Chapter 8 : Back To The Beginning..
..อะตีตัง นานวาคะเมยยะนัปปะฏิกังเข อะนาคะตัง
บุคคลไม่ควรตามคิดถึงสิ่งที่ล่วงไปแล้ว ด้วยอาลัย
และไม่พึงพะวงถึงสิ่งที่ยังไม่มาถึง..
ยะทะตีตัมปะหีนันตังอัปปัตตัญจะ อะนาคะตัง,
สิ่งเป็นอดีตก็ละไปแล้ว.. สิ่งเป็นอนาคตก็ยังไม่มา..
ปัจจุปปันนัญจะ โย ธัมมังตัตถะ ตัตถะ วิปัสสะติ,
อะสังหิรัง อะสังกุปปังตัง วิทธา มะนุพรูหะเย.
ผู้ใดเห็นธรรมอันเกิดขึ้นเฉพาะหน้าในที่นั้น ๆ อย่างแจ่มแจ้ง
ไม่ง่อนแง่นคลอนแคลน เขาควรพอกพูนอาการเช่นนี้ไว้.
อัชเชวะ กิจจะมาตัปปังโก ชัญญา มะระณัง สุเว,
ความเพียรเป็นกิจที่ต้องทำวันนี้, ใครจะรู้ความตาย แม้พรุ่งนี้..
ผมทำวัตร.. สวดซ้ำๆทุกวัน
แต่การสวดซ้ำๆ ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ผมประจักษ์แจ้ง.. แต่มันคือการสวด..แล้วคิด
..สวด..แล้วคิด..
ทุกๆวัน..
ขันธ์ทั้งห้าเป็นของหนักเน้อ..
บุคคลแหละ เป็นผู้แบกของหนักพาไป
การแบกถือของหนัก เป็นความทุกข์ในโลก
การปลงภาระหนักเสียได้เป็นความสุข..
ผมจะไม่แบกเอาไว้อีกต่อไป..
.
.
ผมสวดมนต์ซ้ำๆอยู่คนเดียว..
แต่เมื่อออกจากการเพ่งสมาธิไปที่บทสวด ..ก็ปรากฎว่าผมไม่ได้อยู่คนเดียว
“โยมต้องการอะไรหรือ?”
ผมเปล่งเสียงถามออกไป..มองพื้นนิ่ง..สงบเยือกเย็น..
ไม่มีเสียงตอบกลับมา จนผ่านไปหลายนาที และผมก้าวเดินผ่านเขาไป
เสียงที่คุ้นเคยจึงบอกเบาๆ..
“ผมแค่อยากสวดมนต์ด้วยเท่านั้น”
“บทสวดมนต์เป็นสิ่งบริสุทธิ์..ไม่ใช่สักแต่ท่องๆออกมา โยมต้องเข้าใจว่ามันสื่ออะไร ต้องมีสมาธิกับมัน ถ้าโยมมีเจตนาบริสุทธิ์ ความสงบจะเกิดกับโยม แต่ถ้ามีเจตนาอื่นแอบแฝง มันจะไม่มีทางช่วยให้อะไรดีขึ้นมา”
ผมบอกเพียงเท่านั้นแล้วออกเดินไป..
หลายวัน..หลายเดือนผ่านมาแล้ว
ผมครองผ้าเหลืองด้วยใจพิสุทธิ์..
บางครั้งโยมพ่อโยมแม่แวะมาเยี่ยม.. บางคราโยมทัศน์โยมโกก็มาคุยหลายอย่างให้ฟัง
และโยมโจ..ก็ไม่เคยพลาดตักบาตร..
วันนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมได้ยินเขาสวดมนต์
..เสียงสวดมนต์ที่ทุ้มลึก..กังวาน..
ผมได้ยินแล้วรู้สึกบอกไม่ถูกจริงๆ..
เช้าวันต่อมาผมออกบิณฑบาตเช่นเดิม..
อากาศเย็นสบายกับเสียงนกขับขานยามอรุณทำให้ผมแช่มชื่นเสมอ..
แต่ในใจยังเหมือนมีบางอย่างที่เป็นพันธะผูกติดซึ่งยังแกะไม่ออก..
..ผมควรจะทำอย่างไรดี
“นิมนต์ครับ..”
เสียงทุ้มลึกกล่าวขึ้นเบื้องหน้า
ผมถอนหายใจเบาๆ ก้มหน้านิ่งเปิดบาตรรับของ
เมื่อมีผู้บริสุทธิ์ใจให้..สิ่งที่เราควรทำคือบริสุทธิ์ใจรับมันเสีย..
มือแกร่งใส่ถุงข้าวสวย..ไข่ตุ๋น..ปลาทอด..น้ำออร่า..นมตราหมี..อมยิ้ม..ลงในบาตร
ก่อนวางดอกดาหลาดอกงามลง
ผมเตรียมปิดฝา
แต่..
“เดี๋ยวก่อนครับ ยังไม่หมด..”
เสียงนั้นห้ามไว้ช้าๆ
มือแกร่งค่อยๆยื่นมาวางไว้บนบาตร..
....
.........
............
...............
“นี่เป็นความเจ็บแค้นทั้งหมดของผม.. ผมมอบให้บิณฑบาตไป..”
..ผมเผลอเงยหน้ามองด้วยความประหลาดใจ..
แต่ดวงตาสีเข้มมองกลับมาให้รู้ว่าหมายความตามนั้น..
“สิ่งใดที่เราสองคนเคยล่วงเกินกันด้วยกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม ผมขออภัยให้ทั้งหมด และเช่นเดียวกัน..”
เขามองผม
“โปรดอภัยให้ผมด้วย..”
.
.
ร่างนั้นคุกเข่าลงประนมมือและกรวดน้ำ..
“ขะ..ขอจงสำเร็จตามปรารถนาทุกประการเถิด..”
ผมกล่าวก่อนเดินจากไปด้วยความรู้สึกที่ต่อให้โลกแตกในนาทีถัดจากนี้..ผมก็ไม่มีอะไรต้องกังวลอีกแล้ว..
.
.
“หลวงพี่แน่ใจเหรอ ว่าจะไม่รอให้ครบปี นี่ก็มาครึ่งทางแล้ว”
เสียงโยมเพื่อนถามออกมา
โกกับทัศน์มักจะมาเยี่ยม คุยสนทนากันในช่วงวันหยุด
และในวันนี้เมื่อเวลาผันผ่านมาเนิ่นนานจนจิตใจผมคลายกังวล ผมจึงยิ้มน้อยๆ
“อาตมาไม่ได้ทำยอดบวชนี่โยมเพื่อน ตอนนี้อาตมาอยากจะไปที่ที่นึง จำต้องลาสิกขาแต่เพียงเท่านี้”
“แล้วหลวงพี่จะกลับไปเรียนเมื่อไหร่ล่ะครับ..”
โยมโกถามออกมา
“คงจะเป็นเทอมหน้า อย่ากังวลเรื่องนั้นเลย อาตมาไม่แก่เกินเรียนหรอก และในความจริงแล้ว ..อาตมาก็เรียนอยู่ทุกวัน บางที..ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้..อาจจะเรียนมากกว่าที่เคยได้เรียนมาตลอดชีวิตก็เป็นได้..”
ผมตอบตามที่รู้สึก
เพื่อนทั้งสองพยักหน้า
โยมทัศน์ทำหน้าฉงนก่อนถามออกมา
“ว่าแต่.. จะไปที่ไหนละครับ?”
.
.
ผมไม่ตอบอะไร..
.
.
ปุยเมฆลอยคลอเคล้า..เคลียยอดดอยโอบเขา..เป็นเช่นชันฉากลึกแนวไพร
..ดั่งฝากฝังตราตรึงไว้มั่น..ผูกพันมิยอมห่างไกล..เคียงคู่ฟ้าเชียงใหม่ให้งามนักหนา..
ผมยืนมองรั้วม่วงม.ช.ท่ามกลางดอกไม้บานและบทเพลงม.ช.รำลึกที่ถูกเปิดเป็นธรรมดาในช่วงรับปริญญาเช่นขณะนี้
ผมไม่ได้รับปริญญา..เพื่อนผมเองก็ยัง
แต่ปีหน้าพวกเขาคงรับ..
..ปีหน้าซึ่งผมเปล่า..
ผมคงรับถัดจากปีหน้า..ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด..
ไม่เรียน..ก็ไม่รู้
ไม่ผิด..ก็ไม่รู้ว่าถูกเป็นยังไง..
ณ จุดนี้ ผมไม่แคร์..
..อากาศปลอดโปร่งอย่างไม่น่าเชื่อ
ลมพัดเย็นสบาย..
ผมมองรั้วม่วงด้วยความรัก..
มันเป็นสถานที่อบรมสั่งสอนทักษะความรู้และบ่มเพาะจิตใจผม
ผมจะกลับเข้าไป..แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้
..ตอนนี้ ผมจะไปที่หนึ่งก่อน..
ในรั้วม่วงแห่งนี้..คงมากมีมนต์ขลัง..จึงฝังใจใฝ่รักบูชา
ห่างแต่กาย..ใจยังฝั่งแน่น..ถิ่นแดนที่ตรึงอุรา..ม.ช.นี้ยังตรึงตราเรานั้นแนบเอย..
เสียงเพลงลอยผ่านสายลมก่อนที่ผมจะกวักรถโดยสารให้ไปส่งที่อาเขต..
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
ปล. ยังมีตอนหน้าอยู่เด้อ ขอปรับอารมณ์นิ๊ดด !! คิดถึงเกรียนคนอ่าน..
และเราก็ยังดองไอดิลไว้เช่นเคย//เผ่นนนนนนนนนนน
ขอได้รับความขอบคุณจาก..เกรียน(ไม่)น้อย
ขอบคุณ..คนเกรียน..ที่เขียนอ่าน
ขอบคุณ..ที่ช่วยสาน..สื่อความฝัน
ขอบคุณ..ที่เป็นแรง..ช่วยแบ่งปัน
ขอบคุณ..ที่รักกัน..จนมั่นใจ..