ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ
สรุปข้อสำคัญดังนี้
1.ห้ามละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
2.ห้ามโพสต์ข้อความที่ไม่เหมาะสมและเกิดความขัดแย้ง
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn หรือคบหาพูดคุยกันในเล้า
โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม
5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว
ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน
ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ
6.อย่าพูดคุย ทักทาย นักเขียน คนอ่านโดยรีพลายดังกล่าวไม่เกี่ยวพันกับนิยายให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรคอมเม้นต์สักคอมเม้นต์เดียวก็เพียงพอแล้ว ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และทำลิงค์โยงมายังนิยาย และให้นักเขียนทุกคนทำลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยเกี่ยวกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วย เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง
ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เรื่องนี้ได้แรงดลใจจากนิยายแนวทะเลทรายทั้งหลายแหล่ อ่านไปอ่านมา แห่ม....ฉันก็อยากมั่ง
อาจจะเน่าไปสักนิดก็อย่าว่ากันนะคะ เค้าอยากเขียนจริงๆ
ตอนที่ 1
ค.ศ 2105
ลาสเวกัส โรงแรมคิงพาราไดร์
ร้อน.... ไม่ใช่แอร์ในห้องไม่ทำงานหรอก แต่เป็นที่บรรยากาศต่างหากที่กดดันจนทำให้รู้สึกอึดอัด เหงื่อกาฬจากไหนไม่รู้ซึมออกมาไม่จักหยุด ผ้าเช็ดหน้าในมือเช็ดแล้วเช็ดอีก ทั้งใบหน้า ลำคอ จนมันชื้นทั้งผืน หนุ่มใหญ่วัย 50 ซุกมันกลับเข้าในกระเป๋า พยายามตั้งสติให้ดี เขามองกองชิปที่อยู่ตรงหน้า สลับกับไพ่ที่อยู่ในมือไปมา โอกาสสุดท้ายแล้ว...จะเสี่ยงหรือจะหมอบดีนะ
“มิสเตอร์ วิลสัน”
วสันต์ ชินะศรนนท์ เงยหน้ามองคู่แข่ง ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลผู้นั่งอยู่เบื้องหลังกองชิปที่มากมายกว่าเขาสองเท่า ดวงตาสีฟ้าจ้องมองอย่างเย็นชาราวกับกำลังมองมดแมลงไร้ค่าสักตัว
“เวลาเป็นสิ่งที่มีค่านะ คุณตัดสินใจได้หรือ”
วสันต์มองไพ่ในมืออีกครั้ง เขามีคู่3กับคู่แจ๊ก “ได้....ผมสู้”
“ฮะฮะ....จะสู้หรือ” อีกฝ่ายหัวเราะร่วน สาวผมทองที่ยืนรายล้อมก็หัวเราะเสริมฟังเหมือนการเย้ยหยันรดหน้า ก่อนที่เจ้าตัวจะขยี้ซิการ์ในมือเสีย “สู้ก็สู้ แต่....คุณมีเงินเหลือไม่ถึงครึ่งของผมเลย แล้วจะเอาอะไรสู้”
หนุ่มใหญ่หน้าเสีย มองมาที่กองชิปของตัวเองแล้ว ก็เหงื่อซึมจนต้องหยิบผ้ามาเช็ดหน้าอีกครั้ง ตอนนั้นเองที่อีกฝ่ายลุกขึ้นยืน มหาเศรษฐีเจ้าของคาสิโนถึง6 แห่ง ทั้งทรัพย์สิน ทั้งอิทธิพลล้นฟ้า
“กิจการของคุณทั้งหมดเป็นของผมแล้ว” พูดจบ เอกสารปึกหนึ่งก็โยนลงมาตรงหน้าทันที
“เดี๋ยวก่อน เดี๋ยว....ผมยังมีอีกอย่าง”
“แน่ใจหรือ ผมคิดว่าผมได้มาหมดแล้วนะ ของๆคุณน่ะ”
“ผมมีอีกอย่างหนึ่ง” ใบหน้าที่มั่นใจทำให้คิ้วเข้มขมวดอย่างสนใจ
“แน่ใจหรือว่าของที่คุณว่ามีค่าพอที่จะทำให้คุณได้ทุกอย่างคืน....เพราะถ้าตานี้คุณแพ้.....คุณต้องจ่ายเพิ่มด้วย” นิ้วได้รูปดีดเป๊าะ! บอดี้การด์คนหนึ่งวางกล่องไม้ลงตรงหน้าและเปิดฝาออกให้ดู เป็นปืนลูกโม่ด้ามเงินประดับด้วยมุก ของชั้นดีนี้ทำให้วสันต์ใจหายวาบ เขาจะต้อง....
“ว่าไง”
ทางหนึ่งยอมรับความพ่ายแพ้ ก็ต้องสูญทุกอย่างและต้องกลับไปติดคุกที่เมืองไทย คดีความที่ถูกฟ้องร้องถ้าแพ้ก็ต้องติดคุกร่วมพันกว่าปี ไม่ได้ผุดได้เกิดแน่ หรือทางที่สอง เสี่ยงครั้งสุดท้าย ถึงจะมีโอกาส 1ต่อ 100 ก็เถอะ เขาก็อยากจะลองเสี่ยง เพราะยังไงตายที่นี่มันก็ดีกว่าไปเน่าตายในคุกแหละ
“ได้....ตกลง”
*********
วอชิงตัน.ดีซี
“พันยูโร ราคาพิเศษ DNAของคุณมีราคาโอกาสเดียวเท่านั้น ใครสนใจเข้ามาได้เลย พันยูโร” นักเรียนมหาลัยร้างผอมกระร่องชูป้ายตะโกนเสียงดังไปทั่วทางเดินในอาคาร ท่ามกลางฝูงคนเดินพล่านราวกับรังมด
“โย่ ดู้ท..” หนุ่มผิวดำปราดมาขวางหน้า “มาใหม่เหรอ ไม่เคยเห็นหน้าเลยสนใจขายเซลล์หรือเปล่า ตอนนี้ราคาดีมากเลยนะ”
“ไม่ ฉันไม่สนใจ” ร่างในชุดเสื้อหนาวหนาสวมฮู้ทปกปิดใบหน้าเดินเลี่ยงไปทางอื่น
“ไม่เอาน่า....สมัยนี้ใครไม่ขายเซลล์ก็เชยแหลกนะ ได้ราคาดีด้วย รับประกันโดยรัฐบาลอเมริกัน ถูกกฎหมายแน่นอน”
“บอกว่าไม่สนใจ หลีกไปน่า” เขาพลั่กตัวน่ารำคาญออกไปเสียก่อนรีบจ้ำไปตามทางเดินที่พลุ่กพล่าน ออกจากอาคารเรียนได้เขาก็รีบกลับไปยังบ้านเช่าที่อยู่ไม่ไกลนัก ตลอดสองทางก็ยังเห็นป้ายโฆษณารับซื้อDNA อวัยวะ เกลื่อนไปหมด
ยุคสมัยนี้โลกเต็มไปด้วยสารพิษ เด็กที่เกิดหลังจาก ค.ศ 2020 จะมี DNAที่ บกพร่องทางพันธุกรรม คนกลุ่มนี้ถูกเรียกว่า สายเลือดเทียม ปัจจุบันเป็นพลเมืองที่มีมากที่สุดในโลก ส่วนใหญ่จะด้อยทางสติปัญญา มีปัญหาด้านอารมณ์ ร่างกายที่ไม่สมบรูณ์ หรือเป็นหมัน การขายDNA จึงแพร่หลายขึ้นเรื่อยๆ แต่พันธุกรรมที่ปรับแต่งเพื่อสืบทอดทายาทนั้นไม่ถึงรุ่นที่3 ก็จะแสดงความบกพร่องขึ้นมาอีก ความไม่สมบรูณ์นั้นถูกถ่ายทอดสู่รุ่นต่อๆมาหากในสายเลือดเทียมนั้นจะมี 1ใน 10,000 ที่มีสายเลือดแท้แผงอยู่ สายเลือดที่สมบรูณ์พร้อมจะมีค่ามหาศาล เป็นที่ต้องการของมหาเศรษฐีเหล่าคนมีเงิน
โครม!!! สิ่งแรกที่ต้องทำเมื่อกลับเข้ามาในห้อง คือปิดล๊อคกลอนทุกชิ้น หน้าต่างทุกบาน ผ้าม่านต้องปิดทุกครั้ง ห้องน้ำและตู้เสื้อผ้าต้องสำรวจว่าไม่มีใครแอบซ่อนอยู่ ถึงจะแน่ใจว่าปลอดภัยแล้ว เสื้อผ้าเป็นอันดับต่อมาที่ต้องกำจัดออกจากตัว
เฮ่อ.... รติกร หรือเนย ถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน เขาเก็บเสื้อแขนยาวไว้ในตู้เสื้อผ้า แล้วหยิบปืนยาวมาเช็คว่ายังอยู่ดีหรือไม่ กระสุนพร้อมขึ้นลำเรียบร้อย เขาจึงวางไว้ในซอกตู้อย่างเดิม เมืองหลวงของอเมริกาใช่ว่าจะสงบสุขอย่างที่คิด ไม่มีใครไว้ใจใครได้สักคน ทุกคนต้องเอาตัวรอดให้ได้ในโลกอันโหดร้าย เมื่อดูทุกอย่างในบ้านจนพอใจแล้ว เขาก็ชงกาแฟมานั่งทำวิทยานิพจน์ที่ค้างอยู่บนโต๊ะต่อ ข้างคอมฯมีกรอบรูปเงินแท้รูปของพ่อแม่
เด็กหนุ่มมองแวบหนึ่งแล้วมองจอคอมพิวเตอร์ต่อ 5 ปีแล้วที่พ่อแม่จากไป พ่อเป็นตัวแทนของปู่เดินทางมาเปิดสาขาบริษัทค้าสินแร่ที่วอชิงตันพร้อมแม่และเขา แต่มาอยู่ได้ไม่ถึงปี สาขาที่นี่ยังไม่ทันเป็นรูปร่างพ่อกับแม่เขาก็ถูกลูกหลงจากการปล้นแบงค์ ตายอยู่ข้างถนน ผลพิสูจน์ปรากฏว่าพวกท่านเสียชีวิตเพราะกระสุนของตำรวจ ทางการเลยชดใช้เป็นเงิน 20 ล้าน ยูเอส และกรีนการ์ดพลเมืองสหรัฐให้แก่เด็กกำพร้าอายุ 13 อย่างเขา ซึ่งสามารถใช้ชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างสบาย แต่ปีถัดมาเกิดวิกติค่าเงินทำให้เงินยูเอสตกต่ำ ทั่วโลกหันมาใช้เงินยูโรเป็นเงินมาตรฐานของโลก ด้วยความไม่รู้ทำให้การขึ้นโรงขึ้นศาลกินเงินไปกว่าครึ่ง เงิน20ล้านยูเอสเหลือไม่กี่พันยูโรในเวลาไม่ถึงปี เศรษฐีอนาคตไกลกลายเป็นคนเดินดินธรรมดาเช่นเดิม รติกรอยากจะกลับบ้านแทบขาดใจ แต่ทางปู่ก็ขอให้อดทนอยู่เรียนต่อ ถ้าจบแล้วจะได้อยู่ช่วยงานลุงได้ หากป่านนี้แล้วเขายังไม่เคยเห็นหน้าลุงแวะมาเยี่ยมเลยสักครั้ง ทางบ้านของปู่ก็ไม่มีเงินช่วยเหลือ ไม่ติดต่อมาอีก จนบางครั้งก็อดคิดไม่ได้ว่าเขาเป็นคนที่โลกนี้ลืมแล้วก็ได้
กริ๊งงงงงงง......
เสียงออดดังขัดจังหวะเสียจริง ร่างเล็กเซฟข้อมูลก่อนลุกมากดูจอมอนิเตอร์
“ครับ...”
“ที่นี่บ้านมิสเตอร์....ตะติ...กอน รึเปล่า” สำเนียงแปลกๆ ชายแปลกหน้า2-3 คน สวมสูทผูกไท หน้าตาออกแขกๆแบบนี้
“มาผิดบ้านแล้ว” เขากดปิด หันหลังกลับมาที่โต๊ะไม่ทันไรออดก็ดังอีกครั้ง
“อะไรอีก..”
“คุณ รติกร เรามาธุระเกี่ยวกับลุงของคุณ มากับเราด้วย” คราวนี้พูดชัดเจนไม่มีติดขัด เด็กหนุ่มจ้องมองดีๆแล้วถึงเห็นว่าหนึ่งในนั้นสวมเครื่องแปลภาษาด้วย ท่าทางไม่ดีแล้วสิ
“มันเรื่องอะไรกัน” เขาเปิดประตูตู้เสื้อผ้าหยิบเสื้อมาสวม พร้อมกับปืนยาว
“เรื่องสำคัญ ถ้าไม่มากับเรา เขาอาจต้องเดือดร้อนนะ.....คุณรติกร”
“ทำไมเขาไม่ติดต่อผมมาเองล่ะ” ว่าไปอย่างงั้นแหละเพราะเขาเองก็ไม่แน่ใจว่าจะจำลุงได้หรือเปล่า มันนานมากแล้ว ทางโน้นเงียบไปเลยท่าทีเหมือนไม่สบอารมณ์ก่อนจะพากันหายไปจากหน้าจอ ไม่ดีแล้วสิ...
ตูม!!! เสียงพังประตูชั้นล่าง รติกรยกปืนขึ้นเล็งไปที่ประตูห้องตัวเอง
โครม!!!! บานประตูแข็งๆกระเด็นหลุดออกมาทั้งบานพร้อมกับคนๆหนึ่งที่ทุ่มสุดแรง พอลุกขึ้นมาได้ก็ตาเหลือกเมื่อเห็นปืนที่เล็งมาเขา ชายในชุดสูทตาลีตาเหลือกลุกขึ้นออกไปข้างนอกอย่างรวดเร็ว
เปรี้ยงงงงงง!!!! รติกรยิงไปโดนกรอบประตู เศษไม้กระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ในห้องของเขาเองยิงคนตายก็ไม่มีความผิดหรอก
“พวกแกเป็นใคร!”
เงียบไม่มีเสียงเคลื่อนไหวเลย ร่างเล็กค่อยๆก้าวออกจากมุม ตามองที่ประตูตลอด พอก้าวได้ระยะหนึ่งก็มีมือข้างหนึ่งยื่นปืนเข้ามา เด็กหนุ่มใจหายวาบนึกว่าโดนแล้ว เขาหันปากกระบอกปืนจะยิง จู่ๆก็มีไฟฟ้าช๊อตอย่างแรง
“โอ้ยยยยยย...” เหมือนจะควบคุมตัวเองไม่ได้ รติกรร่วงลงไปกองกับพื้น เจ็บไปทั้งตัวโดยเฉพาะที่หัวใจ กว่าทุกอย่างจะยุติลงตัวเขาก็กระตุกไม่รู้กี่ครั้ง น้ำตาไหลอย่างควบคุมไม่ได้ เสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาจับเขามัดมือไข้วหลังรัดด้วยเชือกพลาสติก แล้วยกขึ้นพาดบ่าคนหนึ่ง
อะไรกันน่ะ?? พวกนี้เป็นใคร...จะพาเขาไปไหน ปากอยากถาม มืออยากดิ้นรนแต่ร่างกายไม่ทำตามอย่างที่ใจคิดเลย คนพวกนี้ยัดเขาไว้ในรถลีมูซีน หนึ่งในนั้นแทงกระบอกสีเงินเข้าที่ต้นแขนเขา มันเจ็บแปล้บๆเหมือนมดกัด นั้นต้องเป็นเข็มเจาะเลือดแน่ๆ พวกนี้จะเอาเลือดเขาไปทำไม ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจ รถแล่นมาหยุดที่แห่งหนึ่งแล้วก็หอบหิ้วเขาขึ้นเครื่องบิน 2-3 ชั่วโมงก็หิ้วเขาลงยัดใส่ในรถอีกครั้ง โอย....เมื่อยนะเว้ย
กว่าจะถึงที่หมายเด็กหนุ่มก็เริ่มมีแรงขึ้น เขายันตัวเองลุกขึ้นนั่งไม่ทันไรก็โดนลากออกจากรถอีกครั้ง คนพวกนี้หิ้วปีกเขาเหมือนตัวอะไรสักอย่างท่ามกลางสายตาของพนักงานในห้องครัวเป็นสิบๆคน ที่นี่....?? ยิ่งเดินเข้าไปภายในมากเท่าไรก็ยิ่งมั่นใจว่าเป็นโรงแรมหรูระดับห้าดาวเลยล่ะ ทั้งหมดเข้าไปอัดในลิฟต์ไม่นานก็เสียววูบในท้อง ความเร็วในการเดินทางนั้นไวมาก ไม่ถึง5 นาทีก็ถึงชั้นสูงสุด
“ที่นี่ที่ไหนกัน” เด็กหนุ่มเริ่มมีแรงประคับประคองตัวเองแล้ว แต่ก็สู้แรงมือแข็งๆที่คอยจับแขนทั้งสองเขานั้นไม่ได้ ทุกคนที่มาด้วยเงียบกริบเหมือนใบ้รับประทาน ทันทีที่ประตูลิฟต์เปิด รติกรก็ได้พบกับห้องสุดหรูประดับประดาอลังการสุด ที่สำคัญคือมีบอดี้การ์ดมากขึ้นหลายเท่าตัว ทั้งชาย ทั้งหญิง สาวสวยผมทองยกถาดเครื่องดื่มผ่านหน้าเขาไปห้องข้างๆ
ภายในห้องรับแขกกว้างขวางปูด้วยขนสัตว์ขาวเหมือนหิมะ ชายวัยกลางคนนั่งหลังตรงสีหน้าไม่ดีนักหันมามองเขาทันที เด็กหนุ่มมองสบตาแล้วยังไม่รู้อยู่ดีว่าเป็นใคร
“เนย” พอถูกเรียกอย่างนี้ถึงจำได้ทันที
“ลุงมารค์”
“บอส”
ผู้เข้ามาใหม่ทำให้ต้องละความสนใจจากญาติที่ไม่ได้เห็นหน้ามาร่วม 5-6 ปีก่อน คนๆนี้เห็นครั้งแรกก็รู้แล้วว่าคนล่ะระดับกับเขา เสื้อผ้าที่สวมใส่นั้นแพงระยับสีเทาเงินเน้นให้ช่วงขายาวดูแข็งแกร่งสมกับความสูงที่โดดเด่นนั้น เสื้อเชิ้ตขาวพับแขนขึ้นถึงข้อศอกดูสบายๆ แต่ก็เห็นความน่ากลัวได้จากดวงตาสีเทาที่ดูเย็นชา ทั้งที่เป็นคนหน้าตาดีเอามากแท้ๆแต่เพราะมีดวงตาที่ดุดันเลยทำให้ไม่อยากเข้าใกล้เลย
“นี่น่ะหรือที่พูดถึง” เขาว่าออกมาเป็นประโยคแรก ภาษาอังกฤษสำเนียงอาหรับ ถึงตรงนี้รติกรนึกไม่ออกเลยว่าจะถามอะไรเขา “ทำไมต้องมัด”
“เขาไม่ให้ความร่วมมือเลยครับ เลยต้องบุกเข้าไปแต่เจอยิงสวนออกมา”
“อืมไม่เลวนี่” เขาหัวเราะก่อนหันไปถามอีกคน “ผลตรวจล่ะ”
“เพิ่งมาถึงคะ” หญิงสาวคนหนึ่งเข้ามาเอาเอกสารแผ่นหนึ่งให้ดู สีหน้าเรียบเฉยเดาไม่ออกเลยว่าคิดอะไรอยู่ ไม่นานคิ้วเข้มสีน้ำตาลนั้นก็ขมวดปม เขาหันไปหญิงสาวคนเดิมอีกครั้ง
“เช็คดีหรือยัง”
“เช็คสองครั้งเลยคะ ยืนยันตามนี้”
ชายหนุ่มหันมามองรติกรเขม็ง มือยื่นเอกสารคืนให้หญิงสาว “เอาล่ะ มิสเตอร์วิลสัน ......ผมตกลงตามที่คุณต้องการ ทุกคนเก็บข้าวของเดินทางภายใน 10 นาที” เขาเซ็นแกร๊กในเอกสารที่อยู่บนโต๊ะ ก่อนดีดนิ้วเป๊าะ ทุกคนลุกเก็บกวาดของอย่างรวดเร็วราวกับเป็นหุ่นยนต์ที่คอยรับคำสั่งอย่างเดียว
“ขอบคุณครับ ขอบคุณ” วสันต์สีหน้าระรื่นผิดจากเมื่อครู่ลิบลับ เขาเปิดดูเอกสารในมือเพื่อความแน่ใจก่อนลุกขึ้นหอบเอกสารแนบกับอกราวกับเป็นของค่า เขาเดินผ่านรติกรไปโดยไม่หันมาสบตาสักนิด
“เดี๋ยว... เดี๋ยวสิ ลุงมาร์ค” นี่มันอะไรกัน เขาอยากถามแต่คนที่มีศักดิ์เป็นลุงของเขาไม่เหลียวมามองสักนิด ร่างท้วมนั้นหายไปในลิฟต์ไม่ถึง5 นาทีก็ถูกลากตามร่างสูงไปติดๆ เขากับหญิงสาวที่คอยตามติดทุกฝีก้าวและบอดี้การ์ดสองคนที่เอาแต่จะลากร่างเล็กไปมาอยู่ตลอดเวลา มือสองข้างถูกมัดติดไข้วหลังทำให้ทำอะไรไม่สะดวกนักนอกจากยกขายันกรอบประตูลิฟต์เอาไว้
“ปล่อยฉันนะ” เขาขัดขืนได้เพียงเท่านี้ก็โดนหิ้วจนขาลอยจากพื้นเข้าไปข้างในอย่างง่ายดาย เจ้านายของทุกคนในที่นี้แค่ปรายตามองอย่างตำหนิติเตียนกับพฤติกรรมของเขา “พวกคุณเป็นใครกันแน่....ต้องการอะไรจากผม”
ติ๊งงงงง.... เสียงประตูลิฟต์เลื่อนปิด ร่างสูงถึงหันกลับมามอง รติกรรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องเมื่ออยู่ใกล้ๆอย่างนี้ สายตาเย็นชาทำให้รู้สึกต่ำต้อยโดยที่ไม่ต้องลงมือทำร้ายใดๆเลย เขาอยากไปให้ไกลๆจากคนๆนี้ให้มากที่สุด
“เธอชื่ออะไร”
“เอ่อ...ระ...รติกร”
“เรียกยากไป....ฉันจะเรียกเธอว่า รีส ส่วนฉันไมเคิล”
“คุณพูดอะไรของคุณกัน??” ประตูลิฟต์เปิดออก ทุกคนก็คอยตามหลังชายหนุ่มที่เอาแต่ออกคำสั่งเพียงอย่างเดียว
“ให้ทางโน้นจัดเตรียมห้องพร้อมสาวใช้ 2-3 คน อย่าลืมติดต่อหมอไว้รอเลย”
“ได้คะ”
ด้านหลังของโรงแรมมีลานจอดรถพิเศษที่มีลีมูซีนรอยู่หลายคัน รติกรถูกยัดเข้ามานั่งคันเดียวชายต่างชาติแปลกหน้าที่พิลึกคนที่สุด เขามองเจ้าของรถที่นั่งไข้วห้างสบายๆ ขณะที่รถแล่นออกจากโรงแรมแล้ว
“เดี๋ยวก่อน...นี้เราจะไปไหนกัน นี่! คุณ....พูดอะไรบ้างสิ”
“ปารีส”
“ไปไหนนะ....”
เฮ่อ... อีกฝ่ายถอนหายใจคล้ายเบื่อหน่าย “ปารีส อีก 2 วันจะมีการประมูลครั้งใหญ่ที่สุดในโลก ฉันจะเซลล์สินค้าที่มีอยู่ให้หมดสต๊อกเลย.....รวมถึงเราด้วย”
“ห๊ะ??”
“ยังไม่เข้าใจอีกหรือ....ว่าเธอน่ะถูกขายแล้ว”
****************