Ti Voglio {ฉันอยากมีนาย!}
shot.13 100%ขบวนรถของลาร์เฟียร์เคลื่อนตัวออกจากคฤหาสน์ของตระกูลฟงอย่างเงียบเฉียบ เจ้าพ่อหนุ่มนั่งกอดอกเงียบๆอยู่ข้างกายของรัตติกรในรถลีมูซีนที่มีพื้นที่กว้างขวาง หากแต่มันก็ดูเวิ้งว้างเมื่อมีผู้โดยสารอยู่เพียงสองคนไม่นับรวมคนขับและบอดี้การ์ดซึ่งนั่งอยู่ส่วนหน้าและถูกม่านสีเงินกั้นปิดเอาไว้อีกที
หลังจากได้เห็นภาพถ่าย ลาร์เฟียร์ก็สั่งให้บอดี้การ์ดเก็บภาพพวกนั้นไว้แล้วลุกออกมาทันที ทิ้งให้รัตติกรต้องทำหน้าที่กล่าวลาสองพี่น้องตระกูลฟงที่ทำหน้าเหมือนยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องการจะพูด แต่ด้วยความที่เกรงบารมีจึงไม่กล้าเอ่ยคัดค้านอะไรและปล่อยให้ลาร์เฟียร์ขึ้นรถจากไปแบบเสียไม่ได้
และเพราะต้องเร่งก้าวตามเจ้านายออกไปทั้งที่ยังไม่ทันได้รู้เรื่องดี จึงทำให้รัตติกรรู้แค่เพียงว่ามีใครบางคนอาจจะกำลังทรยศ แต่ก็ใช่ว่าหลักฐานกับลมปากเพียงแค่นั้นจะนำมาตัดสินอะไรได้ แล้วอีกอย่างมันก็ไม่ใช่เรื่องอะไรของเขาด้วยเหมือนกัน
ก็ถูกจ้างมาเป็นล่าม ใครจะทำอะไรก็ไม่เกี่ยวกับเขาทั้งนั้นแหละ
พอคิดตก รัตติกรก็เอื้อมมือไปหยิบหนังสือที่พกติดตัวมาแต่ต้องวางทิ้งไว้ในรถตอนที่ออกไปทำงาน มือเรียวกางหนังสือในมุม60องศาแล้วไล่อ่านเรื่องราวภายในพร้อมกับตัดขาดโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง
ลาร์เฟียร์เหลือบมองคนข้างๆแล้วได้แต่ถอนใจ คนบ้าหนังสือเป็นยังไง เขาได้เห็นจริงก็วันนี้ ราชสีห์หนุ่มที่เคยเจอกลับกลายเป็นแมวหง่าวไปซะอย่างนั้น ร่างเพรียวค่อยๆยกขาขึ้นมาชันบนเบาะ และทั้งๆที่ดวงตายังไม่ได้ละออกจากหน้ากระดาษแต่ลำตัวกลับขยับหามุมเหมาะสำหรับนั่งพิงอ่านหนังสือในระยะยาว
จะไม่ว่าอะไรเลย ถ้ามุมเหมาะๆของเจ้าแมวนี่จะไม่ใช่ลำตัวของเขาเอง…
“ลูน่า…”
“….”
“ลูน่า!”
“อย่ากวนสิ…”ได้ยินแค่นั้นเจ้าพ่อหนุ่มก็คิ้วกระตุก
“ก็ถ้ายังมาพิงฉันอยู่แบบนี้ มันก็จะไม่จบแค่ฉันเรียกชื่อของเธอ อยากลองอะไรแรงๆกว่านี้มั้ยล่ะ?”รัตติกรไม่มีปฏิกิริยาตอบรับ เจ้าแมวหง่าวรอจนไล่อ่านจนจบหน้าในเวลาไม่กี่วินาทีแล้วถึงยอมเงยหน้าขึ้นมองเขา
“คุณว่าอะไรนะ?”
“ฉันถามเธอว่าเย็นนี้ระหว่างแส้ม้ากับน้ำตาเทียนจะเอาอะไรดี?”ได้ยินดังนั้นหนุ่มไทยก็ขมวดคิ้วมุ่น
“เรื่องอะไร!!”พริบตาเจ้าแมวก็กลายร่างกลับเป็นราชสีห์ ดวงตาสีน้ำตาลไหม้ที่ฉายประกายแวววับนั้นระแวดระวังพร้อมกับที่ลำตัวเขยิบออกห่างจากเจ้าพ่อหนุ่มจนไปชิดกับประตูรถอีกฝาก
“นี่ยังอยู่ในเวลางานนะลูน่า ฉันจำไม่ได้ว่าอนุญาตให้เธออ่านหนังสือได้แล้ว”ลาร์เฟียร์กอดอกแล้วมองรัตติกรตาระยับ
“ก็แล้วไหนล่ะงานให้ทำ? คุณไม่เห็นให้ผมแปลอะไรสักอย่าง”
“ความสามารถเธอทำได้แค่นั้นรึไง?”เจ้าพ่อหนุ่มยักคิ้วถาม ในดวงตาคมกริบนั้นส่งสัญญาณท้าทายมาอย่างแจ่มชัดจนรัตติกรกัดฟันกรอด
“แล้วจะให้ทำอะไรอีก ให้บอกมั้ยล่ะว่าสถานที่ในรูปที่คุณได้มามันอยู่ที่ไหน เผื่อจะช่วยแก้ปัญหาที่คิดไม่ตกของนายท่านไงล่ะครับ?”เขาพูดเสียงนอบน้อม ทว่าน้ำคำนั้นไม่ต้องตั้งใจฟังก็รู้ว่าตั้งใจจะประชดประชันชัดเจน
“เธอรู้?”กลับเป็นฝ่ายลาร์เฟียร์ที่ประหลาดใจ เจ้าพ่อหนุ่มไม่คิดว่าคนอย่างรัตติกรจะมาล้อเล่นกับเขา
“นั่นน่ะภัตตาคารอาหารจอร์เจียที่ชื่อ Таганская улица อยู่ถนนหลวงสาย Taganskaya ulitsa แถวใจกลางเมืองมอสโก แล้วก็ อืม...ในร้านมีกล้องวงจรปิดด้วย แค่นี้ก็ช่วยคุณได้เยอะแล้วมั้ง ผมอ่านต่อได้ยัง?”ว่าจบ จากราชสีห์เมื่อกี้ก็ทำท่าจะกลับไปเป็นแมวอีกครั้ง ลาร์เฟียร์ส่ายหัวให้กับพฤติกรรมนั้นหากแต่ริมฝีปากหยักกลับเหยียดยิ้มออกเล็กน้อย เจ้าพ่อหนุ่มกอดอกแล้วเอนตัวพิงกับพนักเก้าอี้ ทอดสายตามองผู้ร่วมทางที่นั่งก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือ
“หืม...รู้มาจากไหนล่ะพ่อคนเก่ง”ลาร์เฟียร์ถามพร้อมกับหยิบมือถือขึ้นมากดโทรออก ดวงตาสีสนิทคมกริบยังคงจับจ้องไปที่อีกฝ่ายแน่นิ่ง
“ภัตตาคารในภาพของคุณเหมือนกับที่ผมเคยอ่านเจอในหนังสือРекомендуемые рестораны в России. หนังสือนำเที่ยวร้านอาหารในรัสเซียน่ะ ส่วนที่บอกว่ามีกล้องวงจรปิด เจ้าของร้านสัมภาษณ์ลงนิตยสารท้องถิ่นเมื่อสองปีก่อน”คนถูกมองที่ยังไม่รู้ตัวตอบเรื่อยๆ ความเงียบทิ้งตัวอยู่เพียงชั่วระยะเดียว แต่นานพอให้รัตติกรตัดขาดออกจากโลกภายนอกได้
เสียงรอสายจากในมือถือเงียบหายไปเป็นสัญญาณว่าปลายสายได้กดรับเรียบร้อย ลาร์เฟียร์สั่งการให้หัวหน้าสาขาที่รัสเซียไปตรวจสอบตามข้อมูลที่ได้รับ
ที่นี้ก็จะได้รู้กัน ว่าลูน่าของเขาจะเป็นของจริง หรือแค่พวกปากเก่งกันแน่...
_________________________________
ลีมูซีนสีขาวสะอาดตาแล่นจอดลงหน้าโรงแรมหรูในย่านเซี่ยงไฮ้ รัตติกรหรี่ตาลงเมื่อเปิดประตูก้าวลงจากรถแล้วพบว่าท้องฟ้าที่เคยเห็นเป็นสีเทาขมุกขมัวจากควันพิษกลับกลายเป็นสีส้มอมแดงของยามเย็นไปเรียบร้อย อากาศหนาวๆทิ้งตัวลงปกคลุมอยู่รายรอบกาย ส่งผลให้รัตติกรยกมือขึ้นมาถูกันแล้วเป่าเบาๆ
หนุ่มชาวไทยยืนนิ่งมองสิ่งแวดล้อมรอบกาย ปล่อยให้เจ้าพ่อหนุ่มที่ก้าวตามออกมาต้องเป็นฝ่ายคว้าแขนดึงไปทางเข้าโรงแรม รัตติกรทำหน้าขัดใจและลองสะบัดแขนออกออกจากการยึดจับ แต่แรงที่บีบกระชับรอบข้อมือนั้นกลับเพิ่มมากขึ้นจนได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้วเดินขมวดคิ้วตามไปอย่างไม่มีทางเลือก
เมื่อก้าวเข้าไปภายใน ภาพแรกที่เห็นคือล็อบบี้ของโรงแรมที่สวยงามและหรูหราด้วยโครงสร้างของห้องโถงที่สูงแต่โล่งโปร่งเพราะผนังประกอบจากกระจกใส เหนือขึ้นไปมีโคมไฟแชนเดอเลียร์ห้อยระย้าตกแต่งเพดานและให้แสงนวลตาส่องสว่างได้อย่างทั่วถึง รอบด้านรายล้อมเฟอร์นิเจอร์ชั้นดีซึ่งถูกออกแบบอย่างหรูหราให้เข้ากับโครงสร้างของโรงแรมอย่างพอเหมาะพอเจาะและจัดวางมันไว้อย่างลงตัว
ลาร์เฟียร์ดึงรัตติกรอีกครั้งเมื่อเห็นร่างเพรียวก้าวช้าลงเรื่อยๆและมองโน่นนี่ไม่วางตา เจ้าพ่อหนุ่มหันมาสั่งเลขาผู้ติดตามสั้นๆ มือหนายังกุมข้อมือผอมบางเอาไว้
“ฟราน จัดการเรื่องห้องกับคิวขึ้นบินพรุ่งนี้ให้เรียบร้อย เสร็จแล้วไปตามฉันที่ห้องอาหาร”
“ครับดอน”
เลขาอีกคนที่ลาร์เฟียร์พามาด้วยโค้งตัวรับคำสั่งก่อนจะเดินไปทางล็อบบี้ของโรงแรมพร้อมกับการ์ดอีกสองคนที่ลากกระเป๋าตามไป หัวหน้าบอดี้การ์ดหน้าเข้มเจ้าของนามสคูร์โดแบ่งงานให้กับการ์ดอีกสองสามกลุ่ม แต่ก่อนที่รัตติกรจะได้อยู่ดูต่อว่าพวกนี้วางแผนความปลอดภัยกันยังไง มือหนาที่ยังคงคว้าจับข้อมือของเขาไว้ก็รั้งตัวเขาออกมาและพามุ่งหน้าลิฟต์ที่ถูกกดรอเอาไว้โดยเจ้าหน้าที่ของโรงแรม
“ไม่ต้องลากได้มั้ย ผมเดินตามคุณเองได้หรอกน่า”ร่างเพรียวกระซิบลอดไรฟันแล้วพยายามดึงมือออกจากการเกาะกุม ลาร์เฟียร์หันกลับมามองคนข้างกายแล้วเปลี่ยนจากการกุมมือเป็นโอบเอวแทน
“คุณ!!”รัตติกรสะดุ้งเฮือกก่อนจะตวัดสายตามาจ้องเขม็ง ลาร์เฟียร์เหยียดยิ้มรับท่าทางแข็งกร้าวของคนตรงหน้าแล้วรวบเอวสอบเพรียวเข้าหาตัวจนสะโพกแนบสนิทกัน
“
ชักช้า....”เจ้าพ่อหนุ่มก้มลงกระซิบเบาๆข้างใบหูของราชสีห์หนุ่มที่กำลังโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ก่อนจะใช้แรงเพียงเล็กน้อยดันตัวคนข้างๆให้ก้าวเข้าไปในลิฟต์ซึ่งไร้ผู้โดยสารคนอื่น การ์ดอีกสองคนก้าวตามเข้ามาแล้วกดหมายเลขของชั้นที่เป็นจุดหมาย
“ปล่อยได้รึยัง!?”รัตติกรถามเสียงหนักแล้วบิดตัวหนีมือใหญ่ที่โอบเอวเขาไว้แน่นยิ่งกว่าอะไรดี
“ไม่”นอกจากไม่ปล่อยแล้วมือนั้นยังรัดแน่นกว่าเดิม รัตติกรได้แต่หันไปจ้องเจ้าพ่อหนุ่มตาเขียวปัด
“แล้วจะจับหาอะไรครับ?”แม้จะลงท้ายเสียงสุภาพ หากแต่น้ำคำกลับฟังแล้วทำให้คนเป็นเจ้าพ่ออย่างเขาหงุดหงิดชอบกล
“ฉันอยากจับฉันก็จับ อยู่เงียบๆซะทีลูน่า”ว่าจบแล้วก็ดึงตัวคนข้างๆเข้าชิด แล้วหันไปมองเลขลิฟต์ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆตามระดับชั้นที่พุ่งขึ้นสูงขึ้นเรื่อยๆ
คนผิดคือเขารึไง?? รัตติกรได้แต่คิดอย่างหงุดหงิด ก่อนจะขยับตัวหยุกหยิกเป็นเชิงบอกว่าเขาไม่พอใจเงียบๆ เสียงเตือนว่าลิฟต์ถึงชั้นที่ต้องการแล้วดังขึ้นเบาๆก่อนประตูที่ถูกเล่นลวดลายด้วยกระจกทั้งบานก็เปิดออก เผยให้เห็นทิวทัศน์ของเมืองเซี่ยงไฮ้ยามค่ำคืนผ่านหน้าต่างกระจกใสบานสูง
การ์ดหนึ่งในสองคนก้าวนำออกไปก่อน รัตติกรได้ยินเสียงดนตรีคลาสสิคดังแว่วมาเบาๆ มันบรรเลงผ่านแกรนเปียโนสีดำขัดมันซึ่งตั้งอยู่กลางห้องอาหารของโรงแรม รอบด้านเป็นโต๊ะอาหารซึ่งตั้งอยู่ประปราย แขกเหรื่อส่วนใหญ่อยู่ในชุดพิธีการหรูหราและพูดคุยกันด้วยท่าทางสุภาพ
บริกรเห็นลาร์เฟียร์กับรัตติกรเดินเข้ามาจึงเดินมาหาแล้วค่อมตัวทักทายด้วยประโยคภาษาอังกฤษติดสำเนียงจีนเล็กน้อย ก่อนจะผายมือเชิญทั้งคู่ไปยังโต๊ะอาหารที่ตั้งอยู่ใกล้กับกระจกหน้าต่างบานสูงในมุมสงบ ถือเป็นทำเลดีที่สุดภายในห้องอาหารแห่งนี้ก็ว่าได้
สมุดเมนูหุ้มปกไหมสีแดงเดินลายสีทองอย่างดีถูกวางลงตรงหน้าทั้งคู่ด้วยท่าทางนอบน้อม รัตติกรเปิดดูรายการอาหารแล้วไล่สายตาดูว่ามีเมนูอะไรบ้าง ที่ภัตตาคารแห่งนี้เน้นอาหารทางฝั่งยุโรป ส่วนอาหารของทางเอเชียจะอยู่ที่ภัตตาคารอีกแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่คนละชั้นกัน
“รับอะไรดีครับท่าน”
“เฟตตูชินีซอสอัลเฟรโด กับแรร์สเต็กเทนเดอร์ลอยน์ลูกแกะย่าง”หลังจากเหลือบมองผ่านเมนูคร่าวๆลาร์เฟียร์ก็เลือกอาหารอิตาเลี่ยนอย่างไม่ลังเล ดวงตาสีสนิมคมกริบเหลือบไปมองทางฝั่งรัตติกร เป็นเชิงบอกให้อีกฝ่ายรีบสั่งอาหาร
“บิสเต็กก้า อัลลา ฟิโอเรนติน่า ขอแบบมีเดียม เวลดันนะครับ”รัตติกรเลือกสเต็กเนื้อทีโบนแบบอิตาเลี่ยนแท้ เป็นเนื้อทีโบนชิ้นหนาที่หมักด้วยเกลือ พริกไทยดำ น้ำมันมะกอก และย่างบนเตาถ่านไม้
ปกติคนส่วนใหญ่จะกินแบบไม่สุก แต่ด้วยความเคยชินกับการกินอาหารที่สุกๆ รัตติกรจึงสั่งแบบมีเดียม เวลดันซึ่งเนื้อที่ย่างออกมาจะมีลักษณะสุกทั้งชิ้นแต่ไม่ถึงกับเกรียม ต่างกับของลาร์เฟียร์ที่เลือกแบบสุกน้อย ซึ่งจะย่างให้สุกเพียงแค่ภายนอก แต่เนื้อด้านในยังคงเป็นสีแดงอมชมพูอยู่
เจ้าพ่อหนุ่มปิดสมุดเมนูแล้วยื่นคืนให้บริกรที่ยืนรออยู่ข้างๆ ก่อนจะหันมามองคนที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามแล้วขยับยิ้มเย็นๆ
“ไวน์เธอเป็นคนสั่งแล้วกันนะ ลูน่า”รัตติกรเลิกคิ้วเมื่อโดนสั่งกะทันหัน การเลือกไวน์ให้เข้ากับอาหารนั้นเป็นเรื่องเฉพาะทาง คนทั่วไปจะรู้เพียงขั้นพื้นฐานว่าไวน์ชนิดไหนเหมาะกับอาหารประเภทใด ยิ่งปีเก่ามากเท่าไหร่ราคาก็ยิ่งสูงตามรสชาติที่นุ่มนวลมากขึ้นเท่านั้น
แต่หากเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านไวน์ ย่อมรู้ว่าการจะเลือกไวน์ให้เหมาะสมกับอาหารอย่างล้ำลึกนั้นจำเป็นต้องรู้ว่าไวน์แต่ละชนิดมีรสชาติและกลิ่นที่แตกต่างกันไปอย่างไร เริ่มตั้งแต่สถานที่ที่ใช้ในการเพาะปลูกองุ่น ทั้งลักษณะดิน สภาพแวดล้อม สภาพอากาศ รวมไปถึงวัตถุดิบที่ใช้ในการหมักบ่ม อุณหภูมิที่ใช้เก็บไวน์ เรื่อยไปถึงประวัติศาสตร์ของไวน์แต่ละขวด
แล้วเจ้าพ่อมาเฟียนี่คิดว่าคนอย่างเค้าจะไม่รู้เรื่องนี้รึไง?มีหนังสือมากมายโดยเฉพาะในภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส และอิตาลี่ นักวิจารย์หลายต่อหลายคนได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับไวน์ ยิบย่อยไปตั้งแต่ประวัติศาสตร์ของการถือกำเนิด รสชาติของไวน์แต่ละขวด อาหารที่เหมาะสมกับไวน์ มากมายนับไม่ถ้วน
“บอร์โด กาแบร์เน-โซวีญง ปี84 ให้เค้า ส่วนของผมขอแคลิฟอร์เนีย ซินฟันเดล ปี94ครับ”รัตติกรไล่มองจากรายชื่อไวน์ต่างๆที่ถูกเขียนเอาไว้ ก่อนจะเลือกไวน์สองชนิดขึ้นมาและส่งสมุดเมนูคืน หนุ่มชาวไทยแค่นเสียงในลำคอให้เจ้าพ่อหนุ่มที่ยกมือขึ้นมาปรบเบาๆให้เขาเป็นเชิงล้อเลียน ก่อนจะเปลี่ยนไปกอดอกแล้วมองแสงไฟวิบวับจากเมืองที่วุ่นวายที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาคเอเชีย
บริกรค่อมตัวลงอีกครั้งแล้วจากไป ทิ้งให้คนทั้งสองตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง การ์ดสองคนที่ตามมาด้วยยืนอยู่ห่างๆ ไม่โดดเด่นจนเกิดไป แต่ก็ไม่ลับตาจนเผยให้เห็นจุดอ่อน
“ทำไมถึงเลือกไวน์นั้นให้ฉันล่ะหืม?”ลาร์เฟียร์ทำลายความเงียบขึ้นมาก่อนด้วยการเอ่ยถามคนตรงหน้า ซึ่งทำให้เขาประหลาดใจมาหลายต่อหลายครั้ง
“เพราะคุณสั่งเนื้อแกะ”รัตติกรยักไหล่ตอบ
“แล้ว…?”
รัตติกรถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งแล้วเริ่มอธิบายขยายความด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งคงที่
“….ไวน์แดงของเมืองบอร์โด ซึ่งตามผมที่เคยอ่าน เป็นไวน์ที่นักวิจารย์อาหารส่วนใหญ่แนะนำว่าเหมาะกับเนื้อแกะมากที่สุด เพราะรสฝาดขององุ่นพันธุ์กาแบร์เน-โซวีญงจะเข้ากันดีกับกลิ่นสาบเล็กน้อยของเนื้อแกะที่คุณสั่ง อีกทั้งปี 82 เป็นช่วงปีที่ฝรั่งเศสมีสภาพอากาศดีที่สุดปีหนึ่ง ทำให้ไวน์ที่หมักออกมาได้ในปีนั้นมีรสชาตินุ่มนวล แล้วก็นะ…ปีที่ใช้หมักเยอะๆแบบนั้นมันเหมาะกับคนมีอายุ…อย่างคุณน่ะ”
หรือเรียกง่ายๆก็คนแก่น่ะนะ… รัตติกรยิ้มน้อยๆแต่ดวงตาวาววับ ลาร์เฟียร์เห็นดังนั้นก็เหยียดริมฝีปากออกกว้างแล้วเท้าแขนกับเก้าอี้
“มีความรู้เยอะจังนะ ไม่แพ้
ปากดีๆของเธอเลย”ดวงตาสีสนิมคมกริบเหลือบลงมองริมฝีปากบางของคนตรงข้ามที่เม้มแน่นเมื่อถูกตอกกลับ
“…เหอะ”
_________________________________
ในอีกด้านหนึ่งของห้องอาหารหรูหรา ชายหนุ่มชาวจีนร่างเล็กท่าทางเจ้าเล่ห์ได้ยกโทรศัพท์มือถือเครื่องหนึ่งซึ่งถูกต่อสายตรงไปถึงคฤหาสน์ของตระกูลฟง บุคคลผู้อยู่ปลายสายนิ่งฟังเสียงรายงานที่ถูกถ่ายทอดเป็นภาษาจีนท้องถิ่นซึ่งแตกต่างจากภาษาจีนกลาง ก่อนจะถามคำถามของเรื่องที่ต้องการรู้ออกไป
“เขาจะอยู่อีกนานเท่าไหร่?”
“สายเราที่แฝงตัวอยู่ในโรงแรมรายงานมาว่าเขาจะบินไปญี่ปุ่นพรุ่งนี้เที่ยงครับคุณชายสอง”
“ไปไม่ได้!!”
“ครับ?”
“ตราบใดที่แผนการของฉันยังไม่สำเร็จ เขาก็ยังไปจากจีนไม่ได้! ทำยังไงก็ได้ให้เขาอยู่ที่นี่ต่อ ถ้าสำเร็จ รางวัลที่พวกนายจะได้รับมันก็จะเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณเช่นกัน!”
“ไม่ต้องห่วงครับคุณชายสอง แผนสำเร็จเมื่อไหร่ผมจะโทรไปรายงานทันที”
“แล้วฉันจะรอฟัง!!”_________________________________
เป็นตอนที่ มีเนื้อหาเกี่ยวกับอาหารเยอะมาก (ทั้งๆที่เป็นแนวมาเฟีย)
แถมต้องหาข้อมูลเยอะมากด้วย… =[]=
ขอบคุณที่โลกนี้มีกูเกิ้ลนะครับ ไม่งั้นผมคงจอดตั้งแต่ตอนแรกนั่นแหละ 555
(รัสเซียก็จัดเต็มกับกูเกิ้ลเอิร์ท เรื่องไวน์ยังโชคดีที่มีความรู้พื้นฐานอยู่บ้างเลยได้ร่ายยาว 55)
เรื่องสเต็กนั่นเป็นเรื่องจริงนะครับ
แต่มีข้อมูลเกี่ยวกับปีที่ผลิตไวน์ ส่วนนี้ผมมั่วเอาล้วนๆนะครับ แต่ที่เหลือเป็นความจริงน้า
ช่วงนี้ต้องเคลียร์งานเยอะทำให้มาลงช้า อีกสองสัปดาห์ผมก็สอบไฟนอลแล้วครับ เลยต้องเร่งตามงานในช่วงที่หยุดไปอ่านสอบเข้ามหาลัยนี่แหละ ก็ขอผ่านช่วงยุ่งๆนี้ไปก่อนแล้วสัญญาว่าจะอัพให้เร็วกว่าเดิมนะครับ
สวัสดีครับผ้ม ^^
Namioto Yo