26
“ผมมีเรื่องอยากจะบอก คุณพอจะมีเวลารึเปล่า”
“หรือนายจะเปลี่ยนใจย้ายมาอยู่ที่นี่? ”
“ผมบอกแล้วว่าเรื่องมาอยู่ที่นี่ผมไม่เอาด้วยเด็ดขาด”
“น่าเสียดาย แต่ฉันต้องไปทำงาน แล้วค่อยคุยกัน”
“ดะเดี๋ยวสิครับ ฟังผมหน่อยเรื่องสำคัญจริงๆ! ”
“งั้นก็ว่ามา”ผมต้องอ้อนสินะคือจุดประสงค์
“ผมจะขอลากลับบ้านสักหนึ่งอาทิตย์ ช่วงนี้ปิดเทอมมันคงจะแปลกถ้าหากผมไม่กลับบ้านเลย แล้วที่สำคัญผมก็ไม่ได้กลับบ้านนานแล้วด้วย”
“แล้วใครจะดูแลที่นี่? ”
“คุณก็หาเมดชั่วคราวสักคน ผมสัญญาจะรีบกลับ นะครับคุณฟรานซิส”ผมอ้อนสุดตัว
“ตามใจนายก็แล้วกัน แต่ 1 อาทิตย์นานไป นายต้องชดเชยวันทำงาน 2 เท่าให้ฉัน”มองผมด้วยสายตากรุ้มกริ่มนี่มันอะไร ตอบครับ!
“ก็ได้ ผมสัญญา”
นั่นคือสิ่งที่ผมต้องแลกมาเพื่อที่จะได้กลับสู่บ้านเกิดเมืองนอน สิ่งที่ผมแบกกลับก็มีแค่กระเป๋าเป้ใบเดียวกับการเดินทางที่ยาวนานถึง 5 ชั่วโมง อย่าได้หวั่นแม้ตูดจะชามาก และตอนนี้ผมก็ถึงทางเข้าบ้านของผมแล้ว ไกลเข้าไปตลอดแนวขนาบข้างไปด้วยต้นมะพร้าวสุดทางในระยะ 300 เมตรคือบ้านของผมเอง
บ้านเก่าๆ สองชั้นทำจากไม้แต่ยังคงอยู่ในสภาพดี ปลูกมาตั้งแต่รุ่นปู่ของผม อาณาบริเวณรอบๆ บ้านก็กว้างขวางไม่อึดอัดมีที่ให้วิ่งเล่นอยู่พอตัว ถัดจากหลังบ้านไปก็เป็นสวนกล้วย สวนมะม่วงแล้วก็สวนเงาะมีต้นทุเรียนแทรกบ้างซึ่งพ่อกับแม่ดูแลอยู่ ทุกปีผมจะกลับมาทันช่วงฤดูผลไม้พอดี จึงไม่แปลกใจที่ไม่มีใครว่างมารับผมเข้าบ้าน คงจะวุ่นอยู่กับการเก็บผลไม้ส่งขายในตลาดแน่นอน
“เฮ้ย! พี่ธันกลับมาแล้ว ป้าแก้วลุงเทียนพี่ธันมาแล้ว!!!”เด็กร่างอ้วนแก้ม 3 กิโลที่นั่งคร่อมจักรยานเตรียมปั่นออกมาจู่ๆ ก็ทิ้งจักรยานวิ่งเข้าไปทางหลังบ้านตะโกนเสียงลั่นสวน แล้ววิ่งกลับออกมาหน้าตื่นเข้ากอดแข่งกอดขาจนผมแทบล้ม แถมมาด้วยไอ้โป้งหมาบ้านพันธ์ทางที่กระดิกหางจนแทบหลุดเข้ามากระโดดใส่ให้วุ่นวายไปหมด
“ไอ้ตั้วปล่อยได้แล้ว พี่จะล้มแล้วเนี้ย ปากนี่เหนียวเชียวกินอะไรมาวะ”ผมหยิกแก้มไอ้ตั้ว เด็กข้างบ้านอายุ 7 ขวบที่ชอบมาเล่นที่นี่บ่อยๆ แล้วมันก็ค่อนข้างสนิทกับผม เพราะเห็นกันมาตั้งแต่เด็กๆ จริงๆ บ้านผมคงจะเงียบมากถ้าไม่มีมัน แม่ผมแทบจะขอมันมาเลี้ยงเป็นลูกแทนผมอยู่แล้ว อ้อ! จริงๆ ผมมีพี่สาวอีก 1 คนนะที่ไม่เคยบอกใครมาก่อนชื่อพี่ทับทิม อายุก็แก่กว่าผม 4 ปี เป็นคนดูแลพ่อกับแม่ เพราะพี่จบมาก็มาหางานทำแถวบ้าน
“โหยพี่ธัน มาไมไม่บอกตั้วก่อนอ่ะ”
“ก็ถ้าบอกก็ไม่เซอร์ไพรส์ดิ”ผมยิ้มหน้าทะเล้นให้มันก่อนจะโยนกระเป๋าวางไว้หน้าบ้านแล้วเดินไปทางด้านหลังบ้าน เห็นแม่ผมกำลังเดินออกมาพอดี แถมยังยิ้มหน้าบานเท่าจานดาวเทียมอีกด้วย
“คิดถึงคนนี้จังเลยมาให้กอดซะดีๆ”ผมกอดหญิงกลางวัยร่างเล็กที่กอดตอบผมอย่างคิดถึง ผมแทบจะร้องไห้แล้วเนี้ยทำอะไรจนลืมคิดถึงคนๆ นี้ไปตั้งหลายอย่าง
“แม่ตัวเหม็น อย่ากอดเยอะยังไม่ได้อาบน้ำเลย”
“เหม็นยังไงหอมจะตาย”ผมหอมฟอดตรงแก้มสองข้าง คนตรงหน้าฟาดลงท่อนแขนผมเบาๆ อย่างเก้อเขิน
“อย่ามัวแต่เล่นเลย ปล่อยแม่ได้แล้วเดี๋ยวต้องไปช่วยดูพ่อก่อน มีคนมารับซื้อผลไม้ในส่วน ให้ไอ้แดงกับเจ้าอัดช่วยขนอยู่”
“ตั้วไปด้วย พี่ธันอยู่ไหนตั้วอยู่นั่น”ไอ้เด็กตัวกลมมันยังไม่ไปไหนตามตูดผมเป็นหมากฝรั่งติดตูดเลย
“เจ้าตั้วไหนบอกจะกลับบ้านไปอาบน้ำ”
“ไว้ก่อนแล้วกัน ตั้วอยากอยู่กับพี่ธัน”
“ครับๆ เจ้าเด็กอ้วน”
ผมเดินคลอแม่มาทางสวนหลังบ้าน เห็นไอ้อัดกับไอ้แดงลูกน้องที่พ่อกับแม่จ้างมาช่วยขนของขึ้นกระบะอยู่ ผมเข้าไปกอดพ่อทีนึง แต่ไม่กล้าหอมอย่างแม่กลัวพ่อเขิน
“หูยพ่อ! ผมบอกให้กินเยอะๆ ไง นี่ผอมลงป่ะเนี้ย”ผมเดินหมุนรอบตัวพ่อไอ้โป้งเดินตามให้วุ่น
“ผอมอะไรของเอ็งแบบนี้กำลังดีแล้ว ทำงานคล่องตัวอ้วนจะไปทำอะไรไหว”
“อ้าว! ลุงเทียนว่าตั้วเหรอ”เจ้าเด็กแก้ม 3 กิโลปั้นหน้ากลมเงยหน้ามองพ่อผมจนผมอดขำไม่ได้ เลียงเล็กๆ ของมันทำผมหมั่นไส้กับความน่ารักของมันเลยอดไม่ไหวเตะเบาๆ ไปที่ก้นมันทีนึง
“ก็กินให้มันน้อยๆ หน่อยจะได้ไม่กลมขนาดนี้”
“ก็ตั้วเป็นเด็กกำลังโต”
“เอ็งน่ะกินจนร่างกายขยายตามไม่ทันแล้ว เอ้า! งานเสร็จแล้วไปคุยกันในบ้านดีกว่า”พ่อโอบไหล่ผมชวนกันเข้าบ้าน พอดีกับพี่สาวของผมที่เพิ่งกลับมาจากทำงานทันทีที่ลงจากรถการคุยแหลกก็เกิดขึ้นอีกระรอก กว่าจะได้เข้าบ้านก็กินเวลาไปร่วมชั่วโมง ทั้งๆ ที่บ้านอยู่ใกล้เอื้อม ส่วนไอ้ตั้ว ผมอาสาไปส่งมันถึงบ้านก่อนจะกลับมาเก็บของอาบน้ำ
และเย็นนั้นผมก็ได้นั่งกินข้าวร่วมกันกับครอบครัวพร้อมหน้าพร้อมตา คุยกันสนุกสนานออกรสจนผมเติมข้าวไปได้หลายจาน เราพูดกันถึงสวนผลไม้ของพ่อกับแม่ที่ออกลูกดกทันเก็บขายทุกวัน แต่แม่ก็บ่นเรื่องความใจดีของพ่อที่ชอบแถมเขาไปเป็นแข่งจนกำไรหดหายเท่าทุนตลอด ส่วนพี่สาวผมก็บ่นเรื่องเจ้านายที่ทำงานให้ฟัง พี่สาวผมทำงานธนาคารเลยมีเรื่องบ่นให้พ่อกับแม่ฟังแทบทุกวัน แม่บอกผมว่าพี่ผมมันชอบบนเหมือนคนแก่เลยไม่มีใครกล้ามาจีบ
ทั้งๆ ที่ผมพยายามไม่พูดเรื่องตัวเองแล้วแต่พี่ผมมันก็ถามไถ่อยากรู้ขึ้นมา ส่วนพ่อกับแม่ก็นั่งฟังอย่างตั้งใจจนผมต้องเล่า ผมเลยเล่าเรื่องเรียนที่ไปได้ดีไม่มีปัญหา และเรื่องหมางใจกับไอ้โชคแต่ไม่ได้บอกต้นสายปลายเหตุให้ฟัง และผมก็เล่าถึงงานระหว่างปิดเทอมที่ทำมาสักระยะเรื่องหาค่าห้องหาค่ากินให้ฟัง
จริงๆ แม่อยากจะส่งเงินให้ผมใช้เหมือนคนอื่นๆ เขา ไม่ต้องไปลำบากกัดฟันทำงาน แต่ผมคิดเสมอว่าเงินที่พ่อกับแม่หามาได้ก็เป็นเงินของคนที่หามา แค่พ่อกับแม่เป็นคนจ่ายค่าเทอมให้มันก็มากพอแล้ว และเรื่องทำงานเลี้ยงตัวเองผมว่ามันไม่ได้น่าอายหรือลำบากอะไร ในเมื่อปากต้องกินต้องใช้เราก็ต้องทำ ฝึกที่จะเจอกับงานดีกว่าหลบงานเป็นไหนๆ
“ธันแกมีแฟนยังวะ?”
“แฮ่กๆ ”ผมแทบจะพ่นน้ำออกจากปาก“จู่ๆ ก็ถามมีไรป่ะ? ”
“แม่ก็อยากรู้นะว่ามีแฟนกับเขาบ้างหรือยัง”แม่พูดขึ้นผมนี่นิ่งเลย แถมพ่อยังนั่งกินข้าวไม่พูดอะไรเลยด้วย คงจะขอแอบฟังเนียนๆ อยู่แน่
“โธ่แม่ แฟนน่ะยังไม่มีหรอก ทำงานจนไม่มีใครมาสนแล้ว”
“จริงเหรอ? อย่าให้พี่เห็นนะว่าตั้งสถานะอะไรในเฟส”
“เลิกถามเรื่องนี้ได้แล้ว วันๆ ก็ทำงานจนไม่ได้ไปเจอเพื่อนฝูงด้วยซ้ำ”
“เจ้านายเขี้ยวลากดินกว่าของพี่อีกเหรอ”พี่ทับทิมจิ้มซ่อมลงกับจานทำท่าอยากรู้
“ฮึ! ของผมนะยิ่งกว่าเขี้ยวลากดินอีก เจ้าระเบียน จอมบงการ ชอบบังคับ วางท่า แล้วแถมยังชอบจับผิดอีก”
“เฮ้ย! จริงดิ แล้วทนได้ไง”
“ผมเป็นผู้ชายนะพี่ทับทิม เรื่องพวกนี้ไม่มีใครมองมองว่ามันหยุมหยิมหรอก เลยพออยู่ได้โกรธบ้างแต่เดี๋ยวก็ลืม แล้วก็โกรธใหม่แล้วก็ลืม วัฏจักรง่ายๆ ของความคิดผม”ผมยักไหล่สองข้างอย่างไม่แยแส พี่ทับทิมแบะปากหันไปจิ้มมะม่วงเข้าปาก
“เออ แล้วนี่แกทำไมไม่ชวนเพื่อนที่มหาลัยมาเที่ยวบ้านบ้างล่ะ เห็นว่าสนิทกัน”
“โธ่พ่อ ถ้าชวนมาได้ผมชวนมาแล้ว แต่พอดีไอ้บัสกับไอ้ปอนมันเกิดอุบัติเหตุรถเฉี่ยวนิดหน่อยเลยมาไม่ได้”
“อ้าว! เกิดเมื่อไหร่แม่ไม่เห็นรู้ สองสามอาทิตย์ก่อนแต่ตอนนี้ก็ดีขึ้นแล้ว แม่ไม่ต้องห่วง พวกมันหนังเหนียวจะตาย”
“แกก็ระวังตัวไว้บ้างก็แล้วกัน”
“ครับ”
การสนทนาในเย็นวันนั้นลุกลามไปจนถึงสามทุ่ม ปกติสองทุ่มพ่อกับแม่ก็นอนแล้วเพราะต้องตื่นเช้า ผมเลยพลอยเข้านอนเร็วไปด้วยและกะจะลุกขึ้นเข้าสวนไปช่วยทำงานด้วย
วันที่สองของการอยู่บ้าน ผมทำงานตลอดจนแทบไม่ได้จับโทรศัพท์เลย อาการเหนื่อยของคนใช้แรงทำงานเยอะๆ ก็คือพอหัวถึงหมอนก็หลับเป็นศพ ตื่นมาก็เข้าสวนตัดผลไม้ แต่งกิ่ง ช่วยพ่อจัดการกับไอ้ต้นที่มันยืนต้นตายบ้าง แล้วปลูกแทนที่ด้วยต้นใหม่ แล้ววันนี้ผมก็กะจะเข้าไปเอาปุ๋ยน้ำหมักธรรมชาติไปรดต้นมังคุดสองสามต้นที่เพิ่งปลูกใหม่ของพ่อกับแม่เมื่อหลายเดือนก่อน ตัวที่ตามผมมาก็มีแต่ไอ้โป้งหมาพันธ์ทางที่วิ่งเล่นไปทั่วสวน
“ไอ้โป้งมึงนี่น่าอิจฉาว่ะ อิสระ มีความสุข แถมยังมีคนเลี้ยง”ผมลูกหัวเปรอะๆ ของมันสองสามทีก่อนจะหันไปเปิดถังน้ำปุ๋ยหมักกลิ่นมหากาพย์ความรุนแรงใช้ขันมีด้ามจ้วงตักแล้วสาดรอบๆ ต้น
“หืม....กลิ่นอย่างหึ่ง นี่พ่อแอบเอาฉี่เอาอึใส่ไปด้วยรึเปล่าเนี้ย”ขนาดไอ้โป้งยังหนีผมไปยืนอยู่ซะไกล ด้วยกลิ่นที่ไม่ไหวผมจึงรีบจ้วงขันสุดท้ายกะจะสาดเทไปให้ไกลถึงต้นพริกขี้หนูที่งอกแซมอยู่ด้านหลังแล้วจะได้รีบกลับ แต่ปรากฏว่าแทนที่น้ำปุ๋ยจะได้กระเด็นไปถึงต้นพริกกลับมีบางอย่างเอาตัวมาขวางไว้ซะก่อน ทุกละลองทุกความเหม็นหึ่งจึงไปตกอยู่กับสิ่งนั้น
เชี่ยแล้ว! ผมอุทานในใจลั่นมาก เพราะแว๊บแรกของหาตาผมมองเห็นแล้วว่ามีคนมายืนอยู่ แต่มือมันไปแล้วจะเอาอะไรมาหยุดได้วะ และที่สำคัญไอ้คนโชคร้ายได้ขี้นี่มันใครวะ ถ้าเดินมาไม่ดูอะไรแบบนี้ก็สมควรโดนแล้ว
ผมมองตั้งแต่รองเท้าค่อยๆ ไล่ไปตามท่อนขาที่เห็นได้ว่าโดนเข้าอย่างจัง แค่มองเห็นเท่านี้ผมถึงกับผงะก้มหน้าต่ำเรี่ยดินคุยกับยอดหญ้าอยู่พักใหญ่อย่างไม่มั่นใจในความคิด แล้วตัดสินใจเงยหน้ารวดเรียวมองเจ้าของรองเท้าหนังดำมันวาวที่ไม่ควรมาเดินใส่ในสวน แค่เห็นหน้านี่ผมก็หงายเงิบแล้วครับ
“มาได้ไงเนี้ย! ”
“ต้องขอโทษด้วยนะที่เจ้าธันมันทำเสื้อผ้าคุณเลอะไปหมด”
“ไม่เป็นไรครับ ผมเดินไปไม่ให้ซุ่มให้เสียงก่อนเอง”
“โถ่แม่ ก็บอกแล้วไงว่าผมไม่ได้ผิด”
“แอ๊ะลูกคนนี้ ทำไมยังไม่พูดขอโทษคุณเขาอีก เขาเป็นเจ้านายเราไม่ใช่เหรอ นี่เขาอุตส่าห์มาเยี่ยมมาเยียนเราถึงบ้านยังจะไม่มีมารยาทอีก”ผมผงะมองแม่ที่สวดผมไฟแลบ ปกติแม่ไม่ทำอย่างนี้กับผมนานมากแล้วนะ แล้วนี่แม่กินอะไรเข้าไป
“แต่ว่า.....”
“พาคุณเขาไปอาบน้ำอาบท่าเปลี่ยนเสื้อผ้าได้แล้ว”ผมมองแม่ที่ดันหลังไล่ผม ผมเกาหัวแกรกๆ เดินขึ้นชั้นบนของบ้านงงๆ โดยมีเจ้านายผู้มีน้ำใจเดินตามต้อยๆ อยู่เบื้องหลัง
ผมลากฟรานซิสเข้าห้องก่อนจะมองซ้ายมองขวาว่าไม่มีใครยู่แล้วปิดประตูลง
“คุณคิดอะไรอยู่ถึงมาที่นี่เนี้ย แล้วคุณได้ที่อยู่ผมจากใคร แล้วมาถูกได้ยังไง?”ผมปราดเข้าไปถามเจ้าตัวอย่างสงสัยสุดๆ
“ก่อนที่ฉันจะตอบคำถามอะไร ฉันอยากเปลี่ยนเสื้อผ้าอาบน้ำ”ผมมองหน้านิ่งที่คิ้วขมวดสีหน้าไม่สู้ดีเท่าไหร่ ทำเอาผมเผลอหลุดหัวเราะออกมาเมื่อเพิ่งจะนึกขึ้นได้
ราชสีห์ลุยสวนชัดๆ
“ผมขอโทษที่ลืมเรื่องนี้ไปเลย ห้องน้ำอยู่ด้านล่างเอานี่ผ้าขนหนู เดี๋ยวผมจะหาชุดเปลี่ยนให้ก็แล้วกัน”
“ถอดให้ฉันด้วย”สีหน้าฟรานซิสบ่งบอกว่าเขาไม่ได้ต้องการกลั่นแกล้งผม แต่เป็นการออกคำสั่งเสียมากกว่า กลิ่นของมันคงทำเขาขยาดจนแทบไม่อยากจะแตะเสื้อผ้าของตัวเองเลย
“ไม่เอา ทำเองสิครับคุณไม่ใช่เด็กแล้วนะ”
“ฉันบอกให้นายถอดมัน”สีหน้าเคร่งขรึมแต่ยังฉายแววความหล่อเหลาระดับพรีเมี่ยม บ่งบอกว่าเขาใกล้สิ้นสุดความอดทน ผมทั้งอดขำอดยิ้มไม่ได้ ทีต่อหน้าแม่เขายังไม่แสดงออกขนาดนี้เลย
“ก็ได้ๆ”ผมเอื้อมมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิตสีน้ำเงินเข้มทีละเม็ด ทีละเม็ดจนถึงเม็ดสุดท้ายเผยผิวขาวอัดแน่นด้วยกล้ามเนื้อ หน้าท้องที่เปรอะน้ำสีเข้มบางๆ เคลือบผิวจนน่าขำ ก่อนจะบอกคนร่างสูงหลังเสร็จหน้าที่
“คราวนี้ก็ไปอาบน้ำได้แล้ว ตัวคุณมันเหม็นสุดๆ เลย ห้องผมจะเหม็นไปด้วยรึเปล่าเนี้ย”
“ใครบอกว่าเสร็จ”สายตาฟรานซิสมองไปยังด้านล่าง เขายืนแข็งทื่อไม่ขยับไปไหนราวกับหุ่น
“อย่าบอกนะว่าจะให้ผมถอดกางเกงให้คุณด้วย ไม่เอา! ”ผมถอยห่างปฏิเสธท่าเดียวคือ ไม่!
“ถ้าฉันจะเล่าเรื่องที่เราสนิทสนมกันให้ครอบครัวนายฟังคงไม่เป็นไรสินะ”สีหน้าขรึมที่เริ่มแสยะยิ้มออกทำผม ลุกลี้ลุกลน เข้าไปคุกเข่าปลดเข็มขัดร่างสูงอย่างไว
“ถ้าคุณพูดมากผมจะโกรธคุณจริงๆ !”ผมยื่นคำขาดมือนี่สั่นจนเหล็กหัวเข็มขัดสั่นกระทบกันดังจนน่าหนวกหู
มันน่าอาย อายจนอยากมุดหน้าหนีจริงๆ แถมมือที่สั่นยังจับสะเปะสะปะไปโดนนู่นนี้จนผมตาลายทำอะไรไม่ถูก กับอีแค่กางเกงตัวเดียวผมจะมากังวลอะไรนักหนา ไอ้สิ่งที่อยู่ในกางเกงผมเองก็เคยเห็น แต่ทำไม! มือผมต้องสั่นด้วยวะเนี้ย!
“แล้วถ้าหากฉัน ไม่พูดมัน.....”
“เสร็จแล้ว คราวนี้ก็แค่เอาขาออกมาคุณทำเองนะ ผมไปก่อนล่ะ”ผมรีบเผ่นหนีออกจากห้องอย่างรวดเร็วแล้ววิ่งลงด้านล่างมานั่งหอบอยู่ตรงประตูบ้าน ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งกับพื้นกระเบื้องเย็นๆ
มือเมื่อกี้ยังสั่นไม่หาย ไอ้เรื่องถอดผมไม่เท่าไหร่หรอก แต่ไอ้ถอดกางเกงนี่มันเกินไป ก็รู้ว่าผมรู้สึกยังไงเขาก็ยังมีทีเล่นทีจริงแกล้งผมอยู่นั่น แล้วแบบนี้จะเอายังไงเนี้ย
ไล่กลับให้เร็วเลยดีมั้ย!
มีความแพ้ ผมคิดไว้แล้วว่าเรื่องมันต้องเป็นแบบนี้ กลายเป็นว่าคืนนี้ฟรานซิสนอนบ้านผมเฉยเลย นอนได้ไงใครให้นอน? ก็แม่กับพี่สาวผมไงมีความเห่อลูกครึ่งชมแล้วชมอีก กินง่ายอยู่ง่าย แถมนิสัยดี! พี่ทับทิมลากผมไปฟาดอยู่หลายรอบบอกผมหลอกพี่ว่าเจ้านายเลือดเย็น ผมนั่งคอตกสิครับสองวันผ่านไปเป็นหมาหัวเน่าเพื่อนไอ้โป้งเลย
“ผมอิ่มแล้ว จะขึ้นไปนอนแล้วนะใครจะคุยใครจะกินก็ตามสบาย”
“อะไรของแกเนี้ยธัน”พี่สาวผมอ้าปากพะงาบๆ เรียกผม แต่ไม่สนล่ะผมงอนจริงๆ ก่อนหน้านี้ผมเคยเป็นที่หนึ่ง แต่พอมาวันที่สองที่สามผมโดนเทเฉยเลย ชิ!
ผมขึ้นห้องมาตึงตังกระโดดลงที่นอนคว่ำหน้ากางแขนกางขาเต็มเตียงกลิ้งไปมาสองสามรอบก่อนจะหยุดกลิ้ง ไม่ทันไรคนร่างสูงก็เปิดประตูเข้ามา ผมเงยหน้าขึ้นมองแล้วเงียบไป ผมรู้สึกถึงเตียงที่มันยวบลงไปจึงรู้ว่าเขามานั่งใกล้ๆ แล้ว
“เป็นอะไร นายดูอารมณ์ไม่ดี หรือเพราะฉันมาที่นี่”เสียงนุ่มพูดขึ้นพลางเอื้อมมือมาขยี้หัวผมเบาๆ
“ก็มีส่วน ผมถามคุณจริงๆ เถอะว่าคุณจะมาที่นี่ทำไมกัน ลำบากก็ลำบากไม่มีแอร์ไม่มีอ่างแช่น้ำ ไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวก ไม่มีอะไรสักอย่าง คุณก็เห็น”
“กลัวฉันลำบากรึไง”
“เปล่าสักหน่อย”
“แล้วตกลงนายโกรธฉันเรื่องอะไร”
“ก็เพราะคุณมาโดยไม่บอกผมสักคำ”ผมพึมพำคว่ำหน้าพูดกับหมอน
“ฮึๆ นายไม่ได้ดูโทรศัพท์ตัวเองเลยสินะ”ฟรานซิสเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์ของผมที่ถูกทิ้งขว้างอย่างไม่ใยดีอยู่ตรงหัวเตียง แถมแบตก็ดันหมดอีก ผมพูดอะไรไม่ออกเลยเงียบไป เถียงไปก็ไม่ชนะแล้วน่ะสิ
“ฉันโทรหานาย ส่งข้อความแล้วแต่ดูเหมือนนายจะไม่ได้ดูมันเลย ฉันแค่ร้อนใจว่านายเกิดเรื่องรึเปล่า”ผมนิ่งไปครู่หนึ่งพอฟังในสิ่งที่ฟรานซิสพูดผมเลยเข้าใจเขามากขึ้น ทั้งๆ ที่ผมกลับไม่ได้คิดถึงส่วนนั้นเลยด้วยซ้ำ แล้วก็นึกไม่ถึงว่าเขาจะเป็นห่วงใครเป็น
“แล้วคุณ รู้เรื่องที่อยู่ของผมได้ยังไงครับ”ผมเสียงอ่อนลงยอมพลิกตัวหันหน้ามามองเขาดีๆ
“ฉันถามเอาจากเพื่อนของนายที่ทำงานอยู่ที่บาร์บิโลน”
“คงจะเป็นไอ้บัสไม่ก็ไอ้ปอนสินะ”ฟรานซิสพยักหน้าเป็นเชิงตอบ“จริงๆ ผมก็บอกแล้วว่าจะกลับบ้านคุณไม่เห็นต้องห่วงขนาดนั้น”
“ใครว่าฉันเป็นห่วง.....”
“คุณบอกเองว่าคุณร้อนใจกลัวผมเกิดเรื่อง”ผมผุดลุกขึ้นโต้ตอบทันที ร่างสูงเอื้อมมือมาโอบหน้าผมเบาๆ พลางใช้นิ้วเกลี่ยพวงแก้มอย่างอ้อยอิ่งแล้วยกยิ้มชวนสงสัย
“นายยังฟังที่ฉันพูดไม่จบ ใครว่าฉันเป็นห่วงนายอย่างเดียว ฉันคิดถึงนายด้วยต่างหาก...ธัน”
คือผมเหมือนจะละลาย รู้สึกราวกับตัวเองเป็นเนยที่อยู่กลางกระทะร้อนๆ ผมแทบจะไม่เคยได้ยินฟรานซิสพูดอะไรแบบนี้กับผมมาก่อน เพราะแต่ละอย่างที่เขาจะพูดออกมาเขาไม่เคยคืนคำ นั่นรึเปล่าเป็นสาเหตุที่เขามักจะพูดอะไรที่มันดูจริงจังแถมยังเถรตรงจนไม่มองสีหน้าใคร แม้กระทั่งผมตอนนี้
จะดึงผ้าห่ม หยิบหมอนขึ้นมาปิดหน้ามันก็กะไรอยู่ แต่เอาจริงๆ ผมเขินว่ะ!
“คุณพูดเรื่องแบบนี้มันฟังดูแปลกๆ ผมจะเชื่อได้รึเปล่า”
“นั่นสิ ฉันก็ยังไม่อยากเชื่อตัวเองเหมือนกัน แต่พออยู่ห่างจากนายฉันรู้สึกเหมือนขาดอะไรไป”ดวงตาคู่คมมองผมไม่มีหลบเลี่ยง ผมพ่นลมหายใจออกมาน้อยๆ อย่างนึกขำ ก่อนยื่นหน้าทะเล้นเชิงเย้าแหย่อย่างนึกสนุก
“หืม นี่ผมสำคัญกับบอสสสสส...ขนาดนี้เลยเหรอครับเป็นเกียรติอย่างยิ่ง”
“ฮึ! ฉันนึกไม่ออกเลยจริงๆ ว่านายถอดแบบมาจากใคร แม่ก็ไม่ใช่พ่อก็ไม่มีทาง”
“แต่ผมไม่ใช่เด็กเก็บมาเลี้ยงแน่นอน แล้วก็ไม่ใช่เด็กขาดความอบอุ่นด้วยคุณก็เห็น”
“ฉันก็อยากรู้นะว่านายไม่ได้ขาดความอบอุ่นจริงรึเปล่า”ก็รู้อยู่ว่าคนตรงหน้าปากไวมือเร็วขนาดไหน ไม่ทันขาดคำเขาก็รวบตัวผมเข้ามากอดจนแน่น หน้าผมชิดกับอกกว้างได้ยินเสียงหัวใจของคนตรงหน้าเต้นอยู่ภายในอกชัดเจน
“รู้แล้วก็ปล่อยสิครับ”
“คิดว่านานแค่ไหน กับสองวันสองคืนที่ฉันไม่ได้กอดนาย”เสียงทุ้มกระซิบบอกผมดันอกฟรานซิสออกแล้วมองหน้าเจ้าของเรือนกายกำยำที่ใส่เสื้อแน่นเปรี๊ยะของผมโดยไม่รู้สึกอึดอัด
“คุณคงไม่เหงาหรอก ไปทำงานก็มีเลขาหน้าสวยอย่างคุณนาวี”
“เลขาก็คือเลขา ไม่ใช่คนพิเศษแบบนายสักหน่อย”
“ครับ ครับ ครับ เอาล่ะผมจะไปปิดไฟนอนแล้วคุณนอนบนเตียงก็แล้วกัน ผมจะนอนด้านล่างให้เอง”ผมพูดพลางเดินไปปิดไฟ ความสว่างยังคงรางๆ อยู่บ้างจากแสงไฟด้านนอก ร่างสูงยังคงนั่งนิ่งอยู่บนเตียงไม่ขยับไปไหน
“มานอนด้วยกัน”มือใหญ่คว้าข้อมือผมไว้แล้วกระตุกดึงให้เข้าไปนั่งอยู่ในตัก
“คุณคิดว่าเตียงผมมันใหญ่อย่างที่บ้านคุณซะที่ไหนล่ะ สองคนนอนไม่พอหรอก”ผมพูดลางกลั้วหัวเราะไปด้วยกับความคิดเขา
“ก็ดีสิ จะได้นอนใกล้กันตลอดคืน”แค่พูดผมไม่ว่าอะไรหรอก แต่มือปลาหมึกที่โอบเอวผมแล้วเลื้อยลงต่ำ กับริมฝีปากอุ่นๆ ที่กดลงจูบบนไหล่ผมนี่คืออะไร
“คุณฟรายซิส ผมบอกไว้ก่อนนะว่าที่นี่ไม่เด็ดขาดครับ”ผมยืนยันหนักแน่นจับยึดมือปลาหมึกไว้แน่นทั้งสองข้างของเขาราวกับกลัวจะสูญหาย
เอาจริงๆ ผมกลัวมันไปวางอยู่ในที่ที่ไม่ควรวางบนตัวผมมากกว่า
“งั้นแค่นอนกอดเฉยๆ นายโอเคใช่มั้ย”
“……….”ผมคิดอยู่นานจนศีรษะหนักๆ ของฟรานซิสวางลงบนไหล่ผมพร้อมกับลมหายใจอุ่นรดหลังทำผมใจเต้นเป็นบ้าเลย นี่ลูกอ้อนใช่มั้ยตอบ?
“อย่าคิดนาน หรือนายอยากจะทำอย่างอื่นมากกว่า”
“นอนก็นอนสิครับ งั้นก็ปล่อยได้แล้วผมจะไปเอาหมอนมาเพิ่ม คุณชอบหนุนหมอนสูงๆ ไม่ใช่รึไง”ฟรานซิสยอมว่าง่าย ผมไม่รู้ว่าเขาทำสีหน้าแบบไหน แต่อารมณ์ที่ยอมทำตามที่ผมบอกง่ายๆ คงจะเป็นเรื่องดีมิใช่น้อย
ผมจัดการเพิ่มหมอนให้ฟรานซิสอีกหนึ่งใบจากในตู้ ก่อนจะวางหมองตัวเองลงข้างๆ ฟรานซิสล้มตัวลงนอน ผมก็นอนลง เขาแค่เอื้อมมือมากอดรั้งตัวผมไว้ทางด้านหลังและไม่ได้พูดอะไร ผมรู้สึกถึงความสุขที่ไม่ต้องผ่านเซ็กส์เป็นครั้งแรก ความเงียบทำให้ผมรู้ถึงความรู้สึกของตัวเองมากขึ้น
“ผมขอถามอะไรคุณอย่างได้มั้ยครับ”ท่ามกลางความเงียบผมพูดขึ้นเพราะรู้ว่าฟรานซิสยังไม่หลับ เขายังคงขยับตัวให้แนบชิดกับผมตลอดเวลา สัมผัสอุ่นจากร่างกายของเขายังคงผ่านแผ่นหลังของผมไม่ห่าง
“ฮืม”
“ถ้าหากวันหนึ่ง ผมหรือคุณในอนาคตเรามีเส้นทางที่ต้องเลือกต่างกัน และจะต้องแยกจากกันไปคุณจะทำยังไง? ”ผมต้องใช้ความกล้าเท่าไหร่คุณคงไม่รู้หรอกถึงจะถามคำถามแบบนี้กับเขาได้ เพราะคำตอบที่ออกมาอาจทำผมเจ็บก็เป็นไปได้
“ฉันไม่มีทางปล่อยให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นแน่นอน และไม่ว่ายังไงก็ตามหากนายเป็นผ่ายคิดที่จะจากฉันไปก่อนนายก็น่าจะรู้ว่าฉันจะเอาตัวนายกลับคืนมาให้ได้ ต่อให้ต้องขังนายไว้ก็ตาม”
“คุณทำให้ผมกลัว”
“ไม่มีอะไรน่ากลัวไปกว่าการที่นายคิดถึงเรื่องที่เป็นไปไม่ได้พวกนั้น”
“เราไม่มีทางรู้ว่าต่อไปอะไรจะเกิดขึ้น”
“หากนายกลัวสิ่งเหล่านั้น ก็ปล่อยให้ฉันเป็นคนจัดการ เพราะมันจะไม่มีทางเกิดขึ้น”
“คุณฟรานซิส.....”ผมพลิกตัวหันไปหา ใบหน้าของผมอยู่ห่างจากฟรานซิสแค่ไม่กี่เซน ผมสบตาคู่คมที่แพราวพราวอยู่ภายในความมืดด้วยความรู้สึกอุ่นใจ“ดูเหมือนคุณจะมั่นใจซะเหลือเกินนะครับ”
“ฉันไม่เคยทำอะไรที่มันครึ่งๆ กลางๆ ”
“ผมจะแน่ใจได้แค่ไหน ไม่รู้สิแต่ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังทำเรื่องที่มันเป็นไปไม่ได้อยู่”สิ่งที่ผมถามมันคือสิ่งที่จะช่วยยืนยันความรู้สึกของผมต่อคนตรงหน้า ว่าผมตัดสินใจถูกหรือไม่ที่จะหยิบยื่นความรู้สึกลึกสุดภายในหัวใจให้ไปอยู่ในมือของเขา อาจดูเป็นเรื่องหยุมหยิมแต่มันกลับสำคัญกับผมมาก
“ธัน”เสียงนุ่มละมุนขานเรียกชื่อผมแผ่วเบา พลางมือหนาโอบประคองใบหน้าของผมอย่างอ่อนโยน นิ้วมืออุ่นๆ สัมผัสกับจมูก ปาก และแก้มของผมราวทะนุถนอม ก่อนริมฝีปากหยักจะขยับเข้ามาใกล้ประทับรอยจูบเบาๆ ที่หน้าฝากของผมแล้วพูดบางอย่าง
“ฉันรักนาย”
เพียงประโยคสั้นๆ จากปากของฟรานซิส ไม่คิดว่ามันจะทำให้ผมรู้สึกหัวใจเต้นรัวได้ขนาดนี้ ผมมองหน้าฟรานซิสที่เผยรอยยิ้มอ่อนโยนอย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อนด้วยความแปลกใจสุดๆ ไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่าจะได้ยินเขาพูดประโยคนั้น ความอิ่มเอมใจและความสุขที่ผมได้รับจนล้นทำเอาผมบ่อน้ำตาตื้นขึ้นมากะทันหัน
“น้ำตาของนาย มีไว้ให้ฉันเห็นคนเดียวเท่านั้นเข้าใจมั้ย”
“..........”ผมพูดอะไรไม่ออกจริงๆ ได้แต่พยายามหยุดน้ำตาตัวเอง
“ต่อจากนี้ไป คนที่ฉันจะให้เป็นคนพิเศษที่สุดสำหรับฉันก็คือนายเท่านั้น เข้าใจมั้ย”
“..........”ผมพยักหน้ารับ ไร้เสียงตอบ ฟรานซิสใช้หลังนิ้วเกลี่ยไล่หยาดน้ำตาของผมจนแห้ง ไม่รู้ว่าน้ำตามันแห้งเพราะมีคนซับให้หรือแห้งเพราะอุณภูมิความร้อนบนใบหน้าทำน้ำตาระเหยกันแน่
“พรุ่งนี้กลับกับฉันนะ ฉันอยากจะกอดนายขึ้นมาซะแล้ว”เสียงทุ้มกระซิบกระซาบตรงใบหูของผม ทำเอาผมขนลุกชูชันไปหมด แถมยังรู้สึกกระดากอายในคำพูดของเขาอีก นั่นคือเหตุผลจริงๆ ของฟรานซิสรึเปล่าเขาถึงยอมลงทุนมาที่นี่ด้วยตัวเอง
“คะใคร ใครว่าผมจะกลับกับคุณ”
“ก็ฉันบอกอยู่นี่ไง หรือนายอยากให้ฉันทำนายร้องไห้อีกรอบที่นี่อีก”
“คุณฟรานซิส!”
“งั้นก็กลับกับฉันพรุ่งนี้”
“พูดแบบนั้นผมจะไม่กลับได้ไง”
“แต่คืนนี้....ขอฉันกอดนายเบาๆ ก่อนก็แล้วกัน”สายตาที่ดูแพรวพราวมองผมพร้อมรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความรู้สึกพอใจ ก่อนพาท่อนแขนแกร่งเข้ารั้งแผ่นหลังผมไม่ให้ถอยร่นหนีแล้วกดริมฝีปากหยักเข้าครอบครองริมฝีปากของผมอย่างนุ่มนวลต่างจากครั้งไหนๆ และให้ความรู้สึกหลงใหลในรสชาติหวานหอมจนคนรับแทบสำลักความหวาน และความปรารถนาที่หาได้จากคนตรงหน้าเท่านั้น
จูบที่เนิ่นนานแทบประสานสองร่างไม่ให้แยกจากกันก็ต้องหยุดลงเมื่อผมผลักคนตรงหน้าออกเบาๆ เป็นการเตือน
“อย่ามากกว่านี้เลยครับ คุณบอกจะนอนกอดผมอย่างเดียวไม่ใช่เหรอ”แม้ผมจะรู้สึกเขินอายแต่หากไม่ยอมพูดมีหวังคนตรงหน้าได้ทำมากกว่าสิ่งที่บอกไว้แน่ เพราะเพียงเท่านี้ผมยังรู้สึกได้เลยว่าร่างกายของฟรานซิสอุณภูมิวิ่งขึ้นสูงแตะเพดานขนาดไหน
“ได้ ฉันจะทำตามสัญญาแล้วกัน”ผมยิ้มกริ่มเมื่อเห็นว่าฟรานซิสหน้าจ๋อยไปนิดหน่อยแต่ก็ยังกอดผมไว้แน่นไม่วาง ไม่แน่ว่าคืนนี้คนที่ไม่อาจข่มตาหลับลงได้ไม่ใช่ฟรานซิสเพียงคนเดียว แต่คงเป็นผมด้วยอีกคนหนึ่งแน่ๆ
ให้ตายเถอะ! ผมรู้สึกเหมือนตัวเองหยิบเอาความสุขทั้งชีวิตมาใช้ตอนนี้ซะหมดเกลี้ยงเลยทำไงดี แต่ถ้ามีเขาอยู่ผมจะคิดเอาเองได้มั้ยว่าความสุขของผมจะไม่มีวันหมดจากนี้และตลอดไป
ความรักกำลังเล่นงานผมเอาเต็มๆ แล้วมั้ยล่ะ!
The End
ทิ้งท้ายในที่สุดเรื่องนี้ก็มุ่งมานะ มานี อีกา นามี รูปู มาจนถึงจุดสิ้นสุดของเรื่องแล้ว(เร็วเหมือนกันแฮะ
)
อาจจะมีความผิดพลาด ลงล่าช้า หรือเนื้อเรื่องไม่สนุก ไม่โดนใจกันไปบ้าง ก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ
และที่สำคัญ ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่แวะเข้ามาอ่านจนกระทั่งจบเรื่อง ขอบคุณจากใจจริง
ทั้งที่ผู้แต่งรับทราบและไม่ทราบ ถ้าหากเปิดเรื่องใหม่อีกครั้ง ก็ฝากด้วยนะคะ
ทามากิบ๊องขอบคุณมากค่ะ