◑
คุ ณ ไ ม่ ต ร ง ป ก
ตอนที่ 12 : เดท
_________
50%
รู้สึกตัวอีกทีร่างกายเขาก็อยู่ภายใต้อ้อมกอดแสนอุ่น ผ้าห่มนุ่มผืนใหญ่ปกคลุมเราทั้งสองไว้จนเกือบมิด รอบด้านยังมืดสนิทไม่มีแสงอาทิตย์สาดส่อง อาจเป็นเพราะผ้าม่านที่ปิดคลุมจนทั่วทั้งหน้าต่างไม่เหลือที่ว่างให้แสงยามเช้าลอดผ่านเข้ามาได้ เขาจึงต้องรอเวลาให้สายตาปรับกับแสงภายในห้องถึงจะยอมขยับตัว
ภัทรควานหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางไว้บริเวณโคมไฟข้างเตียง มองดูเวลาบนหน้าจอพบว่าตอนนี้เพิ่งหกโมงเช้าได้หมาดๆ มันเป็นเวลาที่เขามักจะตื่นตอนที่ต้องไปทำงานในทุกๆวันแต่ว่าวันนี้กลับไม่ใช่
เพราะเขามีนัด
และเป็นนัดที่สำคัญเสียด้วย
รอยยิ้มของคนมีความสุขเก็บไว้ไม่มิดในยามที่พลิกตัวเข้าหาร่างสูง ได้รับการตอบรับเป็นมือที่ขยับออกแรงดึงตัวเขาเข้าหาอีกรอบ ดูเหมือนคีรติยังไม่ตื่นดีแต่เพียงแค่ทำตามสัญชาตญาณเสียมากกว่า เมื่อเห็นเป็นดังนั้น ภัทรเลยเข้าไปใกล้มากกว่าเก่าแล้วกดจูบลงบริเวณข้างแก้ม
นุ่มนวล และแผ่วเบา ก่อนจะค่อยๆ ถอยตัวออกแล้วดึงมือของอีกคนให้หลุดพ้นจากพันธนาการที่แน่นหนา
ทุกอย่างถูกเตรียมไว้ให้อย่างดีในห้องแต่งตัวขนาดกว้าง มีผ้าขนหนูสีขาววางไว้พร้อมกับเสื้อผ้าที่เป็นไซส์ของเขาวางด้วยกัน ภัทรเลื่อนอ่านข้อความทีละบรรทัดก่อนจะหยุดลงที่ชื่อเจ้าของการกระทำทั้งหมด
‘ภัทรดูดีเมื่อใส่เชิ๊ตสีดำ
คีรติ’
และเขาแทบไม่เถียงเลยด้วยซ้ำว่าข้อความเหล่านั้นมันเป็นเรื่องจริง
เขาใช้เวลาไม่นานในการอาบน้ำแต่งตัวให้แล้วเสร็จ ถึงแม้จะหยิบจับอะไรไม่ค่อยสะดวกเพราะไม่ใช่ที่ๆ คุ้นเคยแต่ห้องของคีรติก็มีทุกอย่างที่ต้องการให้เลือกสรรโดยไม่ขาดตกบกพร่อง
อาหารเช้าของวันเขาตัดสินใจที่จะลงมือทำเองอย่างง่ายๆ เป็นขนมปังและน้ำผลไม้พร้อมเสิร์ฟกับกาแฟร้อนควันกรุ่น คีรติยิ้มจางในตอนที่ยังอยู่ในเสื้อคลุมอาบน้ำหมิ่นเหม่ ภัทรแทบจะละสายตาจากหน้าอกแกร่งไปไม่ได้เมื่อเจ้าของมันคล้ายจงใจให้เขาได้เห็นอย่างชัดๆ
จากการไขว่ห้างพร้อมแก้วกาแฟในมือ และปล่อยให้สายคาดเอวตกหล่นจนหลวมยามที่พิงไปกับพนักโซฟาด้านหลัง
อาการหอบหายใจหนักของเขาน่าจะมาจากสาเหตุเหล่านี้เป็นแน่
เราตัดสินใจออกเดินทางกันในตอนเช้าโดยที่เขาเองก็ยังไม่รู้จุดหมายที่จะไปด้วยซ้ำ คีรติได้แต่เก็บเงียบเป็นความลับจนกว่าจะมาถึง และภัทรก็รู้ได้ทันทีหลังจากผ่านการนั่งรถรวมชั่วโมงว่ามันคือไร่ส่วนตัวที่กว้างไปสุดลูกหูลูกตา
พื้นที่สีเขียวทำเอาภัทรรู้สึกสดชื่นเป็นอย่างมาก อาจเพราะขลุกตัวอยู่แต่เมืองหลวงเลยไม่คุ้นชินกับธรรมชาติเช่นนี้ กลิ่นอายของหญ้าที่ตัดใหม่ลอยโชยเมื่อกระจกรถลดลงจนหมด รู้สึกได้ถึงอากาศชื้นและสายลมเย็นฉ่ำที่พัดผ่านตลอดเส้นทางที่มีต้นไม้รายล้อม
“อยากไปที่ไหนก่อน?” คีรติเอ่ยถาม ได้ยินเสียงล็อกรถตามหลังเมื่อเดินจากมา
“คุณคี...เป็นเจ้าของที่นี่หรอครับ?” คำตอบที่ส่งไปกลับเป็นการถามกลับเสียมากกว่า ภัทรเหลือบมองคนด้านข้าง ก้าวตามเข้าไปยังด้านในเมื่ออีกฝ่ายเปิดประตูค้างไว้
“ไม่ใช่ครับ ของคุณลุง”
ร่างโปร่งได้แต่นิ่งเงียบเมื่อเห็นอีกฝ่ายคุยอย่างออกรสกับหญิงวัยกลางคนชั่วครู่ เข้าไปติดต่ออะไรสักอย่างก่อนที่เราจะอยู่บนรถกอล์ฟกันสองต่อสองบนเนินสูง
“ชอบที่นี่ไหม?” คนขับละสายตาจากถนนแคบเพื่อหันมามอง ภัทรอมยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยตอบ
“ชอบสิครับ ไม่ได้มาเที่ยวแบบนี้นานแล้ว”
“เดี๋ยวกลับไปผมซื้อให้เลย”
“คุณคีชอบพูดเล่นอยู่เรื่อย”
คนตัวสูงหัวเราะเมื่อโดนสวน คล้ายกับว่าอีกฝ่ายกำลังหยอกล้อเขาไปเรื่อยๆตามระยะทางที่พ้นผ่าน
“แล้วถ้าภัทรอยากได้จริงๆ คุณจะซื้อให้ไหมครับ?”
ประโยคลองใจมาพร้อมกับสายตาท้าทายผู้ชายตรงหน้า ถึงแม้จะไม่ได้คาดหวังกับคำตอบ แต่คีรติก็ทำให้เขาแปลกใจอยู่เสมอ
“คงไม่ครับ”
“อ่า...” ความผิดหวังอย่างเสแสร้งถูกส่งผ่านทางน้ำเสียง
“ซื้อทำไมที่ดินไม่กี่ไร่ ซื้อใหญ่กว่านี้ดีกว่า”
ถึงแม้จะแอบยิ้มขำให้กับคำคุยโว แต่ภัทรก็ยังไม่ยอมแม้เกมยกนี้เขาไม่รู้ว่าตัวเองจะแพ้หรือชนะในตอนจบ
“เป็นคนขี้โม้ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย”
อีกฝ่ายไม่ตอบ ตั้งใจบังคับหมุนพวงมาลัยไปตามถนนเพื่อโค้งไปทางด้านขวา
“จริงๆนะ” เสียงแหบแห้งเว้นช่วง “กับภัทรก็ให้ได้ทุกอย่างแหละ อยากได้พระจันทร์ก็จะหามาให้”
“แม้จะไม่ได้เป็นอะไรกันน่ะหรอครับ?”
คำถามจี้จุดที่พูดออกไปทำเอาเราทั้งคู่เงียบกันไปชั่วขณะ ก่อนที่รถกอล์ฟจะจอดลงข้างรั้วสีขาวสูงเพียงเอว เครื่องยนต์ถูกดับลงโดยประธานบริษัทยักษ์ใหญ่ ก่อนที่อีกฝ่ายจะโน้มตัวเข้าใกล้แล้วแอบกระซิบ
“อยากเป็นไหมล่ะ?”
ใจดวงเล็กเต้นแรง ดวงตากลมโตมองไปทางอื่นเมื่อไม่สามารถต้านทานอานุภาพของคนขี้หยอดได้ คีรติหัวเราะเบาๆในลำคอก่อนที่จะก้าวลงรถแล้วเรียกเขาให้หันกลับมา
“ลงไปเดินเล่นกันเถอะครับ”
อาจเพราะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวและที่พักที่ขึ้นชื่อเลยทำให้มีผู้คนประปรายตามทางที่ผ่าน เขาเดินสวนกับกลุ่มผู้ปกครองที่พาเด็กมาชมสัตว์มากมายที่จัดแสดงเอาไว้ คล้ายกับเป็นสวนสัตว์ขนาดใหญ่เพราะแต่ละจุดมีคนดูแลเป็นอย่างดี
“กลัวม้าไหม?” คีรติถามพลางกอดอก สายตาแน่นิ่งไปยังกรงที่มีสัตว์สี่ขายืนอยู่
“ไม่กลัวครับ” เสียงที่ดังฟังชัดทำเอาคนถามพอใจเป็นอย่างมาก
“แล้วขี่เป็นหรือเปล่า?”
ภัทรพอจะเดาทางออกว่าอีกฝ่ายต้องการอะไรจากประโยคที่ส่งให้ แถมคีรติยังเตรียมชุดต่างๆ ยื่นส่งในทันทีที่เราเดินมาถึงสนามกว้าง ร่างโปร่งถูกช่วยจากพนักงานที่แสนใจดี ไม่นานเขาก็อยู่บนหลังอานพร้อมกับใจที่หวังว่าตัวเองจะไม่พลาดอะไรไปเสียก่อน
“เป็นเด็กดีนะเรา” คีรติพูดคุยกับเจ้าม้าสีนวลเพื่อทำความรู้จัก มือลูบไปมายังลำตัวของสัตว์ที่เขาขึ้นขี่ ก่อนที่เจ้าตัวจะออกแรงกระโดดขึ้นซ้อนด้านหลังของเขาแล้วกระซิบชิดใกล้
“ไม่ต้องกลัวนะ ผมอยู่ด้วย” คล้ายกับว่าอีกฝ่ายจะอ่านใจเขาออก ร่างสูงเลยพยายามปลอบประโลมคนที่ไม่คุ้นชินกับกิจกรรมตรงหน้า
ภัทรพยักหน้าตอบรับ แอบเขินผู้คนที่อยู่ตรงนี้เล็กน้อยจากระยะห่างระหว่างเราทั้งคู่
“นั่งได้ใช่ไหม?”
“ได้ครับ”
“อืม”
คีรติไม่พูดอะไรมากเมื่อยามที่เราออกตัว สองมือกุมเส้นบังเหียนบังคับทิศทางด้วยจังหวะที่เชื่องช้าเสียก่อน และไม่นาน เราทั้งคู่ก็อยู่ในความเร็วที่ทำให้สายลมปะทะใบหน้าอย่างจัง
เขาย่นคอเพราะสัมผัสของริมฝีปากที่กระทบ คล้ายกับคนตัวสูงฉวยโอกาสจากการเคลื่อนไหวประสานบนหลังม้า ภัทรเบนหน้าไปอีกฝั่งเมื่อรู้สึกได้ถึงปลายคางใครบางคนที่แนบลงบนไหล่ ใบหน้าขึ้นสีจนรู้สึกร้อนแม้เราจะอยู่ภายใต้ร่มเงาของต้นไม้ที่บดบังแสงจนมิด
“ภัทรตัวหอมแบบนี้ตลอดเลยไหม?” คีรติเสียงแหบพร่า บังคับจังหวะม้าให้เป็นจังหวะเดินปกติ
“คุณคี...” และเสียงเขาคงไม่ต่าง เมื่อมือใหญ่วางเอาไว้ยังบริเวณเอว
“หอมจนไม่อยากปล่อยให้ห่างตัวเลย”
ภาพวิวที่มองเห็นรอบด้านคงไม่ได้น่าสนใจเท่ากับการกระทำของคนด้านหลังในเวลานี้ คีรติแนบใบหน้าลงกับแผ่นหลังคล้ายต้องการพัก ปล่อยให้ความเงียบพัดผ่านระหว่างเราทั้งคู่โดยไม่มีบทสนทนาเข้าคั่น
เป็นความเงียบ
ที่มาพร้อมกับความสบายใจของใครบางคน
เสียงฝีเท้าของสัตว์สี่ขาดังก้อง เขาปล่อยความคิดให้ล่องลอยไปกับสายลมที่ผ่านเข้ามา ปล่อยให้อีกฝ่ายได้ทำตามใจโดยมีมือใหญ่เข้ากอบกุมมือเขาเข้าอีกที พร้อมกับเสียงกระซิบที่ดังขึ้น
ไม่ได้มีอะไรหวือหวา
เป็นเพียงประโยคธรรมดาจากผู้ชายคนหนึ่ง
แต่มันกลับแผ่พื้นที่กว้างใหญ่ไปในใจของใครอีกคนหนึ่ง
“อยู่กับภัทรแล้วมันหายเหนื่อยจริงๆ ด้วย”#คุณไม่ตรงปก
เราทานมื้อค่ำกันที่ร้านอาหารข้างโรงแรม มีบรรยากาศสวยหรูเป็นสักขีพยานของการเดทกันสองต่อสอง มีเพลงบรรเลงโอบล้อมความรู้สึกที่ฟุ้งอยู่ในใจ เราไม่ค่อยมีบทสนทนากันมากเท่าไหร่ มีเพียงรอยยิ้มจาง และความรู้สึกบางอย่างที่มันเริ่มจะชัดเจนมากขึ้นทุกที
วันพิเศษจบลงโดยมีหยาดเม็ดฝนส่งท้าย โชคดีที่เราอยู่บนรถมันเลยไม่ได้ส่งผลมากเท่าไหร่ในตอนที่เดินทางกลับ
“คุณคีครับ” ภัทรเป็นฝ่ายทำลายความเงียบ เอ่ยเรียกคนที่นั่งหลังพวงมาลัยของรถหรู “ขอบคุณนะครับสำหรับวันนี้”
คีรติอมยิ้มในตอนที่เราสบตา ก่อนจะไม่ได้พูดอะไรต่อหลังจากนั้น
“ภัทรเล่าอะไรให้ฟังเอาไหม?” และเป็นเขาเองที่ทำลายบรรยากาศอีกครั้งบนถนนเส้นใหญ่ อีกฝ่ายอื้ออึงในลำคอ เขาจึงได้เริ่มพูดสิ่งที่เก็บเอาไว้ในใจมาตลอด
“มีเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่โตมาโดยไม่มีแม่ แต่เขามีคุณพ่อ คุณลุง และคุณป้าที่น่ารักคอยเลี้ยงดูและทะนุถนอมมาตลอด” ภัทรยิ้มจาง เหม่อมองออกไปหน้ากระจกโดยไม่มีจุดหมาย “แต่เขากลับใช้ชีวิตเสเพลไปวันๆโดยไม่คิดว่าคนข้างหลังจะเหนื่อยกับสิ่งที่ตัวเองทำไหม”
“เขาเป็นนักดื่มมืออาชีพเลยแหละครับ เป็นผู้ชายที่มีคนเข้าหาทุกคืนในตอนที่ออกไปเที่ยว เป็นคนที่ไม่เคยกลัวอะไรและกล้าได้กล้าเสีย จนเขามาเจอกับผู้ชายอีกคนหนึ่ง”
“…”
“คนที่ตรงข้ามกับเขาทุกอย่าง ไม่ได้ดีมากจนน่ายกย่อง แต่ก็ดีพอที่จะทำให้ใครบางคนรู้ว่าชีวิตที่เป็นอยู่มันไร้สาระสิ้นดี”
เสียงถอนหายใจดังตามมาเมื่อประโยคยาวเหยียดจบลง ภัทรกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก มีหนทางสองทางที่เขาต้องเลือกในเวลาแบบนี้
แต่ทุกอย่างกลับตาลปัตรจากเสียงเตือนจากโทรศัพท์บ่งบอกว่ามีข้อความเข้า
จากผู้ชายอีกคน ที่เขาไม่อยากจะเฉียดเข้าไปใกล้แม้เพียงเสี้ยววิ
Thanakrit : ดูเหมือนว่ามีคนลืมนัดผมวันนี้นะครับ
“ไม่เล่าต่อหรอ?” คนขับเรียกสติเขากลับมาหลังจากหลับตาอยู่นานสองนาน มือเล็กกำโทรศัพท์แน่น เสียงสั่นในตอนแรกก่อนจะประคองให้มันคงที่ได้ในที่สุด
“เขาแกล้งทำเป็นอีกคนที่ดีพร้อม ทำทุกอย่างให้ตัวเองได้เข้าไปอยู่ในโลกใบใหญ่ใบนั้นแม้มันจะฝืนเอาซะมากๆ ทำทุกอย่างแม้ไม่รู้ว่าผลลัพท์ที่ออกมามันจะดีหรือเปล่า มันจะได้ผลมั้ย และทำทุกอย่าง...”
“…”
“...โดยที่ไม่รู้ว่าอีกคนจะรับในสิ่งที่เขาเป็นจริงๆ ได้หรือเปล่า...”
Thanakrit : จะเตือนความจำภัทรให้
Thanakrit : ถ้าไม่อยากให้รูปนี้ส่งไปถึงคีรติ
Thanakrit : คราวหลังก็อย่าทำตัวดื้อให้มันมาก
“…”
Thanakrit : sent a photo
“แล้วถ้าเป็นคุณคีล่ะครับ?” ภัทรตัดสินใจเอ่ยถาม แม้ไม่ทราบว่าคนตรงหน้าจะเข้าใจในสิ่งที่เขาเล่าทั้งหมดหรือไม่ “ถ้าเป็นคุณคี คุณจะยอมรับผู้ชายคนนั้นได้ไหม?”
“…”
หยาดน้ำใสหยาดรื้นปกคลุมดวงตาคู่สวย ไม่ใช่เพราะเขาเสียใจที่อีกฝ่ายไม่ยอมเอ่ยตอบ แต่เพราะเขาเสียใจที่เวลาของเรามันเหลือน้อยลงทุกที
เขารู้ดีว่าทุกอย่างมันต้องมีวันจบ รู้ดีว่าสักวันคีรติต้องรู้ความจริงเกี่ยวกับตัวเองเข้าแต่สุดท้ายเขาก็ยังรั้งไว้
เพื่อให้เราได้อยู่ด้วยกันนานกว่านี้
สักวินาทีก็ดีมากพอแล้ว
“ผมให้คำตอบภัทรไม่ได้หรอกนะ เพราะผมเองไม่ใช่ผู้ชายคนนั้นและผมเองก็ไม่ได้เจอกับอะไรหลายๆอย่างเข้ากับตัว” คนตัวสูงเอ่ยตอบแม้จะยังจดจ้องผ่านสายฝนไปยังถนนตรงหน้า “แล้วภัทรล่ะ จะทำยังไง?”
เขาไม่ได้เตรียมใจกับคำถามของตัวเองนัก ภัทรเลยหลุดออกจากภวังค์แล้วพยายามนึกคิดเหตุและผลที่มันสมควรจะเป็น ริมฝีปากบางยกยิ้มเมื่อสุดท้ายแล้วทุกอย่างก็จบลงหลังจากพยายามหลอกตัวเองมาเนิ่นนาน
“ก็คงไม่ได้หรอกมั้งครับ คนดีๆที่ไหนเขาโกหกกันตั้งแต่แรก”
“...”
“ใช่ไหมครับ?”
เพราะไม่มีใครที่สมหวังจากความไม่จริงใจนั้นหรอกภัทรหลับตาแน่นเพื่อกลั้นความผิดหวังจากการกระทำของตัวเอง แต่แล้วมือใหญ่ก็เข้ากอบกุมมือเขาเอาไว้โดยไม่บอกกล่าว จับมันเอาไว้แน่น มอบความอบอุ่นส่งผ่านอุณหภูมิที่เย็นฉ่ำจากเครื่องปรับอากาศที่ทำงานอย่างหนัก
.
.
แต่ถ้าเหตุผลของเขาคือรักคุณมากๆ
ถ้าเขารักคุณมากๆ
มันเพียงพอที่จะยกโทษให้กันได้ไหม?
มันคือคำขอร้องอย่างเดียวที่เขาทำได้จากสิ่งที่ผิดพลาดไปทั้งหมด
.
.
.
ร่างกายของเราชุ่มฉ่ำไปด้วยหยาดน้ำ เขาหยุดยืนบริเวณหน้าประตูต่างจากเจ้าของห้องที่มุงหน้าเข้าไปด้านในอย่างไม่ลังเล ร่างกายกำยำขยับไหวไปตามจังหวะการเดิน มือใหญ่ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตออกอย่างชำนาญจนมันตกหล่นลงตามแรงโน้มถ่วงสู่เบื้องล่าง ภัทรค่อยๆเดินตามอย่างเชื่องช้า เห็นคีรติที่เปลือยท่อยบนพาดแขนไปตามความยาวของโซฟาแล้วมองมาทางเขาคล้ายกำลังหักห้ามใจ
จากประโยคก่อนหน้าที่เขาพูดออกไปโดยไตร่ตรองมาเป็นอย่างดี
‘ภัทรอยากอยู่กับคุณคืนนี้...ได้ไหมครับ?’และดูเหมือนคีรติจะเข้าใจจากสายตาที่ส่งไปให้
จากผู้ชายเห็นแก่ตัวคนหนึ่ง
ที่อยากจะโอบกอดคุณไว้ก่อนที่ทุกอย่างมันจะสายเกินไปจนไม่มีโอกาส
#คุณไม่ตรงปก
200519
before30october