8.2 พวงมาลัย
ในห้องเก็บของที่อยู่ข้างๆห้องครัว ผมรื้อค้นรังแล้วรังเล่าเพื่อจะหาของที่คิดว่าน่าจะใช้ได้
คำพูดของพี่ธาราทำให้ผมนึกอะไรสำคัญๆขึ้นมาได้
‘กลิ่นของนาย หอมกว่าดอกไม้นั่นซะอีก’
ตอนที่ผมโดนพี่ธาราจีบ ดอกไม้ที่พี่ธาราเอามาให้คือดอกมะลิที่ร้อยเป็นพวงมาลัยมาให้
พอมองต้นมะลิริมสระน้ำที่ออกดอกทั้งปีก็นึกอะไรขึ้นมาได้ ถึงได้เอาเวลาที่พี่ธาราดูแลลูกแล้วแวบมาหาอุปกรณ์เผื่อว่ามัน
จะมีอยู่ที่ไหนสักแห่ง
“เธอกำลังหาอะไรอยู่”
คุณวาลีถามพลางชะโงกหน้าเข้ามาในห้องเก็บของก่อนจะถึงครัว
“หาของน่ะครับ”
ผมตอบ มองดูร่างสูงผอมกำลังถือถาดอาหารสุนัข โดยมีเจ้าขนปุยตะกายอยู่ที่หน้าขา
“หาอะไรอยู่ เผื่อฉันจะช่วยได้”
“เข็มน่ะครับ ที่เขาเอาไปร้อยพวงมาลัย”
“ถ้าเธอหมายถึงเข็มยาวๆล่ะก็ น่าจะอยู่ในตู้ชั้นบน ในครัวน่ะ มาสิ ฉันจะลองดูให้”คุณวาลียิ้มให้อย่างเป็นมิตร
“ขอบคุณครับ”
ผมเดินตามคุณวาลีเข้ามาในครัว คุณวาลีเปิดตู้หญิงเข็มหลายแหลมอันยาวส่งมาให้พร้อมกับเชือกที่ดูเหมือนจะเป็นอุปกรณ์ไว้สำหรับร้อยมาลัยโดยเฉพาะ
ถึงมันจะดูเก่า แต่ผมก็รู้สึกว่ามันถูกเก็บเอาไว้และดูแลอย่างดี
หรือว่าผมจะคิดไปเอง เหมือนว่าเคยเห็นของพวกนี้มาก่อน
“เธอร้อยมาลัยเป็นด้วยเหรอ”
“ก็พอได้น่ะครับ เวลาไหว้ครู ไหว้พ่อแก่จะต้องใช้พวงมาลัยไหว้ตลอด แม่เลยสอนผมบ้าง แต่ก็นานมาแล้วล่ะครับ”ผมยิ้ม
“งั้นเหรอ”
คุณวาลีตอบรับเบือนออกไปมองนอกหน้าต่าง ความเงียบเข้ามาปรกคลุมเราสองคน
ดูเหมือนคุณวาลีอยากจะพูดอะไร แต่ก็ไม่พูด
“เอ่อ คือ”
“ครับ?”
“ฉัน คิดว่า…จะกลับไปกินยาต่อ”คุณวาลีพูดเสียงเบา
“จริงเหรอครับ ดีใจที่คุณกลับมากินยาต่อ”
“อืม ฉันเองก็ไม่รู้ว่าอาการจะดีขึ้นสักแค่ไหน”
“ก็ดีกว่าต้องมาเสียใจทีหลังนะครับ”
ผมบอก นึกถึงตอนที่ผมไม่ยอมเชื่อฟังพี่ธารา คอยทำให้พี่ธาราเดือดร้อนคอยตามแก้ไขตลอด สุดท้ายพี่ธาราก็ต้องความ
จำเสื่อมเพราะผม
ผมไม่อยากให้คนใกล้ตัวต้องมาตัดสินใจพลาดเหมือนกับผมในอดีต
“นั่นสินะ ขอบใจเธอที่เตือนสติฉัน”
“ขอบคุณอะไรผมล่ะครับผมไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย ต้องขอบคุณคุณอาวสินต่างหากที่คอยหายาให้คุณกิน”
ผมยิ้ม มองดูใบหน้าซีดของคุณวาลีที่มีแววเหมือนกำลังสับสน
คุณวาลีพยักหน้าก่อนจะเดินออกไป
ผมใช้เวลาร่วมชั่วโมงในห้องครัวเพื่อประดิดประดอยร้อยพวงมาลัยดอกมะลิอย่างเบามือเพื่อไม่ให้ดอกมะลิมันช้ำ
ผมค้นตู้ในครัว โชคดีที่เจอชามประดับลวดลายดอกไม้มีฝาผิดคล้ายกับชามที่พี่ธาราเคยเอาใส่พวงมาลัยมาให้
ในที่สุดก็เสร็จสักที กว่าจะเสร็จก็เล่นเอาเข็มทิ่มมือจนเลือดซิบ แต่ก็มีความสุขกับผลงานที่ถึงแม้จะไม่สวยเท่าของพี่ธารา
แต่ก็ออกมาเป็นรูปร่างพอดูได้
“นายหายไปไหนมา”เดินเข้าไปในห้องนั่งเล่นไม่กี่ก้าวก็โดนถาม
พี่ธาราลุกขึ้นมาจากโซฟาเดินเข้ามาหา
ผมยิ้มเล็กๆอดใจรอเซอไพรส์แทบจะไม่ไหว
แอบมองดูเจ้าสองแสบกำลังนั่งเล่นไม่สนใจใคร
“นายยังไม่ได้ตอบฉันว่าหายไปไหนมา”
“ก็กลับมาแล้วไง”
“แล้วหายไปไหนมา”
“กลัวผมหายไปรึไง”ผมยิ้ม
“ถ้านายไม่ตอบ ฉันจะจูบจนกว่านายจะตอบ เอาไหมล่ะ”พี่ธาราไม่พูดเปล่า เอื้อมมือมาหมายจะคว้าผมเข้าไปกอด
“เดี๋ยวสิ อะไรของพี่เนี่ย เดี๋ยวมันตก”
ผมหลบมือยักษ์หื่นประคองถ้วยสีขาวประดับลายดอกไม้สีอ่อนเอาไว้
“นั่นอะไร”
“ไม่บอก”
“จะบอกฉันดีดีหรือว่า…”
“โอเค บอกก็ได้”ผมยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาปิดมากก่อนที่พี่ธาราจะพูดอะไรลามกไปมากกว่านี้จนลูกได้ยิน
“นั่นอะไร”
“ผมบอกแล้วไงว่าผมจะจีบพี่”
“หืม นายยังคิดจะจีบฉันอีกเหรอ ครั้งที่แล้วก็ขนมเค้ก ครั้งนี้อะไรอีกล่ะ”พี่ธารายิ้มมุมปาก ดึงผมลงไปนั่งบนโซฟา
“ก็ดูเอาสิ ผมรู้ว่าพี่จะต้องชอบ”
“อะไรที่ทำให้นายมั่นใจได้ขนาดนี้กันนะ”พี่ธาราพึมพำรับถ้วยแก้วไปถือไว้ในมือแล้วเปิดฝาออก
ดวงตาคมดุชะงักเมื่อจ้องมองสิ่งที่นอนแน่นิ่งอยู่ข้างใน
ทันทีที่เปิดออกกลิ่นดอกมะลิหอมกรุ่นก็ลอยฟุ้งขึ้นมา
พี่ธารายิ้มเล็กๆ เหลือบตาขึ้นมองผมแล้วหยิบเจ้าพวงดอกมะลิขึ้นมา
มาลัยสีขาวสะอาดถูกยกขึ้นจรดจมูกโด่งได้รูปก่อนเจ้าตัวจะสูดดมกลิ่นหอมเข้าไป
ดวงตาของพี่ธาราดูเปลี่ยนไป พี่ธาราช้อนตาขึ้นมามองม ดวงตาที่ทำให้ผมรู้สึกวูบโหวงหัวใจแปลกๆ
ถ้วยใบใหญ่สีขาวกับพวงมาลัยถูกวางลงบนโต๊ะกลาง ผมยิ้มให้กับพี่ธารา ที่ดูเหมือนจะชอบมันไม่น้อย
“ชอบรึเปล่า”ผมถาม เริ่มรู้สึกว่าหน้าร้อนๆแล้วสิ เมื่อพี่ธาราจ้องเอามากเข้า
พี่ธาราขยับเข้ามาใกล้รั้งเอวผมเข้าไปหาจนผมแทบเกยขึ้นไปบนตัก มือข้างหนึ่งช้อนขึ้นมาลูบแก้มของผมอย่างแผ่วเบา
ดวงตาสีดำสนิทจ้องมองเข้ามาในดวงตา
“ฉันเริ่มรู้สึกว่าฉันกำลัง….หลงรักนายขึ้นมาแล้วสิ” พี่ธารากระซิบข้างหู
ถูไถจมูกโด่งเข้ามาที่แก้มของผมอย่างแผ่วเบา น้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความจริงจัง และความอ่อนโยนที่ส่งผ่านมาทำให้ใจ
ของผมเต้นระรัว
ผมยกมือขึ้นทาบอกของตัวเองราวกับว่ากำลังย้ำเตือนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นเรื่องจริง
“ผม...ไม่ได้เชื่อคนง่ายหรอกนะ” ผมบอกไปแบบนั้นแต่ก็ก้มหน้างุด มองแต่ปลายเท้าตัวเองไม่กล้าสบตาคมดุที่จ้องมอง
มา
“ไม่ต้องห่วง...เดี๋ยวฉันจะทำให้นายเชื่อเอง”
พี่ธารายื่นหน้าเข้ามาใกล้ลมหายใจอุ่นร้อนเป่าข้างหูทำเอาสะดุ้งเล็กๆ
ใบหน้าถูกจับช้อนให้เงยขึ้นมามองจ้องตอบดวงตาสีดำสนิท
“ฉัน...คิดว่ากลิ่นของนายมันกำลังเชิญชวนให้ฉันแทบจะอดใจไม่ไหว”
“ยะ อย่าแม้แต่จะคิดนะครับ” ต้องออกตัวแรงเมื่อถูกผลักลงกับโซฟา
พี่ธารายันตัวขึ้นมาคร่อมทับเอาไว้ปิดทางหนีรอด
“หอมยิ่งกว่าดอกไม้พวกนี้” จมูกโด่งลงมาบนซอกคอ
แต่นี่มันห้องรับแขก แล้วลูกก็เล่นกันเสียงเจี๊ยวจ๊าว ใจคอ พี่ธารา จะ เอ่อ…
ผมกรอกตาไปมา
เหมือนโชคจะเข้าข้าง ทำให้ผมรอดตัว
“พ่อธาราาาาาาาาา”
เจ้าสองแสบวิ่งมาแต่ไกล กระโดดขึ้นมาแย่งกันปีนขึ้นหลังพี่ธารา
“หืม”
พี่ธาราเกร็งตัวเมื่อตอนนี้ทั้งคร่อมทับผมทั้งโดนเจ้าสองแสบตัวอ้วนกำลังขี่หลัง
“พ่อธาราจะทำอะไรแม่มณี”
“ทำน้องให้พวกเราไง”
“จริงเหรอฮับแม่มณี”สิ้นกับสุดก้มมาถาม
“มะ ไม่ใช่ อย่าไปเชื่อพ่อเขา ไม่จริงสักหน่อย” ผมส่ายหน้าพรืด เงยหน้ามองยักษ์หื่นเจ้าเล่ห์ที่กำลังยิ้มกริ่ม
“หอมจังเลยแม่มณี”
“หอมเหมือนแม่มณีเลย”
เจ้าสองแสบทำจมูกฟิดๆ กระโดดลงจากตัวพี่ธาราไปยืนจ้องพวกมาลัย
“นี่อะไรเหรอฮับ”
“ดอกไม้อะไรห๊อมหอม” เจ้าสองแสบเอียงคอถาม
พี่ธารายันตัวขึ้นนั่ง ดึงให้ผมนั่งตามเมื่อตอนนี้เจ้าสองแสบเข้ามาขัดจังหวะ
“ดอกมะลิครับ เอามาร้อยรวมกันเขาเรียกว่าพวงมาลัย”
“แม่มณีทำเองเหรอฮับ” สินสมุทรคนพี่ปีนขึ้นมานั่งตักแล้วเงยหน้ามองผมตาแป๋ว
“ครับ แม่ทำให้พ่อธารา”
“แล้วพ่อธาราชอบรึเปล่า” สุดธาราเงยหน้าถามแล้วปีนขึ้นไปนั่งตักพี่ธารา
“ชอบสิ หอมมาก แต่หอมสู้แม่มณีไม่ได้หรอก” พี่ธาราพูดพร้อมกับยิ้มยั่ว สายสายตาเจ้าเล่ห์แพรวพราวมาให้ ไม่รู้ว่ามัวแต่
เขินหรืออะไรกับสายตาคู่นั้นที่ทำให้ผมชะงัก จนยักษ์เจ้าเล่ห์ดึงตัวผมเข้าไปแล้วกดจูบลงมาบนแก้มเสียงดังฟอด
“พ่อธาราขี้โกงงงงง สินหอมด้วย”
“สุดก็จะหอมด้วยยย”เจ้าสองแสบแข่งกันหอมแก้มผมทั้งสองข้างจนคิดว่ามันคงจะใกล้ช้ำเต็มทีถ้าพี่ธาราไม่มาดึงเจ้าหมู
แสบทั้งสองออกไปซะก่อน
“ให้แค่คนละทีพอ อันนี้ของพ่อ” พี่ธาราหัวเราะ เรียกให้ผมถลึงตาใส่
“ผมไม่ใช่ของใครสักหน่อย”
“พ่อธาราขี้โกง”
“ขี้งกด้วยฮ่าๆๆ”
แล้วทั้งพ่อทั้งลูกก็พากันหัวเราะสนุกสนาน
==========================================================
หน้าประตูห้องนั่งเล่น วาลีพิงแผ่นหลังเข้ากับผนัง เสียงหัวเราะร่วนของเด็กๆทำให้เขาเริ่มรู้สึกอิจฉาขึ้นมาไม่น้อย
อาจจะเรียกว่าเหงา…ก็ว่าได้
ดวงตาสีโศกหลุบมองพื้นทางเดิน แล้วเดินออกไปยังห้องหนังสือ
สถานที่ที่เงียบสงบอันคุ้นเคย
เจ้าสุนัขสีขาวขนปุยกระโดดเข้าใส่เมื่อเจ้าของกลับมาพร้อมกับถาดข้าวใบเล็ก วาลีก้มมองเจ้าสุนัขที่ตะกายขาของเขาเพื่อ
ขออาหาร หากสุนัขนี่พูดได้ก็คงจะดี
สามสิบสีที่ผ่านมาไม่เคยรู้สึกเหงาเท่าวันนี้มาก่อนเลย
“แกน่าจะพูดได้นะ สโนว”
พึมพำเสียงเบาขณะนั่งจ้องเจ้าขนปุยกินอาหารของมัน
ไม่รู้เลยว่ามีใครเดินเข้ามาจากทางด้านหลังด้วยฝีเท้าอันเงียบกริบ เจ้านั่น
“มันพูดไม่ได้หรอก จ้องมองมันไปมันก็ไม่รู้เรื่องอันใด” เสียงทุ้มกังวาลดังขึ้นเรียกให้วาลีละสายตาไปมองเจ้าบ้าน
เรือนกายสูงสง่ายืนทอดมองเจ้าหมากำลังกินอาหารมูมมาม
“ผมก็ไม่ได้คิดว่ามันจะพูดได้” วาลีพูดตอบเสียงเรียบ หยิบหนังสือเล่มใกล้มือขึ้นมาอ่าน
ทั้งที่ไม่รู้ว่าอ่านไปแล้วกี่รอบ
วสินยิ่มเล็กๆเมื่อมองเห็นเจ้าของพื้นที่แสร้งเป็นไม่สนใจเขาทั้งที่หัวใจกำลังเต้นแรงจนเขาได้ยินชัดเจน
ยักษาร่างใหญ่ย่อกายลงไปลูบหัวเจ้าขนปุย คิดว่าวาลีคงไม่ได้อยากเห็นหน้าของตนนัก
แต่อะไรบางอย่างมันก็ผลักดันให้ตนมายังที่นี่เพื่อจะได้เพียงแค่มองเห็นอีกฝ่ายอยู่ในสายตา
“ข้าดีใจที่เจ้ากลับมากินยา”ปรายตามองแก้วใสใส่ของเหลวสีน้ำเงินสวยค่อนแก้ว
“ผมไม่ได้อยากหินมันสักเท่าไร”วาลีตอบตัดบททันที
ตอบไปแบบนั้นทั้งที่ลึกๆแล้วกำลังเป็นห่วงชีวิตที่ดันมาผูกติดกับชีวิตที่ไม่รู้จะมีเวลาเหลืออีกเท่าไรของตน
ย้ำความคิดว่าไม่ใช่ความห่วงใย แต่เป็นแค่น้ำใจ เพียงเท่านั่น
แม้ว่าใจมันจะรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“ผมอยากได้ปลอกคอ...เอามาใส่ให้มัน” วาลีเอ่ยปากคอทั้งที่ยังจ้องมองหนังสือถึง
แม้ว่าจะแค่จ้องมันโดยไม่อ่านก็ตาม
“อ่า นั่นสินะ ข้าเองก็ไม่ทันคิด ไว้ข้าจะหามาให้”
“ขอบคุณ”
“แล้วเจ้าชอบสีใด ข้าจะได้หามาถูกใจเจ้า”
“สีน้ำเงิน...ผมชอบสีน้ำเงิน”
“อืม สีนี้เหมาะกับเจ้าดี”
“ผมไม่ได้จะเอามาใส่เอง”วาลีลดหนังสือลงแล้วถลึงตาใส่เจ้าบ้านที่กำลังลูบหัวเจ้าสโนว แต่ดวงตาคู่นั้นกำลังจับจ้องมอง
เขาอยู่
“ข้า....หมายถึง...สีนี้เหมาะกับเจ้า มิใช่ปลอกคอ” ยักษ์สูงวัยยิ้ม หัวเราะเสียงเบาเมื่อพลาดท่าให้กับคำพูดกำกวมของ
ตนเอง
“ช่างเถอะ ผมไม่ได้ใส่ใจ”วาลีตัดบท
“ถ้าเช่นนั้นข้าก็มิกวนเจ้าแล้วล่ะ”
วสินหยัดกายขึ้นลุก ยักษาจ้องมองวาลีเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินจากไป
วาลีเหลือบตามองแผ่นยักษ์เจ้าบ้านที่เดินออกไป
มือผอมยกขึ้นทาบอกของตนเอง
ก้อนเนื้อในอกด้านซ้ายมัยกำลังเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ
ความรู้สึกนี้มันคืออะไรกันแน่
แต่เท่าที่รู้ ในเย็นของวันนั้นเมื่อกลับขึ้นไปบนห้อง
ผ้าปูที่นอนสีขาวสะอาดก็ถูกเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเข้มดูสุขุม พร้อมกับปลอกคอสีน้ำเงิน มีกระพรวนสีทองห้อยตรงกลางวาง
อยู่บนเตียง
ริมฝีปากบางยกยิ้มขึ้นมาโดยที่เขาเองไม่รู้ตัวเลยสักนิด ความรู้สึกอบอุ่นในใจมันยิ่งเอ่อล้นจนทำให้ยิ้มออกมาอย่างไม่เคย
เป็นมาก่อน
หรือนี่จะเรียกว่า....รัก
เขาเองก็ยังไม่แน่ใจใน
===============================================================
หวานไหมล่ะตอนนี้ 555 ท่านอายังคงชอบเซอร์ไพรส์เหมือนเดิม