไม่ซับซ้อน” พูดเสร็จก็เอานิ้วไปจิ้มที่แก้มหนุ่มตี๋จึกๆ

“...”

“ตัวพี่กลิ่นดีนะครับ หอม...” เด็กหนุ่มเคลื่อนหน้าเข้ามาใกล้ ใช้ปลายจมูกซุกที่อกหนา ดมฟุดฟิด

หนุ่มตี๋รู้สึกว่ากำลังถูก ‘เด็กยั่ว’ เขาสบตาอีกฝ่ายนิ่ง ต่างฝ่ายต่างจ้องกันและกัน พลางสำรวจอย่างท้าทาย เป็นฝ่ายของตี๋จิ้นที่เคลื่อนตัวมาจูบอย่างรุนแรงเอาแต่ใจ จนอีกฝ่ายยืนไม่ไหว หนุ่มตี๋จึงถอนปากออกแล้วถามประโยคถัดมา

“นอนห้องพี่นะ”

เด็กหนุ่มอีกคนระบายยิ้มน้อยๆ เป็นคำตอบ
รู้ตัวอีกทีร่างกายเด็กหนุ่มขี้เมาก็ไม่มีเสื้อผ้าติดกายแม้แต่ชิ้นเดียว เขาถูกหนุ่มตี๋ใช้ปลายลิ้นลากเลียตั้งแต่หน้าท้อง ค่อยๆ ไล่โลมเลียไต่ขึ้นมาจนถึงหน้าอก ลำคอ ใบหู ก่อนจะปิดผนึกด้วยแรงบดหนักๆ ทับลงที่กลีบปากแดงซ้ำๆ เด็กหนุ่มขนลุกเกรียวไปทั้งตัว สองจุดสีชมพูก็ลุกชูตั้งชันแข็งเป็นไต หนุ่มตี๋ใช้นิ้วเรียวยาวสอดเข้าไปในช่องทางคับแคบอย่างช้าๆ ไม่รีบร้อน จากหนึ่งนิ้วเป็นสองนิ้ว และเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ เกิดเป็นเสียงเฉอะแฉะดังขึ้นเป็นระยะ พอเริ่มรู้สึกผ่อนคลายอาการเกร็งลง เขาจึงค่อยๆ ถอนนิ้วมันวาวออก ก่อนออกคำสั่งให้ลูกชายร่างยักษ์ที่สวมหมวกสีแดงก่ำใบใหญ่ให้ทำหน้าที่สำรวจโพรงถ้ำคับแคบแทน ลูกชายเขาค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้าไปทีละนิดๆ จนหายเข้าไปทั้งลำตัว ก่อนถอยตัวเข้าออกอย่างช้าๆ เพื่อรายงานผลเป็นระยะ ส่วนเขาตัวพ่อก็โน้มตัวลงมาฝังจมูกซุกลงบนแก้มนุ่มของเด็กหนุ่มที่ถูกนอนทับอยู่ด้านล่าง มือทั้งสองข้างกอดก่ายปลอบประโลม ลูบหลัง ลูบต้นคอ ลูบหัว บดบี้คลึงใบหูเบาๆ เพื่อให้อีกฝ่ายชินกับการออกสำรวจโพรงถ้ำจากลูกชายร่างยักษ์ของตน

สองคนในชุดวันเกิดกำลังใช้ร่างกายคุยกัน โดยใช้เพียงคำสั้นๆ สื่อสารและตอบรับอีกฝ่ายเป็นระยะ ปากก็แข่งกันปล่อยเมล็ดพันธุ์แห่งความมันออกมาดังบ้างเบาบ้างอยู่หลายที การออกสำรวจโพรงถ้ำของลูกชายร่างยักษ์กินเวลาอยู่นานจนเลยเวลาทำงานของคนปกติทำให้พ่อยักษ์ตี๋ต้องขอเบิกโอทีให้ลูกชาย สุดท้ายการออกสำรวจก็สิ้นสุดลง พ่อยักษ์ตี๋ขบกรามแน่นทิ้งน้ำหนักตัวลงกระแทกทับร่างเด็กหนุ่มรัวขึ้นแรงขึ้น จนธารน้ำอุ่นสีขาวขุ่นไหลทะลักเข้าเต็มช่องทางคับแคบภายใน

รุ่งเช้าวันต่อมา
“ทำไปแล้วสินะ” ชายหนุ่มผิวขาวหน้าตี๋พูดเบาๆ กับตัวเอง หลังจากที่ลืมตาตื่นขึ้นมาพบว่าร่างกายของเขาไม่มีเสื้อผ้าติดกายอยู่แม้แต่ชิ้นเดียว ใต้ผ้าห่มผืนเดียวกันเขามองเห็นเด็กหนุ่มอีกคนอยู่ในสภาพที่ไม่ต่างกัน

เขาค่อยๆ ไล่สายตามองสำรวจเด็กหนุ่มที่นอนไหล่เปลือยโผล่พ้นผ้าห่มออกมา ดวงตาปิดสนิท นอนหลับตาพริ้มอยู่ข้างๆ เขา ตามคอมีจุดแดงเป็นจ้ำๆ เต็มไปหมด เขากวาดตามองสภาพห้องเห็นเสื้อ กางเกง สำหรับใส่สองคนกระจัดกระจายอยู่ตามพื้นห้อง ก่อนจะลอบยิ้มให้กับตัวเอง ‘ทำไปแล้วจริงๆ’

เขาก้มลงไปใช้ปากปลุก ‘จูบ’ กลีบปากสีแดงนุ่มของเด็กหนุ่มที่นอนอยู่ด้วยความรู้สึกอิ่มเอมในหัวใจ
เด็กหนุ่มขยับตัวเล็กน้อย นิ่วหน้าขมวดคิ้วเข้าหากันเพราะรู้สึกเจ็บร้าวที่สะโพกเหมือนถูกทุบด้วยของหนัก เขาค่อยๆ ลืมตา กะพริบตาติดๆ กันเพื่อให้คุ้นชินกับแสงยามเช้า สายตาเขาสบตากับชายหนุ่มผิวขาวหน้าตี๋ที่นอนตะแคงจ้องมองอยู่ ก่อนที่เขาจะพูดอะไร ชายหนุ่มผิวขาวหน้าตี๋ที่นอนจ้องเขาก็พูดขึ้นมาว่า

“ขอต่ออีกรอบนะ”

เขาได้ยินประโยคนี้ก้องอยู่ในหัวไปมา...หลังจากที่เขาตื่น

Special : ง.งู

“เงี่ยนโว้ยยย!!!”
อยู่ดีๆ ในช่วงเย็นของวันที่อากาศร้อนอบอ้าว ผมก็ได้ยินรุ่นพี่วิศวะไฟฟ้าห้องตรงข้ามออกมายืนตะโกนบอกความต้องการของวัยหนุ่มอย่างโจ่งแจ้งที่หน้าห้อง
“มะนาว เสียงพี่หนวดใช่มะ”
แม่หมูที่นอนอ่านนิตยสารอยู่บนเตียงนอนของตัวเอง ละสายตาจากกระดาษตรงหน้าหันขวับมาถามผม
ผมลอบมองผ่านมุ้งลวดประตูห้องออกไป มองเห็นพี่หนวดหน้าหล่อยืนอยู่หน้าประตูห้องของตัวเอง พร้อมกับบิดขี้เกียจไปมา ก่อนจะหันไปตอบเพื่อนเมตตัวกลมของผมเสียงเบาว่า
“ใช่ เสียงพี่หนวด อยู่ดีๆ ก็ ง.งู พี่แกชัดเจนดีเหมือนกันแฮะ”
“สงสัยช่วงนี้พี่แกขาด ได้ข่าวแว่วมาว่าแกเพิ่งจะเลิกกับแฟนหน้างู”
“อ้าว เลิกกันแล้วเหรอ วันก่อนยังเห็นมาจอดรถ ส่งของให้กันผ่านรั้วหอพักอยู่เลย”
“สงสัยมาเร็วเคลมเร็ว แต่ก็น่าแปลก อีตาพี่หนวดคนเนี้ย คบกับใครก็ไม่ยืด แป๊บๆ เลิก”
“เหรอๆ ทำไมล่ะ”
“ฉันจะไปรู้เหรอยะ”
“อ้าว ก็นึกว่ารู้”
“มะนาวๆ มานี่แป๊บนึง มีเรื่องเล่า พอพูดเรื่องนี้แล้วนึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้พอดี” แม่หมูกวักมือเรียกผม พร้อมกับลดเสียงให้เบาลง ผมก็เลยเดินจากเตียงของตัวเองไปนั่งข้างๆ แม่หมู
“วันก่อน เดินผ่านหน้าห้องพี่หนวด รู้ไหมเจออะไร”
“เจออะไร?”
“เจออะไรดีๆ ในถังขยะน่ะสิ”
“แล้วอะไรดีๆ ที่ว่าคืออะไรล่ะ”
“ทิชชูแห้งที่เปียกเป็นก้อน”
“อึ๋ยยย แล้วไปเห็นได้ไง ในถังขยะอะนะ”
“นี่ หยุดทำหน้าแบบนี้เหมือนเพื่อนเป็นโรคจิตเดี๋ยวนี้นะ ก็วันก่อนหารีเทนเนอร์ไม่เจอ เลยคิดว่าจะเผลอทิ้งรีเทนเนอร์ลงถังขยะ แต่ไม่แน่ใจว่าห้องไหน เพราะจำได้รางๆ ว่าเหมือนจะทิ้งขยะที่ถังขยะหน้าห้องพี่หนวด ไม่ก็ห้องพี่อีกคนที่อยู่ข้างๆ กัน อารามตกใจกลัวเสียตังค์มากกว่าความสกปรก มือฉันก็ล้วงลงไปในถังขยะเลยจ้า อย่า อย่า อย่าทำหน้าแบบนั้นค่ะที่รัก ใส่ถุงพลาสติกคลุมมืออยู่ค่ะ พอค้นไปค้นมา โป๊ะเชะ กลิ่นนี่หือลอยออกมาเลย”
“อาจจะเป็นของคนอื่นก็ได้ ห้องพี่แกอยู่กันตั้งสามคน”
“ข้อมูลผิดค่ะ ตอนนี้พี่หนวดอยู่ห้องคนเดียว เพื่อนอีกสองคนออกไปอยู่หอนอกกับเมียแล้วค่ะ”
“ออ...อ้อออ แล้วสรุปเจอรีเทนเนอร์ไหม”
“ไม่เจอ”
“อ้าว! แต่วันก่อนก็เห็นใส่อยู่นี่นา”
“ไม่เจอห้องพี่หนวด แต่เจอในห้องเรานี่แหละ สรุปอยู่ในกระเป๋าเสื้อชอป แต่ถังขยะหน้าห้องเราก็ได้ลองค้นเหมือนกันนะ”
“แล้ว? อย่าบอกน่ะว่า”
“ใช่ค่ะ”
End.

ออฟไลน์ ryoushena

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +157/-2
THE CALL - เมื่อผมเป็นพ่อสื่อให้คางคก

The Call Chapter 20: ‘น้ำ’ พระเอก

‘ไม่มีความลับ ในความรักอีกต่อไป’

ระหว่างทางที่ผมกำลังเดินคอตกแบกความเศร้าพร้อมกับเข็นรถมอเตอร์ไซค์คุรุสีขาวกลับหอ จู่ๆ ก็มีรถมอเตอร์ไซค์ลักษณะคล้ายรถแข่งขนาดเล็กขับชะลอมาจอดเทียบข้างๆ

“รถนายเป็นอะไร”

“น้ำมันหมด”

ผมยังไม่กล้าสบตากราฟตรงๆ เริ่มรู้สึกมึนๆ หัวขึ้นมานิดหน่อย อาจเป็นเพราะผลพวงของการไปเล่นเอ็มวีนอนรับน้ำฝนมา
กราฟกวาดสายตามองสำรวจผมที่เนื้อตัวเปียกฝนเหมือนลูกหมาตกน้ำ ผมก็รู้ว่าตอนนี้น่ะยังหรอก ถ้าคืนนี้ไม่แน่อาจจะไม่รอด เพราะพิษไข้ตีตั๋วจองตัวรอผมอยู่แล้ว

“ขึ้นมาสิ”


“ไม่เป็นไร เดี๋ยวเข็นไปอีกนิดเดียวก็ถึงแล้ว ไม่อยากทิ้งรถไว้”

กราฟพยักหน้ารับรู้ ยืนนิ่งเงียบใช้ความคิดสักครู่ก่อนเอ่ยประโยคถัดมา “งั้นนายรออยู่ตรงนี้ เดี๋ยวขับมอไซค์ออกไปซื้อน้ำมันมาให้”

ผมเดินตัวเปียก คอตก เข็นรถต่อ เดินไปได้แป๊บเดียวเท่านั้นแหละครับ อ้าว เชี่ย รองเท้าแตะหูคีบผมดันขาด โชคไม่เข้าข้างผมเอาซะเลยจริงๆ เดินเท้าเปล่าก็ได้วะแม่ง ผมถอดรองเท้าออก หยิบขึ้นมาโยนใส่ตะแกรงหน้ารถ เดินต่อไปอีกแป๊บเดียวรถเวสป้าสีเขียวมะนาวก็ขับชะลอมาจอดเทียบข้างๆ รถมอเตอร์ไซค์ผม

“รถเป็นอะไร” เสียงชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ผิวเข้ม ตัดผมทรงสกินเฮด ใส่แว่นสายตาหนาอยู่ในชุดนักศึกษาเอ่ยถามผมที่กำลังเข็นรถมอเตอร์ไซค์อยู่ริมถนน

“น้ำมันหมดครับ” ผมหยุดเข็นรถแล้วหันไปคุยกับชายหนุ่มผิวเข้มที่นั่งอยู่บนรถเวสป้า พี่เข้มทำหน้าเซ็งๆ

“มึงนี่มันเบ๊อะบ๊ะจริงๆ เดี๋ยวกูถีบให้”

“!”
“เอ้า! ช้าอีก รีบขึ้นไปนั่งบนรถเดี๋ยวกูถีบรถมอไซค์ไปส่ง”

พอผมก้าวขาขึ้นนั่งบนรถเรียบร้อย พี่โอมก็ใช้เท้ายันที่เหยียบรถผม ล้อรถก็เริ่มเคลื่อนตัวออกไปตามถนนมุ่งหน้ากลับหอ คงเห็นผมเงียบ พี่เข้มเลยไม่ได้กวนประสาทผมเหมือนทุกที รถก็เคลื่อนตัวมาเรื่อยๆ จนถึงหน้าหอ จอดรถเสร็จ ผมก็เปิดเบาะรถหยิบเอาโทรศัพท์ใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกง ตอนนี้ชักเริ่มรู้สึกมึนๆ หัว สงสัยเป็นเพราะพิษไข้เริ่มทำงาน จะว่าไปไข้สมัยนี้มันมาเร็วทันใจ สงสัยใช้บริการของรถไฟฟ้าเลยไม่มีติดขัด ใช้เวลาฟักตัวไม่นานยังไม่ข้ามวันดีก็วิ่งมาเกาะอยู่ตามตัวผมซะแน่นเลย

“ไม่สบาย?”

“...” เห็นผมยืนเงียบนานไม่ได้ตอบอะไรออกไป พี่เข้มก็เลยเดินเข้ามาหา ใช้หลังมือแตะลงที่หน้าผาก

“ตัวมึงร้อนนะ เดินไหวไหม”

“ไหวครับ?” ผมขมวดคิ้วทำหน้างง ทั้งงงจากคำถามและอาการแปลกๆ ของพี่เข้ม ไหวสิครับ แค่ตัวร้อนแค่นี้ เดี๋ยวอาบน้ำ กินยาเสร็จ แล้วนอนตื่นมาก็คงหาย ผมร่างกายแข็งแรงนะครับ กำลังบ่นอยู่ในใจคนเดียวจู่ๆ ตัวผมก็ลอยขึ้นกลางอากาศ

“เหวอ!” พี่เข้มอุ้มผมจนตัวลอยแล้วแบกตัวผมไว้บนไหล่หนาของตัวเอง พอได้สติผมก็เริ่มดิ้น แต่ก่อนที่ผมจะพูดอะไรออกไปพี่เข้มก็ชิงพูดขึ้นมาซะก่อน

“โอ๊ยยย ปั๊ดโธ่ววว ขืนดิ้นขยุกขยิก เดี๋ยวก็จับจูบซะหรอก”

พอผมนิ่งพี่เข้มก็เงียบก่อนจะถอนหายใจออกมายาวๆ แล้วพูดขึ้นมาอีกหนึ่งประโยค “มึงไม่ใส่รองเท้าจะเดินยังไง”
จากนั้นก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมา พี่เข้มแบกผมเดินมาเรื่อยๆ จนถึงประตูหน้าห้องพี่เข้มถึงปล่อยผมลง

“ถ้าอาบน้ำไม่ไหว เช็ดตัวก็พอ แล้วมียาแก้ไข้หรือเปล่า?”




“มีครับ”

“อาบน้ำไหวไหม?”

“ไหวครับ”

“ถ้างั้นก็รีบอาบน้ำเลยละกัน เดี๋ยวพี่ออกไปซื้อข้าวให้ จะได้กินยาแก้ไข้แล้วนอน”

“เอ่อ...ไม่เป็นไรครับ” พี่? ไอ้พี่เข้มใช้คำว่าพี่แทนตัวเอง ถึงผมจะถูกพิษไข้รุมเล่นงานจนรู้สึกมึนแต่ก็อดแปลกใจไม่ได้ พอผมเดินเข้ามาในห้องไอ้พี่เข้มก็เดินกลับไป

ผมใช้เวลาในการอาบน้ำสระผมไม่นานก็เสร็จ พอเป่าผมจนแห้งก็เดินมาหยิบยาที่วางเอาไว้บนโต๊ะตั้งแต่ตอนเช้า กินขนมรองท้องก่อน แล้วกินยาแก้ไข้ตาม จากนั้นก็ล้มตัวลงนอนบนเตียง

ผมชักเริ่มง่วง สงสัยยาแก้ไข้เริ่มออกฤทธิ์

ใช้เวลาไม่นานผมก็หลับ

เหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นเต็มหน้าเต็มหลัง พิษไข้กำลังเล่นงานอย่างหนักผมจนรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ รู้สึกเหนอะหนะไม่สบายตัวเอาเสียเลย ผมทั้งร้อนทั้งหนาว ประเดี๋ยวหนาวประเดี๋ยวร้อน เลยใช้เท้ายันผ้าห่มออกจากตัว ผมนอนหลับๆ ตื่นๆ พลิกตัวไปมาอยู่บนเตียง เป็นอยู่แบบนี้ทั้งคืนจนเกือบสว่างผมถึงนอนหลับสนิท

เช้าจนได้ สุดท้ายพิษไข้ก็ล่าถอย ผมเป็นฝ่ายชนะ ตอนนี้ผมรู้สึกสบายตัวขึ้น ไข้ไม่มีแล้วแต่ยังรู้สึกมึนหัวอยู่นิดหน่อย ผมยังไม่ได้ขยับเขยื้อนตัวออกจากอาณาเขตของเตียงนอน มีหลายเรื่องวิ่งสวนทางเป็นขบวนรถไฟอยู่ในหัวเลยทำให้สมองเบลอ งง และสับสน ผมนอนหงายอยู่บนเตียงกะพริบตาติดๆ กันเพื่อปรับสายตาให้คุ้นชินกับแสงยามเช้า มองดูเพดาน ไล่กวาดสายตามองไปรอบๆ ห้อง จนไปสะดุดโน้ตแผ่นใหญ่เท่ากระดาษเอสี่ติดไว้กับชั้นวางหนังสือ เมื่อวานผมคงไม่ทันได้สังเกตเห็น
‘ถึงห้องแล้วโทรหาด้วย คืนนี้เจอกันที่ร้านชมดาว’
แม่หมู
เมื่อวานผมตั้งใจลืมเปิดโทรศัพท์ ผมยื่นมือออกไปหยิบโทรศัพท์ที่วางเอาไว้บนโต๊ะอ่านหนังสือ กดปุ่มเปิดเครื่องเสร็จ โทรศัพท์ผมก็สั่นรัวติดต่อกันแจ้งเตือนว่ามีสายไม่ได้รับถึงหลายสิบสายในคืนเดียว
สายที่ไม่ได้รับ ‘แม่หมู 17 สาย’ ‘มะตูม 25 สาย’ ‘พี่มีน 3 สาย’
นอกจากสายโทรเข้ายังมีข้อความที่ยังไม่ได้เปิดอ่านอีกหลายข้อความด้วยกัน ผมค่อยๆ เลื่อนหน้าจอโทรศัพท์เปิดอ่านข้อความที่ส่งมาทีละข้อความ
ข้อความที่ยังไม่ได้อ่าน-แม่หมู ‘เปิดเครื่องแล้วโทรกลับด่วน ลืมชาร์จแบตอีกแล้วใช่ไหม ตล้อดดด! คืนนี้มีปาร์ตี้เกิร์ลฉลองสอบเสร็จที่ร้านชมดาวนะ ทำไมโทรไม่ติดเนี่ย อารมณ์เสีย คืนนี้ไม่กลับห้องนะ’
ปกติช่วงสอบน้อยครั้งที่ห้องพวกผมหรือห้องอื่นๆ จะอยู่กันครบทุกคน เพราะเดี๋ยวก็ไปติวหนังสือที่โน่นที่นี่บ้าง บางทีติวยันสว่างหรือไม่ก็ค้างบ้านเพื่อนที่เช่าอยู่นอกมหาวิทยาลัย
ข้อความที่ยังไม่ได้อ่าน-พี่มีน ‘น้องเมตอยู่ไหน คืนนี้ฉลองพี่จบนะโว้ย ไม่มาไม่ได้นะ เปิดเครื่องแล้วโทรหาพี่เมตด้วยเป็นห่วง’
เช้าแล้วพี่เมตผมก็ยังไม่กลับห้องเหมือนกัน สองคนนี้ไปนอนไหนกันนะ?
ข้อความที่ยังไม่ได้อ่าน-มะตูม ‘ทำไมโทรไม่ติด มะนาวอยู่ไหน? อ่านข้อความแล้วโทรกลับด่วน โทรไม่ติดเลย แล้วคืนนี้มะตูมจะนอนไหน ชักไม่สนุกแล้วนะโว้ย ¬_¬ แฟนมะนาวเมาว่ะ มอมตัวเองจนสลบคาร้าน ตัวใหญ่ยังกับยักษ์แล้วใครจะแบกกลับ _ _’
อ่านข้อความจากน้องผมจบก็เกิดคำถามขึ้นมาในหัวผมทันที แฟน? แฟนใคร? ผมแอบไปมีแฟนตอนไหน? ทำไมผมไม่รู้ตัวมาก่อน? แล้วใครคือแฟนผมหรือผมไปเป็นแฟนใคร? แค่เป็นไข้คืนเดียวตื่นมาอีกทีก็มีแฟนเฉยเลย มะนาวเอ๊ย!
แต่เฮ้ย! เดี๋ยวก่อน น้องผมมาหาผม มาถึงตั้งแต่เมื่อวาน แล้วมะตูมน้องชายฝาแฝดผมไปนอนไหน? อยู่กับใคร? ผมรีบกดโทรศัพท์หาไอ้น้องชายตัวดีทันที
ตื๊ดดด ตื๊ดดด
“ฮัลโหล ติดต่อได้สักที! เกือบโดนฉุดแล้วเนี่ย แฟนมะนาวโคตรหื่น” น้ำเสียงโวยวายปกติแสดงว่าน้องผมยังโอเค
“ขอโทษ เมื่อวานไม่ได้เปิดโทรศัพท์ มะตูมอยู่ไหน?”
“ตอนนี้อยู่ในหอ 13 นี่แหละ อยู่อีกฟากหนึ่ง”
“มะตูม! เอาดีๆ ตอนนี้อยู่ไหน?”
“ก็อยู่ในหอ 13 เนี่ย อยู่ห้องพี่หน้าตี๋ตัวใหญ่ยักษ์ๆ”
“มะตูมไม่ตลก อยู่ไหน อยู่กับพี่มีน หรืออยู่กับออยด์”
“ก็บอกว่าอยู่ห้องพี่ตี๋ตัวหอม หอ 13 รอแป๊บ เดี๋ยวออกไปดูป้ายห้องก่อนว่าห้องอะไร” มะตูมเงียบไปสักพักก่อนตอบกลับมา “ตอนนี้อยู่ห้อง 7342”
“แล้วไปนอนห้องนั้นได้ไง เดี๋ยวเดินไปรับ ทีหลังถ้าจะมา โทรบอกล่วงหน้าหน่อยก็ดี”
“ห้องมะตูมถูกงัด เดี๋ยวรายละเอียดเล่าให้ฟังอีกที"
“เฮ้ย! จริงดิ”
“เรื่องแบบนี้ใครเขาล้อเล่นกันเล่า แต่โทรบอกแม่กับพ่อแล้วละ แล้วมันไม่ได้อะไรไปหรอก ตอนนี้เลยว่าจะย้ายหอใหม่ เบื่อๆ เซ็งๆ ด้วย เลยนั่งรถมาหามะนาว แต่ที่ไม่ได้โทรบอกกะมาหาแบบเซอร์ไพรส์ไง แล้วเป็นไงล่ะทีนี้ เซอร์ไพรส์จริงๆ พี่ชายดันปิดเครื่อง พอมาถึงหน้าหอมะนาวใช่ปะ กำลังหงุดหงิดๆ ที่โทรหามะนาวกี่รอบก็ไม่ติด พี่ตี๋ตัวหอมก็เดินมาทัก ชวนไปเที่ยวไปกินข้าว นั่งชิลกินเหล้า สุดท้ายพี่ตี๋เมาแอ๋ เลยต้องลากกลับห้อง จอบอ จบเรื่อง”
“เคยบอกแล้ว ให้อยู่หอใน ไม่ก็แชร์ห้องอยู่กับเพื่อน เป็นไงล่ะ ซวยเลย”
“ก็อยากอยู่คนเดียวมากกว่า”
“แล้วจะมาหาตอนไหน จำห้องมะตูมได้อยู่ใช่ไหม?”
“น่าจะได้นะ แต่คงรอให้พี่ตี๋จิ้นตื่นก่อน ออกไปตอนนี้มันคงดูไม่ดีเท่าไหร่ แล้วห้ามปิดเครื่องโทรศัพท์อีกล่ะ ชาร์จแบตเอาไว้ด้วย”
“ไม่แล้วน่า”
หลังจากวางสายโทรศัพท์เสร็จผมก็ได้ยินเสียงชายหนุ่มถามขึ้นมาพร้อมๆ กันถึงสองเสียง
“มึง/นาย เป็นไงบ้าง?”
ผมสะดุ้งสุดตัวลุกขึ้นจากเตียงนอนทันที ตกใจนึกไม่ถึงเหมือนกันว่าจู่ๆ จะมียักษ์ถึงสองตัวกึ่งนอนกึ่งนั่งจ้องมองผมอยู่บนเตียงเพื่อนเมตกับพี่เมต ผมจ้องสองยักษ์สลับกันไปมา ชักมึนเต็มที่ ไม่ใช่เรื่องจริงใช่ไหม หรือว่าตอนนี้ผมแค่กำลังฝันอยู่
“เมื่อวานนายนอนหลับ แต่ลืมปิดประตูห้อง”
“แล้วหายไข้ยัง” พี่เข้มลุกจากเตียงเดินมาถามผมต่อทันที
“ดีขึ้นแล้วครับ”
“ไหน กูดูหน่อย” พี่โอมเอาหลังมือแตะหน้าผากผม “ตัวไม่ร้อนแล้ว หน้าตาก็ดูดีขึ้น อยากกินอะไร เดี๋ยวกูไปซื้อมาให้”
“ผมยังไม่ค่อยหิวครับ”
“ไม่หิวก็ต้องทานอะไรนิดหนึ่งนะ นายจะได้ทานยา” กราฟพูดขึ้นมา หลังจากที่นั่งฟังนิ่งๆ อยู่นาน “เผื่อไข้ตีกลับ”
“เราว่าเราน่าจะหายแล้วละกราฟ ขอบใจนะ”
“มึงนี่มันดื้อจังวะ ตามใจ ไปไอ้กราฟกลับห้อง”
พอผมยืนยันว่าหายไข้แล้ว ยักษ์ทั้งสองก็เคลื่อนตัวออกจากห้องผมไป ระหว่างที่เดินกลับ พี่เมตผมก็เดินกลับมาห้องพอดี
“สองคนนั่นมาทำอะไรห้องเรา?” พี่เมตถามเสียงเรียบจ้องหน้าผมนิ่ง จากนั้นก็เดินไปหยิบกล่องอะไรบางอย่างใต้เตียงยื่นส่งมาให้ด้วยท่าทางที่แปลกไปกว่าทุกที

มีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นหลังจากที่มะตูม (ที่สวมรอยว่าเป็นมะนาว) ขอตัวเดินออกไปนอกร้านเหล้าเพื่อโทรศัพท์หาพี่ชาย
“เชี่ยจิ้น คนนี้เหรอวะ เด็กมึง”
“เด็กกงเด็กกูอะไร”
“ถึงไหนแล้ว”
“ถึงไหนอะไรวะ”
“ห่า ทำเขินนะมึง ตอบมา”
“...” ตี๋จิ้นเงียบแทนคำตอบหันไปกระดกเหล้าในมือเข้าปากแทน
“มึงจะบอกกูดีๆ หรือจะให้กูถามน้องมันเอง”
“เรื่องของกูน่า”
“ยังเหรอวะ”
“กำลังดูๆ อยู่”
“ฮะ! หน้าอย่างมึงเนี่ยนะ ผ่านมานานขนาดนี้แต่เพิ่งอยู่ในช่วงกำลังดูๆ มึงช่วยพูดให้กูฟังอีกที เอาชัดๆ กูไม่อยากเชื่อหูตัวเอง”
“เออ มึงจะไปไหนก็ไปปะ”
“อ้าว ไอ้เชี่ย! จริงจังแต่ไม่ทำห่าอะไรเนี่ยนะ ทำตัวยังกับเป็นพระรองสวมบทเป็นคนดีแต่ไม่มีสิทธิ์จะได้มาครอบครอง ได้ข่าวว่ามึงสอบเสร็จวันนี้วันสุดท้ายเหมือนกู แล้ววันนี้มึงก็เรียนจบพร้อมกู ท่ามากอยู่นั่นเดี๋ยวก็โดนคนอื่นคาบไปรับประทาน”
“เออน่า”
“มึงรออะไร? วันนี้มึงสอบเสร็จแล้วนะเพื่อน”
“...” ตี๋จิ้นไม่ตอบ แต่หันไปยกแก้วเหล้ากระดกเข้าปากแทน
“ถุย กูไม่อยากเชื่อว่าจะมีวันที่ไอ้เสือจิ้นสิ้นลาย”
“เออ อย่าให้ถึงคิวมึงบ้างแล้วกันว่ะ”
“แล้วงานที่มึงไปสัมภาษณ์มาเป็นไงบ้างวะ”
“ก็ดี”
คุยกันไปสักพักตี๋จิ้นก็ขอตัวลุกออกไปตามหาเด็กหนุ่มที่เขาพามาด้วย ในจังหวะที่ตี๋จิ้นลุกออกไปจากโต๊ะ เพื่อนตัวดีของเขาก็นึกสนุกหยิบหลอดขนาดเล็กที่ภายในบรรจุของเหลวใสออกจากกระเป๋ากางเกง ‘เดี๋ยวกูช่วยมึงให้เป็น ‘พระเอก’ เองเพื่อน’ ของเหลวใส ปราศจากกลิ่น ไร้รสชาติใดๆ ถูกลอบเทลงในแก้วของหนุ่มเด็กหนุ่มที่ตี๋จิ้นพามาด้วยโดยที่พวกเขาทั้งคู่ไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย
ตี๋จิ้นกับมะตูม (ในนามของมะนาว) เดินกลับเข้ามาในร้าน พูดคุยแนะนำตัวพอเป็นมารยาท เพื่อนตี๋จิ้นก็ยื่นแก้วเหล้าส่งให้มะตูม
“เออ กูไปละ เจอกันที่กรุงเทพ พี่ไปแล้วนะครับ หวังว่าเราคงได้เจอกันอีก” เพื่อนตี๋จิ้นขอตัวลุกออกไป ก่อนจะหันมายิ้มให้เพื่อนแล้วพูดออกมาให้ได้ยินกันแค่สองคน “คืนนี้เป็นของมึง” ตี๋จิ้นชะงักหลังได้ยินประโยคสุดท้ายจากปากเพื่อนก่อนที่จะลุกเดินออกไป เขาสังเกตเห็นท่าทางและแววตาของเพื่อนที่ดูแปลกๆ ตี๋จิ้นชักไม่มั่นใจจึงเอื้อมมือใหญ่ไปหยิบแก้วเหล้าที่เด็กหนุ่มอีกคนถือเอาไว้
“แก้วนี้ทิ้งดีกว่า น้ำแข็งละลายหมดแล้ว”
“อ่อ ครับ”
แต่หารู้ไม่ เพื่อนตัวดีของเขาใส่ไว้ทั้งสองแก้ว
หลังจากดื่มเหล้าจากแก้วใบนั้นประมาณครึ่งชั่วโมง ตี๋จิ้นก็รู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ ขนตามตัวลุกชันเป็นพักๆ เขารู้สึกแปลกไป หน้าเขาเริ่มแดงก่ำแต่ไม่ได้แดงเพราะฤทธิ์เหล้า ตอนนี้ร่างกายเขากำลังมีความต้องการอย่างเต็มที่ จนรู้สึกปวดหนึบบริเวณจุดกึ่งกลางลำตัวที่ขยายอาณาเขตคับเป้ากางเกง อยากปลดปล่อย เขาถูกวางยาเข้าให้แล้ว ตอนนี้ภาพเด็กหนุ่มตรงหน้าของเขากลายเป็นภาพสโลว์โมชั่น ทุกอย่างที่คนตรงหน้าทำมันดูเคลื่อนไหวช้าไปหมด ปากอิ่มที่กำลังพูดกับเขาเหมือนกำลังเชื้อเชิญให้สัมผัส ทุกการเคลื่อนไหวของคนตรงหน้ากระตุ้นความต้องการของเขาให้พุ่งทะยานตึงเปรี๊ยะ!
ก่อนที่เขาจะควบคุมตัวเองไม่ได้ ตี๋จิ้นหันไปสั่งเหล้าแสงโสมจากเด็กเสิร์ฟมาสองกลม พอขวดเหล้าถูกวางลงบนโต๊ะ เขาก็รีบเปิดฝากระดกเหล้าเข้าปากแบบเพียวๆ เพื่อสยบความต้องการของตัวเองที่กำลังตื่นตัวอย่างเต็มที่ ระหว่างที่เขากระดกเหล้าเข้าปาก ความต้องการทางกายของเขาก็ทวีความต้องการมากขึ้นเรื่อยๆ ขวดแรกหมดขวดที่สองก็ถูกเปิดทันที เขากระดกเหล้าเข้าปากเรื่อยๆ ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดจนเหล้าขวดที่สองหมด แต่ความต้องการของเขามันกำลังเดือดพล่าน เหล้าสองขวดยังดับไฟแห่งความต้องการให้เย็นลงไม่ได้ เขาจึงหันไปสั่งเหล้าแสงโสมจากเด็กเสิร์ฟเพิ่มอีกขวด กระดกแล้วดื่มๆ อยู่อย่างนั้นจนเหล้าขวดที่สามค่อยๆ ลดจำนวนลงอย่างรวดเร็ว ตอนนี้สติเขาหลุดลอย ล่องลอยไปในอวกาศแล้วจ้า บาย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าสร้างความงุนงงให้กับมะตูมเป็นอย่างมาก
ในที่สุดน้องแอลกอฮอล์ก็กำชัยชนะอยู่หมัด ตี๋จิ้นเมาจนหงายหลังหลับไปแต่อารมณ์ที่ถูกฤทธิ์ยากระตุ้นยังไม่ยอมหยุดง่ายๆ
ฤทธิ์จากยาทำให้เขาฝันราวกับว่าเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นจริง เขาฝันเรื่องเดิมวนซ้ำไปมาอย่างมีความสุขจนถึงเช้า
“เป็นแฟนกันนะ” ตี๋จิ้นละเมอเป็นคำพูดออกมาเสียงเบาขณะที่เขานอนอมยิ้มหลับอยู่บนพื้นห้องคนเดียว กางเกงเขาเปียกชุ่มด้วยหยาด ‘น้ำ’ แห่งความสุข


Special: หมูปิ้งหน้าหนาว…เขาว่ายิ่งติดมันยิ่งอร่อย

สมรภูมิรำพัด Last Night ผมเป็นเจ้าสังเวียน ซึ่งตามธรรมเนียม ใครกวาดต้อนเหรียญและเงินสดได้มากที่สุดต้องออกไปซื้อหมูปิ้งหน้าหอขาวตอนเช้ามืด
เอาเข้าจริงๆ ผมว่าการเล่นไพ่ของก๊วนแก๊งบ่อนพวกผมเหมือนเป็นการรวมพลนั่งคุยปรับทุกข์กันเรื่องโน้นเรื่องนี้และอัปเดตชีวิตของแต่ละคนเสียมากกว่า เพราะตังค์ที่ได้แต่ละครั้ง จำนวนก็ไม่ได้มากมายขนาดนั้น แถมที่สำคัญคนได้เงินมากสุดต้องทำหน้าที่เป็นสารถีขี่มอเตอร์ไซค์ออกไปซื้อของกินมาสังเวยชาวบ่อน ดูไปดูมาก็เหมือนเป็นการรวมตังค์หารค่าอาหารเช้ามาปาร์ตี้เบรกฟาสต์หฤหรรษ์เย้วๆ
ช่วงนี้มหาวิทยาลัยของผมเข้าฤดูหนาวเต็มตัวแล้วครับ บางวันนอกจากอากาศตอนเย็นไปจนถึงดึกจะหนาวแบบเย็นเจี๊ยบแล้ว ช่วงนี้ยังมีลมหนาวพัดแรงจนบางทีพวกผมต้องหาผ้าไปอุดร่องประตูกันไม่ให้ลมพัดเข้าห้องกันเลยทีเดียว
หนาวสะบั้นมากๆ
อย่างที่บอกตอนแรก ฤดูหนาวมหาวิทยาลัยผมค่อนข้างหนาวเย็นอย่างร้ายกาจ ถึงขนาดที่ว่าถ้าความสะอาดจะปรานี วันไหนที่มีเรียนเช้าผมขอห่างกับการอาบน้ำสักพัก อย่าว่าแต่ร่างกายอุทธรณ์การอาบน้ำเลย ขนาดก้นนิ่มนุ่มของผมยังตีตัวออกหากเว้นช่องว่างระหว่างฝารองชักโครก
ช่วงนี้บ่อนแม่หมูเอาใหญ่แทบไม่เกรงใจที่ปรึกษาหอพัก เพราะถ้าวนมาวันศุกร์เสาร์เมื่อไหร่ เป็นอันรู้กันว่าเหล่าสมาชิกต้องรีบเคลียร์ตัวเอง เตรียมอาบน้ำ ออกไปทานข้าวเย็นตั้งแต่หกโมง เพื่อจะได้มีเวลาในการเล่นไพ่รำพัดได้นานขึ้น ช่วงนี้บางทีบ่อนก็เปิดถึงเช้าเลยครับ สถิติเลิกบ่อนช้าสุดคือสิบโมงเช้าวันเสาร์ (เริ่มเล่นกันตั้งแต่หนึ่งทุ่มวันศุกร์) คิดดูพวกผมติดพนันกันงอมแงมขนาดไหน
ส่วนเช้าวันนี้คนที่ดวงดีก็วนมาเป็นผม แต่บนความดวงดีก็ต้องแลกด้วยการอุทิศร่างฝ่าลมหนาวออกไปซื้อหมูปิ้งมาแจกจ่ายเหล่าสมาชิกบ่อน ยิ่งได้ข้าวเหนียวร้อนๆ หมูปิ้งติดมันนิดๆ บวกน้ำพริกกุ้งเสียบอีกสักหน่อย หืมมม พูดแล้วได้กลิ่นหมูปิ้งเตาถ่านลอยเข้าจมูกเลยครับ หิวๆ
เหตุที่ต้องออกไปตั้งแต่เช้ามืดขนาดนี้ เป็นเพราะว่าหมูปิ้งเจ้านี้เขาขายดีแบบสุดๆ เริ่มขายตอนประมาณตีสี่เกือบตีห้า บางทีเจ็ดโมงกว่าๆ ก็หมดแล้ว ใครออกไปช้ารับรองอด เพราะหมูปิ้งไม่อยู่รอบนเตาแล้วจ้า
หลังจากที่ผมหยิบเสื้อคลุมหมวกกันน็อกเรียบร้อยก็รีบบึ่งรถมอเตอร์ไซค์ออกจากหอพักไปทันที
ช่วงแรกที่ขับออกมาความหนาวเย็นของอากาศค่อยๆ กระแซะเข้ามาปะทะร่าง หูยยย ขนทั่วร่างกายของผมลุกตั้งแทบทันที เย็นบรื๋อจนขากรรไกรแทบสั่นกระทบกัน แต่พอขับออกมาได้สักพัก หลังจากที่ร่างกายเริ่มปรับสภาพได้แล้ว ผมก็ขี่ออกมาชิลๆ
บรรยากาศตอนเช้าๆ ดีมากครับ หมอกลงบางๆ ทำให้มองเห็นวิวถนนมหาวิทยาลัยสวยไปอีกแบบ ยิ่งตอนเช้าแบบนี้ไม่ค่อยมีรถขับสวนมา การขี่รถมอเตอร์ไซค์ชิลๆ เรื่อยๆ ก็แฮปปี้ดีเหมือนกัน
สดชื่นจริงๆ ครับ
เช้าๆ แบบนี้ก็มีนักศึกษารักสุขภาพออกมาวิ่งบ้างประปราย เพราะส่วนใหญ่ตอนนี้น่าจะขอนอนอุตุอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนา แต่ผมก็เข้าใจนะครับ เพราะถ้าเลือกได้ ตอนนี้ผมก็คงซุกตัวอยู่ใต้ถ้ำผ้าห่มเหมือนกัน
พอมาถึงร้านหมูปิ้ง ตามคาดครับ มีคนรอคิวอยู่ก่อนผมแล้ว ผมได้คิวที่สาม
นั่งรอสักพักก็ถึงคิวผม ผมสั่งทั้งหมูปิ้งติดมันและเนื้อหมูล้วน และไม่ลืมสั่งน้ำพริกกุ้งเสียบมาด้วย ส่วนพริกสด ต้นหอม แตงกวา ผมก็ไม่ลืมหยิบมาด้วย ร้านนี้หยิบได้ฟรีครับ เลือกเอาได้เลยตามที่ทานไหว
จากนั้นหลังจากซื้อของเสร็จผมก็ขี่มอเตอร์ไซค์กลับทันที ไม่ได้แวะเถลไถลที่ไหน ขับมาสักพักพอถึงทางเลี้ยวเข้าหอ 13 ผมก็ค่อยๆ ชะลอมอเตอร์ไซค์ข้างๆ นักศึกษาหนุ่มตัวสูงที่กำลังวิ่ง
“หมูปิ้งครับ มะนาวซื้อมาฝาก”
“มึงไปไหนมาเช้าขนาดนี้”
“ผมออกไปซื้อหมูปิ้งมาครับ ถุงนี้ของพี่ มะนาวซื้อมาตอบแทนที่พี่พาไปกินข้าวขาหมูเจ้าอร่อย”
“อ้อ รู้จักสำนึกบุญคุญเป็นเหมือนกันแฮะ หมูปิ้งหน้าหอขาวปะ?”
“ใช่ครับ นี่ผมสั่งแบบติดมันมาให้พี่เลย”
“ใครบอกกูชอบกินติดมัน”
“อ้าว ก็ผมเห็นพี่สั่งข้าวขาหมูเนื้อหนัง แต่แบบเนื้อหมูล้วนก็มีนะครับ เดี๋ยวผมเปลี่ยนอีกถุงให้”
“ไม่ต้องๆ เอาถุงนี้แหละ”
“โอเคครับ งั้นผมไปแล้วนะครับ”
จากนั้นนักศึกษาหนุ่มก็วิ่งไปยิ้มไป พร้อมกับถุงหมูปิ้งติดมันที่เด้งดึ๋งๆ ขึ้นลงเพราะผูกไว้ข้างเอว

ออฟไลน์ ryoushena

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +157/-2
THE CALL - เมื่อผมเป็นพ่อสื่อให้คางคก

The Call Chapter 21: อู้วววว

จะเฝ้ามองดูคนที่ผมหลงรักต่อไป แม้จะไม่มีแม้เงาของผมยืนอยู่ข้างในหัวใจดวงนั้นก็ตาม
ผมเพิ่งกล้าที่จะพูดคำนั้นออกมา
เมื่อมันสายไป
แต่ผมจะกลับมา
…ถ้าได้ยิน ‘เสียง’ เรียกชื่อผม

‘ของขวัญวันสอบเสร็จ’ กล่องเหล็กสี่เหลี่ยมขนาดกำลังพอดีถูกนำมาวางเอาไว้บนหน้าตักของผม อดแปลกใจไม่ได้ว่าข้างในกล่องใบนี้มีอะไรอยู่กันแน่ ทำไมพี่เมตผมถึงมีท่าทีแปลกไปกว่าทุกที ผมหันไปมองหน้าพี่เมตที่กำลังนั่งจ้องมองผมอยู่บนเตียงของตัวเองอย่างไม่วางตา พี่เมตผมไม่ได้พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว แค่พยักหน้าส่งเป็นสัญญาณให้ผมเปิดกล่องที่วางอยู่บนหน้าตัก บรรยากาศในห้องตอนนี้ราวกับว่าผมกำลังนั่งอยู่ในห้องออกรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาลที่กำลังจะหมุนจับรางวัลที่หนึ่งขึ้นมา เพราะตอนนี้ผมกำลังลุ้นสุดๆ ทั้งอยากรู้แล้วก็อดลุ้นตามไม่ได้ว่าข้างในกล่องใบนี้คืออะไรกันแน่ ผมค่อยๆ ใช้มืองัดฝาเหล็กขึ้นมา แต่มันค่อนข้างปิดแน่น ผมต้องใช้แรงเปิดมากกว่าปกติ

แกร๊ก! ยังเปิดไม่ออก ผมเกร็งข้อมือเพิ่มแรงงัดมากกว่าครั้งแรก พยายามใช้มืองัดฝาให้เปิด เสียงกล่องดังแกรก แกรก แกร๊ก! แต่ก็ยังเปิดไม่ออกอยู่ดี ผมนิ่วหน้าหมุนสุดแรงอีกครั้งจนเอ็นข้อมือขึ้น ฝาเหล็กส่งเสียงดังแกร๊ก! ในที่สุดก็เปิดออกสักที ฮาเลลูยา!!

กล่องเหล็กถูกเปิดออก ผมมองเห็นของที่วางอยู่ด้านในกล่องแล้ว มีภาพถ่ายหลายใบซ้อนทับกันอยู่ ภาพทั้งหมดถูกถ่ายด้วยกล้องฟิล์ม ผมเอื้อมมือลงไปหยิบภาพถ่ายใบแรกที่วางอยู่ด้านบนสุดขึ้นมาดู

ผมหยิบภาพชูขึ้นหันไปถามพี่เมตหน้าโหด พี่เมตผมก็ยังคงวางมาดเท่ตีหน้าขรึมไม่พูดอะไรออกมาอีกเช่นเคย แค่ชี้ปลายนิ้วตวัดบอกให้หมุนอีกด้านดู ผมรีบหมุนภาพถ่ายมาดูด้านหลังตามที่พี่เมตบอกทันที ถึงบางอ้อว่ามันไม่ใช่แค่ภาพถ่าย มันเป็นภาพถ่ายที่เอามาใช้ทำโปสการ์ด เพราะด้านหลังมีข้อความเขียนด้วยลายมืออยู่ด้วย แสดงว่าในกล่องเหล็กมี ‘โปสการ์ด’ หลายใบซ้อนทับกันอยู่เต็มไปหมด ผมหยิบโปสการ์ดทั้งหมดขึ้นมาหันหน้าไปสบตากับพี่เมตผมอีกครั้งเพื่อความแน่ใจว่าทั้งหมดเป็นของผม เพราะด้านหลังไม่ได้เขียนบอกว่าส่งมาให้ใคร

ผมมองไปที่พี่มีนแต่พี่มีนก็ไม่ได้พูดอะไร พี่เมตผมก็ไม่ได้ตอบอะไรออกมาอีกเหมือนเดิม แกพยักหน้าแล้วพูดด้วยหน้ายิ้มๆ ออกมาว่า “ของมะนาวนั่นแหละ” โอเคครับชัดเจน พี่เมตยืนยันว่าโปสการ์ดในกล่องทั้งหมดเป็นของผม ผมหยิบมันขึ้นมาไล่อ่านดูทีละใบ เรียงตามวันที่ที่ระบุไว้ในรูปแต่ละรูป

โปสการ์ดใบแรกเป็นภาพถ่ายโทรศัพท์แบบยกหูสีครีมของหอพัก พลิกดูด้านหลังมีข้อความที่เขียนด้วยลายมือหวัดๆ มุมซ้ายว่า
N.6
30 ก.ค. 2546
ถ้าโทรศัพท์บอกความรู้สึกของคนรอรับสายได้
คนโทรเข้าจะได้ยินเสียงสัญญาณตอนรอสายแบบไหนกันนะ
หรือจะได้ยินเสียงการทำงานของหัวใจ

ใบที่สองเป็นภาพถ่ายถนนมหาวิทยาลัยที่ทอดตัวยาวสุดลูกหูลูกตาใต้แสงไฟสีส้มอมเหลืองของดวงไฟจากเสาไฟฟ้าต้นสูงที่เรียงตัวยาวอยู่ด้านข้างของถนนตอนกลางคืน พลิกดูด้านหลังก็มีข้อความเขียนด้วยลายมือหวัดๆ ว่า
N.7
13 ส.ค. 2546
ปกติแสงไฟสีส้มริมถนนช่วยให้เราขับรถปลอดภัยมากขึ้น
แต่วันนี้ แสงสีส้มที่สว่างของมัน ช่วยให้มองเห็นหน้าคนซ้อนท้ายชัดมากขึ้นต่างหากล่ะ
ณ จุดซ้อนท้ายของวาระพิเศษที่ได้รับมา

ใบที่สามมาแปลกกว่าเดิมเป็นภาพเงาของใครสักคนทอดตัวยาวอยู่บนพื้นดิน ภาพใบนี้ถูกถ่ายจากมุมถนนเส้นไหนสักที่ของมหาวิทยาลัย ด้านหลังมีข้อความเขียนด้วยลายมือหวัดๆ เหมือนเดิมว่า
N.8
27 ส.ค. 2546
ความหมายคำว่า หึง ๑   ก. หวงแหนทางชู้สาว, มักใช้เข้าคู่กับคำ หวง เป็น หึงหวง หรือ หวงหึง
หึง ๒   ว. นาน เช่น บ่มิหึง คือ ไม่นาน
ความหมายคำว่า หึง ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔
โลกใบนี้มีคนขี้หึงอยู่กี่คนกัน

ใบที่สี่คราวนี้แปลกกว่าเดิมอีก เป็นภาพช้างไม้กำลังนอนหมอบตั้งทับอยู่บนข้อความที่เขียนด้วยลายมือว่า ‘ให้’ พลิกดูด้านหลังมีข้อความเขียนด้วยลายมือหวัดๆ ว่า
N.9
28 ส.ค. 2546
บนโลกพิเศษใบนี้ ใครเป็นคนคิดมุกเสี่ยวคนแรก
แล้วคนที่ใช้มุกเสี่ยวจีบคนที่ถูกใจเป็นคนแรกคือใคร
‘ช้าง (เธอ) มอบ’ คือมุกเสี่ยวแรกที่อยากให้อ่าน

ใบที่ห้าเป็นภาพถ่ายเลขห้องพัก 7712 ที่ถ่ายจากประตูไม้หน้าห้องของหอพัก พลิกดูด้านหลังมีข้อความที่เขียนด้วยลายมือหวัดๆ ของคนเดิมแต่ยาวกว่าโปสการ์ดใบที่ผ่านมาเขียนว่า
N.10
4 ก.ย. 2546
แค่เห็นหลังคาบ้านคนที่ชอบ ก็นอนหลับฝันดีแล้ว ตอนเด็กๆ เคยได้ยินคนพูดอย่างนั้น
แต่วันนี้การเดินผ่านหน้าห้องก็ทำให้นอนหลับฝันดีได้เหมือนกัน
“โลกนี้ไม่มีความบังเอิญ”
7712
ใบที่หกเป็นภาพถ่ายของถ้วยแกงฮังเลที่วางอยู่บนโต๊ะสีขาวของโรงอาหารหอพัก พลิกดูด้านหลังมีข้อความเขียนด้วยลายมือหวัดๆ ว่า
N.11
11 ก.ย. 2546
รูป รส กลิ่น สี ของอาหารแต่ละจาน แตกต่างกันตรงไหน รู้ไหม?
ถ้าจานไหน นอกจากทำให้อิ่มท้องแล้วยังทำให้อิ่มใจได้ด้วย นั่นแหละความต่าง
‘แกงหวาน’

ใบที่เจ็ดเป็นภาพของแผ่นซีดีแผ่นหนึ่งที่มีกระดาษโน้ตสีเหลี่ยมสีชมพูแผ่นเล็กๆ แปะเอาไว้ด้านบนของซีดีพร้อมกับเขียนข้อความกำกับเอาไว้ว่า เพลงสุดท้ายของแผ่น ด้านหลังมีข้อความเขียนด้วยลายมือหวัดๆ ของคนเดิมเขียนว่า
N.12
18 ก.ย. 2546
ความยาวเฉลี่ย เพลงหนึ่งเพลง ส่วนใหญ่อยู่ที่ประมาณ 3-5 นาที
แต่การเลือกเพลงหนึ่งเพลงให้ใครสักคนฟัง ใช้เวลาเลือกนานกว่านั้นมาก
แล้วจะเปิดฟังกี่รอบกันนะ
จู่โจม

ใบที่แปดเป็น ‘ภาพเสื้อชอปของสาขาผม’ รูปนี้ถูกถ่ายในห้องปฏิบัติการของคณะสักห้อง เป็นภาพกลุ่มแต่ไม่เห็นหน้าของคนถูกถ่าย พลิกดูด้านหลังมีข้อความเขียนด้วยลายมือหวัดๆ ว่า
N.13
25 ก.ย. 2546
คุณชอบดอกไม้อะไรเป็นพิเศษไหม?
เมื่อก่อน ถ้ามีใครสักคนถามคำถามนี้ ผมคงตอบไม่ถูก
แต่ถ้าตอนนี้มีใครสักคนมาถาม ผมคงบอกเขาทันทีว่า
‘ดอกปีบทองช่อ 11’

ใบที่เก้าเป็นภาพป้ายของร้านเหล้าสิมิลันที่พื้นเป็นสังกะสีส่วนตัวหนังสือใช้เชือกเส้นใหญ่ขดให้เป็นชื่อร้าน ร้านนี้ผมชอบไปดริงก์ ดรังก์ แดนซ์ พลิกดูด้านหลังมีข้อความเขียนด้วยลายมือหวัดๆ ว่า
N.14
2 ต.ค. 2546
เมาแล้วนะ นอนได้แล้ว ประโยคนี้เป็นได้ทั้งคำสั่งและคำขออนุญาตดูแล
แล้วจะมีใครตกหลุมรักคนเมาได้ซ้ำๆ เหมือนกันบ้างหรือเปล่า
‘รสสัมผัสริมฝีปากใต้เงาของแสงจันทร์’

อ่านมาถึงโปสการ์ดแผ่นนี้ผมเริ่มเกิดความรู้สึกสงสัย ข้อความกับภาพที่ส่งมามีความหมายอะไรซ่อนเอาไว้ เพราะผมรู้สึกว่าภาพบนโปสการ์ดเหมือนพยายามสื่อความหมายบางอย่างบอกตัวเองอยู่ แต่ผมยังนึกไม่ออก แล้วใครเป็นคนส่งโปสการ์ดพวกนี้มา
ใบที่สิบเป็นภาพร่มพับที่วางไว้บนโต๊ะ พลิกดูด้านหลังมีข้อความสั้นๆ เขียนด้วยลายมือหวัดๆ ว่า
N.16
9 ต.ค. 2546
‘ร่มวิเศษ’ ของคุณเป็นแบบไหน? กางออกแล้วบินได้เหมือนเฮ็นเบะหรือเปล่า?
แต่ร่มวิเศษของผม มันทำให้หัวใจเต้นแรงเป็นบ้า แทบทะลุออกจากอก

ใบที่สิบเอ็ดเป็นรูปรถบัสสีส้มของมหาวิทยาลัยขณะที่กำลังวิ่งโค้งเข้าหอพักสุรนิเวศ 13 พลิกดูด้านหลังมีข้อความเขียนด้วยลายมือหวัดๆ ว่า
N.17
16 ต.ค. 2546
คนสายตายาวมองเห็นระยะใกล้ไม่ชัด คนสายตาสั้นมองระยะไกลก็ไม่ชัดเหมือนกัน
การมองระยะใกล้ชิด นอกจากมองเห็นชัด บางทีจมูกก็ได้กลิ่นด้วย
เหมือนคืนนั้นที่ได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของแก้ม

ใบที่สิบสองเป็นภาพข้อความที่ถูกเขียนลงบนหน้ากระดาษสีขาวของสมุดเล่มหนึ่ง ข้อความนั้นเขียนคำว่า ‘ยิ้ม’ พลิกดูด้านหลังก็ยังคงมีข้อความที่ถูกเขียนด้วยลายมือหวัดๆ ของคนเดิมว่า
N.18
23 ต.ค. 2546
ถ้าเรายิ้ม แสดงว่า เรากำลังมีความสุข
ถ้าเรายิ้ม เพราะคิดถึงหน้าใครบางคน – หมายความยังไงกันนะ ...ช่วยตอบที
ถ้าตอนนี้คนที่กำลังอ่าน มุมปากกำลังยกยิ้มอยู่ นั่นแสดงว่าคนถามได้รับคำตอบก่อนหน้านี้แล้ว
ยิ้ม :)

ใบที่สิบสามเป็นรูปผมยืนยิ้มอยู่ในงานโอเพนเฮาส์ พลิกดูด้านหลังมีข้อความเขียนด้วยลายมือหวัดๆ ว่า
N.19
30 ต.ค. 2546
ฤดูฝน เคยเป็นฤดูที่ชอบน้อยที่สุด แต่วันนี้ ฤดูที่ชอบที่สุด คือ ฤดูฝน
เพราะมีความทรงจำดีๆ เกิดขึ้นในสมองและจดจำผ่านใจมากกว่าทุกฤดู
แต่ถึงแม้จะชอบฤดูฝนมากแค่ไหน ก็น้อยกว่าชอบมะนาวอยู่ดี

ชัดเจน พอถึงใบสุดท้ายผมรู้แล้วว่าโปสการ์ดทั้งหมดใครเป็นคนส่งมา เพราะผมจำได้ว่ารูปนี้ใครเป็นคนถ่าย ผมรีบลุกจากเตียงเดินไปเปิดลิ้นชักหยิบโปสการ์ดที่ผมเคยได้ก่อนหน้านี้ เอาออกมาวางเรียงบนโต๊ะ เทียบลายมือกับโปสการ์ดปริศนาที่ก่อนหน้านี้มีคนส่งมาให้ผม
โปสการ์ดใบแรกที่ผมได้รับหลังจากมาเรียนที่นี่เป็นรูปรองเท้านักเรียนผู้ชายสีดำ
N.1
15 พ.ค. 2546
โลกนี้มีคนน่าสนใจให้ทำความรู้จักใหม่มากมาย
นอกจากได้รู้จักว่า เขาเป็นใคร มาจากไหน บางทียังได้รู้จัก ความรู้สึกใหม่ที่เกิดขึ้นในใจด้วย
‘ยินดีที่ได้รู้จัก’...นายนะ ความรู้สึกพิเศษ

ใบที่สองเป็นรูปของผมที่ถูกถ่ายจากมุมด้านหลังตอนรับน้องรวมใต้หอหญิง
N.2
17 พ.ค. 2546
เพิ่งเคยแอบมองอีกคนผ่านไหล่ของใครสักคนที่ไม่รู้จัก
เพิ่งเคยแอบมองความเคลื่อนไหวของอีกคนผ่านอีกหลายคนที่ไม่รู้จักเหมือนกัน
ชั่วขณะแอบคิดว่าพวกเขาเป็นอุปสรรคขวากหนามการเฝ้าแอบมองอีกคน
แต่เปล่าหรอก มุมนี้มีแค่คนแอบมองเท่านั้นแหละที่จะมองเห็นและเข้าใจกัน
‘ณ มุมพิเศษที่คนแอบมองเท่านั้นจะได้รับ’

ใบที่สามเป็นรูปผมกำลังยืนยิ้มรวมกับเพื่อนๆ ตอนรับเข็มรุ่นที่ลานย่าในมหาวิทยาลัย
N.3
26 มิ.ย. 2546
แสงสว่างจากเทียน ช่วยให้ดวงตามองเห็น ความมืดจึงไม่น่ากลัว
ขอบคุณแสงเทียนที่ทำให้มองเห็นรอยยิ้มที่สดใส

ใบที่สี่เป็นรูปดินสอหนึ่งแท่งวางทับอยู่บนด้านหลังของโปสการ์ดที่กองรวมกันบนโต๊ะทำงานหรือโต๊ะอ่านหนังสือของใครสักคน
N.4
3 มิ.ย. 2546
ถ้ามีดินสอวิเศษที่เขียนความรู้สึกได้
ดินสอวิเศษแท่งนั้นจะเขียนคำอะไรออกมา
‘พูดไม่เก่ง แต่ก็เขียนไม่เก่งเหมือนกัน’

ใบที่ห้าเป็นภาพถ่ายแว่นสายตาวางอยู่ทับบนกล่องฟิล์ม KODAK บนโต๊ะทำงานหรือโต๊ะอ่านหนังสือของใครสักคน

N.5
23 มิ. ย. 2546
ถ้าฟิล์ม 1 ม้วน เก็บความทรงจำได้มากกว่าภาพนิ่ง คงเลือกถ่ายรอยยิ้มนั้นเก็บไว้ดูซ้ำๆ
แว่นสายตาซ่อนความรู้สึกไม่ได้ ถ้าใครสักคนมองลอดเข้ามา คงสังเกตเห็น
ใครสักคน...ที่เผลอยิ้มหลังเลนส์เวลาลั่นชัตเตอร์

หัวใจผมพองโตขึ้นเรื่อยๆ ผมรู้สึกหน้าแดงซ่านราวกำลังจับไข้หนัก ใจเต้นตึกตักเหมือนมีคนเข้ามานั่งรัวตีกลองอยู่ด้านใน ข้อความด้านหลังโปสการ์ดทุกใบถูกเขียนขึ้นมาด้วยลายมือของคนคนเดียวกัน ผมเข้าใจแล้วว่าโปสการ์ดปริศนาที่ส่งมาให้ผมทำไมถึงหายไป ที่ไหนได้พี่มีนเป็นคนเก็บเอาไว้นี่เอง แต่พี่มีนเก็บเอาไว้ทำไม ทำไมถึงไม่ให้ผม หรือพี่มีนเข้าใจผิดคิดว่ามีคนส่งมาให้ตัวเอง ผมรีบเงยหน้าหันไปถามพี่เมตหน้าโหดด้วยความสงสัย

“อยากรู้ละสิ?” พี่มีนชิงพูดขึ้นมาก่อนหลังจากที่เงียบเสียงเอาไว้ซะนาน ผมพยักหน้าหงึกๆ ส่งสัญญาณตอบรับว่าอยากรู้เรื่องนี้อย่างเต็มที่ จากนั้นพี่มีนก็ลุกจากเตียงเดินตรงมาหาผม “มันบอกเพิ่งล้าง”

“!”

“ตามนั้นแหละ มันบอกมันเพิ่งล้าง” สงสัยเห็นผมเงิบ พี่มีนเลยอธิบายต่อว่า คนที่คุณก็รู้ว่าใครมาเคาะประตูห้อง ตอนแรกตั้งใจเอามาให้ผมเอง แต่พอเห็นพี่มีนเปิดออกมาพอดีเลยยื่นให้เลย แล้วก็ไม่ลืมบอกว่า เพิ่งได้ล้างฟิล์ม เพราะเพิ่งหัดล้างฟิล์มเองเป็น

พอผมเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นก็เอื้อมมือไปหยิบปฏิทินตั้งโต๊ะที่วางเอาไว้ข้างๆ กองหนังสือ โชคดีที่ผมชอบเขียนชอบจดเอาไว้ว่าวันไหนทำอะไรไปบ้างลงบนช่องวันที่ของปฏิทินตั้งโต๊ะ ผมชอบใช้เป็นตัวช่วยเขียนเตือนความจำคล้ายๆ เขียนบันทึกประจำวันแหละครับ ทำให้พอนึกเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้ไม่ยากเท่าไหร่นัก ผมค่อยๆ ไล่อ่านโปสการ์ดใหม่อีกครั้ง

อ่านไปได้สักครู่ ข้อความในโปสการ์ดก็ค่อยๆ เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น เฉลยทุกเรื่องที่ผมสงสัย จนมาถึงโปสการ์ดใบที่เป็นรูปแผ่นซีดีเพลง ผมนึกออกแล้วว่าเคยเห็นแผ่นซีดีนี้ที่ไหน มันเป็นแผ่นซีดีที่กราฟเคยไรต์เพลงมาให้ ว่าแล้วผมก็เดินไปหยิบแผ่นซีดีที่เคยได้มาเปิดแทร็กสุดท้ายของแผ่นฟัง ชื่อเพลง มุม - PLAYGROUND

สติของผมถูกสตัฟฟ์จนสะดุด ผมถูกกราฟฆ่าอย่างช้าๆ ด้วยคำสารภาพบอกรักผ่านข้อความตัวอักษรที่ถูกนำมาเรียงต่อกันเป็นประโยคกลายเป็นบทเพลงที่แสนนุ่มนวล

หลังจากที่ผมอ่านครบหมดทุกใบเป็นรอบที่สอง บุคคลที่สามก็เข้ามาร่วมเป็นพยานในเหตุการณ์ครั้งนี้

แอ๊ดดด

“กลับมาแล้วคร้า...!!! ทำไมอยู่กันเงียบจัง” เพื่อนเมตตัวกลมกลับมาห้องแล้วด้วยท่าทีสดใสเช่นเคย ไม่ยักมีท่าทีเหมือนคนอดหลับอดนอนทั้งที่เมื่อคืนคุณเธอเพิ่งไปปาร์ตี้แบบสุดเหวี่ยงแถมยังไม่ได้กลับมานอนห้องอีกด้วย

“พี่เมต เพื่อนเมต ทำอะไรกันอยู่คร้า ทำไมอยู่กันเงี้ยบ เงียบ เพลงเพลิงไม่เปิดกันเหรอคะ” แม่หมูก้าวขาฉับเดินผ่านประตูเข้ามาในห้อง

“โห รูปอะไรน่ะเต็มเตียงไปหมดเลยมะนาว แอบไปล้างรูปมาเหรอ ทำไมไม่บอกจะได้ฝากล้างมั่ง ไหนขอดูหน่อยสิ ล้างร้านไหน แผ่นละกี่บาท” ก่อนที่ผมจะพูดอะไรออกไปแม่หมูก็เดินมาหยิบโปสการ์ดทั้งหมดที่วางกระจัดกระจายอยู่บนเตียงของผมไปดูทันที ท่าทีและสีหน้าของแม่หมูเปลี่ยนไปหลังจากที่รู้ว่ามันไม่ใช่แค่ภาพถ่าย แต่มันเป็นโปสการ์ดที่ถูกส่งมาจากคนที่เธอแอบชอบ แม่หมูอ่านโปสการ์ดทีละใบสลับกับมองหน้าผม อ่านจนครบทุกใบ สีหน้าของแม่หมูเปลี่ยนไป เธอหันหน้าไปหาพี่มีนที่นั่งอยู่บนเตียง ก่อนจะหันหน้ามาพูดกับผมที่นั่งนิ่งอยู่ข้างๆ เพราะยังนึกไม่ออกว่าสถานการณ์แบบนี้ควรจะพูดอะไรออกไปดี แม่หมูถอนหายใจยาวก่อนจะเอ่ยปากพูดกับผมเป็นประโยคแรก หลังจากที่นิ่งไปเสียนาน

“มะนาวเรามีเรื่องต้องคุยกัน” แม่หมูสบตาผมนิ่ง สายตาของเธอที่มองผมตอนนี้ไม่ใช่สายตาของเพื่อนที่ผมเคยรู้จัก ทั้งที่มีเวลาให้ผมเตรียมตัวรับสถานการณ์และคิดเอาไว้ว่าต้องมีวันนี้ แต่ทำไมมันมาเร็วแท้

“...” ผมก้มหน้าไม่กล้าสบตาเพื่อน ไม่รู้จะพูดอะไร

“มีอะไรจะพูดไหม?”

“...”

“เป็นแบบนี้ได้ยังไง มีอะไรทำไมไม่บอก”

“เราเพิ่งรู้ พี่มีนเพิ่งเอามาให้”

“แล้วมีอย่างอื่นอีกไหมที่ฉันยังไม่รู้ นอกจากโปสการ์ดพวกนี้”

“...”

“มะนาวหันหน้ามาคุยกันดีๆ อย่าเงียบสิ ยังมีเรื่องอื่นอีกใช่ไหมที่ออยด์ยังไม่รู้” เสียงแม่หมูเริ่มสั่น เธอหันไปหาพี่มีนแล้วถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนจะหันมาพูดกับผมต่อ “แล้วมะนาวจะเอายังไง?”

“...” ยังไม่ทันที่ผมจะพูดอะไรเพื่อนตัวกลมของผมก็พูดต่อทันที

“ในเมื่อเรื่องมันเป็นอย่างนี้แล้ว พูดสิว่ามะนาวก็ชอบกราฟ”

“...”

“มะนาวรู้อะไรไหม ออยด์อ่านข้อความจากโปสการ์ดแล้วรู้สึกยังไง” แม่หมูเงยหน้ามองเพดาน กลอกตาไปมาเหมือนพยายามไล่น้ำตาไม่ให้ไหลออกมา

“เรื่องนี้มันโรแมนติกออก อย่าเศร้าๆ ฮ่าๆๆ” พอพูดจบประโยคแม่หมูก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเสียงดัง พี่มีนก็หัวเราะเสียงดังตาม ดูเหมือนจะกลั้นหัวเราะเอาไว้ซะนานเพราะพี่เมตหน้าโหดตอนนี้ล้มตัวหงายท้องหัวเราะร่วนอยู่บนเตียงเหมือนคนบ้า

“มิชชั่นคอมพลีต!”

“?”

“โถ...โถ... อย่านั่งงงในดงความสงสัยสิ แค่เพื่อนเป็นแม่สื่อรักให้แค่นี้เอง”

“หมายความว่าไง”

“เอ้า เรื่องนี้เข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน เพื่อนที่ดีๆ ก็ต้องทำหน้าที่หาคนรักดีๆ ให้เพื่อนน่ะสิ”

“???”

“ทำหน้างง ฉันเลิกชอบกราฟไปนานแล้วค่ะเพื่อนขา ใครจะไปยินดีกับคำชมของผู้ชายที่บอกว่าน่ารักเหมือนคางคกยะ ไม่เดินไปด่าถึงหน้าห้องให้เสียหมาก็ถือว่าใจดีมากแล้วเด้อ อันนี้พูดเล่น จริงๆ แล้วเพื่อนก็ว่ากราฟดูเหมาะกับมะนาวดี เห็นกราฟคุยกับมะนาวได้ตั้งนานสองนาน แถมยังหาเรื่องคุยกันได้ทุกวันอีก ถ้าคนมันต่อกันไม่ติด คิดว่าก็ไม่น่าจะคุยกันได้ทุกวันขนาดนั้นปะ ฉันเลยเปลี่ยนใจขอทำหน้าที่เป็นแม่สื่อแทนดีกว่า และที่สำคัญตอนนี้ฉันก็ไม่ใช่คนตัวเปล่าเล่าเปลือยอีกต่อไปแล้วด้วย เพราะเมื่อคืนเพิ่งไปถวายตัวมา ในที่สุดความเวอร์จิ้น เพศพรหมจรรย์ที่เคยถือครองก็เป็นอันหลุดลอย” ประโยคหลังแม่หมูหันมากระซิบให้ได้ยินกันแค่สองคน

“ถวายบัว? กับใคร?”

“ถวายตัว! ไม่ใช่ถวายบัว แต่การถวายบัวก็เป็นหนึ่งในกิจกรรมย่อยของการถวายตัวนั่นแหละ เดี๋ยววันหลังค่อยเล่าแบบลงดีเทลให้ฟัง มะนาวจำพ่อหนุ่มที่โก๋ไปถีบหน้าเขาที่ผับได้ไหม?”

“...” ผมพยักหน้าตามงงๆ

“แล้วจำพ่อหนุ่มที่ช่วยเราไม่ให้ถูกเหยียบคืนงานเฟรชชี่ไนต์ได้ไหม?”

“ได้” ผมนึกตามก่อนจะพยักหน้าหงึกๆ หลังจากที่นึกหน้าออก “อ้อ...พ่อหนุ่มขึ้นหิ้งคนนั้น”

“ใช่ค่ะ คือคนเดียวกัน สองคนนั้นก็คือพ่อหนุ่มขึ้นหิ้ง Top list ผู้ชายในสต๊อกของเพื่อนเอง และไม่ต้องตกใจขนาดนั้นค่ะ เพราะที่กำลังคิดอยู่นะถูกแล้ว” พ่อหนุ่มขึ้นหิ้งคนนี้แม่หมูแอบปลื้มมานานมาก เคยเจอกันคืนงานเฟรชชี่ไนต์ตั้งแต่เปิดเทอมแรกๆ ก่อนจะมาเจอกับกราฟ แต่รู้ว่าเป็นไปไม่ได้เลยถูกจัดให้อยู่บนหิ้งแทน หมายความว่าถึงจะไม่ได้หัวใจ แต่ก็ยังอยู่ที่หนึ่งในใจเสมอ ทำให้พ่อหนุ่มขึ้นหิ้งคนนี้ไม่ได้ถูกจัดอยู่ในอันดับเหมือนคนอื่นๆ ที่เธอชอบ เพราะคนนี้มากกว่าชอบนั่นเอง

“ไม่เห็นเคยเล่าให้ฟัง”

“ก็ตอนนั้นคิดว่ามันคงเป็นไปไม่ได้หรอก แต่เดี๋ยว อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิ โอเค! เล่าให้ฟังตอนนี้เลยก็ได้ แหมมม อยากร้องแหมให้เสียงดังไปถึงดาวอังคาร ใจร้อนจริงนะ พอเคลียร์เรื่องตัวเองจบก็อยากรู้เรื่องคนอื่นทันทีเลยเนาะ เรื่องมันเป็นอย่างนี้ มันเกิดขึ้นหลังจากที่เขาถูกโก๋ถีบหน้า ฉันก็ไปหาเบอร์ห้องเขามาเพื่อจะให้โก๋โทรไปขอโทษ แต่ปรากฏว่าช่วงนั้นเขาไม่สบายพอดี ประกอบกับตอนนั้นเขาอยู่ห้องคนเดียวด้วย เพราะเพื่อนเมตกลับบ้านกันหมด ฉันเลยอาสาดูแลซื้อข้าวซื้อน้ำป้อนยาไถ่โทษให้ อะไร! อย่ามองแบบรู้ทันน่า จริงๆ ก็เอามาบังหน้าแหละ โอกาสมันมีก็ต้องรีบคว้าสิจ๊ะ จากนั้นก็เริ่มคุยกันมาเรื่อยๆ จริงๆ กะบอกมะนาวตั้งแต่เมื่อคืนแล้วนะ แต่ดันไม่ยอมไปเอง แต่ฉันว่านะสงสัยด้ายแดงฉันกับเขาคงต่อกันติดแล้วด้วยมั้ง ทุกอย่างเลยดูเข้าล็อกไปหมดเลย คิดมาแล้วก็แซ่บ มันดีมากมะนาว อูยยย คิดแล้วทั้งขนลุก ยังรู้สึกเสียดท้องอยู่เลยเนี่ย อึ๋ยยย”

“แล้ว?”

“เขาสอบเสร็จพร้อมกับเราเลยชวนไปฉลองสอบเสร็จด้วยกัน พอดีเขาไม่มีรถกลับเพราะเพื่อนเขาสอบเสร็จกลับบ้านกันหมดเลย ฉันเลยอาสาขับไปรับไปส่งที่หอ แต่เผอิญฉันดันทำเครื่องรางที่ได้มาหล่นที่ห้องของเขา แล้วเขาเลยเปลี่ยนสถานะให้ฉันแบบไม่ทันได้ตั้งตัว ฮี่ๆๆ เอ๊ะ! เอออออออ ตั้งใจทำหล่นแหละ เกลียดคนรู้ทันจริงๆ แต่มันได้ผลนะ พอเขาเห็นถุงยางใช่มะ นางก็ถามทำไมมีถุงยาง แล้วจะเอาไปใช้กับใคร พอถามมาเท่านี้แหละ คิดว่าฉันจะตอบว่าไงล่ะ ก็ต้องบอกว่ารอใช้กับเขาปะ แต่คิดว่าคงไม่ได้หรอก จากนั้นก็แพนกล้องไปที่โคมไฟค่ะ เอ๋ หรือจะให้เล่าแบบเอาดีเทลต่อจากนี้ปะ? อยากฟังแบบละเอียดยิบเลยเหรอ” แม่หมูตบมือสองข้างไปมาประกอบเรื่องเล่า

“พอเลย!” ไม่ใช่เสียงผมหรอกนะครับ เป็นเสียงของพี่เมตผมน่ะ แต่แม่หมูยักไหล่ใส่พี่เมตทำหน้าเป็นต่อราวกับเพิ่งได้ชัยชนะจากการลงสู้ศึกครั้งใหญ่


“พี่มีนก็ เผื่อมะนาวอยากรู้ นี่ถ้าไม่สนิทกัน ไม่เล่าละเอียดขนาดนี้นะ แล้วสรุปมะนาวชอบกราฟใช่ไหม?”

“ยังไม่ถึงเวลาที่จะพูดน่า ขอโฟกัสเรื่องเรียนก่อนละกัน” พอตั้งสติได้ผมก็หันไปยักคิ้วกวนประสาทให้เพื่อนเมตตัวกลมหนึ่งที เรื่องอะไรผมจะบอกง่ายๆ มองตาก็รู้ตอนนี้เมตผมก็รู้แหละ แต่แค่อยากฟังชัดๆ จากปากของผมเท่านั้นเอง

“เฮ้ย น้องเมตอย่ากั๊กดิวะ ตอบมาเร็วๆ เลย” พี่เมตหน้าโหดผมสวนขึ้นมา

“แหม พี่มีน ดูแค่นี้ก็รู้แล้วว่ากิงก่องแก้ว บางทีเมื่อคืนอาจมีซั่มติงแล้วก็ได้ เมื่อคืนอยู่ห้องคนเดียวด้วย และที่สำคัญไม่รับโทรศัพท์ใครใดๆ นัดยิ้มหรือเปล่าเอาดีๆ”

“ไม่บอกหรอกจ้า” เรื่องอะไรผมจะบอกง่ายๆ ถึงเวลาผมเอาคืนบ้าง “เดี๋ยวถึงเวลามะนาวก็บอกเองละน่า แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้”

“พฤติกรรมน่าสงสัยอยู่นะ เพราะเมื่อคืนน้องเมตไม่ได้นอนห้องคนเดียวด้วยนะครับ”

“หา...จริงเหรอคะ มะนาวเล่า! ขอแบบลงดีเทล ละเอียดยิบ!!”

“ตอนเช้าเห็นมีผู้ชายตั้งสองคนเดินออกจากห้อง แต่ละคนตัวใหญ่ๆ หนาๆ ทั้งนั้น รถไฟลำใหญ่ขบวนเดียวเวลาลอดอุโมงค์ก็ระบมแล้วนะ นี่ตั้งสองขบวน อุโมงค์ระเบิดแน่ อุ๊ยๆ! อร๊ายๆ! ทั้งคืนแท้ทรู”

“ว้ายยย ตายแล้ว บลัฟมากกก สองคนหนึ่งคืนเลยเหรอ ใครคะพี่มีน มะนาว เล่าแบบลงดีเทล เดี๋ยวนี้! เอาแบบละเอียดยิบ!!”

“No”

“มะนาว เร็วๆ อย่าทำเป็นสะดีดสะดิ้ง เดี๋ยวหยิกไข่ให้แสบทั้งสองใบเลย”

“ไม่ใช่ไม่อยากเล่า แต่มันยังไม่มีอะไรไง”

“แล้วใครคือสองคนนั้น”

“พี่โอมกับกราฟ”

“โอ้ววว มาย ก็อด! ไหนยืนให้ดูหน่อย รู้สึกเจ็บๆ ตรงก้นเปล่า”

“เดี๋ยว หมู หมู ยังไม่ได้อะไรเลย”

“จริงอะ?”

“จริง”

“แล้วสองคนนั้นมาอยู่ในห้องได้ยังไง”

“ไม่รู้เหมือนกันครับ ตื่นมาอีกทีก็เห็นกราฟกับพี่โอมอยู่ในห้องแล้ว”

“เชื่อได้ไหมพี่มีน” แม่หมูหันไปถามความเห็นจากผู้ปกครองของห้อง พี่มีนมองเตียงผม สำรวจผ้าห่มต่างๆ ก่อนจะพยักหน้าหงึกๆ แม่หมูถึงยอมเชื่อ จากนั้นก็ขอตัวไปอาบน้ำล้างตัว



หลังจากเรื่องทุกอย่างคลี่คลายสถานการณ์เข้าสู่ภาวะปกติ บรรยากาศห้อง 7712 ก็กลับมาเป็นเหมือนเช่นทุกวัน

“มะนาว เสื้อแจ็กเกตรุ่นของเด็กอุตสาน่ะ ถ้าไม่ได้คิดอะไรกับเขาก็รีบเอาไปคืนซะ”

“ที่บอกว่าไม่ได้คิดอะไรหมายความว่าไงพี่มีน”

“แจ็กเกตรุ่นเขาห้ามเด็กสาขาอื่นใส่ ถ้าไม่ใช่แฟนกัน”

“เรื่องจริงเหรอคะ/ครับ?” แม่หมูร้องเสียงหลง เพราะแม่หมูกับผมเคยใช้มุกนี้หลอกเอาตัวรอดมา ไม่เคยคิดว่ามันเป็นเรื่องจริง

“ตกใจแอคติ้ง? อย่าบอกนะว่าพี่ไม่เคยบอกเราสองคน” พี่มีนมองผมสองคนราวกับว่า ‘เคยบอกแล้ว แต่พวกเอ็งสองคนไม่เคยจำ’

“หือ” แม่หมูส่ายหัวรัวยืนยันคำตอบ

“รีบเอาไปคืนซะนะครับ”

หวังว่าคงไม่ได้แกล้งแบบซ้ำซ้อนหรอกนะ เพราะผมยังไม่อยากเชื่อเท่าไหร่ ถึงแม้ตอนนั้นพี่เข้มจะเคยบอกผม แต่ผมก็ไม่ได้ปักใจเชื่อ พอหันไปมองพี่มีนก็ไม่ได้มีท่าทีล้อเล่นเรื่องที่พูด ว่าแล้วผมก็รีบเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า หยิบแจ็กเกตของพี่เข้มออกมาจากตู้ สำรวจความเรียบร้อยด้วยการล้วงสำรวจในกระเป๋าเสื้อเผื่อเผลอทิ้งเศษอะไรลงไป แต่ผมก็เจอกับสิ่งของบางอย่างเข้าอย่างไม่ได้ตั้งใจ ผมเจอ ‘สมุด’ มันเป็นสมุดเล่มเล็กที่นอนแอ้งแม้งอยู่ใต้ก้นถุงกระเป๋าด้านในเสื้อ

สมุดอะไร? ผมล้วงมือขวาเข้าไปหยิบสมุดโน้ตเล่มเล็กๆ จากด้านในกระเป๋าเสื้อคลุมของพี่โอม คลี่กระดาษสมุดดูแบบผ่านๆ แต่ก็ต้องตกใจ เพราะมันทำให้เกิดภาพเคลื่อนไหวเป็นข้อความเรียงต่อกันเป็นประโยค

กู
จะ
จีบ
ผู้ชาย
ครั้งแรก
มัน
ชื่อ
‘มะนาว’
ฟัง
แล้ว
เปรี้ยว
ใจ
โว้ย!
(`∇´)
ไอ้จี๊ดดด

แล้วภาพต่อมาก็เป็นหัวใจที่กำลังเต้นตุบๆ ก่อนจะค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ก่อนหัวใจกลายเป็นลูกมะนาวขนาดใหญ่ที่เคลื่อนไหวเหมือนการเต้นของหัวใจตุบๆ

ผมอ่านข้อความเคลื่อนไหวในสมุดโน้ตเล่มเล็กที่หลายคนเรียกมันว่า Flip Book

ทีละหน้าซ้ำไปซ้ำมา ผมยังไม่อยากเชื่อสายตาของตัวเอง

กูจะจีบผู้ชายครั้งแรก มันชื่อ ‘มะนาว’ ฟังแล้วเปรี้ยวใจโว้ย! (`∇´)

“พี่เข้ม ‘ชอบ’ ผม”


ออฟไลน์ ryoushena

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +157/-2
Special: ร่มวิเศษ

ช่วงเย็นวันหนึ่ง ในวันที่อากาศค่อนข้างแปรปรวน ท้องฟ้าแต้มสีหม่นบ้างระบายสีเทาปนส้มอยู่เต็มขอบท้องฟ้า เมฆสีเทาเข้มเริ่มรวมตัวกันเป็นกลุ่มเล็กบ้างใหญ่บ้างตามแต่จะโทรศัพท์นัดรวมตัวกันได้ พอจัดเรียงตัวกันเป็นกลุ่มเรียบร้อยก็ทยอยเคลื่อนตัวมาซ้อนทับกันเป็นชั้นๆ จนกลายเป็นกลุ่มเมฆสีเทาดำขนาดใหญ่ดูราวกับว่าพวกมันกำลังส่งสารมายังเหล่าสิ่งมีชีวิตบนพื้นโลกว่าได้ตระเตรียมพื้นที่สร้างเวทีสำหรับแสดงระบำน้ำฝนจากเบื้องบนเสร็จแล้ว

ขณะเดียวกันในมุมเล็กๆ บนโลกของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ภายในโรงอาหารขนาดเล็กของหอพักสุรนิเวศ13 มีนักศึกษาปีหนึ่งหน้าตาดี รูปร่างสูงใหญ่ สวมแว่นสายตาหนาอยู่หนึ่งคนที่กำลังนั่งนิ่งรวมอยู่กับนักศึกษาคนอื่นที่กระจายตัวนั่งอยู่ตามโต๊ะทานข้าวตัวยาวสีขาว สายตาของเขากำลังจ้องมองหน้าจอโทรทัศน์ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะตัวสูงตรงกลางของโรงอาหาร หน้าจอโทรทัศน์กำลังฉายภาพยนตร์เกาหลีแนวรักโรแมนติก มุมด้านล่างของหน้าจอขึ้นชื่อเรื่องว่า ‘The Classic คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต’ เขานั่งดูไปอย่างนั้นเพื่อฆ่าเวลารออาหารตามสั่งที่เขาได้สั่งเอาไว้ ในหน้าจอโทรทัศน์ดำเนินเรื่องมาถึงฉากหนึ่งของหนังในวันที่ฝนกำลังตกหนัก ขณะที่ตัวละครหญิงสองคนกำลังสนทนากัน

คุณน้าเจ้าของร้านกาแฟ (ยกร่มที่ถืออยู่พร้อมกับหันมาถามนางเอก) : ชีเฮ เธอรู้ไหมนี่อะไร?
ชีเฮ (นางเอก) : ร่มไง?
คุณน้าเจ้าของร้านกาแฟ : มันเป็นร่มวิเศษต่างหากล่ะ
ชีเฮ (นางเอก) : เชอะ! ร่มมันก็คือร่มนั่นแหละ
คุณน้าเจ้าของร้านกาแฟ : แต่ร่มนี้เป็นร่มวิเศษ ที่วิเศษก็เพราะซางมิน (พระเอก) ให้ฉันไว้ ฉันว่า...เขาคงรู้ว่าฉันแอบชอบเขาอยู่
ชีเฮ (นางเอก) : ชัวร์เลย จะไม่รู้ได้ยังไงก็คุณจ้องเขาอยู่ทุกวันๆ
คุณน้าเจ้าของร้านกาแฟ : หือ นี่วานหน่อย ฝากร่มนี้ไปคืนซางมิน (พระเอก) ที
ชีเฮ (นางเอก) : คืนให้เขาเองสิ ฉันไม่ไปหาเขา
คุณน้าเจ้าของร้านกาแฟ : ทำไม เธอทะเลาะกับเขาอย่างนั้นเหรอ?
ชีเฮ (นางเอก) : ส่ายหน้า
คุณน้าเจ้าของร้านกาแฟ : เธอจำวันที่ฝนตกกะทันหันได้ไหม ในตอนนั้นซางมินกำลังดื่มกาแฟอยู่ในร้านนี่ ซางมินเขายืนจ้องออกไปนอกหน้าต่าง แล้วจู่ๆ ก็หันมาทางฉันแล้วก็พูดว่า “คุณน้าเอาร่มมาหรือเปล่า ฝนตกลงมาแล้ว?” ฉันก็บอกเขาว่ากำลังกังวลอยู่เนี่ย สงสัยจะไม่ได้เอามา จากนั้นเขาก็เอาร่มเขาวางไว้ตรงนี้ แล้วก็บอกว่า “นี่ร่มผมเอาไปใช้นะ” เขาบอกว่าเขาอยากตัวเปียกฝน แล้วเขาก็วิ่งฝ่าสายฝนที่กำลังตกหนักออกไปจากร้านกาแฟ

พูดจบนางเอกก็เดินมาจุดที่คุณน้าเจ้าของร้านกาแฟมองออกไปนอกร้าน เธอมองเห็นจุดที่เคยยืนหลบฝนทำให้นึกย้อนถึงเหตุการณ์ในอดีตที่เคยวิ่งมาหลบฝนใต้ต้นไม้เพราะไม่มีร่ม ในตอนนั้นเองพระเอกวิ่งมาหลบฝนใต้ต้นไม้ต้นเดียวกันกับนางเอกพอดีเพราะไม่มีร่มมาเหมือนกัน ก่อนจะหันมาบอกกับนางเอกว่าเขามีร่มวิเศษ พูดเสร็จพระเอกก็ถอดเสื้อตัวนอกออกมาใช้บังสายฝนที่เทลงมาอย่างหนักจากท้องฟ้า แล้วทั้งคู่ก็ออกวิ่งฝ่าสายฝนลัดเลาะตามหลังคามุมตึกไปจนถึงห้องสมุด

ในจังหวะนั้นเอง ขณะที่เขากำลังนั่งดูละครเกาหลี ปลายสายตาเขาก็เหลือบมองเห็นเด็กหนุ่มนักศึกษาอีกคนที่ชื่อมะนาววิ่งเข้ามาในโรงอาหารด้วยท่าทีรีบร้อน มะนาวเดินไปเปิดตู้หยิบน้ำอัดลมมาสองขวดแล้วรีบเดินไปจ่ายเงิน

มะนาวไม่ได้รู้ตัวเลยว่าทุกอย่างที่เขาทำมีสายตาหนึ่งคู่เฝ้ามองเขาอยู่อย่างไม่วางตา พอจ่ายเงินค่าน้ำอัดลมเสร็จเขาก็รีบเดินจ้ำอ้าวออกไปจากโรงอาหาร แต่ก่อนที่เขาจะก้าวขาออกพ้นหลังคาของโรงอาหารฝนเจ้ากรรมก็ลงเม็ดตกลงมาซะก่อน

“เราไปส่ง” ยังไม่ทันที่น้ำฝนจะปะทะกับร่างกาย ตัวของมะนาวก็อยู่ใต้เสื้อคลุมของกราฟที่ยกบังน้ำฝนที่กำลังตกลงมาอย่างหนัก
“เราวิ่งไปเองได้” มะนาวรีบบอกปัดด้วยความเกรงใจ

“เราจะไปห้องเพื่อนแถวห้องนายพอดี รีบเดินกันเถอะ”

จากนั้นมะนาวกับกราฟก็เดินกึ่งวิ่งหลบน้ำฝนไปจนถึงห้องของมะนาว พอส่งมะนาวเสร็จแล้วกราฟก็รีบวิ่งตากฝนกลับมายังโรงอาหารเพื่อกลับมาเอาร่ม

“หนุ่ม! หนุ่มลืมร่มไว้ในโรงอาหารนะลูก” เสียงป้าร้านขายกับข้าวร้องเรียกกราฟหลังจากที่เขาเพิ่งวิ่งวกกลับมาที่โรงอาหาร
“ขอบคุณครับป้า” กราฟหันไปกล่าวขอบคุณป้าแม่ครัว จากนั้นเขาก็เดินไปหยิบร่มที่วางเอาไว้แล้วกางร่มออกเพื่อเดินกลับห้องพัก แต่ก่อนที่เขาจะก้าวเท้าเดินพ้นเขตของโรงอาหารประโยคที่ดังขึ้นก็ทำให้เขาสะดุ้ง

“คราวหลังป้าขอใช้บริการ ‘ร่มวิเศษ’ บ้างนะหนุ่ม!” พอกราฟหันหน้ามาป้าแม่ครัวก็ขยิบตาให้กราฟหนึ่งที เพื่อบอกว่า ‘ฉันเห็นทุกอย่างที่เธอทำนะจ๊ะหนุ่มน้อย’ ก่อนจะเอ่ยประโยคต่อมา “แล้วข้าวที่สั่งไว้จะไม่เอากลับไปกินหน่อยเร้อ” พูดจบป้าแม่ครัวก็ยกข้าวสามกล่องที่กราฟสั่งเอาไว้ชูขึ้น มุมปากของกราฟเผลอยกยิ้มขึ้นทันที เขาก้าวขายาวเดินลิ่วมาหยิบข้าวจากนั้นก็รีบเดินก้มหน้าออกไปจากโรงอาหารด้วยใบหน้าแดงซ่าน เพราะเหตุการณ์ที่เขาเพิ่งทำมันเหมือนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหนังเกาหลีเรื่องนั้นไม่มีผิดเพี้ยน และเขาเองก็เคยนั่งดูหนังเกาหลีเรื่องนี้กับป้าแม่ครัวมาก่อน

กราฟไม่คิดเลยว่าทุกการกระทำของเขาถูกสายตาอีกคู่จับตาดูอยู่ตลอดเช่นกัน

ออฟไลน์ ryoushena

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +157/-2
THE CALL - เมื่อผมเป็นพ่อสื่อให้คางคก

The Call Chapter 22: สามแยกปาร์ก

ผมไม่เคยเชื่อเรื่องรักแรกพบ
ผมก็ไม่เคยตกหลุมรักใครแบบจังๆ มาก่อน
เรื่องพวกนี้มันไร้สาระ จนวันหนึ่งเจอเข้ากับตัว
ถึงรู้ว่าเรื่องแบบนี้มันมีอยู่จริง (ว่ะ!)

เวลา 02.00 นาฬิกา เกิดเหตุความไม่สงบขึ้นในครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวหนึ่งที่มีลูกชายฝาแฝดคนโตชื่อมะนาวคนรองชื่อมะตูม วันนี้เป็นวันแรกของลูกชายคนโตที่จะก้าวออกไปใช้ชีวิตเพียงลำพังนอกกำแพงของบ้านเพื่อเข้าไปเรียนรู้การใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย เช้ามืดของวันนี้จึงเต็มไปด้วยความครื้นเครง ปั่นป่วน และชวนให้เวียนหัว

“พ่อเสร็จยัง เดี๋ยวมะนาวไปสายโทษพ่อคนเดียวเลยนะ” เสียงร้องโหวกเหวกโวยวายของลูกชายคนโตที่ตื่นมาอาบน้ำแต่งตัวตั้งแต่ยังไม่ได้ยินเสียงไก่ขัน ตอนนี้เขาอยู่ในชุดเครื่องแบบนักเรียนมัธยมปลาย ด้านบนเป็นเสื้อนักเรียนสีขาวปักเข็มสัญลักษณ์โรงเรียนรูปพระอาทิตย์สีแดงอยู่กลางอกขวา ส่วนด้านล่างสวมกางเกงขาสั้นสีเทาเลยหัวเข่าขึ้นมาเล็กน้อย เขาพร้อมแล้วสำหรับการออกเดินทางครั้งนี้

พอแต่งตัวเสร็จมะนาวก็วิ่งรอบบ้านไปเร่งคนนู้นทีคนนี้ทีจนลืมความง่วงไปเสียสนิท ทั้งที่เมื่อคืนเขาแทบไม่ได้นอนเลยด้วยซ้ำเพราะมัวแต่ตื่นเต้นแถมยังต้องเตรียมของจำเป็นไปใช้ในรั้วมหาวิทยาลัย ทั้งที่มีเวลาเตรียมข้าวของก่อนหน้าวันเดินทางหลายวัน แต่เขาก็เพิ่งจะมาจัดข้าวของจริงจังเอาคืนก่อนเดินทาง

“ไอ้ลูกลิงจะรีบไปไหน ขอพ่อแต่งตัวแป๊บหนึ่ง ไปดูน้องเราก่อนไปว่าแต่งตัวเสร็จยัง” พ่อพยายามหันเหความสนใจของลูกชายคนโตไปที่ลูกชายคนรองแทน ปากก็พูดส่วนมือก็พยายามเร่งมือติดกระดุมเสื้อตรงพุงกลมโตให้ครบทุกเม็ด

“โห ทำไมพ่อตื่นสายอะ เร็วๆ เลยนะพ่อ” มะนาวหันไปบ่นให้พ่อก่อนจะหันหลังกลับเดินลงบันไดมาชั้นล่างเพื่อดูว่าน้องชายตัวดีของเขาอาบน้ำเสร็จหรือยัง เหตุที่ต้องเร่งทุกคนเพราะเขากลัวว่าจะไปไม่ทันเวลามอบตัว พ่อของเขาไม่ค่อยได้ขับรถไปไหนไกลๆ มานานแล้ว นี่ต้องไปไกลถึงโคราช ไม่รู้ว่าจะหลงทางบ้างหรือเปล่า มะนาวเลยต้องเร่งให้ทุกคนออกเดินทางก่อนเวลานัด กว่าจะไปถึงคาดว่าน่าจะใช้เวลาเดินทางราวหกชั่วโมง

“แม่ มะตูมล่ะครับ” มะนาวเดินเข้ามาหาแม่ที่กำลังเตรียมเสบียงอยู่ในครัว

“น้องอาบน้ำเสร็จแล้ว ตอนนี้คงกำลังแต่งตัวอยู่บนห้อง แล้วเราล่ะฮึ มัวแต่ไปเร่งคนนู้นทีคนนี้ที ดูสิเข็มขัดยังไม่ได้ใส่เลย”

“อ้าว... ลืมได้ไงเนี่ย” มะนาวก้มมองดูกางเกงของตัวเองพร้อมกับยกมือเกาหัวแกรกๆ แก้เก้อ “เดี๋ยวมะนาวลงมาใหม่นะแม่” พอรู้ตัวว่าลืม มะนาวก็รีบวิ่งเสียงดังตึงตังกลับขึ้นบันไดไปคาดเข็มขัดนักเรียนบนห้องใหม่

“จะไหวไหมเนี่ยลูกชายฉัน” แม่ส่ายหัวในความเปิ่นของลูกชายตัวดี ยังคิดไม่ตกว่าการออกไปใช้ชีวิตนอกบ้านครั้งแรกลูกชายคนนี้จะไปก่อเรื่องวุ่นวายให้ใครบ้าง

ตอนนี้ทุกคนในบ้านแต่งตัวเสร็จพร้อมแล้วสำหรับออกเดินทางพามะนาวไปปล่อย เฮ้ยย ไปมอบตัวเข้าเรียนต่างหาก พ่อใส่แว่นกันแดดสีชา สวมเสื้อเชิ้ตลายสกอตสีเขียว มาดเท่ไม่เบา ทำหน้าที่เป็นคนขับ แม่ผู้แสนใจดีก็สวมเสื้อสีขาวคอบัวตัวเก่งนั่งอยู่ด้านหน้าข้างๆ พ่อ ส่วนลิงทั้งสองจับจองที่นั่งด้านหลังแค็บ

“มะนาวขนของใช้ขึ้นกระบะหมดแล้วใช่ไหม” ก่อนสตาร์ตรถพ่อหันกลับมาถามลูกชายตัวดีที่นั่งไม่นิ่งอยู่ด้านหลังอีกทีเพื่อเป็นการตรวจสอบความเรียบร้อย

“หมดแล้วพ่อ มะนาวกับมะตูมช่วยกันขนขึ้นมาเรียบร้อย” มะนาวตอบรับพ่อด้วยเสียงดังมั่นใจ

“โอเค งั้นคงถึงเวลาออกเดินทางกันแล้ว”

“Sir, Yes sir” มะตูมกับมะนาวยกมือขึ้นมาทำท่าวันทยาหัตถ์รับคำ เรียกรอยยิ้มให้ผู้เป็นพ่อได้ไม่น้อย ท้ายรถยนต์ของมะนาวค่อยๆ เคลื่อนตัวออกห่างจากตัวบ้านเรื่อยๆ มีจุดหมายปลายทางคือมหาวิทยาลัยด้านเทคโนโลยีในจังหวัดนครราชสีมา

ตอนนี้มะนาวทั้งตื่นเต้นแล้วก็ใจหายเพราะเขาแทบไม่เคยรู้จักมหาวิทยาลัยที่กำลังจะไปเรียนเลย ไม่รู้ว่าสภาพแวดล้อมของมหาวิทยาลัยจะเป็นอย่างไรบ้าง รู้แค่ว่าอยู่ในจังหวัดนครราชสีมา แล้วก็รู้เพิ่มมาอีกหน่อยหนึ่งว่าที่ตั้งของมหาวิทยาลัยของเขาตั้งอยู่ฝั่งด้านขวาของถนน ถ้าออกจากโคราชมุ่งหน้าไปเส้นจังหวัดปราจีนบุรี เพราะเขาไปแอบถามข้อมูลมาให้พ่อมาหน่อยนึง การเดินทางครั้งนี้ก็คงไม่ต่างกับการผจญภัยของครอบครัวของเขาสักเท่าไหร่ เพราะนานๆ ครั้งถึงจะได้ขับรถออกนอกจังหวัดครบทั้งครอบครัวแบบนี้สักที อีกอย่างพ่อเขาเองก็ไม่ค่อยคุ้นเส้นทางเท่าไหร่ด้วย

ขับออกมาได้สักพักพ่อก็แวะจอดปั๊มน้ำมันข้างทางเพื่อซื้อกาแฟอุ่นๆ กินสักแก้ว เรียกพลังไม่ให้หลับระหว่างทางเพราะอากาศช่วงเช้าค่อนข้างเย็น ถนนมีหมอกลงหนาจัดจนฝ้าเกาะกระจกรถยนต์ทำให้พ่อต้องเปิดที่ปัดน้ำฝน ใช้ผ้าแห้งเช็ดกระจก และลดอุณหภูมิในรถลงให้ต่ำกว่านอกรถ พร้อมกับลดระดับกระจกหน้าต่างลงเพื่อช่วยไล่ละอองน้ำที่เกาะตามกระจกรถให้หายไป

“เราจะไปถึงโคราชประมาณกี่โมงอะพ่อ” มะตูมเอ่ยปากถามด้วยความสงสัยระหว่างที่พ่อกำลังขับรถอย่างตั้งใจ

“น่าจะไปถึงพอดี มะนาวในใบเอกสารที่ส่งมาเขาบอกว่ากี่โมงนะ”

“แปดโมงครึ่งพ่อ”

“ตอนนี้ก็เพิ่งจะตีห้าเราเข้าเขตขอนแก่นแล้ว ก็น่าจะไปถึงโคราชสักประมาณเจ็ดโมงมั้งพ่อว่า”

“แล้วพ่อแน่ใจนะว่าจะไม่พาพวกเราหลง”

“วะ ไอ้ลูกลิงพวกนี้ ไว้ใจพ่อพวกเอ็งบ้าง”

“ก็พ่อบอกมะนาวว่าพ่อจำทางไม่ได้อะ มะนาวเป็นห่วงจะได้ช่วยดูป้ายให้ไง”

“ถึงพ่อจะไม่รู้เส้นทางมันก็ไม่ยาก ของแบบนี้มันมีเทคนิค แค่ตามหลังรถบัสที่ขับเข้ากรุงเทพไปเรื่อยๆ แป๊บเดียวเดี๋ยวก็ถึงเอง”

“จริงเหรอพ่อ” แม่ส่งเสียงออกมาเหมือนไม่ค่อยอยากเชื่อเท่าไหร่

“จริงสิแม่ เชื่อมือพ่อน่า ไม่ต้องห่วง พ่อซะอย่างเซียนอยู่แล้ว ไม่มีหลงแน่นอน”

ขับไปเรื่อยๆ สักพัก มะนาวสังเกตเห็นว่าพ่อขับเลี้ยวเข้าสถานีขนส่งบ้านไผ่เลยสะกิดถามแฝดผู้น้องให้หันไปถามพ่ออีกรอบ

“พ่อ ทำไมเราต้องขับเข้ามาสถานีขนส่งบ้านไผ่” พ่อเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยปากตอบลูกชาย

“พ่อลืมไปว่ะ ว่ารถบัสมันต้องวนเข้าสถานีขนส่ง ก็ขับเพลินเลยสิทีนี้ แต่ไม่เป็นไรเลี้ยวออกได้...”

ทุกคนในรถหันมามองหน้ากันอย่างไม่ได้นัดหมายในความเนียนของผู้เป็นพ่อ จากนั้นพ่อก็เปลี่ยนการขับใหม่อาศัยดูจากป้ายตามถนนแทนจนในที่สุดก็เข้าเขตจังหวัดนครราชสีมา

“พ่อเราขับเข้าเขตโคราชแล้วพ่อ ตอนนี้เพิ่งจะหกโมงกว่าๆ เองทำไมถึงเร็วจัง”

“ก็พ่อเป็นคนขับ ขับไวขับดี ถึงที่หมายเร็วปรี๊ดๆ”

“แม่ว่าลองจอดลงไปถามคนแถวนี้ไหมว่าใกล้ถึงมหาลัยวิทยาลัยเราหรือยัง”

“ดีๆ แม่นี่รอบคอบที่สุด สมแล้วที่เป็นเมียพ่อ” พ่อหันมาส่งยิ้มให้แม่ สองแฝดคิดในใจ ‘ลูกโตขนาดนี้แล้วยังจีบกันไม่เลิกอีก ไม่อายลูกบ้างเล้ย’ พอพ่อเทียบรถจอดข้างทางมะนาวก็เปิดประตูลงไปถามลุงที่นั่งอยู่บนแคร่ไม้ไผ่หน้าบ้าน

“ลุงครับ มหาวิทยาลัยสุรนารีขับไปอีกไกลไหมครับ”

“โห อีกไกลเลยหนุ่ม ตอนนี้เพิ่งเข้าเขตโคราช มหาวิทยาลัยที่เราจะไปนะต้องเลยตัวเมืองออกไปอีกสิบยี่สิบโลเลยมั้ง”

“อ่อ ครับ ยังอีกไกลใช่ไหมครับ”

“เดี๋ยวหนุ่มขับไปเรื่อยๆ นะ พอเข้าไปถึงในตัวเมืองโคราชค่อยถามเขาอีกที”

“ขอบคุณครับ”

“พ่อ ลุงเขาบอกว่ายังอีกไกล มันต้องเลยเข้าไปในตัวเมืองก่อน ลุงบอกว่าตอนนี้เราเพิ่งขับมาถึงเขตนอกเมืองเอง”

จากนั้นพ่อก็ขับมาเรื่อยๆ มะนาวเพิ่งมารู้ทีหลังว่าจังหวัดนครราชสีมามีพื้นที่ใหญ่มาก...แต่ละอำเภอไกลกันเกือบร้อยกิโล ที่จอดถามกับในตัวเมืองที่มะนาวจะไปไกลกันมาก เพราะกว่าจะขับมาถึงตัวเมืองก็ใช้เวลาเกือบสองชั่วโมง ระหว่างที่ขับมาก็แวะจอดถามทางไปเรื่อยๆ

จนเข้ามาถึงในตัวเมืองพ่อก็จอดแถวๆ หน้าโรงแรมพีกาซัสให้มะนาวลงถามเส้นทางอีกรอบ

“ป้าครับ มหาวิทยาลัยสุรนารีไปอีกไกลไหมครับ”

“ไอ๊เว่ย” ป้าตะโกนถามมะนาวกลับทันทีด้วยสำเนียงภาษาถิ่น

“ครับ?” ไอ้เว่ย? ไอ้เวร? เฮ้ย...ป้าด่าเขาปะ ไม่น่าใช่นะหรือว่าเสียงรถมันดังทำให้ป้าไม่ได้ยินเสียงเขา มะนาวตัดสินใจถามป้ากลับอีกรอบ “มหาวิทยาลัยสุรนารีไปอีกไกลไหมครับ”

“จั๊กก็อะไร้เว่ยเฮย” ป้าตะโกนถามกลับอีกรอบพร้อมกับส่งยิ้มกว้างเพิ่มความเป็นกันเองให้มะนาวทีนึง เอาไงล่ะทีนี้ เอ่อ...ไปต่อไม่ถูก สงสัยป้าเห็นมะนาวทำหน้างงเลยจัดเต็มตามมาอีกหนึ่งประโยค “หูไม่ดี เสียงรถมันดังโพด” ประโยคนี้มะนาวเริ่มฟังเข้าใจแล้ว

“มหาวิทยาลัยสุรนารีไปอีกไกลไหมครับ” คราวนี้ป้าพยักหน้าเข้าใจมะนาวค่อยโล่งอกหน่อย

“ใกล่ถึงแล่วหนุ่ม ขั้บเลยเดอะมอออกไป๊ พอถึงสามแยกป๊าก หนุ่มก็เลี่ยวซ่ายเลยเด้อ” ป้าท่าทางใจดีอธิบายเส้นทางให้มะนาวฟังด้วยภาษาโคราชแบบจัดหนัก มะนาวรับข้อมูลแบบงงๆ ว่าคนโคราชนี่อินเตอร์ไม่เบานะครับ ป้าอายุปูนนี้ยังใช้ทับศัพท์

แหม่...ไม่ธรรมดา ระบบประมวลผลเรื่องภาษาของเขาทำงานปุบปับ แสดงว่าขับไปถึงสามแยกสวนสาธารณะแล้วให้เลี้ยวซ้าย

“เจอสามแยกปาร์ก เอ่อ...สวนสาธารณะแล้วเลี้ยวซ้ายออกไปเลยใช่ไหมครับ” มะนาวทวนอีกรอบเพื่อความแน่ใจของตัวเองว่าตีความหมายไม่ผิด

“ใช่แล่วหนุ่ม ขั้บต่อไปเรื่อยๆ ราวๆ สิบห้ากิโล ก็จิแลเห็นป้ายมหาวิทยาลัยสีเขียวอันใหญ่ๆ อยู่ฝั่งซ่ายของถนนก็เลี่ยวเข่าไป้ได่เลย”

“อ่อ ขอบคุณมากครับป้า” มะนาวยกมือไหว้พร้อมกับยิ้มกว้างขอบคุณป้าแล้วรีบวิ่งขึ้นรถทันที

“ป้าเขาบอกว่าเจอแยกที่มีสวนสาธารณะก็ให้เลี้ยวซ้ายเข้าไปเลยพ่อ ขับไปเรื่อยเดี๋ยวก็มองเห็นป้ายมหาวิทยาลัยอยู่ด้านซ้ายของถนนเอง”

“นั่นไง ป้ายชี้บอกทางไปสวนสาธารณะสวนรัก เลี้ยวซ้ายใช่ไหมมะนาว” มะตูมสังเกตเห็นป้ายสวนสาธารณะบอกให้เลี้ยวซ้าย

“ใช่ ป้าเขาบอกว่าถ้าเจอสวนสาธารณะให้เลี้ยวซ้ายเข้าไปเลย”

“งั้นพ่อเลี้ยวแล้วนะ”

“ครับ”

ขับไปเรื่อยๆ ตามป้ายบอกทางไปสวนรัก สักพักมะนาวก็เห็นรูปปั้นอนุสาวรีย์เท้าสุรนารี แต่ก็ไม่เห็นมีป้ายมหาวิทยาลัยของเขาเลย รวมถึงห้างเดอะมอลล์ที่ป้าบอกว่าจะเจอห้างก่อนถึงจะเจอสวนสาธารณะ รู้สึกทะแม่งๆ เฮ้ย! มันต้องเจอห้างเดอะมอลล์ก่อนนี่นา มะนาวเพิ่งนึกได้ว่ามันต้องเจอห้างก่อนถึงจะเจอสวนสาธารณะ

“พ่อ...มะนาวว่า เราต้องเลี้ยวเข้ามาผิดแน่ๆ เพราะป้าเขาบอกว่าเราต้องขับผ่านห้างเดอะมอลล์ก่อนถึงจะเจอสามแยกสวนสาธารณะ”

“อ้าว ไอ้ลิง เมื่อกี้ทำไมไม่บอก งั้นพ่อวนออกไปเลยนะ หรือว่าเราจะจอดไหว้ย่าโมก่อนไหมแม่ ไหนๆ ก็ขับผ่านมาถึงหน้าท่านแล้ว”

“แม่ว่าไม่ทัน ตอนนี้ก็เกือบเจ็ดโมงครึ่งแล้วเรายังไม่ถึงไหนเลย”

“งั้นไหว้บนรถแทนได้ไหมพ่อ บอกย่าโมว่าเรารีบ”

“เอางั้นเหรอแม่”

แม่พยักหน้ารับ จากนั้นมะนาวกับมะตูมก็ยกมือไหว้ย่าบนรถแทน

“แล้วนี่ห้างอะไร”

“คลังพลาซ่าพ่อไม่ใช่เดอะมอลล์”

“แล้วนี่ล่ะ”

“ไอทีพลาซ่า”

“โห...มะตูมรู้ได้ไง”

“อ่านเอาจากป้ายเมื่อกี้” โด่ มะนาวก็นึกว่ามะตูมแอบไปหาข้อมูลมาเพื่อช่วยให้การเดินทางครั้งนี้ไม่ทุลักทุเลเกินไป แต่ที่ไหนได้ก็พอๆ กันหมด

ขับกลับเข้ามาถนนเส้นหลักแล้วพวกเขาก็เห็นห้างเดอะมอลล์ พ่อก็ขับชิดซ้ายมาเรื่อยๆ จนมองเห็นสะพานข้ามแยกอยู่ไกลๆ พ่อก็ชิดซ้ายจอดรถให้มะนาวลงไปถามอีกทีเพื่อความแน่ใจ

“พี่ครับ อีกไกลไหมครับจะถึงสามแยกปาร์กอะครับ” ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว มะนาวเลยลองถามตามแบบที่ป้าเขาบอกเลยแล้วกัน เผื่อมันเป็นศัพท์ที่คนพื้นที่เขารู้จัก แต่พอมะนาวถามประโยคนั้นไปพี่เขากลับชักสีหน้างงๆ เหมือนไม่เคยได้ยินมาก่อน จากนั้นก็ใช้สายตามองสำรวจสภาพมะนาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าในชุดนักเรียน สวมแค่ถุงเท้าเพราะรีบวิ่งลงจากรถ ตรวจเช็กสภาพเขาเสร็จพี่เขาก็เงยหน้าถามกลับมาว่า

“น้องหมายถึงสามแยกปัก แยกปักธงชัยปะ” โชคดีที่พี่คนนี้พูดโต้ตอบมะนาวเป็นภาษากลางปกติ ทำให้เขาไม่ต้องขุดทักษะด้านภาษาออกมาใช้อีก

“มันมีแค่สามแยกเดียวใช่ไหมครับ” พี่เขางงมะนาวก็งงเหมือนกันครับ

“แล้วน้องกำลังจะไปมหาวิทยาลัยสุรนารีเปล่าล่ะ”

“ครับ” มะนาวพยักหน้าหงึกๆ แต่ยังแคลงใจเรื่องแยกปักกับแยกปาร์ก

“งั้นก็แยกเดียวกัน เดี๋ยวน้องขับตรงไปเรื่อยๆ นะ ขับขึ้นสะพานไปเลย ให้ชิดซ้ายไว้ตลอด พอเห็นป้ายบอกทางไป ‘อำเภอปักธงชัย’ น้องก็เลี้ยวซ้ายไปได้เลย มหาวิทยาลัยก็จะอยู่ซ้ายมือป้ายใหญ่ๆ หน่อย มองเห็นไม่ยากหรอก ขับไปประมาณไม่เกินเจ็ดโลมั้ง เดี๋ยวก็ถึง”

“ขอบคุณครับ”

ไอ้เว่ย สามแยกปาร์ก! หมายถึงสามแยกปักธงชัยหรอกเหรอครับ ทักษะด้านภาษาของเขาทำงานพลาด มะนาวอยากเต้น Harlem Shake แบบจัดหนักมันซะตรงนี้เลย จากนั้นพวกเขาก็ขับตามพี่ผู้ชายใจดีคนนั้นบอกก็มาถึงทางเลี้ยวเข้ามหาวิทยาลัย เช้านี้มะนาวขับรถเที่ยวชมเมืองโคราชอย่างไม่ได้ตั้งใจจนได้ พ่อเหลือบตามองนาฬิกาข้อมือแล้วก็เหยียบคันเร่งแบบเต็มสูบ จากป้ายใหญ่ของมหาวิทยาลัยด้านนอกพวกเขาก็ขับเข้ามาถึงป้ายมหาวิทยาลัยด้านใน มะนาวชักสงสัยจะมีป้ายมหาวิทยาลัยด้านในกว่าอีกป้ายแฝงตัวอยู่หรือเปล่า

“กี่โมงแล้วแม่”

“แปดโมงจะครึ่งแล้วพ่อ”

พอรู้ว่าใกล้ถึงเวลาด้วยความรีบหลังจากที่แลกบัตรผ่านป้อมยามเข้ามา พ่อก็รีบขับเข้าไปตามถนนด้านในของมหาวิทยาลัยทันที โดยที่ไม่ได้หยุดถามทางกับรปภ.เลยว่าอาคารมอบตัวอยู่ส่วนไหนของมหาวิทยาลัย มาถึงก็เลี้ยวขวาตรงเข้าไปข้างใน หลังจากมองเห็นแค่หลังคาแดงๆ ของอาคารพ่อก็ขับตรงเข้าไป ขับไปเรื่อยๆ จนเข้าใกล้ตัวอาคาร แต่บรรยากาศรู้สึกมันดูเงียบๆ แปลกๆ มีนักศึกษาเดินอยู่บ้างประปราย พ่อขับผ่านป้ายหอพักสุรนิเวศ 13 จนในที่สุดเลยมาถึงทางเข้าอีกหนึ่งประตู

“ขอโทษนะคะ อาคารมอบตัวนักศึกษาปีหนึ่งขับไปเส้นนี้ไหมคะ” แม่หมุนกระจกถามลุงรปภ.ที่นั่งอยู่ในป้อมยาม

“มาผิดเส้นแล้วครับ ตรงนี้เป็นประตูออกแล้วครับ เดี๋ยวกลับรถตรงนี้จากนั้นเจอแยกแล้วเลี้ยวขวาตลอดก็ถึงเลยครับ”

“ขอบคุณมากค่ะ”

พอพ่อวนรถกลับถึงมองเห็นว่าอาคารที่ขับมามันเป็นหอพักนักศึกษาไม่ใช่อาคารเรียน พ่อก็ขับออกตามถนนเจอแยกไหนก็เลี้ยวขวา เลี้ยวขวา จนมาถึงทางเข้าอีกหนึ่งประตู

“ขอโทษนะคะ อาคารมอบตัวนักศึกษาปีหนึ่งไปเส้นนี้ไหมคะ” แม่หมุนลดกระจกถามลุงรปภ. ที่นั่งอยู่ในป้อมยามอีกคน

“มาผิดเส้นแล้วครับ ตรงนี้เป็นประตูออกแล้วครับ เดี๋ยวกลับรถแล้วเลี้ยวขวา พอเจอแยกแล้วเลี้ยวซ้ายเข้าไปนะครับ จากนั้นพอเจอแยกที่สองก็ให้เลี้ยวขวาอีกที”

“เอาละสิ เลี้ยวขวาแล้วเลี้ยวซ้าย ช่วยพ่อจำหน่อยนะแม่” พ่อพูดขึ้นมาหลังจากที่แม่ปิดกระจกรถเรียบร้อย ตอนนี้แปดโมงครึ่งแล้วด้วย

ว่าแล้วพ่อก็ขับเลี้ยวขวา เลี้ยวซ้ายแยกแรก จนมาถึงอาคารหลังใหญ่ เฮ้อ ในที่สุดรถมะนาวก็มาถึงจนได้ หลงทางในมหาวิทยาลัยเกือบหนึ่งชั่วโมงเต็มๆ

“มะนาวลองลงไปถามซิ ว่าใช่อาคารนี้แน่หรือเปล่า”

“ลุงครับ ตรงนี้ใช่อาคารมอบตัวนักศึกษาปีหนึ่งไหมครับ”

“ไม่ใช่ครับ นี่อาคารห้องสมุด แต่อีกนิดเดียวก็ถึงแล้วละครับ เดี๋ยวขับกลับออกไป เลี้ยวขวา จนเจอสามแยกที่มีอาคารสีแดงด้านซ้าย เลี้ยวขวาอีกทีก็ถึงแล้วครับ”

เอ่อ ยังไม่ถึงอีกเหรอครับลุง อะไรมันจะขนาดนั้น หรือว่าพวกเขาหลงทางอยู่ในดินแดนลับแล แล้วอาคารเรียนมันอยู่ตรงไหน ทำไมเขามองไม่เห็นอาคารสักหลัง

“ขอบคุณครับ”

ขณะนี้เลยเวลามานัดมาเกือบครึ่งชั่วโมงเพราะตอนนี้เก้าโมงกว่าๆ แล้ว สุดท้ายรถครอบครัวของมะนาวก็ขับมาถึงอาคารเรียนรวมจุดส่งรายงานตัวนักศึกษาปีหนึ่ง พอจอดรถยนต์เสร็จสรรพเรียบร้อยไม่รอช้ามะนาวรีบหยิบเอกสารที่วางอยู่ข้างๆ แล้วรีบเดินตรงเข้าไปในตัวอาคารทันที ลืมพ่อแม่น้องไว้ที่รถเพราะเขาใช้เวลากับการหลงทางในมหาวิทยาลัยนานราวหนึ่งชั่วโมงได้ ด้วยความที่ไม่ได้อ่านข้อมูลมาก่อนมะนาวเลยไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร รู้เพียงแค่ว่าวันนี้คือวันมอบตัวแค่นั้น แต่ต้องติดต่อฝ่ายไหน หรือห้องมอบตัวอยู่ตรงไหน มะนาวไม่รู้สักเรื่อง

บรรยากาศวันมอบตัวภายในตัวอาคารเต็มไปด้วยนักศึกษาหญิงชายเดินกันอยู่ขวักไขว่ บ้างก็นั่งจับกลุ่มคุยกันส่งเสียงดัง นอกจากมีซุ้มแสดงข้อมูลของแต่ละคณะของทางมหาวิทยาลัยแล้ว ยังมีทั้งร้านขายเครื่องแบบของทางมหาวิทยาลัยอีกด้วย มีนักศึกษายืนเลือกซื้อกันอยู่หลายคน แต่มะนาวไม่ได้สนใจเรื่องราวรอบตัวเขาแม้แต่น้อย เพราะตอนนี้เขากำลังรีบจัด จากตอนแรกที่เดินหาป้ายบอกว่าคณะมัลติของเขามอบตัวที่ไหน ตอนนี้เขาเริ่มเดินหารปภ.เพื่อถามทางแทนเพราะเขาหาป้ายไม่เจอ เดินกึ่งวิ่งอยู่สักพักก็หารปภ.เจอ พอรู้ว่าต้องไปทางไหน เขาก็รีบวิ่งไปห้องส่งเอกสารมอบตัวทันที

กรอกข้อมูลลงในแบบฟอร์มรายงานตัวขึ้นเป็นนักศึกษาใหม่เสร็จ อ่านตรวจทานจนแน่ใจ อ้าว! ต้องมีผู้ปกครองเซ็นด้วย มะนาวเงยหน้ามองรอบๆ พ่อแม่เขาไม่อยู่แถวนี้ มะนาวรีบวิ่งกลับไปที่รถให้พ่อกับแม่เซ็นเอกสารแล้วก็รีบวิ่งกลับมายื่นเอกสารให้กับเจ้าหน้าที่อีกที
“ส่งเอกสารรายงานตัวเสร็จแล้วต้องทำยังไงต่อครับ”

“จะมีทดสอบด้านภาษาอังกฤษต่อค่ะ ตอนสิบโมง ใช้เวลาสอบประมาณหนึ่งชั่วโมง จากนั้นก็เข้าปฐมนิเทศนักศึกษาปีหนึ่งช่วงบ่าย แต่งชุดพิธีการของทางมหาวิทยาลัยนะคะ” เจ้าหน้าที่บอกข้อมูลเขาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เห็นว่าเขาใส่ชุดนักเรียนมาคงเตือนเรื่องเครื่องแบบด้วยความหวังดี แต่ตอนนี้มะนาวยังไม่มีชุดพิธีการที่ว่า กระทั่งชุดนักศึกษาสักชุดมะนาวก็ยังไม่มี มะนาวได้แต่คิดในใจ ‘ทำไมมันถึงรวดเร็วอย่างนี้’

เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าจะมีการทดสอบด้านภาษาอังกฤษแล้วต่อด้วยปฐมนิเทศ มะนาวหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูเวลา ตอนนี้ 9.45 น. เหลือเวลาอีกสิบห้านาทีก่อนจะถึงเวลาสอบ “แล้วห้องสอบอยู่ตรงไหนครับ”

“ห้องสอบเดินตรงไปแล้วเลี้ยวขวานะคะ หน้าห้องสอบจะมีรายชื่อกับเลขที่นั่งสอบติดเอาไว้ สามารถตรวจสอบข้อมูลจากตรงนั้นได้เลย”

“ขอบคุณครับ” พอทราบข้อมูลว่าวันนี้เขาต้องทำอะไรบ้างก็รีบวิ่งกลับมายังรถยนต์ของครอบครัวที่จอดเอาไว้

“เรียบร้อยดีไหม”

“เสร็จแล้วแม่ แต่เดี๋ยวอีกสิบห้านาทีมะนาวต้องเข้าห้องสอบวัดความรู้ภาษาอังกฤษก่อน”

“สอบถึงกี่โมง”

“สิบเอ็ดโมงพ่อ”

“เดี๋ยวสอบเสร็จแล้วโทรหาแม่นะ พ่อแม่กับน้องจะไปทำเรื่องหอพักให้เราก่อน เมื่อกี้พ่อเดินไปคุยกับเด็กแถวนี้มา เขาบอกว่าให้เด็กปีหนึ่งมาเข้าหอตั้งแต่สองวันก่อนหน้านี้แล้ว แต่ลิงแถวนี้ไม่ยอมบอก”

“มิน่าล่ะ มะตูมก็กำลังคิดอยู่ว่าทำไมไม่เห็นมีพ่อแม่คนอื่นมาส่งลูกเหมือนบ้านเราเลย”

“ก็ในไฟล์เอกสารที่ส่งมาในอีเมลบอกไว้แค่ว่าวันมอบตัวคือวันนี้อะพ่อ หรือว่ามะนาวอ่านไม่ละเอียดก็ไม่รู้”

“แล้วเราจะเอาหอพักแบบไหน หอพักที่นี่มีสองแบบ แบบห้องน้ำรวมกับห้องน้ำในตัว”

“เอาแบบไหนก็ได้พ่อ มะนาวให้สิทธิ์พ่อเลือกเต็มที่เลย”

“แล้วรู้หรือยังว่าห้องสอบอยู่แถวไหน”

“ยังฮะ มะนาวเดินมาบอกแม่กับพ่อก่อน”

“รีบไปเลยมะนาวเดี๋ยวก็เข้าสอบสายหรอก”

“เตรียมดินสอปากกาให้เรียบร้อยนะ สอบเสร็จแล้วโทรหาแม่ด้วย”

“ครับ” รับคำเสร็จมะนาวก็หันหลังเดินกลับไปห้องสอบทันที แต่พอนึกได้เรื่องเครื่องแบบมะนาวก็รีบวิ่งกลับมาบอกแม่อีกรอบ “แม่ซื้อชุดพิธีการให้มะนาวด้วยชุดนึงนะ ตอนบ่ายต้องใส่เข้าปฐมนิเทศ”

จากนั้นมะนาวก็รีบเดินหาห้องสอบ ระหว่างทางเดินก็สวนกับนักศึกษาหลายคนที่กำลังเดินมุ่งหน้าออกจากตัวอาคาร เดินไปดูรายชื่อห้องนู้นทีห้องนี้ทีจนรู้ห้องสอบของตัวเอง พอรู้ว่าห้องสอบของตัวเองห้องไหนมะนาวก็ตรวจสอบเลขที่สอบอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ เขายืนอยู่ท่ามกลางสายตาของนักศึกษาคนอื่นที่จ้องเขาด้วยสายตาแปลกๆ เขาก็พอรู้ว่าทำไมนักศึกษาพวกนี้ถึงจ้องเขา ก็เพราะตอนนี้มีเขาแค่เพียงคนเดียวที่ยังใส่เครื่องแบบนักเรียนอยู่ คนอื่นๆ เขาใส่ชุดนักศึกษาปีหนึ่งเรียบร้อยหมดแล้ว แต่มะนาวก็พยายามทำเป็นไม่สนใจ

อีกแค่ห้านาทีก็ถึงเวลาเข้าห้องสอบ นักศึกษาปีหนึ่งคนอื่นๆ เริ่มทยอยเดินเข้าห้องสอบแต่มะนาวรู้สึกอยากเข้าห้องน้ำมากจนทนไม่ไหว เขาจึงรีบวิ่งไปเข้าห้องน้ำ ปลดเบาเสร็จมะนาวก็รีบเดินกลับมาห้องสอบ ระหว่างนั้นมะนาวก็มองเห็นนักเรียนชายตัวสูงโย่งเดินแกมวิ่งหาห้องสอบด้วยท่าทีรีบร้อน มีคนมาสายเหมือนเขาแล้ว เห็นภาพตรงหน้าเขาก็อดยิ้มขำไม่ได้ นี่มันนักเรียนโข่งชัดๆ ตัวสูงใหญ่ดูเป็นหนุ่มเต็มตัวไม่เหมาะที่จะใส่ชุดนักเรียนแล้ว แต่ก็ยังดีที่ยังมีคนแต่งตัวด้วยเครื่องแบบนักเรียนเหมือนเขาอย่างน้อยก็หนึ่งคน

ไม่รอช้ามะนาวก็เดินเข้าไปทักนักเรียนหนุ่มใส่แว่นตัวโข่งนั่นทันที

“กระดาษเช็กห้องสอบแปะอยู่ตรงนี้” นักเรียนโข่งไม่พูดแค่พยักหน้าตอบรับ คงเหนื่อยเพราะมะนาวเห็นเม็ดเหงื่อผุดออกเต็มไรผมเหนือหน้าผาก

“เราชื่อมะนาว นายชื่ออะไร?” มะนาวส่งยิ้มเป็นมิตรให้

“กราฟ”

“นายน่าจะสอบห้องนี้นะ ลองไล่ดูชื่อที่แผ่นกระดาษตรงนั้นดิ” สายตามะนาวมองเห็นชื่อที่ปักอยู่หน้าอกเขาก็รู้ว่านักเรียนโข่งคนนี้สอบห้องเดียวกันเพราะเขาเพิ่งอ่านเจอชื่อนี้บนกระดาษที่แปะเอาไว้หน้าห้อง

“ขอบใจนะ” หลังจากตรวจดูชื่อในแผ่นกระดาษเสร็จแล้วนักเรียนโข่งก็หันมาขอบคุณมะนาวที่ยืนดูเขาอยู่ ว่าแล้วเขาก็เตรียมตัวเดินเข้าห้องสอบเพราะรู้สึกแปลกๆ กับท่าทีของมะนาวที่กำลังยืนจ้องตาเขาอยู่

“นี่นายเดี๋ยวก่อน”

“?”

“อะ! ทิชชู เหงื่อนายออกเต็มหน้าเลย” หลังจากที่มะนาวสังเกตเห็นเม็ดเหงื่อผุดพราวอยู่เต็มใบหน้าของอีกฝ่าย จึงแบ่งกระดาษทิชชูให้ พร้อมส่งยิ้มอย่างเป็นมิตร

‘น่ารัก’

ราวกับต้องมนตร์สะกด นักเรียนโข่งรู้สึกว่าเสียงรอบข้างหายไป เขาได้ยินเพียงเสียงหัวใจตัวเองเต้นตึกตึก เขาเห็นภาพของเด็กหนุ่มยืนยิ้มในชุดนักเรียนแบบสโลว์โมชั่น

อยู่ดีๆ เขาก็รู้สึกพิเศษกับคนแปลกหน้าที่เพิ่งจะเจอกันเพียงไม่กี่นาที

กราฟนิ่งมองอีกฝ่ายที่กำลังเดินนำเข้าห้องสอบไป

“นักศึกษาคะ เข้าห้องสอบได้แล้วค่ะ” เจ้าหน้าที่คุมสอบเดินมาสะกิดแขนนักเรียนโข่งถึงรู้สึกตัว

ระหว่างที่มะนาวเข้าห้องสอบแฝดผู้น้องนามมะตูมก็ไปดำเนินเรื่องหอพักพร้อมกับเป็นหุ่นลองชุดนักศึกษาให้พี่ชาย สรุปมะนาวได้ชุดนักศึกษาทั้งหมดห้าชุด ชุดพิธีการอีกหนึ่งชุด ขาดแค่เนกไทที่ต้องใส่กับชุดพิธีการเท่านั้นที่ซื้อไม่ทันเพราะขายหมดเกลี้ยงไม่มีเหลือ ส่วนหอพักจองได้หอพักสุรนิเวศ 13 ที่เป็นหอพักแบบมีห้องน้ำส่วนตัว พอจองห้องพักได้แล้วครอบครัวของมะนาวก็ช่วยกันขนของไปไว้ในห้อง หน้าที่การหาเนกไทก็ต้องตกเป็นของมะตูมอย่างเลี่ยงไม่ได้


ออฟไลน์ ryoushena

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +157/-2
มะตูมเดินเคาะตามห้องรุ่นพี่เพื่อขอยืมเนกไทมาให้พี่ชายของเขา มะตูมเดินไปเคาะห้องข้างๆ ก็ไม่มีคนเปิดประตูให้สักคน สงสัยไม่มีใครอยู่ สุดท้ายเขาจึงเลือกเดินหาห้องที่เปิดประตูเอาไว้ (ซึ่งน่าจะคิดได้ตั้งแต่แรก)

ก๊อกๆ ก๊อกๆ

แอ๊ดดด

“มีอะไรหรือเปล่าครับ” น้ำเสียงเรียบนิ่งของรุ่นพี่หนุ่มตัวสูงหน้าตี๋ไว้ผมทรงสกินเฮดเป็นคนเปิดประตูมุ้งลวดออกมาถามมะตูมที่ยืนส่งยิ้มรออยู่ด้านหน้า

“ขอโทษนะครับ ขอยืมเนกไทมหาลัยได้ไหมครับ พอดีผมซื้อไม่ทันน่ะครับ แล้วบ่ายนี้ต้องใช้” ถึงแม้ท่าทางของรุ่นพี่คนนี้จะมีรังสีแห่งความแบดบอยแผ่อยู่รอบๆ ตัว มะตูมก็พยายามยืนยิ้มผูกมิตรเต็มที่ แต่ก็อดชื่นชมความสูงของรุ่นพี่หน้าตี๋คนนี้ไม่ได้เพราะรุ่นพี่คนนี้ตัวสูงมาก...เตี้ยกว่าประตูห้องหน่อยเดียวเอง ทำให้มะตูมเผลอใช้สายตามองสำรวจรุ่นพี่หน้าตี๋อย่างไม่ได้ตั้งใจ ‘รุ่นพี่คนนี้น่าจะเป็นนักกีฬาบาส มีลายสักที่น่องขาซ้ายด้วย’

ส่วนรุ่นพี่หน้าตี๋ก็อดแปลกใจไม่ได้ว่า ทำไมเด็กปีหนึ่งคนนี้ไม่เข้าทดสอบภาษาอังกฤษเหมือนเด็กปีหนึ่งคนอื่น ด้วยความสงสัยหนุ่มตี๋ก็เผลอมองสำรวจเด็กหนุ่มตรงหน้าเช่นกัน ‘หน้าตาน่ารักดี แต่ดูเอาแต่ใจ’

“น้องรอตรงนี้แป๊บหนึ่งนะครับ พอดีไม่ใช่ห้องพี่น่ะ” พูดจบรุ่นพี่หน้าตี๋ก็หันหลังกลับไปร้องตะโกนถามเพื่อนในห้อง “เชี่ยต้น เนกไทมหาลัยของมึงอยู่ไหนวะ”

“อยู่ในตู้ ทำไมวะจิ้น”

“หยิบมาให้กูที น้องปีหนึ่งมาขอยืม” มะตูมได้ยินเสียงเปิดตู้เหล็กจากข้างในห้อง ก่อนจะมีเสียงเรียกให้พี่หน้าตี๋ที่ยืนอยู่หน้าประตูเดินกลับเข้าห้องไปเพื่อไปหยิบเนกไทมาส่งให้เขา

“ขอบคุณครับ ใช้เสร็จแล้วผมจะรีบเอามาคืนนะครับ” มะตูมไหว้รับเนกไทจากรุ่นพี่หน้าตี๋แล้วก็รีบเดินกลับมาห้องของพี่ชาย หลังจากมะตูมเดินกลับไปรุ่นพี่หน้าตี๋ก็เดินไปพูดกับเพื่อนว่า

“ห้องริมสุดห้องอะไรวะ”

“7712 มีไร”

“เออน่า”


พ่อแม่น้องเขากลับไปแล้ว ตอนแรกมะนาวก็ไม่รู้สึกอะไร อาจจะเป็นเพราะความเหนื่อยจากการเดินทาง ไหนจะต้องทำข้อสอบ แล้วยังต้องไปเข้านั่งฟังปฐมนิเทศนักศึกษาใหม่อีก ทุกอย่างที่เกิดขึ้นวันนี้มันดูฉุกละหุกไปหมดทำให้เขาแทบไม่มีเวลาคิดถึงเรื่องที่เขาต้องเริ่มต้นการใช้ชีวิตใหม่ ที่นับจากนี้ต่อไปตอนเช้าเขาจะไม่ได้ทานกับข้าวฝีมือแม่ เขาต้องนั่งรถไปเรียนเองพ่อไม่ได้ขับรถไปส่งเขาเหมือนอย่างเคย หรือคืนนี้และคืนต่อไปๆ เขาต้องนอนรวมกับคนแปลกหน้าที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ไม่ได้นอนบนเตียงเดียวกันกับน้องชายฝาแฝดของเขาที่ทุกคืนต้องมีเรื่องมาคุยกันก่อนนอน

นอนคิดเรื่องโน้นเรื่องนี้อยู่บนเตียง จู่ๆ น้ำตามันก็ไหลออกมาเอง มะนาวรู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก ก่อนแม่จะกลับเขาแอบเห็นแม่แอบยืนเช็ดน้ำตาอยู่ด้านนอกประตูด้วย แม่เองก็คงรู้สึกใจหายไม่ต่างจากเขาเท่าไหร่

มะนาวนอนมองรอบๆ ห้อง รูมเมตทั้งสองคนของเขาขนของเข้ามาแล้วแต่เขายังไม่เห็นหน้าตาของทั้งคู่ ไม่รู้ว่าหน้าตานิสัยใจคอจะเป็นอย่างไรบ้าง ห้องพักของเขาเป็นเฟสใหม่ที่เพิ่งเปิดใช้ปีนี้เป็นปีแรก เพราะปีนี้นักศึกษามีจำนวนมากกว่าทุกปี ทำให้หอพักเต็มจนต้องเปิดโซนใหม่ ซึ่งโซนนี้ด้านหลังอยู่ติดกับรั้วหอพัก และเลยรั้วหอพักไปก็เป็นไร่มันสำปะหลัง ที่สำคัญเฟสด้านหน้าและด้านข้างฝั่งขวายังไม่ได้เปิดใช้งาน ทำให้เฟสนี้ค่อนข้างเงียบจนดูวังเวง โชคดีที่ไม่มีใครจองเตียงติดหน้าต่างเพราะเขาตั้งใจเอาไว้ว่าอยากนอนเตียงมุมนี้ มะนาวรู้สึกเหนื่อยมาก นอนเล่นอยู่บนเตียงสักพักเขาก็เผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว นอนหลับทั้งที่ยังใส่ชุดนักศึกษาใหม่ที่ยังไม่ได้ซัก เสื้อใหม่ที่ยังมีรอยพับ กางเกงที่ยังไม่ได้ซักรีด รองเท้าที่ยังมีกลิ่นเหม็นใหม่เตะจมูก วันนี้เขาเป็นนักศึกษาใหม่เต็มตัว ใหม่หมดทุกอย่าง ยกเว้นเนกไทเส้นเดียวที่ไม่ใช่ของเขา

ในห้องมืดสนิทมีเพียงแสงไฟจากนอกห้องส่องเข้ามา มะนาวสะดุ้งตื่น จู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงแมวร้องเหมือนตกใจ ‘เมี้ยว!’
มะนาวค่อยๆ หันไปมองรอบๆ ห้อง เพื่อดูว่าเสียงแมวมาจากไหนแล้วมันเข้าห้องของเขาได้อย่างไรหรือว่าเขาลืมปิดประตูห้อง
มองไปที่ประตู ประตูก็เปิดออก แอ๊ดดด

มะนาวรู้สึกเสียวสันหลังวาบ มีเงาของผู้ชายตัวใหญ่ ในมือถือของบางอย่างเดินดุ่มๆ เข้ามาในห้องของเขา
กริ๊ก! ไฟห้องติดพึ่บ! เกิดแสงสว่างวาบทั่วทั้งห้อง

“นอนตอนหัวค่ำมันไม่ดีนะน้องเมต” พอไฟสว่างมะนาวก็มองเห็นผู้ชายหน้าโหดคนหนึ่งยืนส่งยิ้มโชว์ฟันขาวเรียงกันอย่างเป็นระเบียบมาให้ ชำเลืองมองอาวุธในมือคือขวดเบียร์สามขวด “เราชื่ออะไร พี่ชื่อมีน เรียนพอลิเมอร์อยู่ปี 5 ต่อไปจะทำหน้าที่เป็นนิวพี่เมตเรานะครับ”

“หวัดดีครับ ชื่อมะนาวครับพี่”

“ไหนๆ ก็ตื่นแล้ว ปะ มากินเบียร์เป็นเพื่อนพี่หน่อยมา เราจะได้กระชับความสัมพันธ์กันให้แน่นแฟ้น”

“...” มะนาวนั่งกะพริบตาปริบๆ โห...พี่เมตเขาเจอหน้ากันครั้งแรกชวนล่อเบียร์ซะแล้วหรือนี่

“เร็วดิว้าน้องเมต อย่านั่งนิ่งราตรีนี้ยังอีกยาวไกล ลุกๆ ตามมา” พูดจบพี่เมตหน้าโหดแต่ท่าทางใจดีของมะนาวก็เดินนำหน้าออกไปนั่งแหมะลงบนโต๊ะม้าหินอ่อนหน้าห้อง แต่มะนาวก็ไม่วายมองหา ‘แมว’ ต้นเสียงร้องที่ปลุกเขาตื่นเมื่อตะกี้นี้

“เออ มะนาวเดินไปที่เครื่องเสียงพี่แล้วกรอเทปกลับไปเล่นเพลงเมื่อกี้ใหม่อีกทีสิ อยากฟังตั้งแต่เริ่ม เมื่อกี้เดินมาไม่ทันได้ฟัง”
มะนาวก็เดินไปยืนเก้ๆ กังๆ อยู่สักพัก เพราะเขาไม่เคยใช้ พอเริ่มเข้าใจก็กดปุ่มกรอเพลงให้เพลย์ซ้ำใหม่อีกรอบ

เพลงก็ดังขึ้น
คืนแห่งความตาย       ช่างดูเยือกเย็น
คืนแห่งการฝันร้าย        ฟ้าเป็นสีดำ
บินผ่านคนตาย       บินผ่านซากศพ
บินผ่านเวียนวน      ตามกลิ่นเลือดคาว

โห...ชัดเจน เสียงแมวมาจากเพลงนี้นี่เอง โห...อีกรอบ เพลงหลอนมาก โคตรน่ากลัวเลย แล้วมะนาวก็รีบเดินออกมาจากห้องมานั่งแหมะลงข้างๆ พี่เมต

“กินเบียร์ได้ปะเรา”

“ได้ครับ”

“ดี งั้นเอาไปขวดหนึ่ง เราพูดเพราะว่ะพี่ชอบ” พี่เมตใหม่หมาดๆ ยกขวดเบียร์มาให้มะนาวหนึ่งขวด มืออีกข้างก็ยกขวดเบียร์เย็นๆ ที่มีหยดน้ำเกาะอยู่รอบๆ ขวดกระดกเข้าปากเสียงดังอึกๆ

“ขอบคุณครับ” มะนาวรับขวดเบียร์มาถือไว้มองหาแก้วมารินกินแต่ไม่มี สงสัยคงต้องยกกระดกทั้งขวดเหมือนกัน

“ชนๆ น้องเมต” คงเห็นว่ามะนาวไม่ดื่มสักที พี่มีนเลยเอาขวดเบียร์ของพี่แกมาแตะกับขวดเบียร์เขา เร่งให้ยกดื่ม

“ดื่มเบียร์ในหอพักได้เหรอพี่”

“ได้ ถ้าที่ปรึกษาหอไม่รู้”

“อ้าว ถ้าที่ปรึกษาหอจับได้ ไม่ซวยกันหมดเหรอครับ”

“อ้าว ถ้าไม่อยากซวย ก็อย่าให้จับได้สิครับ แล้วเราเจอเพื่อนเมตอีกคนยัง”

“ยังครับ เพิ่งเจอพี่คนแรก”

“นั่นไง เดินมาโน่นแล้ว” มะนาวมองตามที่พี่มีนบอก เขาเชื่อแล้วว่าโลกกลมจริงๆ เพราะมะนาวเพิ่งเจอเธอคนนี้เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมาเอง เรื่องมันมีอยู่ว่าระหว่างที่มะนาวกึ่งหลับกึ่งตื่น เปลือกตาบนพยายามประกบกับเปลือกตาล่าง นั่งฟังเจ้าหน้าที่ของมหาวิทยาลัยพูดอธิบายเกี่ยวกับข้อมูลต่างๆ ที่จำเป็นให้กับนักศึกษาใหม่ฟัง จู่ๆ เก้าอี้ถัดจากที่เขานั่งอยู่หนึ่งแถวก็สั่นกุกกัก จากนั้นก็มีเสียงร้องขอความช่วยเหลือของนักศึกษาเพศชายคนหนึ่งดังขึ้น ตัวกลมๆ อ้วนๆ ผิวขาวๆ ตาโตๆ มีแมลงหรืออะไรสักอย่างเข้าตาเธอ น้ำตาเธอไหลออกมาไม่หยุด มะนาวจึงยืนทิชชูให้เพื่อนที่นั่งอยู่ข้างๆ ช่วยเอาแมลงออกจากตา จากนั้นเธอก็หันมาขอบอกขอบใจเขาใหญ่

“เอ่อ...ขอบใจนะ เธอชื่ออะไรอ่า”

“เราชื่อมะนาว”

“ขอบใจนะมะนาว” ตาโตๆ ของเธอมองตามะนาวปริบๆ สงสัยคงซึ้งในความใจดีของเขา แต่เหมือนเธอจะยังปวดตาอยู่เพราะเธอลุกจากเก้าอี้เดินไปหาเจ้าหน้าที่ที่คอยดูแลความเรียบร้อยอยู่บริเวณทางเดินแถวนั้น จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็พาเธอเดินออกไป

“หวัดดี เป็นไงบ้างตาหายดียัง” มะนาวส่งเสียงร้องทักทายให้กับเพื่อนเมตใหม่หมาดๆ ที่กำลังเดินตัวกลมเข้ามาหาพวกเขาที่นั่งอยู่บนโต๊ะม้าหินอ่อนหน้าห้อง จะว่าไปนอกจากตาเธอจะโตแล้วตัวเธอก็ดูกลมๆ อ้วนๆ น่ารักดีนะ

“หายแล้ว ตอนนี้ก็แค่เคืองตานิดหน่อย” เพื่อนเมตใหม่ตอบกลับด้วยท่าทางเป็นมิตร

“ออยด์นี่มะนาว หนึ่งในสมาชิกห้อง 7712” พอเพื่อนเมตใหม่เดินมานั่งลงบนโต๊ะม้าหินอ่อนพี่มีนก็รีบแนะนำตัวให้พวกเขารู้จักกันอย่างเป็นทางการ พร้อมกับยกขวดเบียร์อีกขวดส่งให้ออยด์ คุยกันสักพักมะนาวก็รู้สึกสนิทกับสองคนนี้ราวกับรู้จักมาเป็นสิบๆ ปี หรืออาจจะเป็นเพราะต่างคนก็ต่างเปิดใจให้อีกคนสามารถเข้ามาในพื้นที่ของตัวเองได้ ระหว่างนั่งคุยเรื่องโน้นเรื่องนี้พี่เมตก็หันมาชวนพวกเขาไปดิ้น

“น้องเมตทั้งสองรบกวนอาบน้ำแต่งตัวใส่ชุดไพรเวตให้เรียบร้อย เดี๋ยววันนี้พี่เมตจะพาไปดิ้น” มะนาวกับออยด์หันมามองหน้ากัน มะนาวว่าออยด์ก็คงคิดเหมือนเขา แค่คืนแรกของการเป็นนักศึกษาของเขาเริ่มต้นด้วยการ ‘กรึ๊บ’ ต่อด้วยการ ‘ดิ้น’ ชีวิตในมหาวิทยาลัยของเขาคงต้องสนุกมากแน่ๆ อาบน้ำแต่งตัวเสร็จ สมาชิกห้อง 7712 ก็พร้อมแล้วสำหรับการออกท่องราตรีเมืองโคราช พี่มีนพาพวกเขามาเที่ยวในผับตัวเมือง งานนี้ไม่ต้องจ่ายเพราะเป็นการฉลองรับน้องเมตและการฉลองเป็นพี่เปอร์ของพี่เมตด้วย อันหลังเพื่อนพี่มีนเป็นคนเลี้ยงปลอบใจเฮียแก

กำลังดิ้นมันๆ โทรศัพท์มะนาวก็สั่น แต่ไม่สนใจ เมาแล้วมันไม่อยากรับ ดิ้นต่อ แน่ะ! ยังสั่นไม่หยุด เขาล้วงมือเข้าไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา กำลังโทรเข้า ‘มะตูม’ โทรมา

มะนาวขอตัวออกมารับโทรศัพท์โซนนั่งชิลด้านหน้าร้าน นั่งคุยบนรั้วสูงเท่าเอวติดกับถนน มะตูมก็ชวนคุยโน่นคุยนี่เรื่อยเปื่อย สักพักก็มีคนเดินมาสะกิดด้านหลัง

“น้องครับโทษทีนะ พอดีเพื่อนพี่เข้าร้านไม่ได้ ลืมว่าร้านนี้เขาห้ามใส่รองเท้าแตะ ถ้าขอยืมรองเท้าแป๊บหนึ่งได้ไหมครับ”
“ไอ้กันไม่ต้อง! กูบอกกูไม่เข้าแล้วแม่ง ร้านเรื่องมาก”

“ไอ้โอม มึงใจเย็นดิว้า เดี๋ยวกูขอยืมรองเท้ากับน้องคนนี้ให้” พอหันหลังกลับไปตามต้นเสียงมะนาวก็เห็นพี่ผู้ชายท่าทางใจดีแต่งตัวตามสมัยนิยมยืนส่งยิ้มให้ ข้างเขามีผู้ชายอีกคนจัดว่าหน้าตาดี ตัวสูงหนา ผิวเข้ม ตัดผมทรงสกินเฮดดูเป็นผู้ชายดิบๆ ท่าทางกำลังหงุดหงิดเต็มที่ราวกับถูกบังคับให้มาด้วย พอเห็นมะนาวหันกลับมาพี่หน้าเข้มก็หยุดพูดแต่ใช้สายตาเหล่มองมาทางเขาที่นั่งอยู่ด้านในรั้วของร้าน

“ขอยืมแป๊บเดียวครับ ถ้าเข้าร้านได้แล้ว เดี๋ยวพี่เดินวนมาเปลี่ยนให้น้องตรงนี้เลย” พี่ผู้ชายท่าทางใจดีคนเดิมพยายามอธิบายเพิ่มเติมเพื่อหว่านล้อมให้มะนาวยอมแลกรองเท้า จริงๆ เขาก็ไม่ได้หวงของหรือไม่ไว้ใจอะไรหรอกนะ แค่ตกใจแล้วก็แปลกใจนิดหน่อย แบบนี้ก็มีด้วย ขอแลกรองเท้าหน้าผับ มะนาวมองสำรวจการแต่งตัวของพี่หน้าเข้ม ใส่แค่เสื้อยืดกับกางเกงยีนส์ ด้านล่างสวมรองเท้าแตะแบบหูคีบ หันไปมองอีกทีพี่หน้าเข้มก็ถอดรองเท้าแตะยกขึ้นมาเตรียมแลกรองเท้าเรียบร้อย

“ไอ้โอมมึงใส่ได้ไหมวะ ถ้าใส่ไม่ได้ก็อย่ายัดเดี๋ยวกูไปยืมคนอื่นให้ รองเท้าน้องเขาพังหมด” พี่หน้าเข้มหยิบรองเท้ากะสายตาจากไซซ์คิดว่าไม่น่าใส่ได้ จึงส่ายหน้าช้าๆ ว่าน่าจะเล็กไป พวกพี่เขาเลยไปเดินถามคนที่ตัวใหญ่ไล่กันๆ ก่อนจะส่งรองเท้ามาให้
“ขอบใจนะน้อง แต่เพื่อนพี่ใส่ไม่ได้”

พอพี่เขาขอแลกรองเท้ากับพี่ผู้ชายตัวไล่ๆ กันได้ก็เดินหายเข้าไปในร้านทั้งกลุ่ม
ระหว่างนั้นพี่มีนก็โทรศัพท์มาตามพอดิบพอดี สงสัยคงเป็นห่วงเพราะเขาก็ออกมานานแล้ว เห็นว่าเรื่องทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว มะนาวก็รีบหยิบโทรศัพท์ออกมารับสายแล้วก็เดินกลับเข้ามาในร้าน

หลังจากดื่มสาบานเป็นพี่น้องกันจนเมากรึ่มเต็มที่แล้ว จนใกล้ถึงเวลาร้านปิดพี่มีนก็ชวนมะนาวกับแม่หมูเดินออกมาจากร้านเหล้า ระหว่างที่รอให้เพื่อนพี่มีนวนรถกลับมารับ จมูกของพี่มีนก็ได้กลิ่นเมนูโปรดลอยโชยตามลมมา

“โหวว กลิ่นสวรรค์ ลอยปลิวโชยมาแตะจมูกอีกแล้ว...” พี่มีนยื่นจมูกเชิดขึ้นในอากาศพยายามสูดกลิ่นที่ชวนให้กระเพาะขับน้ำย่อย พอสูดกลิ่นจนพอใจ สายตาก็พยายามสอดส่ายหาเป้าหมายจนเจอ ก่อนจะเดินดุ่มๆ ตรงเข้าไปหาเป้าหมายอย่างย่ามใจ สั่งเอาเฉพาะส่วนหนวด คนขายก็หยิบหนวดปลาหมึกออกมาจากถุงพลาสติกใส เทใส่ตะแกรงเหล็ก พลิกกลับตะแกรงเหล็กไปมาอยู่สี่ห้าที จนแน่ใจว่าสุกดีก็เทใส่ถุงกระดาษยื่นให้พี่มีน พอได้ของที่ต้องการเขาก็รีบเดินกลับมาหาน้องเมตทั้งสองคนที่ยืนโงนเงนรออยู่

“น้องเมตหนวดหมึกย่าง” พี่มีนยื่นถุงกระดาษห่อหนวดหมึกย่างร้อนๆ ให้กับน้องเมตทั้งสอง

“พี่มีนชอบกินหนวดปลาหมึกเหรอคะ”

“ของอร่อยค่ะ น้องเมต”

“แล้วมันจะไม่เหม็นรถเพื่อนพี่เหรอครับ”

“เออ...พี่เมตลืมคิดเรื่องนี้เลยว่ะ แต่พี่ไม่กลัวรถมันเหม็นหรอกนะ กลัวมันแย่งกินมากกว่า สงสัยเราคงต้องรีบทำลายหลักฐานกันอย่างเร่งด่วน” พี่มีนทำท่านึกตามปากก็เคี้ยวหนวดหมึกกินกร้วมๆ จนเต็มกระพุ้งแก้ม มีน้องเมตตัวกลมกับมะนาวช่วยกินอีกแรง ในที่สุดหนวดหมึกที่ซื้อมาทั้งหมดก็อันตรธานหายไป ไม่เหลือแม้เศษซาก เพราะพี่มีนเล่นเทเศษปลาหมึกที่ติดอยู่ก้นถุงออกมาจนหมด

“ฮัลโหล ว่าไงวะ อ่อ เดี๋ยวแฟนจะออกมาขับรถให้เหรอวะ เออๆ ดีๆ กูก็ไม่อยากให้มันขับเท่าไหร่ เผื่อเจอด่านตรวจ เออๆ งั้นพวกกูรอตรงนี้” พี่มีนคุยโทรศัพท์เสร็จก็หันมาบอกว่าเดี๋ยวแฟนเพื่อนพี่มีนจะขับรถไปส่งเพราะเพื่อนที่ขับรถมาเมามาก นั่งรอสักพัก พวกเขาก็พาร่างกายที่อัดแน่นด้วยแอลกอฮอล์ขึ้นมานั่งในรถแฟนเพื่อนพี่มีน พี่มีนนั่งหน้า ส่วนเขาสองคนนั่งหลัง พอขึ้นนั่งกันเสร็จเรียบร้อย ล้อยังไม่ทันหมุน แฟนเพื่อนพี่มีนก็หันมาพูดด้วยความเกรงใจ

“พี่มีนรบกวนปิดปากถุงปลาหมึกให้หน่อยนะคะ” พูดยังไม่ทันจบประโยคดี แฟนเพื่อนพี่มีนก็กดปุ่มเลื่อนเปิดกระจกรถด้านหน้าฝั่งที่มีนกำลังนั่งอยู่ โดยที่ไม่รู้เลยว่าตอนนี้หมึกแห้งมันไม่มีตัวตนอยู่จริงอีกแล้ว แต่ที่ยังสัมผัสได้เป็นเพียงแค่วิญญาณที่ลอยตลบอบอวลอยู่ในรถเท่านั้นเอง

พี่มีนหันไปผงกหัวเพื่อตอบรับ ตาเหลือบมามองน้องเมตสองคนที่นั่งกรึ่มด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์อยู่ด้านหลัง
ไม่มีใครพูดอะไรออกมา สมาชิกห้อง 7712 ปิดปากของตัวเองเงียบสนิทไปตลอดเส้นทางจนถึงหอพักของพวกเขา
มันจะปิดปากถุงหมึกได้ไงเล่า ในเมื่อมันอยู่ในปากพวกเขาหมดแล้ว

ออฟไลน์ ryoushena

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +157/-2
THE CALL - เมื่อผมเป็นพ่อสื่อให้คางคก

The Call Chapter 23: คำสาปซาตาน

หากโลกหยุดหมุน...และค่อยๆ เริ่มตายลง... ทีละน้อย
‘สัญญา’ ...จะใช้เวลาช่วงสุดท้ายของชีวิตร่วมกัน
เมื่อร่างกายพวกเราแตกสลายกลายเป็นดวงดาว
จิตวิญญาณเราจะโบยบินไปพร้อมกัน

‘คำสาปซาตาน’
ผู้แต่ง วับวาว

ช็อก!...ช็อกอารมณ์แบบสุดๆ “คำสาปซาตาน...นิยายรัก?” มะตูมทำหน้าปะหลักปะเหลือกราวกับคนกินของแสลง หัวคิ้วสองข้างขมวดเข้าหากันจนจะผูกเป็นโบได้อยู่แล้ว เขาหันขวับเบิ่งตาลงไปจ้องมองใบหน้าหนุ่มตี๋ร่างยักษ์ที่ยังคงนอนแน่นิ่งกองเป็นผักต้มอยู่บนพื้นห้อง สลับกับข้อความในหน้ากระดาษสีขาวนวลของหนังสือนิยายเล่มหนาที่ถือคาอยู่ในมือ

คนเราดูแค่หน้าไม่มีทางรู้ใจได้จริงๆ แบบนี้ใช่ไหมที่เขาเรียกว่า ‘ยากูซ่าหน้าตี๋ผู้อ่านนิยายรัก’ หน้าเหี้ยมแฝงความเลวเอาไว้เต็มคราบขนาดนี้ยังกล้าหยิบนิยายรักเล่มหนามาเปิดอ่าน ถ้าไม่เจอกับตัว เขาคงไม่มีทางเชื่อแน่นอนว่ารุ่นพี่หนุ่มตี๋หน้าเลวร่างใหญ่ยักษ์คนนี้จะอ่านนิยายแนวแบบนี้เป็นกับเขาด้วย

มะตูมตื่นมาตั้งแต่เช้าตรู่ นอนกลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียงนอนของคนอื่นอยู่ตั้งนานสองนาน พยายามโทรศัพท์หาพี่ชายตัวดีก็แล้วแต่ก็โทรไม่ติดจนเขาไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อ เลยถือวิสาสะเลือกหยิบหนังสือเล่มหนาที่ตั้งวางเรียงรายอยู่บนโต๊ะอ่านหนังสือข้างๆ กับเตียงนอนของพี่หน้าตี๋มาอ่านเล่นฆ่าเวลาหนึ่งเล่ม เริ่มเปิดอ่านจากหน้าที่ถูกคั่นเอาไว้ด้วยที่คั่นกระดาษ ตอนแรกมองดูจากปกเขาคิดว่าเป็นหนังสือแนวผจญภัยไม่ก็นิยายผีแนวสืบสวนแน่นอน แต่พอเริ่มเปิดอ่านจากที่คิดว่านิยายลึกลับกลับกลายเป็นนิยายรักหวานแหววสุดแสนโรแมนติกแทน

มะตูมละสายตาจากตัวอักษรในหน้าหนังสือมาก้มมองสำรวจหนุ่มตี๋ที่ยังคงนอนหลับสนิทอยู่บนพื้นห้องด้วยความสนใจ พลันนึกถึงเหตุการณ์ของเมื่อคืนที่จู่ๆ รุ่นพี่หนุ่มหน้าตี๋ร่างยักษ์คนนี้ก็ตะบี้ตะบันกระดกแก้วเหล้าส่งเข้าปากตัวเองถึงขั้นเมาฟุบหลับคาที่นั่ง พออาตี๋ยักษ์ฟุบหลับเล่นเอาเขาไปต่อแทบไม่ถูก ราวกับกำลังเต้นในผับอย่างเมามัน แล้วอยู่ดีๆ ไฟเกิดดับกะทันหัน ยังถือว่าพอมีโชคติดตัวอยู่บ้างที่เพื่อนพี่หน้าตี๋วกกลับมาร้านอีกรอบ เลยช่วยกันแบกร่างไร้สติของพี่หน้าตี๋กลับเข้าหอ ไม่อย่างนั้นเขากับพี่หน้าตี๋คงต้องนอนเฝ้าร้านเหล้าแน่ๆ ตัวใหญ่ไซซ์บิ๊กบึ้มขนาดนี้ให้เขาแบกกลับคนเดียวคงไม่รอด ลำบากลุงยามหน้าหออีกคนเพราะเขากับเพื่อนพี่หน้าตี๋ทานน้ำหนักตัวพี่แกไม่ไหว กว่าคนสามคนจะลากอาตี๋ยักษ์กลับถึงห้องก็ทั้งแบกทั้งดึง เหนื่อยหอบไปตามๆ กัน แถมลุงยามยังมองหน้าเขาแล้วพูดอะไรแปลกๆ กับเขาอีก

ระหว่างที่มะตูมกำลังนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สายตาเขาก็มองสำรวจรุ่นพี่หน้าตี๋ตรงหน้าไปพลางๆ ใบหน้าขาวเนียนเกลี้ยงเกลาตามแบบฉบับหนุ่มไทยเชื้อสายจีนกำลังหลับฝันจมดิ่งอยู่ในห้วงนิทรา คิ้วดกหนาค่อยๆ ขมวดเข้าหากันคล้ายกับกำลังขบคิดเรื่องบางอย่าง ใบหน้าที่เรียบเฉยกลับมีท่าทีแปลกไป เริ่มบิดเบี้ยวไม่เหมือนเดิม ลมหายใจที่ก่อนหน้านี้เคยหายใจเข้าออกเป็นจังหวะสม่ำเสมอ เริ่มติดขัดส่งเสียงดังฮึดฮัดราวกับคนที่กำลังพยายามดิ้นรนเพื่อต่อชีวิตให้กับลมหายใจเฮือกสุดท้าย ร่างสูงใหญ่ที่ทอดตัวเหยียดยาวตามพื้นห้องเกร็งตัวกระตุก ขายาวเหยียดเกร็งไปจนถึงนิ้วเท้าสะอาด กรามขบแน่น จมูกโด่งเป็นสันคมเชิดขึ้นเล็กน้อยก่อนจะพ่นลมหายใจออกมายาวเหยียด

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าดูเหมือนจะค่อยๆ สงบลง หน้าอกหนากลับมาหายใจขยับขึ้นลงเป็นจังหวะปกติ ริมฝีปากสีชมพูได้รูประบายรอยยิ้มออกมาคล้ายกำลังสุขสมอย่างเต็มอิ่มกับความรู้สึกบางอย่างอยู่ มะตูมไม่ทันได้สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติบางอย่างที่เกิดขึ้นใต้กางเกงผ้ายีนส์เนื้อหนาว่ากำลังเปียกชุ่มด้วยห้วงอารมณ์แห่งความปรารถนาที่หยาดน้ำขาวขุ่นข้นเริ่มค่อยๆ แทรกตัวซึมผ่านเนื้อผ้าหนาของกางเกงยีนส์ออกมาเป็นวงกว้าง จนทำให้พื้นที่บางส่วนของกางเกงยีนส์ที่เคยสีซีดมีสีเข้มกว่าทุกวัน เพราะโทรศัพท์มือถือของเขาดังขึ้นมาซะก่อน มะตูมละสายตาจากร่างสูงใหญ่ตรงหน้าหันมามองดูหน้าจอโทรศัพท์แทน

ตื๊ดดด ตื๊ดดด

สายโทรเข้า ‘มะนาว’

มะตูมรีบวางหนังสือนิยายเล่มหนาที่กำลังถือคาอยู่ในมือไว้บนโต๊ะ แล้วเอื้อมมือข้างถนัดไปหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองที่กำลังสั่นครืดๆ ขึ้นมากดรับสาย ระหว่างที่คุยโทรศัพท์สายตาของมะตูมก็ยังคงจ้องมองไปยังใบหน้าหนุ่มตี๋ที่ยังคงนอนยิ้มอยู่บนพื้นห้องด้วยความสนใจ ร่างของตี๋ยักษ์เริ่มขยับตัวอีกครั้ง สงสัยเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์คงไปรบกวนห้วงนิทรา เปลือกตาที่ปิดสนิทจนขีดตัวเป็นเส้นตรงค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้น

หนุ่มตี๋กะพริบตาติดๆ กันเหมือนยังไม่อยากเชื่อว่าเขาเพิ่งตื่น ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเพียงแค่ความฝัน แต่พอรู้สึกตัวว่าบางส่วนของร่างกายกำลังเปียกแฉะจนรู้สึกเหนียวหนืด ตาตี่หนุ่มตี๋ก็เบิกโตขึ้นด้วยความตกใจ เขาสะดุ้งตัวลุกขึ้นมากึ่งนอนกึ่งนั่งเหมือนเพิ่งนึกอะไรขึ้นมาได้ พลันสายตาของเขาก็ไปสะดุดกับสายตาของอีกคนที่กำลังจ้องมองเขาอยู่ มะตูมรีบจบบทสนทนาในโทรศัพท์แล้วหันมาส่งเสียงร้องถามตี๋จิ้นที่กำลังนึกว่าจะเริ่มทำอะไรเป็นอันดับแรก

“พี่อยากอ้วกปะครับ” พอถูกร้องทักหนุ่มตี๋ที่อยู่ในอาการสะลึมสะลือก็ยกมือขึ้นมาเกาผมสั้นเกรียนบนหัวแก้เก้อ ใบหูทั้งสองข้างของตี๋จิ้นแดงก่ำ เขาหันหน้าไปอีกทางเพราะไม่รู้จะตอบว่าอะไรดี

“หรือว่าพี่ลุกไม่ไหว ให้ผมช่วยพยุงไหมครับ”

“เอ่อ...ไม่เป็นไร พี่แค่มึนๆ หัวน่ะ นั่งพักนิดหนึ่งน่าจะดีขึ้น” ตี๋จิ้นส่งเสียงอ้ำๆ อึ้งๆ อยู่ในลำคอ ถึงแม้จะมึนและรู้สึกปวดหัวตุบๆ แต่เขาลุกไหว แต่ตอนนี้ที่ยังลุกไม่ได้เพราะเหนียวเป้ากางเกง

“พี่โอเคนะครับ”

“ครับ” ตี๋จิ้นผงกหัวตอบรับ เขาเริ่มวางตัวไม่ถูก มันเขินๆ แปลกๆ

ต่างฝ่ายต่างเงียบ...

“พี่จิ้นครับ”

“ครับ?”

“พี่เป็นอะไรกับมะนาว”

“ครับ??”

“กำลังจีบมะนาวอยู่ใช่ไหมครับ?”

มุมปากของตี๋จิ้นยกยิ้มขึ้นมาหนึ่งข้าง เขาหัวเราะหึๆ อยู่ในลำคอ พร้อมกับพุ่งตัวล้มทับมะตูมที่นั่งอยู่บนเตียงทันที ริมฝีปากหยักได้รูปไล้โลมเลียตามซอกคอขาว ลมหายใจร้อนผ่าวเป่ารดใบหูของมะตูมจนเขารู้สึกขนลุกไปทั้งตัว ตี๋ยักษ์เริ่มไล่ขบกัดตามซอกคอขาวละมุน ตอหนวดเขียวสากที่เริ่มยาวออกมาในตอนเช้าถูเข้ากับผิวเนื้อขาวสะอาด ลมหายใจร้อนผ่าวของตี๋จิ้นเป่ารดต้นคอ ทำให้มะตูมรู้สึกหวิวในอกแปลกๆ ยิ่งมะตูมพยายามดิ้นหนีเท่าไหร่ก็ดูเหมือนตัวเขาทั้งสองจะติดชิดกันมากขึ้น มะตูมดิ้นสุดแรงแต่ก็ไม่สามารถหลุดออกจากวงแขนแกร่งที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อกำยำล่ำสันของชายหนุ่มที่ตัวโตกว่าเขาได้ มือทั้งสองของเขาถูกมือใหญ่กว่ารวบขึ้นไว้เหนือหัว ชายหนุ่มตัวสูงโย่งรีบฉวยโอกาสนี้เคลื่อนริมฝีปากอ่อนนุ่มไปที่ใบหูของมะตูมทันที

“เป็นแฟนกับพี่นะ” น้ำเสียงแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความจริงใจและจริงจังถูกเปล่งมาออกมาอย่างนุ่มนวลในขณะที่มะตูมไม่ทันได้ตั้งตัว เขาหยุดนิ่งทันทีราวกับต้องมนตร์คำสาปของซาตาน สายตาตี๋จิ้นจ้องมองทะลุผ่านเข้ามาในดวงตาของมะตูม แววตาเขาเต็มไปด้วยประกายแห่งความหวัง ตอนนี้ใบหน้าของมะตูมกับพี่ตี๋ห่างกันเพียงแค่ลมหายใจของมดเท่านั้น

“พี่กำลังเข้าใจอะไรผิดอยู่นะครับ” มะนาวกับพี่ตี๋ สองคนนี้ยังไม่ได้เป็นแฟนกันจริงๆ ด้วย พอรู้ถึงสายสัมพันธ์ระหว่างสองคนนี้ว่าอยู่ในระยะแค่จีบๆ ทำเอาเขาแทบอยากจะบ้า ก็เมื่อวานเขาอุตส่าห์พยายามทำเนียนสวมบทแฟนให้สมบทบาท ทั้งเขี่ยเม็ดข้าวออกจากปากให้อย่างนี้ ใส่เสื้อลาย ผัวรัก รักผัว อย่างนี้

“ครับ?”

“พี่เชื่อผมนะครับ พี่กำลังเข้าใจผิด”

เมื่อรู้ว่าสู้แรงพี่ตี๋จิ้นไม่ได้ มะตูมเลยหยุดดิ้นซะดื้อๆ สายตาทั้งสองคนสบตากัน… พอเห็นเด็กหนุ่มตรงหน้านิ่งไป ริมฝีปากหยักได้รูปของหนุ่มตี๋ก็แกล้งกระซิบทวงถามข้างหูแทน

“เข้าใจผิดอะไรครับ?”

มะตูมกะพริบขนตางอนยาวเป็นแพจ้องตาเล็กขีดของชายหนุ่มร่างใหญ่ที่นอนทับเขาด้านบน ตอนนี้พี่ตี๋จิ้นรู้สึกราวกับมะตูมเป็นลูกกวางน้อยที่พยายามขอความเมตตาต่อราชสีห์ให้คลายกรงเล็บแข็งแกร่งออก รอคอยอย่างมีความหวังเพื่อให้ราชสีห์ตัวใหญ่ยอมใจอ่อนปล่อยให้หนีรอดจากเขี้ยวแหลมคมที่ตั้งท่ารอฝังเขี้ยวยาวให้จมลึกเข้าไปในร่างกาย ก่อนจะฉีกแยกทะแยงลิ้นเพื่อลิ้มลองรสชาติชิ้นเนื้อหวานนุ่มเป็นอาหาร

“ผมเป็นน้องมะนาว ถ้าพี่ชอบพี่ชายผมจริงๆ เรื่องแค่นี้ทำไมถึงแยกไม่ออก”

“หมายความว่ายังไง”

“ผมเป็นน้องมะนาว”

“น้อง?”

“ครับ ผมเป็นแฝดน้องของมะนาว”’

“หลอกคนแฮงค์บาปนะ”

“ผมไม่ใช่ผีครับ”

“ล้อเล่นน่า”

“พี่ยังไม่ต้องเชื่อก็ได้ครับ เดี๋ยวเราไปห้องมะนาวพร้อมกัน แล้วพี่ค่อยเชื่อตอนนั้นก็ได้”

พอเห็นสายตาจริงจังของคนที่ถูกทับตี๋จิ้นก็เรียกสติกลับคืนร่าง ถึงแม้รู้สึกมึนหัวและอยากนอนกอดคนข้างล่างอีกสักตื่นก็ตาม แต่เขาก็รีบพยุงตัวลุกขึ้นจากเตียงนอนเดินหันด้านหลังให้มะตูม ขายาวก้าวปรี่ตรงเข้าห้องน้ำทันที เขารีบเปิดก๊อกน้ำเหนืออ่างล้างหน้า วักน้ำล้างหน้าลวกๆ เร็วๆ จนน้ำเลอะเปียกเสื้อกับกางเกงเหมือนไม่ตั้งใจ พอทุกอย่างเปียกเป็นปกติตี๋จิ้นก็เดินกลับออกมาจากห้องน้ำ รีบถอดกางเกงตัวเก่าออกอย่างว่องไว แล้วหยิบยีนส์ตัวใหม่ใส่ทันที พอแต่งตัวเสร็จแล้วทั้งคู่ก็เดินมุ่งหน้าไปยังห้อง 7712

ตัดภาพมาที่ห้อง 7712 หลังวันสอบวันสุดท้ายสิ้นสุดลง นักศึกษาชายในหอพักเริ่มทยอยกลับบ้านกันบ้างแล้ว แต่ละคนต่างก็แบกเป้ใบโตขึ้นหลัง หลากสีหลายขนาด แต่สำหรับมะนาวไม่นิยมขนอะไรกลับบ้านช่วงปิดเทอมมากนัก ใช้แค่กระเป๋าเป้ใบขนาดย่อมขนพวกแผ่นหนังแผ่นเกมกลับไปเล่นช่วงปิดเทอม อ้อ แล้วก็มีพวกกางเกงชั้นในที่ต้องขนกลับด้วย เพราะตัวที่เก็บไว้ที่บ้านเริ่มกลายสภาพเป็นกางเกงในขาบานกันหมดแล้ว

พอเรื่องวุ่นๆ จบลง มะนาวกับแม่หมูก็ช่วยพี่มีนขนข้าวของออกจากห้องไปกองไว้หน้าหอ รอพ่อแม่ของพี่มีนมาขนขึ้นรถ สมบัติของพี่มีนก็ไม่มีอะไรมาก เฮียแกเอาแค่เสื้อผ้ากับกล่องลังกระดาษหนังสือสามสี่ลังกลับ ที่เหลือก็มอบเป็นมรดกให้น้องเมตเก็บไว้ใช้ ดราม่ากันนิดหน่อย อย่างว่าอยู่ด้วยกันมานาน พอต้องจากกันก็รู้สึกใจหายเป็นธรรมดา ลำบากก็ตอนยกมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบก์คันใหญ่ขึ้นหลังรถกระบะ บิ๊กไบก์คันนี้ปกติมะนาวมักเรียกมันผิดว่าชอปเปอร์เสมอ กว่าจะเอาขึ้นได้ก็ลำบากน่าดูเพราะเฮียแกรักราวกับลูก เพื่อนๆ และน้องเมตต้องช่วยกันยกอย่างเบามือที่สุด แล้วยังมีมอเตอร์ไซค์คันเล็กอีกคันด้วยนะ ดีที่บ้านพี่มีนเอารถกระบะมาสองคัน เลยพอมีที่ว่างเหลือให้ขนขึ้น พอยกทุกอย่างขึ้นหลังกระบะรถเสร็จ ร่ำลากันเป็นพิธีบ้านพี่มีนก็ออกรถ ส่วนเพื่อนตัวกลมของมะนาว ปิดเทอมคราวนี้ทางบ้านมารับ เพราะเห็นว่าจะเลยลงกรุงเทพไปขึ้นบ้านใหม่ญาติ

ตอนนี้เตียงห้องของมะนาวก็ว่างอยู่หนึ่งเตียง มองไปก็รู้สึกใจหายเหมือนกัน จัดของเสร็จแล้ว มะนาวก็นั่งรอน้องชายตัวดี เขารู้สึกเหมือนกำลังลืมอะไรสักอย่างที่ต้องทำ แต่นึกไม่ออก มองไปรอบๆ ห้องอีกรอบ สายตามะนาวก็ไปสะดุดเข้ากับเสื้อแจ็กเกตตัวใหญ่ที่มีข้อความเขียนเอาไว้ว่า วิศวกรรมอุตสาหการ
มะนาวจึงรีบกดโทรศัพท์ไปห้องพี่เข้มทันที
ตื๊ดดด ตื๊ดดด
ตื๊ดดด ตื๊ดดด
โทรติด แต่ไม่มีคนรับสาย

มองดูเวลาจากหน้าปัดนาฬิกาข้อมือ ตอนนี้ก็ยังไม่เช้ามาก ห้องนั้นน่าจะยังไม่กลับ มะนาวจึงรีบเดินออกไปหน้าหอเพื่อดูเบอร์โทรศัพท์พี่เข้มที่บอร์ดหน้าหอพัก เพราะพี่เข้มเป็นกรรมการหอ ต้องบอกเบอร์เอาไว้อยู่แล้ว มะนาวรีบสาวเท้าเดินลิ่วออกจากห้องไปหน้าหอทันที พอได้เบอร์โทรศัพทก็รีบกดโทรออก

ตื๊ดดด ตื๊ดดด
ตื๊ดดด ตื๊ดดด

“โหล”

“ฮัลโหล พี่โอมใช่ไหมครับ มะนาวจะเอาเสื้อแจ็กเกตพี่ไปคืนน่ะครับ”

“...” เงียบ

“ใช่พี่โอมปะครับ”

“ที่มึงเคยบอกว่าเป็นแฟนกับกู...ให้มันเป็นเรื่องจริงได้ไหมวะ?”

ตู๊ดดด ตู๊ดดด ตู๊ดดด
สายหลุด?
ตื๊ดดด ตื๊ดดด
ตื๊ดดด ตื๊ดดด

"ฮัล..."

“มะนาวรู้เรื่องยัง กราฟลาออกแล้ว”

“...”

“มะนาว”

“...”

“มะนาว”

“...”

“โก๋แค่นี้ก่อนนะ”

ตู๊ดดด ตู๊ดดด ตู๊ดดด

“?”
ในที่สุดเขาก็เจอมันแล้ว มะนาวยื่นมือไปหยิบโปสการ์ดใบที่ 15 ที่หายไป จากไปรษณีย์หนุ่มตัวใหญ่ที่ยืนอยู่ตรงหน้า มะนาวหลบสายตาไปรษณีย์หนุ่มก้มลงไปอ่านข้อความหลังโปสการ์ดรูปเกียร์วิศวะของมหาวิทยาลัย

N.15
6 ต.ค. 2546
เช้าของวันที่ยังมาไม่ถึง หลายคน เรียกมันว่า อนาคต
ขอได้ไหม ทุกเช้าของวันที่ยังมาไม่ถึงของนาย มีเงาของเรายืนเบียดอยู่ข้างๆ
‘เกียร์วิศวะเขาให้แฟนใส่นะ เผื่อไม่รู้’


พอมะนาวอ่านข้อความบนโปสการ์ดใบนี้จบลง เขาก็ได้ยินเสียงของกราฟดังขึ้นข้างๆ หู
“เราขอยืนอยู่ข้างๆ นายได้ไหม?”
มะนาวรู้ตัวดี เขามีคำตอบให้สำหรับเรื่องนี้แล้ว

ไม่มีใครรู้ว่าเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในห้อง 7712 มีพยานอีกคนยืนฟังอยู่ด้านนอก เขาได้ยินทุกคำสนทนาอย่างชัดเจน เขาได้ยินทุกประโยคที่ทำให้หัวใจของเขากระตุก เขาเดินทิ้งระยะห่างออกมาเรื่อยๆ จนออกมาถึงหน้าหอพัก เขาเดินไปนั่งบนเบาะรถเวสป้าสีเขียวมะนาวสักพักเพื่อตั้งหลัก และทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้น ก่อนจะหยิบเครื่องเล่น MP3 ขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกง ไล่เลือกเพลงที่ตรงกับความรู้สึกหยิบเอาหูฟังขึ้นมาเสียบเข้าหูทั้งสองข้างไม่เพราะอยากได้ยินเสียงอะไรอีก กดปุ่มเล่นเพลง สตาร์ทรถเวสป้าแล้วขับออกไป จากนั้นก็ปล่อยอารมณ์ให้จมดิ่งหมุนวนไปกับเสียงเพลง....

ผมได้ยินชัด ใจมันมีเจ้าของแล้ว ข้างในนั้นไม่มีที่ว่างให้เงาผมนั่ง ตอนนี้คงต้องปล่อยให้สายลมเป่าความเจ็บปวดทิ้งไป แม้หัวใจของผมมันยังคงเต้นอยู่ที่เดิม จังหวะเดิม แต่มันก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว ตอนนี้ผมไม่อยากคิดอะไร ข้างในหัวใจร้อง อยากให้สายลมพัดเปลี่ยนความคิดให้ ‘คนนั้นของมัน’ เป็นผมที่ยืนอยู่บ้างก็คงดี สำหรับผม ‘ความรัก’ ไม่ต้องการอะไร แค่เก็บความรู้สึก ‘รัก’ ไว้ในใจเพื่อใครสักคนก็พอ แต่ผมพร้อมจะกลับมาเสมอ ถ้ามันยังคงเรียกชื่อผมและเผื่อมันอยากฟัง ‘คำนั้น’ จากปากผม
มันเริ่มต้นจากความรู้สึกที่ก่อตัวขึ้นเงียบๆ ‘คำนั้น’ คำสั้นๆ เพียงคำเดียว ก็เข้ามาอยู่ในความรู้สึกอย่างไม่เคยรู้ตัว

คำสั้นๆ เพียงคำเดียว ที่ทำได้แค่เก็บไว้ในความคิดเงียบๆ เพียงลำพัง
คำสั้นๆ เพียงคำเดียว อาจกลายเป็นเพียงแค่ถ้อยคำอันเงียบงัน
คำสั้นๆ เพียงคำเดียวที่ไม่มีใครได้ยินเสียงของมัน
‘คำนั้น’ คำสั้นๆ เพียงคำเดียว
ที่กว่าจะรู้ตัว
ก็ไม่อาจลบ
ออกจาก
หัวใจ

จบ.


ตอนจบที่ตั้งใจไว้ในตอนแรก จะจบลงตามนี้นะคะ ส่วนเนื้อหาต่อจากโพสต์นี้จะเป็นตอนพิเศษทั้งหมดค่ะ

ออฟไลน์ ryoushena

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +157/-2
THE CALL - เมื่อผมเป็นพ่อสื่อให้คางคก

The Call Special Chapter: โปสการ์ดใบที่ 15

ผมรู้ เขาอาจยังไม่ตัดสินใจ...แต่ผมมั่นใจว่าจะไม่ทำให้เขาผิดหวัง
ผมรู้ตั้งแต่วันแรกที่เราพบกัน...ใจผมตกเป็นของเขา
‘รักครั้งแรกของผม’

คุณเคยรู้สึกพิเศษกับใครสักคนที่เพิ่งเจอหน้ากันแค่ครั้งแรกไหมครับ ตอนนี้ความรู้สึกนั้นมันเกิดขึ้นกับผม
นับตั้งแต่เกิดความรู้สึกพิเศษนั้น สายตาผมก็มองไปที่เขาคนนั้นตลอด
แล้วในค่ำของคืนวันพิเศษวันหนึ่ง ผมก็ได้ยินเสียงเขาผ่านโทรศัพท์
ใช่ครับ เขาโทรเข้าห้องผม ตอนนั้นใจผมเต้นแทบทะลุอก
แทบไม่อยากเชื่อเลยครับ ว่ามันจะเกิดขึ้นจริงๆ
“กราฟ เรามะนาวนะ ทำไรอยู่”
ผมได้แต่ตอบงึมงำไป
โคตรอ่อนเลย

ผมเจอเขาครั้งแรกหน้าห้องสอบวัดพื้นฐานความรู้ภาษาอังกฤษ ในตอนนั้นความรู้สึกพิเศษได้เกิดขึ้นในใจผม ครั้งนั้นมีผมกับเขาแค่สองคนที่ยังใส่ชุดนักเรียนมัธยมปลายในมหาวิทยาลัย และตอนนั้นผมถ่ายรูปรองเท้านักเรียนสีดำของเขาเอาไว้ด้วยหนึ่งรูป
‘เก็บไว้เป็นความทรงจำดีๆ น่ะครับ’

ปกติผมชอบถ่ายรูปอยู่แล้ว นอกจากถ่ายรูปวิวหรือสิ่งของที่น่าสนใจ

ผมก็ชอบถ่ายรูปพอร์ตเทรตเป็นพิเศษ

ตอนนี้รูปพอร์ตเทรตส่วนใหญ่เป็นรูปเขานั่นแหละครับ

ฟิล์มม้วนแรกในมหาลัยของผมก็เต็มไปด้วยรูปเขา พอถ่ายม้วนแรกหมด ผมก็ขี่มอเตอร์ไซค์เข้าไปล้างในตัวเมือง กว่าจะหาร้านเจอก็เล่นเอาผมเหนื่อย เพราะมีคนบอกว่าร้านนี้ล้างรูปสวยแล้วราคาไม่แพงด้วย แต่ร้านตั้งอยู่ลึกลับไปหน่อย

จากนั้นผมก็ส่งรูปที่ถ่ายจากกล้องฟิล์มส่วนหนึ่งไปให้เขา ส่งได้แค่ห้าม้วน พอถึงวันไปรับรูป ร้านล้างรูปก็บอกว่าทำฟิล์มของผมหายหมด หายังไงก็ไม่เจอ ทำเอาผมเข่าอ่อนทรุดไปเลย แล้วผมจะทำยังไงต่อดี โชคไม่เข้าข้างผมเอาซะเลย

ช่วงเย็นวันหนึ่งขณะที่ผมกำลังคิดไม่ตกเรื่องฟิล์มที่หายไป โก๋ก็โทรมาบอกว่าอยากให้ไปเป็นตัวแทนคณะเข้าค่าย Open House ตอนแรกผมว่าจะปฏิเสธ แต่โชคยังพอเข้าข้างผมอยู่บ้าง เพราะก่อนที่ปากผมจะเอ่ยบอกว่าไม่สะดวก โก๋ก็บอกว่าคนที่ไปด้วยอีกคนคือเขา

ใช่ครับ ผมตอบตกลงแทบจะทันที

คืนนั้นผมเข้านอนทีหลังเพราะอยากมองหน้าเขาตอนนอนหลับแบบใกล้ๆ ผมนอนมองเขาหลับอยู่บนเตียงได้สักพัก สุดท้ายเผลอนอนหลับทั้งที่ยังใส่แว่นสายตา รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่เขาถอดแว่นให้นั่นแหละครับ

กลิ่นคนที่นอนบนเตียงเดียวกันหอมดีนะครับ

วันสุดท้ายของปีการศึกษาหลังสอบวิชาสุดท้ายเสร็จ ทางร้านก็โทรมาบอกข่าวดีว่าหาฟิล์มเจอแล้ว พี่เขาไถ่โทษโดยการล้างให้ฟรี ไม่คิดเงินสักบาท ผมรีบบึ่งรถไปรับเลยครับ กลัวมันจะหายไปอีก พอได้รูปทั้งหมดมา ผมก็ตั้งใจเดินเอาไปให้เขาด้วยตัวเองที่ห้อง แต่พอไปถึงห้องเขากลับเจอแค่ลุงเมต

“มะนาวไม่อยู่หรอก แต่ไหนๆ ก็อุตส่าห์หอบมาแล้ว ฝากไว้ได้”

ลุงเมตคนนี้ใจดีกว่าที่ผมคิด ผมเลยฝากของไว้กับลุงเมต เผื่อเขาจะได้อ่านช่วงปิดเทอม แต่มีรูปอยู่หนึ่งใบที่ผมอยากให้เขาด้วยตัวเอง ต้องให้ด้วยตัวเองเท่านั้น

เพราะเทอมหน้า ผมตัดสินใจจะย้ายไปเรียนวิศวะ ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้เรียนคณะเดียวกัน แต่ในอนาคตของผมก็ยังอยากให้เขาอยู่ข้างๆ และผมก็อยากยืนอยู่ข้างๆ เขาเหมือนกัน

และตอนนี้ผมยืนอยู่หน้าเขาแล้ว และผมก็ได้พูดประโยคที่อยากพูดมาตั้งนานสักที ใช่ครับ ผมพูดออกไปแล้ว

“เราขอยืนอยู่ข้างๆ นายได้ไหม?”

“...”

ริมฝีปากมะนาวเริ่มขยับเพื่อให้คำตอบ แต่เขาต้องชะงักเพราะก็ได้ยินเสียงผู้ชายอีกคนตะโกนดังแทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหอบ

“เดี๋ยว!”

ก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุการณ์นี้ประมาณยี่สิบนาที

หากมีเรื่องให้ต้องคิด โอมมักจะบิดเวสป้าสีเขียวมะนาวคันเก่งมานั่งคิดอะไรเงียบๆ ที่อ่างเก็บน้ำห้วยยาง อ่างดินเก็บน้ำที่ไม่ค่อยมีน้ำ ตั้งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลแถวหมู่บ้านหลังมหาวิทยาลัย เขาบิดมอเตอร์ไซค์ออกมาทางประตูหอชายหลังมหาวิทยาลัย บิดมาแป๊บๆ ก็ถึง จะว่าเปลี่ยวก็เปลี่ยว จะว่าเงียบสงบก็เงียบสงบ เพราะที่นี่แทบไม่มีใครขับรถออกมานั่งเล่น ทำให้อ่างห้วยยางเหมือนเป็นแค่ทางผ่าน

เขาจอดรถไว้บนสะพานปูนขาว มองออกไปยังผืนน้ำด้านหน้า ที่นี่เงียบสงบ แทบไม่มีเสียงอะไรรบกวน นานๆ ถึงมีรถมอเตอร์ไซค์ของชาวบ้านขับผ่าน และนานๆ ครั้งถึงมีรถยนต์สักคันวิ่งผ่านทางเส้นนี้

เขาชอบอ่างห้วยยาง ความเงียบของอ่างห้วยยางทำให้เขาสงบ

โอมนั่งมองผืนน้ำ มองต้นหญ้าโอนเอียงตามสายลมเกี่ยวพัด มองวัวที่กำลังเล็มหญ้าอยู่สามสี่ตัวไกลๆ ใต้ต้นพุทราพุ่มใหญ่ตรงนู้นพลางนั่งขบคิด

เขาปล่อยความคิดให้มันทำงานเงียบๆ ไม่เร่งเร้า ไม่มีเสียงอะไรรบกวน มีเพียงสายลมที่พัดผ่านคลอเคลียเป็นระยะ เขานั่งคิดย้อนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

เรื่องคืนนั้น หลังจากที่เขาตั้งใจขับกลับออกไปหน้ามหาวิทยาลัยเพื่อซื้อข้าวต้มมาให้มะนาว พอเห็นหน้ามะนาวตอนไม่สบาย เขาก็เข้าใจคำว่าใจอ่อนยวบ

แต่พอเดินมาถึงห้อง 7712 มะนาวก็หลับไปแล้วทั้งๆ ที่ประตูห้องยังเปิดเอาไว้อยู่ เขาเลยถือวิสาสะเข้าไปในห้อง ลองเอาหลังมือแตะหน้าผากวัดไข้ ปรากฏว่าตัวมะนาวร้อนจี๋

เขานั่งมองมะนาวด้วยความเป็นห่วงที่เตียงใครสักคนเพื่อดูอาการ สักพักกราฟก็เปิดประตูเดินเข้ามาในห้อง

“ตัวร้อนใช้ได้” กราฟเดินไปเอาหลังมือแตะหน้าผากของมะนาว แล้วจึงหันมามาคุยกับเขา

“พี่โอมมานานหรือยังครับ”

“สักพักละ กูเห็นอาการมันไม่ค่อยดี เลยอยากมาดูให้แน่ใจว่ามันโอเคไหม”

“พี่จะกลับพร้อมผมเลยไหมครับ”

“มึงกลับไปก่อนเลยก็ได้ กูว่าจะอยู่ดูอีกสักพัก”

“งั้นผมอยู่ด้วย อยู่รอจนคนห้องนี้มาก็ดีครับ”

“กลัวกูทำคะแนนแซงว่างั้น”

“ครับ”

“ชิ!”

ปรากฏว่าคืนนั้นเขาสองคนก็ไม่ได้กลับห้อง เพราะรอจนดึกก็ไม่มีใครสักคนกลับมา รอจนถึงเช้ามะนาวก็ตื่น หน้าตาดูดีขึ้น สงสัยพอได้นอนพัก อาการไข้เลยลดลง พอเห็นว่ามะนาวน่าจะโอเคแล้วพวกเขาสองคนถึงเดินกลับห้อง

แต่พอโอมย้อนกลับไปที่ห้องของมะนาวอีกที เขาก็ได้ยินคำตอบที่มาเร็วกว่าที่ตั้งใจ มะนาวมีใจให้ไอ้กราฟ

ยักษ์เข้มรู้สึกหงุดหงิดงุ่นง่านอยู่ในอก เขากำลังคิดไม่ตกว่าจะเอายังไงต่อกับเรื่องนี้ดี ถึงแม้เขาจะรู้คำตอบแล้ว แต่เขาก็ยังแอบหวังเล็กๆ ในใจ ‘ชิ! ถึงมะนาวจะมีใจให้ไอ้กราฟ แต่มันก็ยังไม่ได้พูดออกมานี่หว่า เอาไงดีโว้ยยย’ เขาสบถออกมาคนเดียวขณะนั่งทวนเรื่องราวบนเบาะเวสป้า ตอนนี้ภาพในหัวเขามีแต่เรื่องราวของมะนาวเต็มไปหมด

“ใครใช้ให้มันชอบทำหน้าทำตาเจี๋ยมเจี้ยมเหมือนลูกหมาตลอดเวลาวะ ทำหน้ายังกับหมาเด็กถูกยัดใส่กระสอบมาปล่อยวัด เห็นทีไรแล้วอยากอุ้มเอากลับไปเลี้ยงที่บ้านทุกที”

พี่เข้มนอนเอามือก่ายหน้าผากคิดเรื่องนู้นเรื่องนี้อยู่บนเบาะรถเวสป้าสีเขียวมะนาวของตัวเองอยู่นานสองนานแต่ก็คิดไม่ตก ทุกอย่างมันดูมืดบอด แต่ถ้าเมื่อไหร่มันเรียกชื่อเขา เขาก็พร้อมจะกลับไป

ตื๊ดดด ตื๊ดดด
ตื๊ดดด ตื๊ดดด
สายโทรเข้า ‘ไอ้จี๊ด’

แค่เห็นชื่อที่หน้าจอโทรศัพท์ว่าสายโทรเข้ามาหาเขานั้นคือมะนาว โอมก็รู้สึกถึงการสูบฉีดของเลือดในร่างกายที่กำลังวิ่งพล่านไปมาอย่างรวดเร็วจนรู้สึกปั่นป่วนไปหมดทั้งตัว แอบเมมเบอร์ของมะนาวเอาไว้ตั้งนานแต่ก็ไม่กล้าโทรไปมา สุดท้ายมะนาวกลับเป็นฝ่ายโทรมาหาเขาเอง โอมรีบยกหน้าจอโทรศัพท์ของตัวเองเข้ามาดูใกล้ๆ ยกเข้าๆ ออกๆ หลายครั้งด้วยความไม่แน่ใจ เพราะเขายังไม่อยากเชื่อว่ามันเป็นเรื่องจริง พอเพ่งดูจนแน่ใจแล้ว โอมจึงค่อยๆ กดรับสาย วินาทีนั้นถ้าใครอยู่ใกล้ๆ คงได้ยินเสียงหัวใจของเขาเต้นเสียงดังตึกตักๆ เพราะตอนนี้หัวใจเขาเต้นเสียงดังมากจนแทบจะพุ่งออกมาข้างนอกอก

“โหล”

“ฮัลโหล พี่โอมใช่ไหมครับ มะนาวจะเอาเสื้อแจ็กเกตพี่ไปคืนน่ะครับ”

“...” โอมกำลังใช้ความคิดอย่างหนักจนไม่ได้ฟังประโยคคำถามของมะนาว

“ใช่พี่โอมปะครับ”

“ที่มึงเคยบอกว่าเป็นแฟนกับกู...ให้มันเป็นเรื่องจริงได้ไหมวะ?”

ตู๊ดดด ตู๊ดดด ตู๊ดดด

“เหี้ย! แบตหมด!!”

โอมรู้สึกหงุดหงิดจนแทบอยากจะเขวี้ยงโทรศัพท์ทิ้ง แบตโทรศัพท์ดันมาหมดตอนกำลังสำคัญพอดี ไม่รอช้า พี่โอมรีบสตาร์ตรถเวสป้าแล้วขับบึ่งตรงออกไปตามหามะนาวทันที

ออฟไลน์ ryoushena

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +157/-2
THE CALL - เมื่อผมเป็นพ่อสื่อให้คางคก

The Call Special Chapter : ฆาตกรรมหมู่

เสื้อนอนลายทางสีฟ้าขาวถูกปลดกระชากจากมือแกร่งหนา เผยให้เห็นผิวกายขาวนวลละเอียดตาที่ซ่อนตัวอยู่ใต้ร่มผ้าอย่างถนัด ภาพเด็กหนุ่มหุ่นลีนผิวขาวนอนกึ่งเปลือยทอดตัวเหยียดยาวบนเตียงนอนตรงหน้าช่างเป็นการยวนยั่วปลุกเร้าอารมณ์หิวอยากให้คนตัวใหญ่กว่ารีบไซ้ผิวละเอียด ลิ้นอ่อนนุ่มเปียกแฉะไล่โลมเลียสำรวจเนื้อกายคนรักทีละจุดสัมผัสอย่างละเมียดละไม บ้างลงน้ำหนักแผ่วเบา บ้างลงน้ำหนักดูดดุนดุดัน ราวกับต้องการดูดกลืนเนื้อบางละเอียดจนละลายหายเข้าไปในกลีบริมฝีปาก จุดสัมผัสอ่อนไหวถูกบรรจงจ่อลงน้ำหนักกระแทกรักมิดด้ามจนเตียงสั่น

ดูเหมือนใบหน้าที่กำลังแดงก่ำจะกระตุกอารมณ์รักของฝ่ายรุกมากเกินห้ามใจ คำรักจึงถูกลงน้ำหนักซ้ำๆ ย้ำๆ รสรักหวานฉ่ำถูกกระแทกแบบเต็มสูบผ่านต้นขาแกร่งหนาที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามอย่างนักกีฬาดังตับ!! ตับ!! ตับ!! จนเด็กหนุ่มผิวขาวอดกลั้นความรู้สึกเอาไว้ไม่ไหวเผลอเปล่งเสียงตอบรับความสุขสมจากคนรัก “อ๊ะๆ” ออกมาเป็นระยะ ไม่ขาดสาย เพลงรักถูกบรรเลงวนใกล้ถึงจังหวะซี้ดอีกรอบ คนรุกตัวใหญ่ค่อยๆ โน้มหน้าเข้าหา ใช้ริมฝีปากหนาครอบดูดดุนกลีบริมฝีปากนุ่มของอีกฝ่าย สายตามองจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของคนรักด้วยความปรารถนาอย่างไม่รู้จักอิ่ม พวกเขาเหมือนคนหิวจัดที่ต้องการสูบกินและกักตุนเมนูรักด้วยความกระหายอยาก ตักตวงทุกรสรักเพื่อดับห้วงอารมณ์หิว

เด็กหนุ่มผิวขาวถูกจัดหนัก กระแทกรัวรักแบบเต็มแม็กซ์ ความสุขแผ่ซ่านแทรกตัว ตอกย้ำความรู้สึกสุขสวาททั้งด้านหน้าและหลัง

คำรักอุ่นๆ แตกกระจายไหลปรี่ท่วมล้นทะลักลามลงลึกถึงสุดขั้วหัวใจ พวกเขาต่างกลืนกินอีกฝ่ายวนซ้ำไปมาไม่รู้อิ่ม
ถึงแม้กลางดึกของเดือนธันวาคมอากาศจะเหน็บหนาวเยือกเย็นสักเท่าไร
แต่ก็ไม่สามารถทำให้พวกเขานุ่งห่มเสื้อผ้าครบทุกชิ้นได้
ร่างเกือบเปลือยต่างกอดรัดฟัดเหวี่ยง
นัวเนียแนบชิดตามจังหวะ
“อ๊ะๆ”
สั้นยาวบ้างทั้งคืน

เวลา 6.00 นาฬิกา
ติ๊ดๆๆ ติ๊ดๆๆ ติ๊ดๆๆ
นาฬิกาปลุกดิ้นสั่นตัวดุ๊กดิ๊กส่งเสียงดังกังวานแสบเข้าไปถึงแก้วหูสมาชิกห้อง 7712 เด็กหนุ่มผิวขาวเริ่มส่ายสะโพกยุกยิก ค่อยๆ กระดุกกระดิกขยับทีละนิดให้เนื้อตัวโผล่พ้นออกมาจากใต้ขอบผ้าห่มผืนหนา พอพ้นเขตอบอุ่นของผ้าห่มผืนโต เนื้อกายส่วนบนที่โผล่เผชิญหน้ากับสภาพอากาศหนาวเย็นด้านนอก ทำให้เส้นขนตามตัวของเขาลุกซู่ตั้งชูชันอย่างเสียไม่ได้ หน้าหนาวตอนเช้า ๆ แบบนี้สภาพอากาศของมหาวิทยาลัยเขามันช่างเหน็บหนาวเยือกเย็นอย่างร้ายกาจ ถึงแม้ว่าเขาจะชินกับอากาศหนาวอยู่บ้าง แต่พอเจออุณหภูมิแค่ 10 องศากว่า ๆ ทำให้เขาอยากแค่หดตัวนอนอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนาผืนนี้เท่านั้น พอสลัดความรู้สึกง่วงงัวเงียออกไปสำเร็จ เขาจึงเอื้อมมือไปหยิบนาฬิกาปลุกเจ้ากรรมที่ยังทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างดีเยี่ยม มันยังคงดิ้นตัวดุ๊กดิ๊กแผดเสียงดัง ติ๊ดๆๆ อย่างตั้งใจ พอยุติการทำงานของนาฬิกาปลุกสำเร็จเขาก็ค่อย ๆ ขยับตัวกลับเข้าไปในผ้าห่มอีกรอบ อ๊ะๆ ...เขาไม่ได้กลับเข้าไปขดตัวนอนในผ้าห่มผืนหนาอีกรอบหรอกนะครับ แต่เขากลับเข้าไปใต้ผ้าห่มเพื่อใช้มือควานหากางเกงนอนตัวยาวที่ถูกรูดทิ้งออกไปก่อนหน้าจะมีเหตุฆาตกรรมหมู่เกิดขึ้นต่างหาก เพราะเขารู้สึกเย็นวูบ ๆ วาบ ๆ บริเวณช่วงล่างระหว่างกลางร่างกายที่ตอนนี้มีบางสิ่งกำลังเล่นกายกรรมห้อยหัวดุกดิกกวัดแกว่งล้อเล่นลมหนาวสั่นตัวดุ๊กดิ๊กไหวไปมาเพราะความหนาวเย็น พอสวมกางเกงนอนกลับเข้าที่ดีแล้ว เขาอดไม่ได้ที่จะมองกลับไปที่ใบหน้าของเพชฌฆาตหนุ่มหน้าหล่อที่เพิ่งก่อเหตุฆาตกรรมสังหารสิ่งมีชีวิตนับล้านด้วยความตั้งใจ
‘เราขอยืนอยู่ข้างๆ นายได้ไหม?’

มะนาวรู้สึกหัวใจพองโตทุกครั้งหากนึกถึงประโยคที่คนตรงหน้าเขียนบอกเขาผ่านโปสการ์ด เขานอนตะแคงแนบหน้าไปกับเตียงนอนขาวสะอาดแต่สภาพยับยู่ยี่เพราะเมื่อคืนเพิ่งเกิดเหตุฆาตกรรมหมู่วนซ้ำอยู่หลายทีเหมือนกัน มะนาวมองหน้าชายหนุ่มตรงหน้าของเขาขณะกำลังนอนหลับตาพริ้มด้วยความรู้สึกหลายอย่างปะปนกัน ใบหน้าไร้เดียงสาเหมือนเด็ก ๆ ที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ยิ่งมองยิ่งรู้สึกดี มองไปมองมาพลันให้นึกย้อนถึงเหตุการณ์ก่อนที่คนตรงหน้าจะมานอนอยู่ข้างๆ เขาแบบนี้ วันนั้นวันที่เขาเพิ่งสอบปลายภาคเสร็จ แต่กลับเป็นวันนั้นวันที่เขาเริ่มต้นฐานะ ‘คนพิเศษ’ ครั้งแรกในชีวิต ในตอนนั้นหัวใจของเขามีเงาสองเงาของผู้ชายสองคนที่เข้ามาพัวพันจนเกิดความรู้สึกผูกพันอย่างไม่เคยรู้ตัวมาก่อน ... เหตุการณ์ในวันนั้นทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เหมือนซีรี่ส์ที่โหลดมาแล้วเปิดฉายแผ่นเดียวจบแบบไม่มีการตัดเบรคโฆษณาให้รำคาญใจ ทุกเหตุการณ์ในวันนั้นมันยังคงเด่นชัดทุกครั้งที่นึกถึง วันที่ทุกคนเปิดใจ วันที่หัวใจอยู่เหนือเหตุผล มะนาวไม่เคยลืมแววตาจริงจังที่จ้องมองมายังเขาผ่านเลนส์สายตาคู่นั้นเลย

“เราขอยืนอยู่ข้างๆ นายได้ไหม?”

เขาขอคำสัญญาจากผมด้วยคำถามนี้ผ่านน้ำเสียงที่กลั่นออกมาจากหัวใจ

ผมนิ่งไปสักครู่ ไม่ใช่ว่าผมยังไม่มีคำตอบ ผมมีคำตอบให้ตัวเองแล้ว ตั้งแต่วันที่ผมรู้สึกตัว

แต่ยังไม่ทันที่ริมฝีปากของผมจะขยับให้คำตอบกับกราฟ ผมก็ได้ยินเสียงผู้ชายอีกคนร้องตะโกนดังขึ้นมาใกล้ ๆ

“เดี๋ยว!”

สิ้นเสียงเหนื่อยหอบที่ตะโกนดัง ผมเห็นนักศึกษาหนุ่มผิวเข้มโผล่พรวดพราดเข้ามาร่วมวงสนทนาในครั้งนี้ด้วย ท่าทางเหนื่อยหอบของพี่เข้มตอนนี้ช่างเหมือนเสือดำตัวโตที่เหนื่อยจากการวิ่งตามไล่ล่าฝูงกวางมาสักร้อยกิโลเมตรได้  พี่เข้มพยายามสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อกอบโกยออกซิเจนเข้าไปในปอดให้ได้มากที่สุด พร้อมกับใช้มือปาดเหงื่อเม็ดโตที่ผุดพราวออกจากใบหน้า
พี่เข้มมองหน้ากราฟ และมะนาวสลับกันอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นถึงสาวเท้ายาวก้าวเดินดุ่ม ๆ ตรงเข้ามาหามะนาวที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ กับกราฟ แววตาของพี่เข้มตอนนี้ยากเกินคาดเดา พี่โอมมองไปที่น้องเมตหน้าหล่อที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ของมะนาว พวกเขาสบตากันนิ่ง ก่อนจะหันหน้ามาพูดกับมะนาว

“กูชอบมึง”

“...”

“แต่กูจะไม่ถามว่ามึงชอบกูหรือเปล่า”

“...”

“กูแค่อยากบอกให้มึงรู้ ความรู้สึกของกู”

พอน้ำเสียงน้อยใจปนตัดพ้อที่พี่เข้มพูดออกมาจบลงมะนาวรู้สึกในหูมันอื้ออึง ภาพเหตุการณ์ที่เห็นตรงหน้าเหมือนมันเริ่มเคลื่อนไหวช้าลงแบบสโลโมชัน ตัวพี่เข้มเด่นชัดขึ้นแต่ฉากหลังกลับดูเลือนราง ตอนนี้ที่ตัวพี่เข้มเหมือนถูกส่องด้วยกล้องที่มีความละเอียดสูงให้ภาพคมชัดระดับ HD ซูมไปที่หน้าของพี่เข้มแล้วค่อย ๆ ซูมชัดเข้าไปที่แววตาที่จริงจังมั่นใจ หลังเลนส์สายตาหนาของเขาพร้อมกันนั้นก็มีเสียงดนตรีดังขึ้นมาเป็นซาวน์ประกอบเหมือนฉากจบตอนของซีรี่ส์เกาหลีที่เปิดเพลงช้าฟีลลิ่งเศร้า ๆ ดังขึ้นมาขณะที่พระเอกตัวรองกำลังเศร้าเสียใจ เพราะอกหักกับความรักที่ไม่สมหวัง แต่ก็ในขณะเดียวกันก็ทำใจได้ที่เห็นคนที่ตัวเองชอบมีความสุข

สุดท้าย ในวันนั้นทุกคนก็ได้คำตอบให้กับตัวเอง อาจไม่ใช่คำตอบที่สมบูรณ์ แต่มันก็เป็นคำตอบที่ตอบออกมาตามเสียงหัวใจ
กราฟ : “คิดอะไร?” กราฟใช้มือยีผมมะนาวที่ยาวลงมาปรกหน้าอย่างเบามือทะนุถนอมขณะกำลังเหม่อลอยจมอยู่ในห้วงภวังค์ของอดีต

มะนาว   : “คิดว่าดีแล้วที่ตอนนี้เป็นแบบนี้”
กราฟ   :  “หิวหรือยัง?”
มะนาว   : “หิวนิดหน่อย แต่อากาศเช้านี้โคตรหนาวสะบั้นเลยแฮะ” พูดจบมะนาวก็ค่อย ๆ มุดตัวออกจากผ้าห่มผืนหนาที่ปกคลุมตัวเขาอยู่ ขณะที่กำลังค่อย ๆ กระดึ๊บ ๆ ตัวออกจากผ้าห่ม ตัวของเขาก็ถูกมือใหญ่ของอีกคนดึงตัวกลับเข้ามาในผ้าห่มอีกครั้ง

“นอนต่ออีกหน่อยเถอะน่า” พอจับตัวหมอนมนุษย์เข้ามากอดแนบลำตัวได้แล้วหนุ่มผิวเข้มอีกคนก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงงัวเงียขณะที่ตายังปิดอยู่ เขาเริ่มขยุกขยิกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน พูดจบเขาค่อย ๆ โผล่ตัวออกมาจากผ้าห่มผืนเดียวกันผืนนั้น พร้อมกับดึงด้านหลังของตัวมะนาวเข้าไปกอดชิดไว้แนบอกเพื่อให้คนถูกกอดอยู่ในท่าที่สบายมากขึ้น ตัดภาพกลับมาที่ชายหนุ่มผิวขาวอีกคนที่อยู่ในพิกัดได้เปรียบมากกว่า เขาเองก็ไม่ยอมน้อยหน้ารีบเคลื่อนหน้าเอาปลายจมูกโด่งเป็นสันเบียดแตะกับจมูกของมะนาวเบา ๆ พร้อมกับส่งสายตาเป็นต่อให้กับชายหนุ่มผิวเข้มที่นอนแนบลำตัวติดอยู่กับแผ่นหลังของมะนาว แต่สายตาที่ส่งท้าทายไปไม่เป็นผล เพราะตาของพี่เข้มยังปิดอยู่ ไม่ได้รับรู้สารท้ารบจากฝ่ายยักษ์ตัวขาวแต่อย่างใด พอเห็นดังนั้นกราฟจึงจัดการล่อเสืออีกตัวออกจากถ้ำด้วยวิธีอื่น

“นายอยากกินอะไร เดี๋ยวขับรถไปซื้อมาให้”

“ไม่หนาวหรือไง?”

“ก็นายหิว”

“พอ ๆ กูเลี่ยน รีบไปอาบน้ำเลยไป เดี๋ยวก็สายกันพอดี” กราฟปลุกเสือสำเร็จ!  วิธีนี้ใช้ได้ผลเสมอ ฉากหวาน ๆ ตอนเช้าแบบนี้พี่เข้มมักเห็นจนชินตา แต่ครั้นจะให้ทำใจมองดูเฉย ๆ โดยที่ไม่ทำอะไรเลยนั้น เขาบังคับตัวเองไม่ได้ เพราะเห็นแบบนี้ทีไร ใจเขามันสั่นแปร๊บ แปร๊บ กราฟเลยเลือกใช้วิธีนี้เอาคืนพี่เมตตัวดีแบบนี้ประจำ

เตียงนอนสองเตียงถูกนำมาต่อชิดกันกลายเป็นเตียงนอนขนาดใหญ่เพื่อให้มีพื้นที่เหลือเฟือสำหรับคนสามคนให้นอนได้อย่างสบาย ตอนนี้บนเตียงแฝดมีเด็กหนุ่มผิวขาวนอนอยู่ตรงกลางขนาบข้างด้วยชายหนุ่มตัวสูงใหญ่สองคนที่กำลังใช้กำลังภายในชิงตัวมะนาวเอาเข้าไปอาบน้ำกับตนแค่สองคน แต่สุดท้ายพอเหนื่อยทั้งสามคนก็เข้าไปอาบน้ำพร้อมกันอยู่ดี

ตั้งแต่วันนั้นจนถึงตอนนี้ พวกเขายังคงไม่ได้ตกลงเป็นแฟนกัน

พวกเขาเลือกที่จะเป็นคนรักของกันและกันที่พร้อมเดินเคียงข้างไปด้วยกัน

ในทุกวันตราบเท่าที่พวกเขายังมีวันพรุ่งนี้รออยู่

อ๊ะ! ขอโทษทีนะครับ เหมือนเมื่อกี้ผมเล่าข้ามไปเรื่องใช่ไหมครับ พอหลังจากที่ผม กราฟ และพี่เข้ม ตกลงคบหาดูใจกันเสร็จเรียบร้อย พี่จิ้นกับมะตูมก็เดินมาถึงหน้าห้องผมพอดิบพอดี จากฉากดราม่าก็กลายเป็นฉากตลกสิครับ ยักษ์สามตนตาโตตกใจกันคนละแบบที่เห็นมะนาวพร้อมกันทีเดียวถึงสองคน พี่เข้มอ้าปากค้าง กราฟสตั๊นตัวแข็ง ส่วนพี่จิ้นมองผมกับน้องสลับไปมา พร้อมกับกะพริบตาตี่ติด ๆ กัน พร้อมกับบอกว่าใครก็ได้ช่วยมาตบที่หน้าให้ที เร็วเหมือนสายฟ้าฟาดพอสิ้นเสียงพูดพี่จิ้น ผมก็ได้ยินเสียงฝ่ามือกระทบหน้าดังเพียะ! มะตูมทำตามคำขอของพี่ตี๋ทันควัน ไม่ปล่อยให้คำร้องขอของยักษ์หน้าตี๋ต้องรอนาน มะตูมจ้องหาพี่ตี๋จิ้นนิ่ง พร้อมพูดเบา ๆ ว่า  “ผมบอกพี่แล้ว พี่ไม่ได้ชอบผมจริง ๆ หรอกครับ”

“แฝด?”

สามหนุ่มตกใจร้องเสียงหลง เพราะยังจับต้นชนปลายไม่ถูก ไม่รู้จะมัดเรื่องทั้งหมดมาต้มให้เป็นเรื่องเดียวกันได้อย่างไร
มะตูม   : “เมื่อกี้พ่อกับแม่โทรมาแล้วนะ บอกว่าอีก 10 นาทีถึงหน้าหอ เก็บของเสร็จยัง จะได้ช่วยขนออกไปทีเดียว”
มะนาว    : “เสร็จแล้ว มีเป้แค่ใบเดียว กับตะกร้าใส่ผ้าอีกใบ”
มะตูม    : “ใบไหน? เดี๋ยวช่วยยก”
ครืดด ๆ  ครืดด ๆ เสียงโทรศัพท์มะตูมสั่น สายเรียกเข้า ‘แม่’
มะตูม    : “ฮัลโหลแม่ เสร็จแล้วครับ ถึงหน้าหอแล้วใช่ไหมครับ ได้ๆ เดี๋ยวขนของออกไปเลย (มะตูมพูดจบก็หันหน้ามาพูดกับพี่ชาย) มะนาว แม่กับพ่อมาถึงแล้วนะ ไหนตะกร้า ใบนี้ใช่ไหม”
มะนาว    : “ใบนั้นแหละ หันหูตะกร้ามาอีกข้างมา เดี๋ยวช่วยกันยกออกไป มันหนัก”
พอจัดแจงหยิบสมบัติส่วนตัวเสร็จเรียบร้อยสองพี่น้องก็ช่วยกันขนตะกร้าออกไปหน้าหอ ไม่ได้สนใจยักษ์สามตนที่ยังยืนช็อก!ตัวแข็งอยู่หน้าห้อง 7712 เลยแม้แต่น้อย
กว่ายักษ์ทั้งสามตนจะประมวลผลเสร็จ สองพี่น้องตัวป่วนก็ขนของมาเกือบถึงหน้าหอพักนักศึกษาแล้ว
เฮฮาดีนะครับ เรื่องราวความรักในรั้วมหาวิทยาลัยของผม
End

อ๊ะ! ยังครับ ยังไม่จบ เมื่อกี้ผมเล่าข้ามไปอีกแล้ว ทุกคนคงอยากรู้ใช่ไหม หลังจากพี่โอมพูดความในใจออกมาในตอนนั้น ผมคิดอะไรอยู่ แล้วกราฟล่ะคิดอะไร ห้วงเวลาตอนนั้นผมมีคำตอบอยู่ในใจอยู่แล้ว ผมแทบไม่ต้องทบทวนคำตอบอีกครั้งให้แน่ใจ
“งั้นเราสามคนลองมาอยู่ห้องเดียวกันไหมครับ” ผมพูดประโยคนี้ออกไป หลังจากพี่เข้มพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมา
“ลองมาใช้ชีวิตด้วยกัน” ผมพูดต่ออีกประโยค กราฟไม่ได้พูดอะไรแค่พยักหน้า ส่วนพี่โอมหน้าตาดูตกใจ เดาอารมณ์ไม่ถูกเท่าไหร่ครับ
โอม: “มึง โอเคแบบนี้จริงๆ เหรอวะ”
มะนาว: “ผมโอเคครับ”
โอม: “กราฟ มึงโอเค?”
กราฟ: “ผมโอเค”
เรื่องมันก็เป็นแบบนี้แหละครับ

ในตอนนั้น ผมไม่ได้คิดอะไรเลยครับ ผมรู้สึกดีจริงๆ ที่มีคนมาชอบผมพร้อมกันตั้ง 2 คน เพราะผมเองอยากลองใส่รองเท้าแบบเดียวกัน เวลาไปเที่ยวหรือไปไหนพร้อมๆ กัน 3 คน เลยคิดไว้ตั้งนานแล้วว่าอยากมีแฟนทีเดียว 2 คน และอีกอย่างเวลาที่อ่านเจอฉาก 3P ในหนังสือการ์ตูนวาย หัวใจผมบอกว่านี่แหละสิ่งที่ใช่ในชีวิต

ความรัก เป็นเรื่องของความรู้สึก หากยกเหตุผลคงยากอธิบาย
รักไม่รัก ชอบไม่ชอบ ขึ้นอยู่กับความรู้สึกล้วนๆ
หากรัก จงรัก

หากปรารถนา อย่าเขินเหนียม จงกล้าที่จะซื่อสัตย์กับความรู้สึกนั้น
รักไม่รัก ต้องการแบบไหน จงชัดเจน
เมื่อใจมีรัก จงรัก ดั่งใจรัก

จงซื่อสัตย์ที่จะตอบรับยามเสียงนั้นเพรียกหา
ด้วยรัก


End.

ณ อะพาร์ตเมนต์ใหม่ของมะตูม
ก๊อก ๆ ก๊อก ๆ ก๊อก ๆ
“ใครครับ?”
“ล้างแอร์ครับ”
“แป๊บหนึ่งครับ”
แอ๊ดดดดด....พอเปิดประตูเสร็จ มะตูมก็ต้องแปลกใจกับภาพที่เห็นตรงหน้า หนุ่มตี๋ตาตี่ตัวสูงโปร่งแต่งตัวสไตล์เด็กสตรีตสวมเสื้อยืดสีขาวคอกลมลายกราฟิก บนหัวสวมหมวกแก๊บสีดำ นุ่งกางเกงยีนส์ขาตัดสีดำเหนือเข่าโชว์รอยสักเท่ ๆ ที่น่อง ด้านหลังสะพายเป้เดินทางใบใหญ่ยืนจังก้าขวางอยู่ด้านหน้าประตู ข้าง ๆ ตัวพี่ตี๋หน้าเลวก็มีกระเป๋าใบใหญ่อีกใบกองอยู่กับพื้น
พี่ตี๋จิ้นยืนจ้องมองมายังเขาด้วยสายตากรุ้มกริ่มตามแบบฉบับ
“คราวนี้ ไม่น่าผิดตัว” มุมปากของตี๋จิ้นยกยิ้มขึ้นมาข้างเดียว สายตาจ้องมองมะตูมที่ยืนงงอยู่หน้าห้องนอนของตัวเอง พอเจ้าของห้องเปิดประตู พี่ตี๋จิ้นก็ถือวิสาสะหยิบกระเป๋าอีกใบที่กองอยู่กับพื้น เดินผ่านมะตูมที่ยืนงง ๆ เบลอ ๆ อยู่หน้าห้องตัวเองเข้าไปในห้อง
ตี๋จิ้นเพื่อปล่อยให้มะตูมเสพความงงอย่างเต็มที่ที่หน้าห้องของตัวเอง
“ขออนุญาตขนของเข้าห้องนะครับ”
ตอนนี้ถึงคราวที่มะตูมต้องเป็นฝ่ายประหลาดใจบ้างแล้ว

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ryoushena

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +157/-2
THE CALL - เมื่อผมเป็นพ่อสื่อให้คางคก

The Call Special Chapter: Yes! I’m Hungry

“มะนาว หิวไหม?” เพื่อนเมตตัวกลมเอ่ยถามผมในบ่ายร้อนจัด จริงๆ ตอนนี้ผมก็รู้สึกหิวนิดหน่อย เพราะอาหารมื้อเที่ยงยังไม่ตกถึงท้องเลย ช่วยไม่ได้จริงๆ ครับ ผมต้องรีบเคลียร์การ์ตูนวายกองโตตรงหน้าก่อนหมดวันหยุด ถ้าไม่รีบอ่านสัปดาห์นี้ผมซวยแน่ เพราะอาทิตย์หน้าจะเป็นฤดูของการติวหนังสือสอบแล้ว

“ก็หิวนะ หมูจะชวนไปกินอะไร”

“อยากกินขนมจีนน้ำยากะทิไก่ เพิ่มเครื่องในจุกๆ”

“น่าสนใจ แต่ขออ่านเล่มนี้จบก่อนนะ เหลืออีกแค่ไม่กี่หน้าเองก็จบแล้ว”

“ย่ะ เดี๋ยวผัดแป้งรอ เสร็จแล้วบอก”

พออ่านการ์ตูนวายจบ ผมกับแม่หมูก็เดินตรงดิ่งไปที่โรงอาหารหอพัก ตอนบ่ายโรงอาหารแทบไม่มีนักศึกษาเลยสักคน ผมกับเพื่อนเมตตัวกลมเลยได้กินขนมจีนอย่างสบายใจ ไร้สิ่งรบกวน พอทานเสร็จ แม่หมูก็ง่วง แต่ผมรู้สึกอยากทานป๊อกกี้รสสตอว์เบอร์รีสักกล่องเลยแยกกัน

แต่แดดตอนบ่ายร้อนจัดจริงๆ ครับ ผมเดินมาได้แค่ครึ่งทาง เหงื่อตรงหลังก็ไหลโชกจนเสื้อแทบเปียก แหม่! ถ้าใส่เสื้อยืดสีขาวมา ผมว่าคงเซ็กซี่น่าดู

“ไอ้จี๊ด มึงกำลังจะไปไหน”

“ไปมาร์ตชายครับ”

“มะๆ ขึ้นรถ เดี๋ยวกูไปส่ง”

“ไม่เป็นไรครับ อีกนิดเดียวก็ถึงแล้ว”

“อย่าโยกโย้ ไอ้นี่”

ผมจำใจขึ้นซ้อนท้ายรสเวสป้าสีเขียวมะนาวอย่างเสียไม่ได้ พอถึงหน้ามาร์ตชาย ผมก็ไม่ลืมกล่าวขอบคุณชายผู้มีพระคุณ ก่อนรีบตรงดิ่งเข้าไปหยิบป๊อกกี้รสสตอว์เบอร์รีในมาร์ต พอเดินไปถึงชั้นขนม เจอสิ่งที่ต้องการผมก็รีบจ่ายตังค์ พอจัดการซื้อของเสร็จก็เดินออกมาจากมาร์ต แต่พอเดินออกมาก็ต้องประหลาดใจอีกครั้ง เพราะมีชายหนุ่มรูปงามนามพี่เข้มนั่งรอผมอยู่ใต้ต้นดอกคูณหน้ามาร์ต

“ซื้อเสร็จแล้วก็รีบขึ้นรถ กูร้อน”

“ครับ?”

“ขึ้นรถ”

“...”

นั่นแหละครับ ผมก็จำใจขึ้นซ้อนท้ายรถเวสป้าสีเขียวมะนาวอีกรอบด้วยความเกรงใจ พอถึงหน้าหอ 13 โซน A พี่เข้มก็จอดให้ผมลง แต่ยังไม่ทันจะได้กล่าวขอบคุณ ผู้มีพระคุณตรงหน้าก็รีบทวงบุญคุณซะแล้ว

“วันนี้มึงจะไปคืนการ์ตูนโป๊กี่โมง เดี๋ยวออกไปพร้อมกูก็ได้”

“พี่รู้ได้ไงว่ามะนาวต้องเอาการ์ตูนไปคืนวันนี้”

“ทำหน้าหมางง ไม่ใช่มึงคนเดียวนะครับที่สนิทกับเจ้าของร้าน ตกลงจะไปคืนหนังสือกี่ทุ่ม”

“น่าจะประมาณสี่ทุ่มครับ”

“ก็แค่นี้ เดี๋ยวสี่ทุ่มเจอกันตรงนี้ที่เดิม พอดีวันนี้กูอยากกินข้าวขาหมู เลยต้องจัดสักหน่อย ไม่ได้กินนานละ คิดถึงน้ำราดพริกเหลือง”

“มะนาวไปคืนเองได้ครับ เกรงใจ”

“เกรงจงเกรงใจอะไร มึงอย่าเรื่องเยอะ คนกันเองทั้งนั้น”

และแล้วก็ถึงเวลาสี่ทุ่ม

“หมู จะออกไปคืนการ์ตูนหน้าม.แป๊บนะ เอาอะไรเปล่า”

“ฝากซื้อเอแคลร์หน้าม.กล่องหนึ่ง แล้วก็เอาโกโก้เย็นร้านพี่ยิ้มด้วยจ้า”

“เอาแค่นี้นะ”

“จ้า แต๊งกิ้ว”

แม่หมูสนทนากับผมโดยที่ไม่ได้หันมาทางผมสักกะติ๊ด เพราะตอนนี้คุณเพื่อนตัวกลมกำลังอินกับซีรีส์เกาหลีแดจังกึม ตอนนี้ผมเองก็รู้สึกฟินๆ ลอยๆ เพราะการ์ตูนล็อตนี้ที่เช่ามาพล็อตเรื่องดี แถมภาพสวยเป็นบ้า และที่สำคัญทุกเรื่องจบแฮปปี้เอ็นดิ้งหมด
พอเดินมาถึงหน้าหอ ผมกลับไม่เจอพี่โอมแฮะ สงสัยลืมแล้วมั้ง ผมรออยู่ประมาณห้านาทีแต่ก็ยังไม่เจอใคร ก็เลยตัดสินใจเดินไปที่รถมอเตอร์ไซค์คุรุสภาสีขาวของผม จากนั้นก็บึ่งรถด้วยความเร็วพอประมาณออกไปร้านเช่าหนังสือหน้ามหาวิทยาลัย

ระหว่างคืนหนังสือก็คุยเล่นกับพี่จ๋าเจ้าของร้านสักพัก เพราะการ์ตูนใหม่ล็อตนี้ฟินจริงจัง ผมเลยต้องขอแบ่งปันความอินนี้ให้พี่จ๋าได้รับรู้ พอคุยเสร็จ ผมก็เดินกลับมาที่รถ แต่ก็ต้องแปลกใจเพราะว่ามีชายรูปงามผิวเข้มนั่งทำหน้าไม่สบอารมณ์อยู่บนรถเวสป้าสีเขียว

“ทำไมไม่รอกูหน่อย”

“มะนาวนึกว่าพี่มีธุระ”

“กูขอโทษละกัน ที่ทำให้มึงอดซ้อนท้ายเวสป้ากู พอดีมีเด็กในหอโดนขโมยโน้ตบุ๊ก เลยต้องไปช่วยที่ปรึกษาหอโทรแจ้งตำรวจ กว่าเรื่องจะเสร็จเกือบชั่วโมง มึงก็ระวังด้วย บอกพี่เมตกับน้องหมูแดงด้วย ไปไหนก็ต้องปิดห้องล็อกประตูให้เรียบร้อย ช่วงนี้ของในหอ 13 หายบ่อย”

“มะนาวได้ยินข่าวเหมือนกันครับ แล้วได้เบาะแสคืบหน้าอะไรไหมครับ”

“ยัง น่าจะต้องรออีกสักพัก เฮ้อออ... อารมณ์เสียว่ะแม่ง ปะไปกินข้าวขาหมูกัน เดี๋ยวกูเลี้ยงปลอบใจมึงเอง”

“ร้านอยู่ตรงไหนครับ”

“เอ้า! ไอ้นี่ อยู่ข้างร้านเช่าการ์ตูนโป๊มึงนี่ไง หรือว่ามึงไม่เคยสังเกต”

“อ้าว ตรงนี้มีร้านข้าวขาหมูด้วยเหรอครับ”

“เออ มีสิวะ ก็ร้านมันตั้งอยู่ตรงนี้มาตั้งกี่ปีแล้ว หัดรู้จักสังเกตอะไรๆ ซะบ้าง”

“ไม่เคยเห็นเลยแฮะ”

“แต่ร้านพี่เขาก็ปิดบ่อยแหละ บางทีก็เปิดดึกๆ มึงอาจจะไม่ทันได้สังเกต”

“คากิร้านนี้อร่อยไหมครับ”

“มึงชอบกินเหรอ ลองสั่งมากินดู เพราะบางคนเขาก็ไม่ชอบบอกว่าเหมือนพะโล้ แต่สำหรับกูร้านนี้กูว่าอร่อย”

จากนั้นผมสองคนก็เดินเข้าไปในร้านข้าวขาหมู ร้านนี้เป็นร้านข้าวขาหมูที่ไม่เหมือนร้านข้าวขาหมูเลยครับ บรรยากาศข้างในร้านผมรู้สึกเหมือนนั่งอยู่ในโรงเรียนกวดวิชาที่แต่งร้านแบบมินิมอลหน่อยๆ ร้านทาสีขาวดูเรียบๆ คลีนๆ ซึ่งพอถามพี่โอม พี่เจ้าของร้านรับติวฟิสิกส์จริงๆ ด้วยครับ มิน่าบรรยากาศร้านดูสะอาดสะอ้าน เหมาะที่จะเปิดเพลงอินดี้ฝรั่งคลอเบาๆ ระหว่างเคี้ยวคากิแกะเปลือกกระเทียมคงเพลินๆ ดี เหมือนพี่เจ้าของร้านจะได้ยินคำพูดผมมั้งครับ ตอนนี้พี่แกเดินไปเปิดเพลงคลอเบาๆ ในร้าน

Go!
So one, two, three, take my hand and come with me
Because you look so fine
That I really want make you mine
Song Jet – Are You Gonna Be My Girl

พี่เจ้าของร้านผมว่าแกทำขาหมูแต่ละจานค่อนข้างช้านะครับ ดูพี่แกไม่ได้รีบร้อนอะไร ถึงแม้จะมีนักศึกษารอข้าวอยู่สามสี่โต๊ะก็ตาม แต่แกก็ค่อยๆ เลาะเนื้อหมูอยู่หน้าร้าน ผมนั่งมองโน่นมองนี่ไปสักพัก ข้าวคากิของผมก็มาเสิร์ฟตรงหน้า คากิแยกจานเสิร์ฟคู่ข้าวสวยร้อนๆ น่าทานมากครับ แต่ปริมาณที่ให้น้อยไปนิด ไม่รอช้า พอราดน้ำจิ้มฉ่ำๆ ผมก็ไม่รีรอที่จะลิ้มรสคากิตรงหน้
า ‘โห...โคตรอร่อยเลย’

“เป็นไง อร่อยไหม”

“เยี่ยมไปเลยครับ แต่ผมว่าน้อยไปหน่อย เสียดายผมน่าจะสั่งเนื้อหนังเพิ่มอีกสักจาน ดูที่พี่สั่งก็น่ากิน ถ้าสั่งเพิ่มสงสัยต้องรออีกนานเลย”

ผมมองไปรอบๆ ร้าน เห็นยังมีหลายโต๊ะที่ยังไม่ได้อาหาร


“ลองกินเนื้อดูสิ”

“พี่ใจดีนะเนี่ย ขอบคุณครับ”

“เป็นไง เนื้อใช้ได้ไหม”

“เนื้อก็ดีนะครับ คราวหน้าเดี๋ยวผมสั่ง”

“ลองกินเนื้อติดหนังดู”

“พอแล้วครับ เดี๋ยวพี่ไม่อิ่ม”

“กินไปเหอะน่า ถ้ากูไม่อิ่ม คากิของมึง โดนกูแย่งกินแน่”

“ถ้างั้น มะนาวยกชิ้นที่อร่อยสุดในจานให้พี่”

“ปากดีนะมึง ไหนชิ้นไหน”

“ชิ้นนี้เลยครับ ชิ้นใหญ่สุด”

“ไอ้เลว ชิ้นนี้มีแต่กระดูก”

“หยอกๆ พี่ ชิ้นนี้ๆ”

“เอาชิ้นนั้นนั่นแหละ”

พี่โอมไม่รอให้ผมแย้ง เขาตักชิ้นกระดูกชิ้นนั้นไปวางในจานตัวเอง แล้วลงมือกินอย่างเอร็ดอร่อย

“ชิ้นนี้แถมครับ”

“ทำเป็นป๋านะมึง”

“แบ่งๆ กันครับ พี่อุตส่าห์พามากินของอร่อย”

“ถ้าชอบ เดี๋ยวกูพามากินอีก”

จบ

ออฟไลน์ ryoushena

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +157/-2
THE CALL - เมื่อผมเป็นพ่อสื่อให้คางคก

The Call Special Chapter: ชักธงขาว

บางครั้งเราก็ต้อง ‘ยอม’ เพื่อที่จะเดินต่อไป
ยกธงขาว

‘มึงมาแทกข้อความอกหักรักคุดอะไรให้กูตอนนี้วะ ทีเสียวกันล่ะไม่เคยเล่า แต่พอเศร้าเข้าหน่อยอยากบอกกูจังนะไอ้เพื่อนเวร’ พี่เข้มโอมบ่นกระปอดกระแปดอยู่ในใจคนเดียว รีบกดลบชื่อตัวเองออกจากข้อความที่เพื่อนเพิ่งแท็กส่งมาให้ ก็นะคนเรามันฟุ้งซ่าน

ครืดดดดด ครืดดดดดดด

ผ่านไปแค่ไม่กี่นาที เพื่อนพี่เข้มตัวดีเจ้าเดิมก็ส่งข้อความสุดระริกระรี้พร้อมตัวอีโมชั่นกวน Teen ผ่านโปรแกรมไลน์เข้ามาทักทายพี่เข้มและเพื่อน ๆ ในกรุ๊ปเพื่อนสนิทอีกหน

คุณชาย กะปอม วังจุฑาเทพ: ‘ชอบว่ะ! น่ารักว่ะ! จีบได้มั้ยวะ! มัยไม่กล้าบอกว้าาา!!!’ พร้อมกับแนบตัวอีโมชั่นดุ๊กดิ๊กรูปไอ้มดแดงท่าทางแสนทะเล้นกำลังจะวิ่งด้วยความเร็วสูงตามมาด้วย

Mr. 9”: “ไอ้ปอมขึ้นรถยังวะสาดดด แล้วมึงเป็นเชี่ยไร เจอะเด็กเด็ด ๆ หรอวะ? ถึงกับเอามาเพ้อ”  เพื่อนคนนี้ก็เช่นกันไม่ส่งแค่ข้อความมาเปล่า ๆ รายนี้ส่งอีโมชั่นรูปลิงกอลิล่ามาดเจ้าพ่อใส่สูท สวมแว่นตากันแดดสีดำ ยืนแฉกยิ้มอย่างอารมณ์ดีตามมาด้วย
คุณชาย กะปอม วังจุฑาเทพ : “ถูกครัช ไอ้คุณเพื่อนไนน์ กูบอกเลยคนนี้อย่างน่ารัก โดนใจกูเต็มสูบ จีบเลยดีมั้ยว้า”

Mr. 9”: “เช็ดโด้ เพื่อนกูกล้าใหญ่แล้ววุ้ย แต่กูว่าอย่าเลยว่ะ”

คุณชาย กะปอม วังจุฑาเทพ : “ไมวะ”

Mr. 9”: เดี๋ยวเด็กคิดว่ามึงจะไปจี้เอาโทรศัพท์อะดิ ฮ่าๆๆ

คุณชาย กะปอม วังจุฑาเทพ : ไอ้ปากมอม วันนี้กูหล่อ หน้าใส ตัดผมโกนหนวดเรียบร้อยแล้วครัช

Mr. 9”: ถุย! กลับบ้านทีนี่เป็นเด็กดีน่าไว้ใจตลอดเลยนะมึง กูในฐานะเพื่อนพ่อมึง ภูมิใจแทนเมียพ่อมึงจริง ๆ ว่ะ

คุณชาย กะปอม วังจุฑาเทพ : ลามปามบุพการีเพื่อนไม่ดีนะครัช เดี๋ยวจะถูกนิ้วสั้น ๆ ทั้งสิบลูบหน้าเล่นนะครัช!

Mr. 9”: แหม่ เพื่อนพูดมาอย่างนี้เขินเบย ว่าแต่เด็กมึงอยู่แถวไหนว่ะ เดี๋ยวกูชวนไอ้ประธานหวยวิ่งตามไป (พิมพ์จบไม่วาย ส่งอีโมชั่นไอ้มดแดงประมาณ 1 กองทัพที่แสดงท่าทางกำลังวิ่งด้วยความเร็วสูงแนบมาด้วย เพื่อเป็นการเสริมอรรถรสในการสนทนาว่าอยากพาเพื่อนฝูงไปด้วยจริง ๆ)

คุณชาย กะปอม วังจุฑาเทพ : “นั่งเบาะข้าง ๆ กูเนี่ย”

Mr. 9”: “เยดดดดดด ไอ้เป็ด มึงรอรัยว้า จีบเลย”

คุณชาย กะปอม วังจุฑาเทพ : “ไม่กล้าว่ะ แค่กูนั่งพิมพ์อยู่ มือยังสั่นเบย”

Mr. 9”: “หายไว ๆ นะมึง ดีขึ้นแล้วจะได้แข็ง ๆ”

คุณชาย กะปอม วังจุฑาเทพ :  “Teen !!<< เพื่อมึงเลยครัช”

Mr. 9” : “ท่านประธานหายตูดไปไหนวะ?? ไมไม่เข้ามาเสวนาธรรม ให้กูกับมึงแข็งหนอ อ่อนหนออยู่กันแค่สองคน หรือท่านยังเก็บของไม่เสร็จ”

คุณชาย กะปอม วังจุฑาเทพ : “จุ๊ ๆ รู้แล้วเงียบไว้ให้มิด ช่วงนี้ท่านสุขภาพไม่ค่อยดี มีปัญหาหัวใจว่ะ”

Mr. 9” :  “ไมวะ”

คุณชาย กะปอม วังจุฑาเทพ : “เอ้าไอนี่ รู้จักใส่ใจเพื่อนบ้างนะครับ วีคนี้เราดี๊ด๊าได้หยุดงานสราญใจ แต่ท่านประธานไม่ได้หยุดว่ะครับ มีงานเข้าอะมีงานเข้า วีคนี้เลยอดเจอนุ้งมะนาวเบย แถมช่วงนี้ยังมีเรื่องให้หงุดหงิดงุ่นง่าน เพราะนุ้งมะนาวแอบดื้อว่ะ ท่านเลยนอยด์แดก พาลให้นกเขาหงอย ห่ะมอยหงอก”

Mr. 9”: “เช็ดโด้ กูว่าละ ช่วงนี้มือท่านสากกว่าเดิมเยอะ สาเหตุน่าจะมาจากสไลด์หนอนน้อยบ่อยเกินวันละ 2 เวลา ฮ่าๆๆ แต่ห่ะมอยท่านไม่น่าหงอกนะครัช ได้ข่าวว่าบวช ก๊ากกก!!”

คุณชาย กะปอม วังจุฑาเทพ : “ฮ่าๆๆ ถูกครัช ก็อย่างที่เขาบอก คิดจะมีแฟนเด็กต้องหมั่นตรวจเช็กร่างกาย ฟิต ๆ เข้าไว้ น้ำจะได้พุ่งแรงเท่ากับเด็กรุ่นใหม่”

Mr. 9”: “อูยยยย เลือดซิบเบย คมมากครัช ฮ่าๆๆ”

ท่านประธาน: “Quay!!”

Mr. 9” : “เยดดด...ดุ้นใหญ่เต็มจอกุเลยครัช แต่กว่าจะเข้ามาได้นะครัชท่าน กำลังเล่นกล้ามให้น้องหนอนอยู่หรอครัช”
คุณชาย กะปอม วังจุฑาเทพ : “ซ้อมบ่อย ๆ นะครัชท่าน น้ำพุ่งไม่แรงเท่าแรงดันน้ำของเด็กรุ่นใหม่จะยุ่งเอานา แล้วจะหาว่าพวกผมไม่เตือน หยอกๆ”

ท่านประธาน: “มึง 2 ตัว เลิกเห่า แบตกูจะหมด”

Mr. 9”: “แบตหมดไมไม่ชาร์จวะ แค่นี้ต้องให้สั่งสอน”

คุณชาย กะปอม วังจุฑาเทพ : “ช่าย ความฉลาดต่ำแบบนี้ เอาการบ้านไปฝึกกะหมองเพิ่มความฉลาดเลยครัช”
Mr. 9”: “คัด ‘ดอ’ เด็ก 100 จบดีปะท่าน”

คุณชาย กะปอม วังจุฑาเทพ : “ถือเป็นความคิดที่น่าลอง ฮ่าๆๆ”

ท่านประธาน: “กูอยู่ข้างนอกโว้ย! พวกเหี้ย”

คุณชาย กะปอม วังจุฑาเทพ : “ท่านว้ากกกเราแล้วว่ะ มิสเตอร์ 9 ผมว่าเราถอยทัพก่อนดีไหมครัช”

Mr. 9”: “เออ ๆ แค่นี้ก็แค่นี้ แต่ก่อนไปไอ้คุณชายปอมมึงช่วยกล่าวอะไรให้ท่านฉลาดขึ้นมาหน่อยดิ๊”

คุณชาย กะปอม วังจุฑาเทพ : “ถ้าท่านอยากปราบเด็กดื้อในอาณัตให้อยู่หมัด ท่านต้องเด็ดขาดนะครัช สู้ ๆ พวกผมมีท่านเป็นไอดอลนะครัช”

Mr. 9”: “คราวนี้ไอ้กากปอมมันพูดดีว่ะ เข้าใจแล้วนะครัช ‘ท่านประธานหวยครัว’ ”

ท่านประธาน: “เออ ๆ”

Mr. 9”: “ชาติเสือคิดทำงานใหญ่ต้องใจเด็ดครัช”

คุณชาย กะปอม วังจุฑาเทพ : “เยดดด คมสาดดดด”
 
โทรศัพท์มือถือของยักษ์โอมก็ส่งสัญญาณแจ้งเตือนว่าแบตเตอร์รี่กำลังใกล้จะหมด เหลืออีกแค่ 18 เปอร์เซ็นต์
ทำให้เขาอดหงุดหงิดไม่ได้ เพราะตอนนี้กำลังรอสายจากคนที่คุณก็รู้ว่าใครอยู่ อะไรจี๊ดๆ นั่นแหละครับ

คุณชาย กะปอม วังจุฑาเทพ : “ต่อไปพวกผมจะเป็นแบบท่านครัช”

Mr. 9”: “ไอ้ปอมมึงอย่าเพิ่งไปนะ ไลน์มาคุยกับกูก่อนนะ กูเบื่อ ๆ กับการนั่งรถ”


คุณชาย กะปอม วังจุฑาเทพ : “ได้ครัช”

แล้วเพื่อนตัวดีของยักษ์เข้มก็ออกไปคุยกันแค่สองคนมุมิในโปรแกรมไลน์อย่างสนุกสนาน

‘กูเหนื่อยกับไอ้พวกนี้จริง ๆ’ แล้วจะเริ่มยังไงก่อนดีวะ ครั้งล่าสุดที่ผมเปิดกล้องคุยกับไอจี๊ด ผมมันยาวปรกหน้าปรกตา เห็นแล้วโคตรรำคาญลูกตาเลย ‘อยากให้ตัดผม’ (ตอนนี้ผมทำงานที่กรุงเทพฯ น่ะครับ ส่วนมันยังเรียนที่โคราช เสาร์อาทิตย์ถึงได้เจอกัน แต่บางทีก็ไม่ได้เจอเพราะช่วงนี้มันเรียนหนัก)

สัปดาห์ที่ผ่านมา ก่อนที่ผมจะกลับกรุงเทพฯ ผมบอกให้มันไปตัดผม ไม่รู้ว่ามันทำตามที่ผมพูดหรือเปล่า ไอ้นี่มันตัวดื้อเลย ชอบทำให้ผมหงุดหงิด

ตอนนี้ผมกำลังรอโทรศัพท์จากมันอยู่ แบตโทรศัพท์ก็ใกล้จะหมดเต็มที เพราะครั้งก่อนผมเคยบอกให้มันตัดผมไปครั้งนึง แต่มันก็ไม่ได้ไปตัดอยู่ดี มันอ้างว่า ยุ่งๆ

นั่นไง พูดไม่ทันขาดคำ มันโทร VIDEO CALL มาแล้ว

พอคุยได้สักพัก ผมก็อดพูดเรื่องผมของมันไม่ได้

โอม: “มึงผมยาวละนะ เมื่อไหร่จะตัดผม

มะนาว: “ผมว่ายังไม่ยาวเท่าไหร่นะ

โอม: “ไม่ยาว? ผมข้างหน้าแทบจะปิดตาอยู่แล้ว ไม่รำคาญหรือยังไง?

มะนาว: “ไม่นะครับ

โอม: “เดี๋ยวเสาร์นี้พาไปตัด

มะนาว: “ตัดบ่อยๆ เปลืองตังค์

โอม: “เลิกหรือตัดผมดี?

มะนาว: “...”

โอม: “มึงลองรวบผมด้านหน้ายกขึ้นให้กูดูทีซิ เห็นมะ ผมสั้นดูน่ารักกว่าผมยาวตั้งเยอะ อ๊ะ!”

มะนาว: “ครับ?”

โอม: “งั้นมึงไว้ผมยาวแบบนี้ละกัน”

จบ.

ออฟไลน์ ryoushena

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +157/-2
THE CALL - เมื่อผมเป็นพ่อสื่อให้คางคก

The Call Special Chapter: รอยยิ้ม 100 ปี

“คนเราสามารถตกหลุมรักและรักคนที่เราเจอในครั้งแรกได้ไหม?”
เนื่องด้วยวันนี้เป็นวันเกิดของมัน ไอ้จี๊ดมะนาว
และเนื่องด้วย ไอ้จี๊ดมะนาว เป็นคนพิเศษ
วันนี้เลยอยากจะลองเขียนสิ่งต่างๆ
เกี่ยวกับความทรงจำ
ที่มีร่วมกัน
ในมุมมองของตัวเอง

- ครั้งแรกที่ผมเจอหน้ามัน สายตามันที่มองมาที่ผมตอนนั้น ตอนนี้ผมก็ยังจำได้ดี
 
- มันเป็นผู้ชายคนแรกและคนเดียวที่ทำให้หัวใจผมเกิดความรู้สึกพิเศษ และถึงจะฟังดูบ้า แต่ในตอนนั้นผมก็เกิดความคิด อยากได้มันเป็นแฟน

- ผมเคยรู้สึกช็อก เมื่อวันหนึ่งผมรู้ว่ามันโทรเข้าห้องผมเพื่อมาจีบน้องเมตหน้าหล่อ (เขียนมาถึงตรงนี้ ผมยังจำความรู้สึกช็อกกับเหตุการณ์นั้นได้อยู่เลย แต่พอมารู้ทีหลังว่ามันโทรมาจีบให้เพื่อนก็เลยโล่งอก หายใจคล่องขึ้นมาหน่อย)

- เรียกว่าช่วงที่ไม่รู้ว่ามันจีบให้เพื่อนเป็นช่วงเวลาผมรู้สึกดาวน์โคตรๆ แต่ผมก็พยายามเนียนๆ เอาตัวไปอยู่ในชีวิตมันให้มากที่สุด
 
- ภายในเวลาไม่นาน ด้วยความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ในอก ผมก็เอาชีวิตประจำวันของตัวเองเข้าไปวนเวียนกับชีวิตมันตลอด และตอนนี้ความรู้สึกนั้นนับวันมันก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งทำให้ผมอยากวนเวียนในชีวิตมันแบบนี้ไปเรื่อยๆ

- มันมีความตลกในแบบตัวเอง ยิ่งทำให้ผมอยากทำความรู้จักมัน มากไปกว่านั้น เวลาผมอยู่กับมัน ผมรู้สึกสบาย อยู่ใกล้แล้วมีความสุข

- การได้แหย่ๆ มัน กลายเป็นกิจวัตรยามว่างของผม จนรู้สึกตัวอีกทีกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต เพราะมันชอบมีรีแอกหน้าตาแปลกๆ พอได้แย่ได้แกล้ง วันนั้นผมก็จะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ 

- มันมีความดื้อเงียบที่ทำให้ผมอยากปราบ ซึ่งก็ปราบสำเร็จบ้าง แพ้บ้าง แต่ส่วนใหญ่ที่ปราบได้ เป็นเพราะมันยอมให้ผม

- มันเป็นคนใจใส่ทุกคนที่อยู่ในชีวิต อินกับทุกเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิต และมันเป็นคนมีความคิดแปลกๆ นั่นเป็นเสน่ห์ที่ไม่มีใครเหมือน

- มันเป็นต้นแบบของคำว่า “รักไม่มีกฎเกณฑ์” ที่ชัดเจนคนนึง

- มันเป็นสายวาย แม้ตอนนี้จะไม่ค่อยได้อ่านการ์ตูนวายแล้ว แต่ก็ยังอ่านนิวายวายอยู่ และผมชอบมองหน้ามันเวลาอ่านหนังสือมาก

- เวลามีฉากโป๊เข้าด้ายเข้าเข็ม หน้ามันจะแดงตาม....(อินจัด)

- เวลามันยิ้มตอนอ่านหนังสือ โคตรของความน่าฟัด!

ยังมีอีกหลายๆ อย่างที่ผมประทับใจเกี่ยวกับตุ๊ดที่ชื่อ ไอ้จี๊ด และคิดว่าหลายๆ คนที่ได้รู้จักมันน่าจะมีเรื่องเล่าด้านดีๆ เกี่ยวกับมันอีกมาก คงเหมือนกับผมที่ต่อให้นั่งเล่าเรื่องของมันทั้งวันก็เล่าไม่จบ

วันเกิดนี้ก็ขอให้มันมีความสุขและสนุกที่ได้ใช้ชีวิตร่วมกับผม

ผมอยากนั่งมองมันไปยิ้มต่อไปเรื่อยๆ อีกสัก 100 ปี

แม้จะไม่รู้ว่าอนาคตว่าจะมีชีวิตอยู่ถึง 100 ปีไหม

แต่สิ่งที่หนึ่งที่รู้ ก็คือ ไอ้จี๊ด มันทำให้รู้สึกได้แล้วว่า

“เราสามารถรักคนๆ นึง แม้จะเจอหน้ากันแค่ครั้งแรก ได้จริงๆ”

ยิ้มให้กูแบบนี้ตลอดไปนะ

ออฟไลน์ ryoushena

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +157/-2
THE CALL - เมื่อผมเป็นพ่อสื่อให้คางคก

The Call Special Chapter: 9 นิ้ว

ผมยาวแค่ไหน?

ผมยาวประมาณ 9 นิ้ว

ทำไมเพื่อนไม่เชื่ออะ ทัดหูได้ดูสิ

พี่มีนโพสต์รูปเซลฟี่ตัวเองในลุคผมแสกกลาง ผมด้านหน้ายาวจนดึงไปเหน็บหูได้ทั้งสองข้าง พร้อมแคปชัน “ผมยาวแค่ไหน? ผมยาวประมาณ 9 นิ้ว ทำไมเพื่อนไม่เชื่ออะ ทัดหูได้ดูสิ” หลังจากที่โพสต์รูปนี้ไม่กี่นาที เพื่อนๆ น้องๆ ต่างก็เข้ามาคอมเมนต์กันสนุกสนาน

หวาน สายไฟสีรุ้ง: ถักเปียให้ดูหน่อย
Mean: รอแป๊บ ยังยาวไม่พอ
Oil Atthawit: เห้อ
Mean: เลี้ยงผมไปงานแต่งมึงไง
Oil Atthawit: กว่าจะถึงงานกู น่าจะถึงขนตูดพอดีว่ะ
Tun Pree: 9 นิ้ว กำลังดี
Mean: หมายถึงผม?
Auta Auta: ยาวแค่ไหนก็ไม่กลัว มีน ใช้ เทร ซัม เม่
Mean: เทร ซัม เม่ ไม่เคยใช้ แต่ทรีซั่มอะบ่อย บางทีก็โฟว์
Auta Auta: เชื่อ
Mean: รีบเชื่อเลยนะครับ อะไรดีดี ฟายยยยย
Auta Auta: แน่น๊วล
Weetawat: ถ้าพี่ไม่โกนเครานะ จอน วิค
Mean: ตามฆ่ามึงคนแรกเลย
Kluplai: ผมยาวแล้วแต่งหญิงได้เลย หน้าหวาน
Mean: เขิน คนเยอะ
Manow puhong: CF (พร้อมใส่อีโมจิ ตาโต)
Mean: CF NO CC แต่ถามเหล่าสามีแล้วหรือยัง?
Ohmharin: @Manowpuhong คืนนี้มึงตาเหลือกแน่!
Grafgirat: @Manowpuhong หิวเหรอ เดี๋ยวเบิ้ลให้นะ
Mean: @Manowpuhong @Ohmharin @Grafgirat กูว่าละ ทำไมซื้อหวยไม่ถูกบ้างวะ ครอบครัวนี้ดูท่าจะว่างนะครับ

กลับมาที่เรื่องของผมก่อนดีกว่า ผมไม่ได้ตัดผมมาสักพัก ทำให้มีหลายคนถามว่า ทำไมไว้ผมยาว ทั้งที่ผมสั้นหล่อกว่า ผมเลยอยากอธิบายตรงนี้หน่อยนึงละกันว่า ก็แค่อยากทำตามใจตัวเอง แทบไม่ได้คิดเลยว่าถ้าผมยาวแล้วจะไม่หล่อหรือไม่หล่อแค่ไหน แต่ก็พอรู้ว่าหลายคนรำคาญแทน

ตอนนี้ผมแค่รู้สึกว่า ถ้าอยากตัดก็ตัดเอง พรุ่งนี้อาจตัดผมก็ได้ ผมยาวถึงติ่งหูนี่คือยาวที่สุดในชีวิตที่เคยไว้ละ คิดไปคิดมาก็ไม่รู้จะหล่อไปไหน หล่อให้ใครชม เราขอหล่อในแบบที่เราอยากหล่อดีกว่า ฮ่าๆๆ #ล่าสุดบอกไว้ผมยาวเพราะจะแต่งหญิงดันมีคนเชื่อไปอีกเอ้า!!

ผมว่าผมไม่หล่อแบบแมสหรอก

ชีวิตคนโสดวัย 30 กว่าๆ นี่แอบเหงาเหมือนกันนะครับ เพราะตอนนี้เพื่อนสนิทที่เรียนด้วยกันมา แม่งก็มีครอบครัวกันไปหมดละ จะนัดไปกินข้าวหรือไปเที่ยวเล่นโน่นนี่ก็ยาก เวลาว่างก็ไม่ค่อยตรงกัน ถึงหยุดยาวๆ 3 วัน มันก็ต้องใช้ชีวิตอยู่บ้านอยู่กับครอบครัวตัวเอง ให้ออกมาแรดกับเพื่อนเหมือนเมื่อก่อนก็ไม่ได้ ไอ้เราบางทีก็อยากชวนแต่ก็เกรงใจแฟนพวกมัน จะว่าชินก็เริ่มจะชินกับการใช้ชีวิตคนเดียว แต่การใช้ชีวิตคนเดียว บางทีแม่งก็เหงาแปลกๆ

เย็นนี้น้องเมตผมนัดทานข้าว บอกว่าคิดถึง ไอ้น้องเมตคนนี้ มันปากหวาน รู้จักพูดเอาใจคน ผมเลยตกปากรับคำ เพราะจริงๆ ก็คิดถึงอยู่หมือนกัน

ผมนัดกันที่ร้านอาหารเหนือ แถวลาดพร้าวซอย 4 เป็นร้านอาหารที่แต่งร้านใช้ได้ ร้านกระจกติดแอร์ ปูพื้นกระเบื้องขาวดำ มีที่นั่งทานอาหารสองชั้น แต่ส่วนใหญ่คนชอบนั่งชั้นล่างมากกว่า ร้านนี้ผมแวะมากินบ่อยๆ ส่วนใหญ่เมนูที่สั่งเป็นประจำ คือ ขนมจีนน้ำเงี้ยวต้นตำหรับ แกงฮังเล ยำตะไคร้ พอมาถึงร้านก็เจอน้องเมตผมนั่งรออยู่ก่อนแล้ว

“พี่มีน โต๊ะนี้ครับ”

“สองคนนั้นไม่ได้มาด้วยเหรอ”

“ไม่ได้มาครับ พอดีต้องรีบเคลียร์งานน่ะฮะ”

 “ปล่อยให้มาคนเดียวแบบนี้ พวกมันจะมีสมาธิทำงานกันเหรอน้องเมต ยิ่งดูบ๊องๆ กันอยู่”

“โห พี่มีน ไม่แซวดิ”

“เอ้า ก็มันจริงนี่นา”

หลังจากนั้นพวกผมก็นั่งทานข้าวกันไป คุยอัปเดตเรื่องชีวิตกันไป ส่วนใหญ่ก็เล่าย้อนกลับไปชีวิตช่วงมหาวิทยาลัยนั่นแหละ พอได้เจอหน้าคนที่อยู่ในวัยที่ค่อยๆ เติบโตเป็นผู้ใหญ่ด้วยกัน เรื่องเล่ามันเลยเยอะเป็นพิเศษ

พอทานข้าวอิ่ม ผมเลยชวนน้องเมตเขยิบไปนั่งฟังเพลงร้านข้างๆ ร้านนี้แต่งร้านสไตล์จีนๆ แบ่งเป็นสองชั้น ชั้นล่างมีนักดนตรีร้องเพลง และบาร์เครื่องดื่ม ส่วนชั้นสองมีโต๊ะพูลอยู่ตรงกลาง ไฟในร้านสีแดงๆ ให้อารมณ์แบบโรงเตี้ยม บรรยากาศใช้ได้ ส่วนใหญ่คนที่มานั่งเป็นวัยทำงาน

ผมสั่งเบียร์มานั่งจิบๆ ฟังเพลงเบาๆ สั่งโปรสองเหยือกฟรีหนังปลาทอดหนึ่งจาน หย่อนตูดนั่งไม่ทันอุ่น สองเขยก็ยกพลมาสมทบ พอมาถึงก็ตามสเต็ปต์ พวกมันก็นั่งประกบน้องเมตผมซ้ายขวา แต่ก่อนจะนั่งพวกมันก็ไม่ลืมไหว้ผมอย่างนอบน้อมจนน่าหมั่นไส้ ตั้งใจไหว้จนผมชักเสียเซลฟ์ขาดความมั่นใจ ‘นี่กูดูแก่ขนาดนั้นเลยเหรอว้า’ เพราะตอนที่พวกมันยกมือไหว้ ผมรู้สึกเหมือนเป็นญาติผู้ใหญ่มันสองคนทุกที

“เราสองคนทานข้าวมาหรือยัง? เอาอะไรไหม?”

“ทานมาแล้วครับ/เรียบร้อยมาแล้วครับ” พอตอบคำถามผมเสร็จ ไอ้เจ้าโอม ก็หันไปคุยกับน้องเมตผมต่อทันที ทำเหมือนกับไม่ได้อยู่ห้องเดียวกัน เหมือนนานๆ เพิ่งเจอกันครั้งงั้นแหละ

“นี่มึงกินไปกี่แก้วแล้วเนี่ย?”

“มะนาวเพิ่งมาถึงตะกี้เลย”

“งั้นก็ชนกันสักแก้วไหมครับ” ไอ้เจ้ากราฟพูดขึ้นมา พอเด็กมันมารยาทดี ผมจะเสียมารยาทก็ไม่ได้เลยกินให้เด็กมันดู ยกทีเดียวหมดแก้วไปเลยครับ จากนั้นก็ดื่มๆ คุยๆ ถามสารทุกข์สุกดิบ แต่ผมสังเกตได้อย่างนึงว่าสองคนนั้นมันดูคะยั้นคะยอให้น้องเมตผมยกหมดแก้วบ่อยๆ  อดไม่ได้เลยโพล่งถามด้วยความสงสัย

“ทำไมพวกเอ็งดูคะยั้นคะยอให้น้องเมตพี่ยกหมดแก้วกันจังเลยวะ”

“มะนาวเวลาเมาแล้วฮอตครับ”

“!”
ผมแทบทำเบียร์พุ่ง บางทีคนมีคู่ก็ไม่เคยเห็นใจในความว้าเหว่ของคนโสดบ้างเลย

End.

ออฟไลน์ ryoushena

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +157/-2
THE CALL - เมื่อผมเป็นพ่อสื่อให้คางคก

The Call Special Chapter: Shining like a fiery bacon – เธอเร่าร้อนเหมือนเบค่อนย่างไฟ

“เคยใช้ปากไหม?” เขาถามฉัน
“อ้าขาออกกว้างๆ สิ” ฉันสั่งเขา

หลังจากผ่านคำคืนงานเฟรชชี่ไนท์เฉลิมฉลองต้อนรับปีบทองช่อที่ 11 แม่หมูก็ทำได้แค่นอนลืมตาตื่นอยู่บนเตียงนอนของตัวเอง เธอทำได้เพียงแค่กะพริบตาปริบๆ ตอนนี้ร่างกายของแม่หมูแทบแตกสลาย ทุกส่วนของร่างกายราวกับถูกยึดขึงจนแข็งตึงเปรี๊ยะ เธอรู้สึกปวดขบไปทั่วทั้งร่าง แค่พยายามส่ายหัวยังปวดร้าวตั้งแต่ต้นคอลามไปจนถึงก้นกบ ร่างทั้งร่างเหมือนถูกวิ่งทับด้วยรถสิบล้อ

แม่หมูนึกไม่ถึงว่าการที่เธอวาดลวดลายส่ายเอวอวดสเต็ปต์สายย่อขึ้นลงตลอดทั้งคืน มันจะทำให้ร่างของเธอปวดขบไปทั้งตัวได้มากขนาดนี้ ปวดขบเบอร์ใหญ่ถึงขนาดจะผงกหัวยังแทบไม่ได้ ถ้าจะให้ลุกจากเตียงนะเหรอ อย่าหวังเลย!

คืนงานเฟรชชี่ไนท์ เด็กปีหนึ่งรุ่นราวคราวเดียวกับเธอเกือบ 800 คน ต่างมาร่วมงานในชุดเสื้อขาวกราฟิกสีส้มแสดพร้อมระบุรุ่นมหาวิทยาลัยรุ่นที่ 11 ด้านหลังเสื้อ บรรยากาศในงานเต็มไปด้วยความคึกคักครึกครื้น นอกจากจะเป็นงานฉลองต้อนรับให้กับเด็กปีหนึ่งแล้ว บรรดาเด็กมหาวิทยาลัยตั้งแต่ปีสองขึ้นไป ต่างมาร่วมงานโดยแบ่งโซนยืนเป็นสาขาของใครของมัน ทุกคนต่างมาร่วมงานด้วยพลังที่เกินร้อย

แต่ละคณะสาขาต่างๆ ล้วนมีการทำพร็อปเพื่อเอาไว้แสดงพลังของสาขาตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นรูปเกียร์ขนาดใหญ่ ธง หรือตราสัญลักษณ์ของแต่ละสาขา บรรยากาศงานจึงสนุกสนานมาก ถ้าใครอยากดูบรรยาศ แนะนำให้เปิด MV เพลงสักวันฉันจะดีพอของ Body Slam เวอร์ชันคาราโอเกะดู เพราะงานนี้เหมือนเป็นงานที่เด็กมหาวิทยาลัยได้มาปลดปล่อยความเครียดจากการตรากตรำร่ำเรียนมาอย่างหนักหน่วง เรียนก็เรียนให้สุด พอมีกิจกรรมก็ใส่เต็มไม่มีกั๊ก

สำหรับแม่หมูและมะนาว พวกเขาก็ยืนรวมๆ อยู่กับเด็กปีหนึ่งรุ่นเดียวกัน พอถึงเพลงจังหวะมันส์ๆ ต่างคนต่างก็ไม่ยอมน้อยหน้า ฟาดฟันกันด้วยท่าเต้นเต็มเหนี่ยว แขนขาเด้งสะบัด จนเด็กปีหนึ่งเว้นที่ว่างเป็นวงกลมขนาดย่อมให้สองเพื่อนเมตได้มีพื้นที่ในการเต้นแดนซ์สะบัดอย่างเต็มที่

พอลองกระดิกตัว แม่หมูก็รู้ว่าเมื่อคืนใช้งานกายหยาบมาหนักหน่วงแค่ไหน ฉะนั้นเธอจึงขอไม่ฝืน พ้ากกกก!!

เธอเลือกขอนอนหลับพักร่างวนไปทั้งวัน กว่าจะรู้สึกว่าร่างกายพอจะปรับสภาพได้ก็มืดดึกแล้ว

หลังจากตื่นมาอาบน้ำทานข้าว แม่หมูก็ขอนอนพักร่างอีกรอบ แต่นอนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่นานก็นอนไม่หลับสักที ทำให้เธอนึกย้อนคิดกลับไปยังเหตุการณ์น่าประทับใจที่เกิดขึ้นกับหัวใจเมื่อคืนที่ผ่านมา

ระหว่างที่เต้นๆ แดนซ์ๆ ขนาบข้างกับเพื่อนเมตคู่หู แม่หมูก็เสียหลัก เพราะก้าวพลาดไปเหยียบร่องบนพื้นปูน ทำให้เธอเสียการทรงตัว หน้าเกือบขมำ โชคยังดีที่มีหนุ่มปีหนึ่งหน้าตาดี ช่วยรั้งร่างไว้ทัน สายตาของทั้งคู่สบกันแม้เพียงชั่วครู่ แต่นั่นก็ทำให้แม่หมูเกิดความรู้สึกหวิวๆ ในอก โรคหัวใจกำเริบเลิฟ บอกว่าเลิฟ เลิฟ เลิฟ

“ว้ายยยยยย!! ขอบคุณค่ะ”

“ตรงนี้มีร่องนะ เธอเต้นขยับเข้าไปหน่อยดีกว่า”

จากนั้นพ่อหนุ่มคนนี้ก็กลายเป็นชายผู้โชคดีที่แม่หมูขอจัดเป็น A ลิสต์ขึ้นท็อปชาร์ตอันดับ 1 ผู้ชายที่เธอหมายปอง
เขาคนนั้นมีชื่อเสียงเรียงนามว่าก้อง

ด้วยความเป็นหนุ่มโสดหน้าตาดีของก้อง สาวต่างหอและสาวในหอชาย ต่างก็งัดสกิลเพื่อมาพิชิตใจก้อง หนึ่งในนั้นก็มีแม่หมูด้วย แต่จนแล้วจนรอด ความโสดของก้องก็ถูกโอ๋สาวผมซอยสั้นเพื่อนร่วมคณะของมะนาวพิชิตหัวใจได้ในที่สุด คงเป็นเพราะความตรง จริงใจ ชอบก็บอกให้รู้ว่าชอบ แถมยังเดินหน้าจีบเต็มที่ งานนี้ทำให้แม่หมูปวดใจอยู่พักใหญ่ ถึงแม้จะยอมแพ้ในศึกหัวใจครั้งนี้ แต่เธอก็ยังไม่ทิ้งความหวังทั้งหมด เพราะก้องถูกอัญเชิญขึ้นไว้บนหิ้ง เหนือผู้ชายอื่นในท็อปลิสต์ทั้งปวง

“โอ๋ เป็นผู้หญิงที่ชัดเจนดีจริงๆ ”

“ใช่ นางชัดเจน เกิดมาเพิ่งเคยเห็น ผู้หญิงที่รุกจีบผู้ชายหนักขนาดนี้ จีบตรงๆ โต้งๆ ไม่มีแอ๊บเขิน และความมั่นของนางกลับไม่ทำให้ฉันหมั่นไส้ ย่อตัวค่ะ”

นั่นคือถ้อยคำแถลงยกธงขาวอย่างมีสปิริตจากปากของแม่หมูที่พูดถึงคู่แข่งหัวใจและผู้ที่กำชนะไปได้ในสงครามรัก

จากนั้น แม่หมูก็มาพบรักใหม่กับหนุ่มหน้าตาดี ดีกรีเดือนวิศวะคณะเพื่อนเมตของเธอ ตำนานความชุลมุนลุ้นรักก็อุบัติขึ้นอีกครั้ง โดยคราวนี้เธอได้ขอความช่วยเหลือจากเพื่อนเมตให้ทำหน้าที่เป็นแม่สื่อรักชักใยสวาท แต่เพื่อนซี้เดินเรื่องให้ได้ไม่เท่าไหร่ แม่หมูก็รู้สึกว่าผู้ชายคนนี้น่าจะไม่ใช่คนของเธอ

เธอจึงขอวางมือและสับสวิชต์สลับหน้าที่เป็นแม่สื่อให้เพื่อนเมตอีกที

ชีวิตคนเก๋ ถ้าผู้ชายคนนี้ไม่ใช่ ก็ขอกดคิวถัดไปได้เข้ามาทดสอบ

Thank you, next!

แต่แล้วเทพเจ้าแห่งรักก็ร่ายเวทย์เป่าคาถานะจังงังให้พรหมลิขิตรักอุบัติขึ้นกับแม่หมูอีกครั้ง เมื่องานปาร์ตี้ล้างอายเหล่าสมาชิกบ่อนไพ่ ณ ร้านเหล้าสิมิลันหน้ามหาวิทยาลัย กลายเป็นเส้นทางรักครั้งใหม่ที่บังคับอย่างเอาแต่ใจให้แม่หมูต้องออกเดินทางอีกครั้ง

เพราะคืนนั้นโก๋เกิดเมาแล้วประคองสติไม่ได้ คึกจัดเต้นท่าปั่นจักรยานกลางอากาศ ทำให้ปลายเท้าไปสะกิดป๊าบเข้าหน้าของก้องแบบไม่ตั้งใจ และยังไม่ทันได้ตั้งตัว เพื่อนในกลุ่มของก้อง ก็มีปฏิกิริยาสะท้อนกลับเป็นเลิศ ถีบปลายเท้าสวนกลับเข้าไปหน้าโก๋แบบทันควัน ก่อนเพื่อนของก้องทั้งโต๊ะจะหันควับเตรียมถลาเข้ามารุมสะบัดปลายตีนใส่หน้าของโก๋
ด้วยความพลิ้วและความไว แม่หมูรีบถลาเอาตัวเข้าไปกั้นโก๋ก่อนจะถูกฝากรอยเท้าประทับร่าง พร้อมตะโกนเสียงดังหวังช่วยเพื่อนให้รอดจากดงตีน

“อย่าทำเค้า เค้าเป็นตุ๊ดดดด!!!!”

สิ้นเสียงแผดดังของแม่หมู กลุ่มชายวัยฉกรรจ์ที่กำลังจะถลาเข้ามาฝากรอยตีนไว้ที่หน้าโก๋ก็หยุดกึกพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ก่อนที่พี่มีนจะสวมบทอัศวินม้าขาวเดินแหวกเข้ามากลางวงช่วยมาเคลียร์และขอโทษขอโพย

“พวกเอ็งอย่าถือสามันเลยนะ น้องพี่เมาน่ะ ปะๆ สนุกๆ กันต่อ เดี๋ยวพี่เลี้ยงเหล้าแสงโสมกลมนึง”
หลังจากนั้นเหตุการณ์ก็คลี่คลายไปในทิศทางที่ดี เพราะแม่หมูรู้จักเพื่อนสาขาของก้อง เธอจึงไปขอเบอร์โทรก้อง เพื่อโทรไปขอโทษและเคลียร์เรื่องราวที่เกิดขึ้น

“สวัสดีค่ะ ใช่เบอร์ก้องหรือเปล่าคะ”

“ใช่ครับ”

“ก้อง นี่เราออยด์นะ เพื่อนของเต้ ออยด์อยากโทรมาขอโทษแทนเพื่อนเรื่องเมื่อคืน คือ เพื่อนออยด์เมามาก ขอโทษจริงๆ นะคะ”
“อ่อ ก้องโอเค ไม่ได้เป็นไรมาก แค่รู้สึกตกใจน่ะ”

“ออยด์ขอโทษแทนโก๋อีกทีน้า”

“คนเมาก็แบบนี้แหละ ก้องไม่ถือสาหรอก”

“ขอบคุณค่ะ แล้วมียาทาไหม?”

“แค่นี้เอง เดี๋ยวก็หายแล้ว”

“ไม่ได้สิ เดี๋ยวยังไงออยด์ซื้อยาทาไปให้นะ”

“ไม่ต้องก็ได้ นิดหน่อยเอง”

“อย่าปฏิเสธเลยก้อง ออยด์ต้องซื้อไปให้ก้องแหละถูกต้องแล้ว”

“อย่าเลย เราไม่เป็นไรจริงๆ”

“เอาน่า ให้เราซื้อให้เถอะ เดี๋ยวเกิดเป็นแผลเป็นขึ้นมา หน้าไม่หล่อเหมือนเดิมนะ”

“เอางั้นก็ได้”

“ก้องอยู่หอขาวใช่ไหม ห้องอะไรนะคะ”

“ห้อง 502 แต่ฝากไว้ใต้หอก็ได้นะ”

“เคค่ะ ถ้าไปถึงเดี๋ยวโทรไปบอกอีกที”

หลังวางสายแม่หมูก็จัดแจงอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ฉีดพรมน้ำหอมบนร่างให้มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ก่อนจะบิดมอเตอร์ไซค์สีแดงออกไปหน้ามหาวิทยาลัยอย่างอารมณ์ดี

แม่หมูจอดรถมอเตอร์ไซค์สีแดงไว้ใต้ต้นตีนเป็ดหน้ามหาวิทยาลัย เดินฮัมเพลง Superstar – Jamelia  คลอในลำคอเบาๆ ขณะเยื้องย่างเข้าร้านขายยา ก่อนจะเดินออกมาสั่งน้ำโกโก้ร้อนร้านพี่ยิ้มคนสวย ท้วงท่าการเดินของเธอในวันนี้พลิ้วไหวราวกับเต้นระบำ

“พี่ยิ้มขา เอาโกโก้ร้อนถุงนึงคร่า สูตรเดิมนะคะ”

“วันนี้ดูสดใสจังเลยนะคนสวย มีอะไรพิเศษเหรอเปล่าคะน้องสาว”

“บ้า พี่ยิ้มดูออกเลยเหรอ”

“แทบจะเดินฟูลเทิร์นหมุนตัวมาสั่งน้ำร้านพี่ขนาดนี้ พี่เชื่อว่าต้องมีอะไรพิเศษสักอย่าง หรือรวยจากวงไพ่?”

“ฮ่าๆๆ ไม่ใช่คร้า”

“แล้วมีเรื่องพิเศษอะไรล่ะ พอจะเล่าให้ฟังได้ไหม ดูมีลับลมคมนัย”

“เล่าให้ฟังแล้ว พี่ยิ้มอย่าบอกใครนะ จำผู้ชายหุ่นดีๆ หน้าตาดีๆ ผิวแทนๆ คราวก่อนที่หนูชี้ให้พี่ยิ้มดูได้ไหมคะ”

“จำได้”

“นี่หนูกำลังจะเอายาไปให้เค้า”

“ตายละ...ไปสนิทกันตั้งแต่ตอนไหน”

“เปล่าค่ะ ยังไม่ได้สนิทกัน แต่เมื่อคืนโก๋เมาแล้วไปถีบยอดหน้าเค้า หนูเลยอาสาซื้อหยูกซื้อยาไปไถ่โทษ”

“โก๋อะนะ เมาแล้วผีนักเลงเข้าสิงเหรอเนี่ย”

“นางเมาพี่ยิ้ม เมาแบบไม่รู้เรื่อง นางอะเต้นท่าจักรยานปั่นกลางอากาศของนางแหละ ปั่นไปปั่นมา ถีบหน้าผู้ชายโครม ดีนะ ไม่ถูกยำ เด็กโลหะทั้งโต๊ะ”

“อ่อ...นึกว่าเมาแล้วกร่างเป็นนักเลง แต่เอ...เหมือนพี่จะมีอะไรสักอย่างบอกเรา อ้อ…. พี่นึกได้ละ!! วันก่อน เขากับเพื่อนเดินผ่านร้านพี่ ได้ยินแว่วๆ เหมือนจะเพิ่งเลิกกับแฟนนะ”

“จริงเหรอคะ”

“ตามีประกายวาวเหมือนเม็ดลำไยขึ้นมาเชียว”

“แหมม...พี่ยิ้มอ่า อะไรจะบังเอิญขนาดนั้นคะ หรือจะเป็นพรหมลิขิตของหนู”

“ก็ไม่แน่นะ...แล้วเนี่ยมะนาวไม่มาด้วยเหรอ ปกติเห็นตัวติดกันตลอด”

“ช่วงนี้มะนาวไม่ว่างค่ะ นางติดอ่านการ์ตูนบอยลงบอยเลิฟอะไรของนางก็ไม่รู้ ชวนไปไหนก็ไม่ไป แต่ตอนนี้หนูคงต้องรีบไปแล้วล่ะพี่ยิ้ม”

“ไปๆ รีบไปทำคะแนน ขอให้คิวปิดเอ็นดูน้องสาวพี่นะคะ”

“ขอบคุณคร้า ฮ่าๆๆ”

ตลอดการเดินทางด้วยมอเตอร์ไซค์ไปหอขาว แม่หมูฮัมเพลงคลอพร้อมโยกตัวส่ายไปมาอย่างอารมณ์ดี

“ก้อง เราฝากยาไว้กับคุณลุงรปภ.นะ”

“รีบกลับไหม เดี๋ยวลงไปเอา”

“ไม่รีบ งั้นรอใต้หอนะ”

ไม่ถึง 5 นาที ก้องก็เดินลงมาเอายากับแม่หมู หน้าตาเขาดูอิดโรยเหมือนคนไม่ได้นอนหลับ
แม่หมูสังเกตสีหน้าก้องดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ หน้าตาดูซีดเซียว เหมือนคนมีไข้ จึงเอ่ยปากถามด้วยความเป็นห่วง

“ก้องไม่สบายหรือเปล่า?”

“รู้สึกปวดหัวนิดหน่อย”

“แล้วทานข้าวทานยายังคะ” ก้องส่ายหัวแทนคำตอบ ก่อนจะตอบแม่หมูด้วยท่าทีของคนป่วยที่ใครเห็นก็ต้องอยากเช็ดตัวป้อนข้าวป้อนน้ำ

“ไม่ค่อยหิวน่ะ”

“เอางี้ละกัน เดี๋ยวเราไปซื้อข้าวมาให้ เท่าที่ดูตอนนี้ก้องน่าจะไม่ไหว” ก่อนที่ก้องจะเอ่ยปากปฏิเสธ แม่หมูก็ปิดจบประโยคปฏิเสธด้วยอีกประโยคถัดมา

“โนๆ ห้ามปฏิเสธ”

แม่หมูบิดมอเตอร์ไซค์ฉิวกลับไปหน้ามหาวิทยาลัยอีกรอบ เดินก้าวฉับๆ ตรงดิ่งไปร้านอาหารตามสั่ง เธอตะโกนสั่งคุณป้าแม่ครัวด้วยน้ำเสียงสดใสมั่นใจ จากนั้นก็นั่งฮัมเพลงอาทิตย์ละครั้งของพริกไทยรอไปพลางๆ

พอได้ข้าวต้มหมูร้อนๆ หอมกลิ่นกระเทียมเจียวอ่อนๆ แม่หมูก็เดินไปร้านผลไม้ เลือกส้มผลกำลังดีครึ่งกิโลใส่ถุงให้แม่ค้าชั่ง เสร็จสรรพก็จ่ายตังค์ ก่อนจะบิดมอเตอร์ไซค์กลับไปหอขาวอีกครั้ง

คราวนี้เธอไม่ได้ฝากข้าวและส้มไว้ใต้หอ เพราะตอนนั้นมีนักศึกษารูดคีย์การ์ดเปิดประตูพอดี เธอจึงเดินตามเข้าไปด้วย พร้อมยื่นนิ้วมืออวบกดเลข 5 จากนั้นก็เดินไปห้องพักที่มีหมายเลขกำกับไว้หน้าห้อง 502 เธอไม่ได้เคาะห้อง แต่แขวนของที่หอบหิ้วมาไว้ที่ประตูแทน

“ก้อง ออยด์เอาข้าวต้มกับยาแก้ไข้แขวนไว้ที่ประตูห้องไว้ให้แล้วนะ”

“อ้าว ขึ้นมาถึงห้องแล้ว ทำไมไม่เคาะเรียกก้องล่ะ”

“กลัวว่าจะรบกวน ก็ก้องบอกให้ออยด์ วางไว้ใต้หอน่ะซี”

“ไม่ใช่แบบนั้น ที่ก้องให้วางไว้ใต้หอ ก็เพราะว่าเกรงใจ”

“งั้นคราวหน้า เดี๋ยวไปทำให้กินที่ห้องเลยดีมะ”

“ฮะ ฮะ ได้ๆ ขอบใจมากออยด์ เดี๋ยวเราเอาตังค์ให้นะ”

“ไม่เป็นไรแค่นี้เอง หายเร็วๆ ก็แล้วกัน”

วันต่อมาแม่หมูก็ยังทำหน้าที่สารถีซื้อข้าวปลาไปให้ก้อง เพราะอาการไข้ของผู้ชายยังไม่ดีขึ้น คราวนี้เธอเอาข้าวปลาอาหารไปส่งให้ถึงหน้าห้องเลยทีเดียว

แค่เคาะห้องเบาๆ สองที ผู้ชายหน้าตาดีก็เปิดประตูออกมาหาเธอ พวกเขาโทรคุยกันก่อนหน้านี้แล้ว

“อะนี่ข้าวต้มหมูร้อนๆ ทานเยอะๆ นะก้อง จะได้หายไว”

“เข้ามาก่อนไหม”

“ไม่ดีกว่า เดี๋ยวเราต้องรีบกลับห้อง วันนี้มีนัดโชว์ฝีมือสะบัดตะหลิว”

“ไหนบอกจะมาทำให้เรากินบ้างไง”

“อยากกินจริงไหมล่ะ? เดี๋ยวหายไข้แล้วมาทำให้ทาน”

“จริงสิ”

จากนั้นเรื่องราวก็ดำเนินต่อมาเรื่อยๆ แม่หมูก็คอยส่งข้าวส่งน้ำจนก้องหายจากอาการไข้ จากที่แค่เอายาไปให้ใต้หอพัก จนแม่หมูได้ขึ้นไปถึงห้องเพื่อส่งข้าวส่งน้ำ ที่สำคัญเธอไม่ลืมโชว์เสน่ห์ปลายจวักควงตะหลิวสะบัดรังสรรค์เมนูอาหารให้ผู้ชายติดใจรสมือ ซึ่งเมนูเก่งของเธอที่ผู้ชายติดใจและขอให้ทำให้ทานบ่อยๆ ก็คือ ข้าวต้มกุ้งและผัดบล็อกเคอรีกุ้ง และตามสเต็ปต์แม่หมูก็มักจะโทรหาก้องคุยเรื่องโน้นเรื่องนี้ตรงตามเวลาเป๊ะๆ ทุกวัน ความสัมพันธ์ก็ค่อยๆ ดำเนินไปจากวันเป็นเดือน เติบโตขึ้นเรื่อยๆ ไม่บีบคั้นเร่งเร้า และตัวแม่หมูเองก็ไม่ได้คาดหวังหรือหาความหมายในความสัมพันธ์ครั้งนี้ว่าความสัมพันธ์ที่เป็นอยู่หมายความว่าอะไร
และแล้ววันพิชิตศึกสวาทของแม่หมูก็เดินทางมาถึง

“ก้อง สอบเสร็จวันสุดท้ายไปฉลองไหนกันอะ”

“น่าจะไม่ได้ไปไหนนะ เพราะอีกวันต้องกลับบ้าน แถมพวกนั้นสอบเสร็จก็กลับกันหมด”

“เอ๋ งั้นคืนนี้ก้องก็ว่างนะซี ไปนั่งร้านชมดาวกันไหม คืนนี้ออยด์จะไปร้านนี้กัน”

“ถ้ามารับก็ไปได้ ก้องไม่มีรถ”

“งั้นสักประมาณหกโมงครึ่งออยด์ไปรับก้องที่หอขาวนะ”

“จ้า”

ร้านชมดาวเป็นร้านเหล้ากึ่งร้านอาหาร เป็นบ้านเก่าที่ดัดแปลงให้มีดาษฟ้าโล่งๆ ไว้นั่งจิบเครื่องดื่มชมดาวยามค่ำคืน บรรยากาศเหมือนไปนั่งทานข้าวบ้านเพื่อน ส่วนใหญ่มักถูกนักศึกษาจองไว้จัดเลี้ยงในโอกาสต่างๆ นอกจากโซนจัดเลี้ยงก็มีโซนที่แบ่งเอาไว้นั่งชิลๆ ร้องเพลงหยอดเหรียญตู้คาราโอเกะ

บรรยากาศงานปาร์ตี้ก็ครึกครื้นสนุกสานกันสุดเหวี่ยง เพราะทุกคนอยากปลดปล่อยความเครียดความอัดอั้นจากการตรากตรำอ่านหนังสือกันหน้าดำหน้าแดง พอจบฤดูสอบที่เข้มข้น ทุกคนจึงขอโยนทิ้งความเครียดความกดดันที่มีลงในถังน้ำแข็งร้านเหล้า
“ช้นนนน!! ช้นนนนน!!”

เมื่องานปาร์ตี้สตาร์ท น้ำแข็งและน้ำเมาก็ค่อยๆ ถูกทยอยยกระดกเข้าปากนักศึกษา หมดแก้วบ้าง ครึ่งแก้วบ้าง บรรยากาศค่ำคืนนั้นเต็มไปด้วยความสนุกสนาน งานฉลองค่อยๆ ดำเนินไปในทิศทางของมัน ยิ่งดึกยิ่งคัก จากที่แค่ยกจิบๆ หลังๆ ก็ดื่มรวดทีเดียวหมดแก้ว ยิ่งน้ำเมาถูกลำเลียงเคลื่อนผ่านลำคอมากเท่าไหร่ ความสนุกสนานยิ่งคับแน่นงานเลี้ยงฉลอง

ถึงจะสนุกสนานแค่ไหน แต่งานเลี้ยงย่อมวันเลิกรา เมื่อใกล้ถึงเวลาร้านปิด จากที่เปิดเพลงจังหวะคึกคัก หนุ่มบาวสาวปาน ร้านก็สับสวิตซ์เปลี่ยนมาเป็นเพลงจังหวะเนิบช้า

“คืนนั้นคืนไหน ใจแพ้ตัว คืนและวันอันน่ากลัวตัวแพ้ใจ ท่ามกลางแสงสีศิวิไลซ์ อาจหลงทางไปไม่ยากเย็น”
พอเพลงสุดท้ายจบลง ทุกคนก็ทยอยเดินออกไปนอกร้าน บางคนยังติดลมก็ยืนสูบบุหรี่ ยืนจับกลุ่มคุยกับเพื่อน บ้างก็คุยเรื่องการทำข้อสอบที่ผ่านมา บ้างก็คุยเรื่องวันหยุดปิดเทอมที่กำลังจะมาถึง แต่สำหรับออยด์ตอนนี้ เธอต้องทำหน้าที่เป็นสารถีไปส่งผู้ชายที่หอขาว

“ก้องกลับบ้านพรุ่งนี้เลยใช่ไหม”

“ใช่ ว่าจะกลับพรุ่งนี้เลย”

“แล้วปกติปิดเทอมก้องทำอะไร”

“ก็เล่นเกมมั้ง ไม่ได้ไปไหนหรอก ออยด์ละ”

“ไม่ได้ไปไหนเหมือนกัน น่าจะอยู่บ้าน ช่วยพี่เลี้ยงหลานแหละ”

“หลานผู้หญิงหรือผู้ชาย”

“ผู้ชายสองคน ซนยังกะลิง”

“นับถือเลยคนที่อยู่กับเด็กได้ เป็นก้องคงไม่ไหว”

“อยู่กับเด็กก็สนุกดีนะ แต่เหนื่อยหน่อย เด็กผู้ชายพลังเยอะ”

“ออยด์เป็นคนใจดี หลานน่าจะติด”

“ก็ติดแหละ พี่สาวออยด์ชอบว่าสปอยด์หลาน”

“แล้วอยากสปอยด์ผู้ใหญ่บ้างไหม”

“อย่ามา พูดแบบนี้ออยด์คิดนะ”

“ก็พูดให้คิด”

“อย่าให้ความหวังออยด์เลยก้อง”

“แล้วหวังไหมละ”

“หวังสิ แต่รู้ว่าเป็นไปไม่ได้หรอก”

“ออยด์เคยใช้ปากไหม?”

“ก้องรู้ตัวไหมพูดอะไรออกมาน่ะ เมาเหรอ?”

“กึ่มๆ เขาบอกคนเมาจะพูดความจริง ออยด์ไม่อยากฟังเหรอครับ?”

“ยาวไหม? ถ้ายาวจะขับรถวนอีกรอบ นี่ใกล้จะถึงหอก้องแล้ว”

“ก้องรู้สึกดีกับออยด์น่ะ”

“...”

“เป็นเพื่อนที่อยู่ด้วยแล้วรู้สึกสบายใจ”

“...”

“แต่บางที ก็รู้สึกดีมากกว่าเพื่อน ออยด์กับก้อง ก็คุยกันหลายเรื่องเหมือนกันนะ แต่เราไม่เคยคุยเรื่องเซ็กซ์เลย ออยด์เคยอยากเอากับก้องไหม?” ก้องขยับตัวเข้าชิดออยด์จนออยด์รู้สึกถึงความอุ่นร้อนจากแก่นกายของก้อง

“ก้องเคยเข้าด้านหลังไหมล่ะ?”

“ไม่เคย แต่ออยด์ยังไม่ตอบก้องเลยน่ะว่า เคยอยากเอากับก้องไหม?”

“ก็คิด”

ก้องขยับตัวเข้าประชิดแม่หมูแน่นขึ้น ไม่ได้พูดอะไรต่อ ก่อนจะพูดออกมาเบาๆ ใกล้ๆ ใบหูของแม่หมู “รอก้องอีกแป๊บนึงนะ ขอแน่ใจอีกหน่อย” แม่หมูพยักหน้าตอบรับเบาๆ จากนั้นทั้งคู่ก็ต่างฝ่ายต่างเงียบ จนแม่หมูบิดมอเตอร์ไซค์มาถึงหอขาว

“ถึงละก้อง แต่ออยด์ขอใช้ห้องน้ำหน่อยนึงได้ไหม ปวดฉิ้งฉ่อง”

“ได้สิ”

ตัดภาพไปบนห้องของก้อง ขณะที่แม่หมูกำลังค้นหาทิชชู่ในกระเป๋า ซองพลาสติกสี่เหลี่ยมเล็กๆ ก็หล่นตุ๊บออกมานอนแอ้งแม้งอยู่บนพื้นห้อง และก้องก็ยืนอยู่ตรงนั้นพอดี จึงเอื้อมลงไปหยิบให้แม่หมู

“พกถุงยางด้วย”

“ก็พกเผื่อๆ ไว้”

“เอาไปใช้กับใคร”

“แล้วตอนนี้อยู่ห้องใครละ”

“ไม่ตลกนะ ทำไมถึงพกถุงยาง”

“ก็พกไว้ เผื่อคืนนี้ได้ใช้”

“ใช้กับใคร”

“อ่า ทำไมโกรธ”

“ตอบ”

“ก็เผื่อได้ใช้กับก้อง”

“...”

“ได้ไหมละ”

พอจบบทสนทนาคนเขียนขอแพนกล้องไปที่ไฟเพดานนะคะ เพราะคืนนั้นเบค่อนย่างไฟที่ว่าเร่าร้อนยังแพ้สเต็ปต์สวาทของแม่หมูผู้ร้อนแรง ผู้ชายวิศวะที่ว่ากันว่าเรื่องบนเตียงดุเดือดเลือดพล่น ยังโดนแม่หมูสาวปอกเปลือกสูบพลังจนล่อนจ้อนโอนอ่อนยอมยกธงขาวศิโรราบให้กับเธอ

แม่หมูจะทำท่าไหนต้องจินตนาการเองแล้วล่ะ แต่คอนเฟิร์มว่าทุกท้วงท่าช่างเร่าร้อนราวเบค่อนที่ย่างไฟ

“อ้าขาออกกว้างๆ สิ” ฉันสั่งเขา


 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด