ตอนที่ 17
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่จงรักตื่นเร็วเป็นพิเศษเนื่องจากต้องกลับไปเก็บของที่คอนโด สำหรับจงรักวันนี้พิเศษขึ้นอีกนิดตรงที่พี่เมฆเข้าครัวทำอาหารเช้าให้ด้วยตัวเอง จงรักค่อนข้างแปลกใจที่รู้ว่าพี่เมฆทำอาหารเก่งเลยทีเดียว เสียแต่เจ้าตัวไม่ค่อยมีเวลาอีกทั้งตอนนี้จงรักก็อาสาเป็นคนจัดการพี่เมฆจึงไม่ได้โชว์ฝีมือเลย
“มีอะไรติดหน้าพี่หรือไงถึงได้จ้องเอาๆ” เห็นจงรักตักอาหารเข้าปากคำหนึ่งก็จ้องเขาทีหนึ่ง เมฆาจึงอดถามออกไปไม่ได้
“ไม่มีอะไรติดหน้าพี่เมฆหรอกครับ รักแค่ไม่ค่อยอยากเชื่อเท่าไหร่ว่าพี่เมฆทำอาหารเก่งแบบนี้” จงรักว่า คนตัวสูงได้ยินดังนั้นก็ทำเสียงขึ้นจมูกนิดหน่อยก่อนตอบ
“พี่อยู่คนเดียวตั้งแต่ม.ปลาย ถ้าทำกับข้าวกินเองไม่ได้ก็อดตายพอดี ให้ซื้อกินทุกมื้อก็คงไม่ไหวหรอก”
“ทำไมล่ะครับ”
“มันเปลือง”
“อ๋อ…” เช้านี้เป็นเช้าที่ดีจริงๆนั่นแหละ เพราะจงรักได้รู้ความลับของพี่เมฆเพิ่มตั้งอีกสองอย่าง อย่างแรกคือทำอาหารเก่ง ส่วนอย่างที่สองก็คือเป็นคนค่อนข้างประหยัด…
พอจัดการมื้อเช้าเรียบร้อยทั้งสองคนก็ออกจากบ้าน เมฆาขับรถไปที่คอนโดอย่างไม่รีบร้อนนัก เมื่อมาถึงจงรักก็เป็นคนนำขึ้นไปที่ห้อง ทีแรกตั้งใจว่าจะเก็บของไปให้หมด แต่เมื่อคิดดูอีกทีจงรักเห็นว่าเอาไปแต่เสื้อผ้ากับของใช้จำเป็นเท่านั้นก็พอ เพราะไม่ได้ตั้งใจปล่อยห้องให้คนเช่าหรือขายต่อ ขนไปหมดก็ต้องเสียเวลาจัดบ้านโน้นอีก ข้าวของใช่ว่าจะน้อยเสียที่ไหน เอาไว้ค่อยเวลาที่เข้ามาทำสะอาดห้องเดือนละครั้งสองครั้งค่อยทยอยขนไปทีละชิ้นคงดีกว่า
เมฆาเองก็ไม่ได้แย้งอะไร ตอนนี้เจ้าตัวหันไปให้ความสนใจกับอัลบั้มเก่าสมัยน้องเรียนมหาลัย ในนั้นมีรูปจงรักกับเพื่อนในชั้นปีเสียส่วนใหญ่ ภาพของจงรักในตอนนั้นไม่ได้ต่างจากตอนนี้เท่าใดนัก เพียงแต่ตอนนี้ผมยาวกว่าเดิมเล็กน้อย รอยยิ้มของน้องก็ยังคงแสดงถึงความจริงใจได้เสมอ แม้ว่าใบหน้าจะเปรอะเปื้อนไปด้วยสีจากการรับน้องก็ตาม มือค่อยๆเปิดไล่ไปทีละหน้าจนครบ หลังๆมีรูปของวินกับสายรหัสทั้งหมดรวมอยู่ด้วย
ได้ยินเสียงห้าวตะโกนบอกว่ารวบรวมสัมภาระที่จะเอาไปวันนี้ครบแล้วเมฆาก็ดูเสร็จพอดี เขาเอารูปใส่ลงไปในชั้นอย่างเก่าเพราะจงรักบอกว่าเอาไว้คราวหน้าค่อยขนไป กำลังจะเข้าไปช่วยน้องยกกระเป๋าใส่เสื้อผ้า แต่ดวงตาคมก็อดที่จะมองไปยังอัลบั้มรวมรูปนั้นไม่ได้
รู้สึกผิดหวังนิดหน่อยก็ในนั้นไม่มีรูปของเขาเลยสักใบ ไม่รู้ทำไมตัวเองถึงต้องคาดหวัง ทั้งๆที่ตอนนั้นพวกเขาอาจยังไม่รู้จักกันด้วยซ้ำไป แต่เมฆากลับอยากให้ตัวเองเป็นส่วนหนึ่งในความทรงจำของจงรักตั้งแต่เริ่มต้นชีวิตมหาลัย รู้สึกว่าตัวเองชักจะงี่เง่าเต็มทน คนตัวสูงถอนหายใจเบาๆแล้วปัดความคิดเห็นแก่ตัวพวกนั้นทิ้ง ก่อนเดินเข้าไปในส่วนที่เป็นห้องนอน เขาเห็นจงรักกำลังขะมักเขม้นกับการเอาผ้าคลุมเตียงจึงเข้าไปช่วยจับอีกด้านให้
“ขอบคุณครับ” คำขอบคุณมาพร้อมกับรอยยิ้มหวาน คนหน้าดุจึงอดไม่ได้ต้องยิ้มรับกลับไป
“เอาไปแค่นี้ใช่ไหม” เขามองกระเป๋าเดินทางที่อัดแน่นไปด้วยเสื้อผ้าและกล่องใส่เอกสารหนึ่งกล่อง
“ครับ เอาไปเท่านี้ก่อน พวกตู้เตียงหรือของใหญ่รักคงไม่เอาไป เผื่อพี่รีกลับมาพัก ส่วนของอย่างอื่นก็อย่างที่บอก ค่อยมาเอาคราวหน้า” จงรักว่าพลางรูดซิปกระเป๋าเสื้อผ้า ในขณะที่เมฆามองสำรวจไปรอบๆห้อง ก่อนสายตาไปสะดุดกับหนังสือนิยายเล่มหนึ่งที่วางอยู่บนหัวเตียง
เมฆาหยิบหนังสือนิยายเล่มนั้นขึ้นมาไว้ในมือ เขามองชื่อเรื่องที่อยู่บนหน้าปกแล้วคิด เขาเคยอ่านเรื่องนี้อยู่ครั้งหนึ่งเหมือนกัน มันเป็นหนังสือที่ดีมากๆเล่มหนึ่ง แม้ว่าจะผ่านมานานแล้วก็ยังจำเรื่องราวคร่าวๆได้อยู่ เมฆาพลิกเปิดไปดูหน้าแรกตามประสา หากแต่วันที่ที่เขียนกำกับไว้ทำให้เขานึกเอะใจ
08/05/2552 ลายมือนั้นดูเหมือนกับลายมือของเขาไม่มีผิด เมื่อเกิดความสงสัยขึ้นในใจเจ้าตัวจึงพลิกหน้าถัดๆไป แล้วก็พบรูปตัวการ์ตูนรูปกระต่ายอ้วนแหงนมองพระจันทร์ดวงโตอยู่ เมฆาจำมันได้ทันที หนังสือเล่มนี้เป็นของเขา ทว่ากลับเกิดคำถามขึ้นในใจว่าหนังสือเล่มนี้มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร อีกทั้งข้างรูปที่วาดดันมีรูปกระต่ายตัวเล็กอีกตัวยืนอยู่ข้างกัน ซึ่งเมฆาก็จำได้อีกว่ากระต่ายตัวที่สองเขาไม่ได้เป็นคนวาด กำลังจะเงยหน้าถามจงรักว่าได้หนังสือเล่มนี้มาได้อย่างไร เจ้าตัวดีก็ผุดลุกพรวดแล้วรี่เข้ามาแย่งหนังสือในมือของเขาไปเสียอย่างนั้น
ด้วยความที่หนังสือถูกยื้อแย่งไปโดยแรง ทำให้แผ่นกระดาษแผ่นหนึ่งที่สอดซ่อนเอาไว้หล่นลงมาจากหน้าหนังสือ เมฆาใช้ความไวกว่าก้มลงไปหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาพลิกขึ้นสำรวจ แล้วเขาก็พบว่ามันคือรูปใบหนึ่ง บนนั้นเป็นภาพของผู้ชายธรรมดาที่ได้พบกันทุกครั้งยามที่เขาส่องกระจก เพิ่งรู้วันนี้ว่าการมองรูปตัวเองมันทำให้หัวใจของเขาพองโตได้ถึงขนาดนี้
“อธิบายมา” ดวงตาคมดุส่องประกายวิบวับยามมองตรงมาที่จงรักเพื่อรอคำตอบ
“ก็…เอ่อ” จงรักอ้ำอึ้งถึงกับไปไม่เป็น
“หนังสือนั่นกับรูปนี่มาอยู่กับรักได้ยังไง” เมฆาไม่ถามเปล่า เขาเดินตรงเข้ามารุกไล่จนหนุ่มตัวเล็กถอยชิดตู้เสื้อผ้า
“หนะ…หนังสือนี่พี่เมฆเป็นคนให้ผมยืมเอง จำไม่ได้เหรอครับ” จงรักยกหนังสือขึ้นมาระดับเดียวกับหน้าเพื่อปิดบังเรื่องหน้าอายของตนเอง
“ขอโทษที พี่จำไม่ได้” ตาดุมีแววเสียใจวูบหนึ่ง ก่อนถามต่อ “แล้วถ้าพี่ให้ยืม ทำไมมันยังอยู่ที่เราล่ะ”
“คือว่า…ตอนที่เอามาอ่าน ผมเผลอ…เอ่อ…เผลอวาดรูปลงไปในหนังสือของพี่ ผมกลัวพี่ว่า ก็เลย…”
“ไม่ได้คืนพี่” เมฆาต่อประโยคให้ตามที่คาดเอาไว้
“ครับ” และมันก็เป็นจริง ดังนั้นจงรักทำหน้าสลดลง จากนั้นจงรักขอโทษขอโพยเจ้าของเดิมเป็นการใหญ่ “ผมขอโทษนะครับ ผมรู้ว่าทำแบบนี้มันแย่มาก แต่ว่าพอรู้ตัวอีกทีก็วาดไปแล้ว จะลบก็ไม่ได้เพราะใช้ปากกาดำ พี่เมฆอย่าโกรธเลยนะครับ เดี๋ยวผมซื้อเล่มใหม่ใช้คืนให้”
“ช่างหนังสือก่อน พี่อยากรู้เรื่องรูปนี่มากกว่า” เมฆายกรูปที่มีหน้าของตัวเองเด่นหราอยู่บนนั้นให้น้องเห็น
“คือ…ผม ผมเห็นพี่ตั้งแต่ไปกินข้าวพร้อมเฮียวินครั้งแรก แล้ว…” ดูก็รู้ว่าจงรักประหม่าเกินกว่าจะเล่าให้จบ ทว่าเมฆาก็พยายามกลั้นยิ้มตีหน้าขรึมเพื่อคาดคั้น
“แล้ว?”
“แล้วนานเข้าเฮียวินดันสังเกตเห็น เฮียแกก็เลยมาถามเอากับผม พอผมยอมรับว่าแอบชอบพี่ เฮียวินแกก็เอารูปพี่มาให้ แลกกับให้ผมช่วยจัดสวนถาดครับ”
“ไอ้วินเอ้ย!” ไม่รู้ว่าเจอกันครั้งหน้าเขาควรขอบใจเพื่อนรักหรือตบกะโหลกมันสักป้าบก่อนดี ไม่ปฏิเสธว่าไอ้วินมีส่วนอย่างมากในการช่วยให้เขากับจงรักได้คบกันอย่างทุกวันนี้ แต่ไอ้การกระทำเพื่อหวังผลนี่มันน่าหมั่นไส้น้อยเสียที่ไหนกัน
“พี่เมฆ” จงรักเรียกแล้วช้อนตามองอย่างหวาดๆ
“หืม?” คนหน้าดุเลิกคิดถึงเรื่องเพื่อนสนิทตัวแสบชั่วคราวแล้วหันกลับมาสนใจคนตาแขกตรงหน้า
“โกรธหรือเปล่าครับ”
“โกรธ” พอพูดออกไปแบบนั้น จงรักก็ยิ่งดูคล้ายตัวหดเล็กลงกว่าเดิม
“ขอโทษครับ ทั้งเรื่องหนังสือแล้วก็เรื่องรูป—“
ยังไม่ทันพูดให้จบประโยค คำพูดพวกนั้นก็ถูกคนตัวสูงกลืนลงท้องไปจนหมด มือหนาอ้อมมาจับที่ท้ายทอยของน้องให้แหงนรับรสจูบได้เต็มที่ ในทีแรกแม้จะตกใจอยู่บ้างแต่ความรู้สึกหวามไหวก็ทำให้จงรักเผลอไผลไปกับสัมผัสที่ถูกป้อนให้ นานเป็นนาทีที่ถูกกลืนกินจนแทบหมดลม ในที่สุดเมฆาก็ถอนริมฝีปากออก ดวงตาคู่ดุจ้องมองมาอย่างรักใคร่ นิ้วโป้งหนาเกลี่ยเช็ดน้ำใสที่มุมปากแดงฉ่ำเบามือขณะที่น้องยืนหอบหายใจกอบโกยอากาศ
“โกรธเสียที่ไหนล่ะ ดีใจต่างหาก”
“ดีใจเหรอครับ…?”
“ดีใจสิ หรือพี่ยังแสดงออกไม่พอ”
“เปล่าครับ แค่ไม่เคยคิดว่าที่ผมทำ จะทำให้พี่เมฆดีใจได้” จงรักว่าพาซื่อ
“เด็กโง่”
เมฆาว่าอย่างนั้นก่อนรวบคนตัวเล็กเข้ามากอด ตั้งแต่มีคนคนนี้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต เขารู้สึกว่ามีความสุขเพิ่มมากขึ้นทุกวัน เคยคิดว่าน่าจะได้รู้จักกันจริงๆจังๆเร็วกว่านี้ แต่พอนึกดูอีกทีที่เป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว ได้เจอคนที่ใช่ถือว่าโชคดี ไม่ควรมานั่งกะเกณฑ์ว่าเจอช้าหรือเจอเร็วให้ปวดหัวอีก
หลังจากถูกกอดจนพอใจ พี่เมฆก็ปล่อยให้จงรักเก็บของต่อโดยที่เจ้าตัวอาสามาช่วยด้วยอีกแรง เวลาเที่ยงเศษทั้งคู่ก็เดินทางออกจากคอนโดเพื่อตรงกลับบ้าน แต่เมฆาเห็นว่าของที่จงรักขนมาก็มีไม่มาก กลับไปจัดเสื้อผ้าเข้าตู้เดี๋ยวเดียวก็เสร็จ เขาจึงชวนน้องไปเดินดูต้นไม้ที่จัตุจักรอย่างที่จงรักอยากไป
เป็นที่รู้กันว่าวันอาทิตย์ช่วงบ่ายที่ตลาดจัตุจักรจะมีคนมาเดินกันเนืองแน่ ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ เมฆาวนหาที่จอดรถเป็นนานสองนานกว่าจะพบ จอดรถแล้วเขาสองคนยังต้องเดินทะลุสวนสาธารณะออกมาเพื่อไปยังที่หมาย ข้ามถนนไปยังฝั่งตลาด บริเวณริมทางเดินแออัดไปด้วยร้ายขายสัตว์เลี้ยงยาวตลอดเส้นทางจงรักจึงอดใจไม่ไหวแวะดูร้านโน้นร้านนี้เสียทุกร้านไป กระทั่งมาหยุดอยู่ที่ร้านขายกระต่ายร้านหนึ่ง กรงที่หนุ่มตัวเล็กยืนมองด้วยความสนอกสนใจเป็นกรงของเจ้ากระต่ายแคระสีน้ำตาลอ่อนหูตก หน้าตาของมันดูน่ารักเหมือนตุ๊กตาไม่มีผิด
จงรักก้มลงจ้องเจ้ากระต่ายตัวกลมตาไม่กระพริบ พอมันยกขาหน้าสองข้างขึ้นมาทำท่าปัดๆที่จมูก คนยืนมองก็ยิ้มแต้เป็นเด็กน้อย เมฆามองปราดเดียวก็รู้ว่าจงรักถูกใจ เจ้าของร้านเองเมื่อเห็นลูกค้ามีท่าทีสนใจก็เข้ามาเชียร์ขายเป็นการใหญ่ ยืนฟังชื่อสายพันธุ์ ลักษณะนิสัยรวมถึงวิธีการเลี้ยงอย่างละเอียด เจ้าของร้านก็ถอยไปให้ลูกค้ามีเวลาตัดสินใจ จงรักหันมามองขอความเห็นจากเมฆา แววตากับสีหน้านั้นชัดเจนว่าเจ้าตัวดีอยากอุ้มลูกกระต่ายกลับไปเลี้ยงที่บ้านจะแย่
“อยากได้เหรอ”
“ก็…ครับ” คนตาโตพยักหน้าเชื่องๆ
“พี่ก็อยากให้รักเลี้ยงนะ แต่เราสองคนทำงานอาทิตย์ละหกวัน กว่าจะกลับบ้านก็ค่ำ เราจะไม่มีเวลาดูแลมันน่ะสิ ตอนนี้รักเองก็รับงานกับทางคุณไอด้วย จะหอบกรงไปไว้ด้วยเหมือนตอนอยู่ร้านก็คงไม่ไหว” เมฆาไม่ได้อยากขัดใจน้องเลยสักนิด เพียงแต่เขาคิดว่าหากจะมีสัตว์เลี้ยงเป็นของตัวเองสักตัว พวกเขาก็ควรจะมีเวลาดูแลมันมากว่านี้
“อืม…จริงด้วยสินะ รักลืมคิดถึงเรื่องนี้ไปเลยครับ” เมื่อระลึกถึงข้อสำคัญในการเลี้ยงสัตว์ได้จงรักจึงตัดใจทันที แม้จะเสียดายมากๆก็ตาม “งั้นไม่เลี้ยงดีกว่าครับ ถ้าต้องทิ้งให้มันอยู่บ้านตัวเดียวทั้งวัน มันก็น่าสงสารแย่เลย”
“อืม” เมฆายกยิ้มบางๆให้กับคนที่ยอมเข้าใจอะไรง่ายๆ เขาโล่งใจที่จงรักไม่งอแงหรือดันทุรังจะเอาแต่ใจตัวเอง หากก็อดสงสารไม่ได้เมื่อเห็นคนรักตัวเล็กหน้าหงอยลง
“งั้นเราไปดูต้นไม้กันดีกว่าครับ” แล้วจงรักก็เป็นคนเดินนำออกจากร้านไป
“รัก” ทว่าเมฆากลับรั้งมือน้องเอาไว้
“ครับ” เจ้าของชื่อหันกลับมามองด้วยความฉงน
“ชอบปลาไหม”
“อะไรนะครับ?”
แล้วพี่เมฆของจงรักก็ฉวยโอกาสจูงมือน้องให้เดินตามต้อยๆไปยังร้านๆหนึ่งในซอยที่อยู่ถัดไป ภายในร้านมีตู้ปลาตั้งเรียงรายอยู่รอบด้าน ปลาในแต่ละตู้ก็แตกต่างกันไปหลากหลายชนิดแต่จะเป็นปลาเงินปลาทองเสียส่วนใหญ่ จงรักมองไปรอบๆก่อนหันกลับมาฟังคำอธิบายของคนรัก
“เลี้ยงกระต่ายหรือพวกหมาแมวเราต้องคอยดูแลประคบประหงมมันตลอด แต่เลี้ยงปลาพี่ว่ามันดูแลง่ายกว่า น่าจะพอเป็นเพื่อนแก้เหงาให้รักได้ แต่เดินดูรอบๆก่อนก็ได้นะ ถ้าไม่ถูกใจก็ไม่เป็นไร”
จงรักไม่รู้จะตอบอย่างไร เจ้าตัวได้แต่ยิ้มออกมาจนเต็มแก้มแล้วเดินดูรอบๆร้านอย่างที่เมฆาบอก อันที่จริงเขาเข้าใจดีทุกอย่าง แม้อยากเลี้ยงนั่นเลี้ยงนี่มาตั้งแต่สมัยเรียนทว่าก็รู้ว่าตัวเองไม่มีเวลาให้พวกมัน เมื่อสมัยที่ยังอยู่กับพี่จุรีเรื่องพวกนี้ถือเป็นเรื่องไร้สาระเมื่อยกขึ้นมาพูด แต่พี่เมฆกลับใส่ใจแม้จะไม่ได้ตามใจทุกอย่างก็เถอะ ถึงอย่างนั้นแค่นี้จงรักก็ดีใจจะแย่แล้ว
เมื่อเดินวนจนรอบร้าน ในที่สุดจงรักก็บอกกับเมฆาว่าอยากเลี้ยงปลารักเร่ ดวงตาคมดุมองเจ้าปลาตัวกลมสีดำสนิท ดวงตาโปนออกมาทั้งสองข้างว่ายไปว่ายมาเป็นฝูงอยู่ในตู้ ตอนแรกเขาคิดว่าจงรักจะเลือกเลี้ยงปลาเงินปลาทองมากกว่า เนื่องจากหัววุ้นกับรูปร่างและสีสันของมันน่ารักสะดุดตา ไม่คิดว่าทำไปทำมาจะเลือกเลี้ยงปลารักเร่
ชายหนุ่มไม่ได้ขัดใจหรือโต้แย้งอะไรกับการตัดสินใจของคนรัก เขาเรียกเจ้าของร้านเพื่อสอบถามถึงเรื่องของการติดตั้งตู้ปลา ออกซิเจน เมื่อได้ความเรียบร้อยก็ให้จงรักเลือกปลาของตัวเองกลับบ้าน จ่ายเงินเสร็จสรรพเมฆากับจงรักจึงออกจากร้านพร้อมปลาและตู้ ระหว่างทางกลับรถเจ้าตัวดียังขอแวะซื้อพรรณไม้น้ำกับหินประดับตู้อีกด้วย
สรุปแล้ววันนี้ จงรักก็ไม่ได้ต้นไม้มาปลูกเพิ่มในสวน แต่ได้ปลารักเร่ตัวกลมมาเลี้ยงสองตัว ตาโตหวานลอบมองสมาชิกใหม่ผ่านถุงที่วางอยู่บนตักเป็นระยะแล้วหันไปยิ้มให้คนหน้าดุที่ทำหน้าที่เป็นสารถีเงียบๆ พลางนึกในใจว่าวันนี้จะทำแกงส้มผักรวมของโปรดเป็นบรรณาการให้พี่เมฆอย่างสุดฝีมือเลยทีเดียว
ภายในงานเปิดตัวร้านเสื้อผ้าแบรนด์น้องใหม่ ร่างเพรียวบางของหนึ่งนทีวิ่งวุ่นอยู่หลังเวทีเดินแบบขนาดย่อมเพื่อดูความเรียบร้อยให้นางแบบก่อนขึ้นโชว์เสื้อผ้าคอลเลคชั่นเปิดตัวของร้านสไตล์มินิมอลล์ จนกระทั่งการเดินแบบสุดท้ายจบลงเจ้าตัวจึงเดินออกไปพร้อมนางแบบชุดฟินนาเล่อีกครั้ง เสื้อผ้าของหนึ่งนทีเป็นที่สนใจของบรรดาเซเลบบริตีอย่างมาก เพื่อนๆร่วมรุ่นที่จบมาด้วยกันก็เข้ามาแสดงความยินดีกันอย่างล้นหลาม
กระทั่งงานเปิดตัวร้านจบลงได้ด้วยดี หนึ่งนทีจึงเดินทางกลับคอนโดด้วยความเหน็ดเหนื่อย เขาหอบเอาร่างที่เรียกได้ว่าเกือบพังยับมาทิ้งตัวลงที่โซฟา แล้วหลับตาลงซึมซับความสำเร็จในอาชีพอีกก้าวหนึ่งที่ได้รับ หนึ่งนทีเคยฝันไว้ตั้งแต่เรียนมัธยมปลายว่าอยากมีแบรนด์เสื้อผ้าเป็นของตัวเอง ตั้งแต่นั้นมาก็พยายามดีดดิ้นสร้างสิ่งที่ฝันให้เป็นจริง กับเรื่องเช่นนี้สำหรับบางคนอาจง่ายดายเพียงนิดเดียว แต่กับคนที่ไม่ได้มีทุกสิ่งทุกอย่างพร้อมเหมือนลูกคนมีสตางค์อย่างเขาก็ถือว่ายากเอาการกว่าจะก้าวมาอยู่ตรงนี้ได้
นอนคิดอะไรนิ่งๆอยู่สักพักความเงียบของห้องกว้างในคอนโดหรูก็นำพาความรู้สึกบางอย่างเข้ามา แม้จะมีเพื่อนๆพี่ๆมาร่วมยินดีมากมาย หากแต่คนสำคัญที่อยากให้มากลับหายหน้า ความผิดหวังที่แทรกซึมเข้าจู่โจมหัวใจนั้นส่งผลให้มือเรียวเอื้อมออกไปคว้าหยิบโทรศัพท์บนโต๊ะ เขากดสายหาผู้ชายคนหนึ่งที่ควรจะอยู่ข้างๆกันในวันสำคัญเช่นนี้
รอสายอยู่นานฝ่ายตรงข้ามก็ไม่ยอมรับ หนึ่งนทีกดเบอร์โทรออกซ้ำๆไปอีกหลายครั้ง จนกระทั่งได้ยินเสียงผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นคนรักจากปลายสาย
‘มีอะไรหนึ่ง ผมติดธุระอยู่’ เสียงที่ได้ยินดูติดจะฉุนเฉียวจนคนฟังเริ่มมีน้ำโห
“หนึ่งโทรไปทั้งวันทำไมคุณเล็กเพิ่งรับสาย”
‘ก็บอกไปแล้วว่าติดธุระ’
“ธุระอะไร สำคัญมากนักหรือไง วันนี้คุณเล็กถึงไม่มางานเปิดร้าน” ทั้งโกรธทั้งน้อยใจแต่หนึ่งนทีก็ชักจะเบื่อที่ต้องวิ่งไล่ตามณธิปเต็มที
‘ผมมาทำธุระให้คุณแม่ ก็บอกไปตั้งแต่วันก่อนแล้วไง ใช่ว่าผมไม่อยากไปงานเสียเมื่อไหร่’
“แต่คุณสัญญาว่าจะมา หนึ่งน้อยใจนะครับ”
‘อย่างี่เง่าน่า เอาไว้ผมจะชดเชยให้แล้วกัน แค่นี้ก่อนนะ คุณแม่ให้คนมาตามแล้ว’
พูดจบณธิปก็วางสายทันทีโดยที่หนึ่งนทีไม่ทันได้ตอบอะไรกลับไป คนหน้าสวยรู้สึกโกรธจนตัวสั่น เขาไม่เคยต้องเจออะไรเช่นนี้มากก่อนเลยในชีวิต ไม่เคยต้องวิ่งตามใคร ทุกคนที่เคยคบหามีแต่ต้องวิ่งตามพะเน้าพะนอเอาใจเขา แต่ณธิปกลับเป็นคนแรกที่ปล่อยให้เขาวิ่งตามครั้งแล้วครั้งเล่า แรกเริ่มเดิมทีก็ไม่ได้เป็นอย่างนี้เสียทีเดียว แต่พอคบกันนานเข้าดูเหมือนว่าเขาจะไม่มีความสำคัญอะไรในสายตาของอีกฝ่ายมากนัก เหมือนกับของเล่นที่พอเบื่อก็ทิ้ง ถึงแม้ณธิปจะให้เขาได้มากกว่าที่ทุกคนเคยให้ แต่หนึ่งนทีชักไม่แน่ใจแล้วว่าอีกฝ่ายลืมให้หัวใจกับเขามาหรือเปล่า
ความรู้สึกผิดหวังในตัวของคนรักคนปัจจุบันทำให้อดนึกไปถึงคนรักคนเก่าไม่ได้ เมฆาไม่ใช่ผู้ชายที่มีพร้อมเหมือนอย่างณธิป แต่ตอนที่คบกันนั้น หนึ่งนทีรู้ว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ดีร้ายแค่ไหน ข้างกายของเขาจะมีเมฆาอยู่ด้วยเสมอ เพราะว้าเหว่และผิดหวังจึงทำให้คิดถึง โหยหาความรู้สึกที่ตนเคยเป็นฝ่ายถูกรัก
โดยไม่ต้องคิด หนึ่งนทีกดหาเบอร์โทรศัพท์ที่ไม่ได้ติดต่อไปหามานานทันที
เมฆายืนมองตู้ปลาที่เอามาตั้งในห้องนั่งเล่นใกล้ๆกับทีวี เขาเพิ่งต่อเชื่อมสายไปเรียบร้อย ทั้งหลอดไฟและออกซิเจนก็ใช้ง่ายได้ดี สาหร่ายหัวไม้ขีดกับมอสน้ำเอนไหวไปตาแรงของฟองอากาศเบาๆดูสบายตา ตอนนี้ก็เหลือแต่เอาเจ้าปลาตัวอ้วนสองตัวเทใส่ในตู้เท่านั้นก็เรียบร้อย ชายหนุ่มตั้งใจจะให้จงรักมาเทสมาชิกใหม่ลงตู้ด้วยตัวเอง แต่ตอนนี้คนตาหวานคงกำลังทำกับข้าวอยู่ในครัวเป็นแน่
กำลังเก็บอุปกรณ์ที่วางอยู่บนพื้น ตั้งใจว่าจะเก็บเสร็จแล้วจะเข้าไปบอกกับจงรักว่าเขาต่อไฟตู้ปลาให้แล้ว แต่เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นเสียก่อน เมฆาหยิบมันขึ้นมาดูที่หน้าจอว่าใครโทรหา แต่ไม่มีชื่อของปลายสาย ถึงอย่างนั้นเบอร์ที่โชว์อยู่ก็ให้ความรู้สึกคุ้นอย่างน่าประหลาด เมฆากดรับสายทันทีอย่างไม่รอช้า
“สวัสดีครับ เมฆาพูดครับ”
‘พี่เมฆนี่หนึ่งนะ’
“หนึ่ง”
‘อะไรกัน นี่พี่เมฆลบเบอร์หนึ่งทิ้งเหรอครับ’
“โทรมามีอะไรหรือเปล่า” เมฆาก็เลือกที่จะวางเฉยกับน้ำเสียงกระเง้ากระงอดของอีกฝ่าย แล้วส่งเสียงถามเรียบๆ
‘ถามเสียงดุเชียว ใจร้ายจัง’ ปลายสายบ่นหงุงหงิงก่อนว่าต่อ ‘จำได้ไหมวันนี้หนึ่งเปิดร้าน พี่เมฆไม่มาจริงๆด้วย จำไม่ได้สินะครับ’
“อืม จำไม่ได้”
‘แต่หนึ่งอยากให้พี่เมฆมานะ’ หนึ่งนทีทำเสียงเศร้า เสียงที่เมฆาไม่รู้ว่ามาจากใจจริงหรือแกล้งทำกันแน่ ทว่ามันก็ไม่ใช่หน้าที่ที่เขาต้องใส่ใจ
“ก็เคยบอกไว้แล้วว่าจะไม่ไป ไม่ได้อยากไป”
‘ทำไมถึงชอบพูดจาใจร้ายกับหนึ่งนัก บอกว่าติดธุระอะไรก็ได้ ไม่เห็นต้องพูดแบบนี้เลย ถึงเราจะไม่ได้คบกันแล้ว แต่พี่พูดแบบนี้ ใช่ว่าหนึ่งไม่เสียใจนะ’
“ต้องการอะไรกันแน่ถึงโทรมา” เมฆาไม่ชอบคำพูดที่คล้ายจงใจปั่นหัวแบบนี้เลยสักนิด
‘แค่…คิด---‘
“
พี่เมฆทำอะไรอยู่ครับ รักทำกับข้าวเสร็จแล้วนะ มากินข้าวกันเถอะ” เสียงสดใสของจงรักทำให้เมฆาไม่ได้ยินสิ่งที่หนึ่งนทีพูดเมื่อกี้ เขามองใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มแป้นแล้นที่โผล่มาจากครัวแล้วยิ้มตอบ
“พี่ต่อไฟตู้ปลาให้เรา แต่เสร็จแล้วล่ะ”
“ครับๆ รักตักข้าวรอนะ วันนี้มีแกงส้มผักรวมของโปรดคนแถวนี้ด้วย”
“หึๆ จะไปเดี๋ยวนี้แหละ” ร่างสูงยิ้มขำให้กับท่าทางของคนรักช่างเอาใจ
‘อย่าไปนะครับ!’
“รีบๆมานะครับ”
เสียงของคนที่รออยู่ในสายกับคนที่รออยู่ในครัวพูดขึ้นพร้อมๆกัน ไม่ได้รู้สึกกระอักกระอ่วนใจ แต่ทางเลือกสองทางที่มีทำให้เมฆาได้คิด ว่าจะอยู่กับรักในอดีตหรือก้าวไปหารักที่เป็นปัจจุบัน
“แค่นี้ก่อนนะ ต้องไปแล้ว”
‘เดี๋ยว! พี่เม---‘
เมฆากดตัดสายก่อนที่อีกฝ่ายจะพูดจบประโยคด้วยซ้ำ ถ้าเป็นแต่ก่อนเขาคงไม่กล้าทำแบบนี้ แต่ตอนนี้ทุกอย่างได้เปลี่ยนไปหมดแล้ว ยามรักเขาก็รักจนหมดหัวใจ แต่ถ้าได้ลองตัดใจก็จะไม่มีเยื่อใยของความลังเลใจอีก ที่สำคัญเมฆาไม่มีวันทำให้เจ้าของรอยยิ้มหวานที่ฮัมเพลงอยู่ในครัวต้องเสียใจด้วย
<><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><>
มาแล้วจ้าาาาาาา
จากตอนที่แล้ว ที่เราทิ้งสปอยไว้นิดนุงเรื่องมรสุม
ขอบอกว่าไม่ต้องกลัวไปนะคะ ไม่หนักหนานักหรอก จริงๆน้า
ส่วนตอนนี้ก็หวานเบาๆกันไปเรื่อยๆตามสเต็ป อิอิ
คราวนี้เรามาเร็วขึ้นนิดนุง ชดเชยที่คราวที่แล้วมาช้า
ตอนนี้กำลังวาดอิมเมจของพี่เมฆกับน้องรักอยู่
แต่ออกตัวก่อนว่าไม่ได้วาดรูปสวยอะไรนะคะ
แค่พอเดาๆได้เท่านั้น(ดีกว่าก้างปลานิดนึง)
เดี๋ยวเสร็จแล้วจะอัพไว้ในเพจน้า ใครผ่านไปผ่านมาก็แวะเข้าไปดูได้ค่ะ ไม่เสียตังค์
เจอกันใหม่ตอนหน้านะคะ จะพยายามมาให้เร็วเท่าที่สังขารจะอำนวยค่ะ
pungjungza
[11/02/2558 ,19:22]