CHAPTER 33 ...รัก...“ถ้าเพื่อนคุณมาป่วนอย่างนี้บ่อยๆ ผมว่าผมคงประสาทกินแน่ๆ”
คำบ่นกระปอดกระแปดทำเอาคนที่กำลังล้างจานต้องอมยิ้ม ทิวาหันไปมองต้นตอของเสียงที่เดินใกล้เข้ามาเพื่อวางผ้าสำหรับเช็ดโต๊ะไว้ในอ่างล้างและปักหลักอยู่ที่เดิมคล้ายยังมีเรื่องต้องการบ่นต่อ ทิวาออกจะเข้าใจรัตติกาลได้ไม่ยาก เพราะบางครั้งบางคราวตัวเขาเองยังรู้สึกปวดหัวเอามากๆ ที่ต้องคอยอยู่ตรงกลางระหว่างเพื่อนสติไม่ค่อยเต็มทั้งสอง อย่างคราวนี้ก็เหมือนกัน หอบหิ้วกันมาวุ่นวายไม่ต่างจากพายุลูกย่อม แต่เมื่อทานอาหารเรียบร้อยก็ยกขบวนกันกลับทันทีโดยไม่เหลือบแลจานชามที่ยังกองอยู่บนโต๊ะแม้แต่น้อย รัตติกาลคงจะไม่ชอบใจนัก แต่เขาที่เป็นเพื่อนกันมาค่อนชีวิตนั้นชาชินเสียแล้ว
“ขอโทษด้วยนะ เพื่อนผมก็เป็นแบบนี้แหละ แล้วผมจะบอกพวกนั้นเอง” ทิวาหันไปยิ้มอย่างขออภัยโดยมีสายตาของเจ้าของห้องมองสบตอบนิ่งๆ “จะไม่ให้มาที่นี่อีกแล้ว อย่าไปโกรธพวกนั้นเลยนะ”
“ผมพูดอย่างนั้นรึไง” เสียงทุ่มต่ำดังชิดติดใบหูพร้อมๆ กับที่เอวถูกมือสองข้างลูบโอบหลวมๆ ริมฝีปากนุ่มจ่อแนบซีกแก้มเนียนให้จั๊กจี๋จนต้องย่นคอหนี “ที่นี่ก็เป็นห้องคุณเหมือนกัน ทำไมเพื่อนคุณจะมาไม่ได้”
“อย่าบอกนะว่าคุณไม่รำคาญ?”
“แล้วคุณปวดประสาทกับไอ้กิตไหมล่ะ?” ทิวาหลุดขำกับคำย้อนของคนข้างตัว นั่นสินะ สามคนนั้นเป็นตัวปั่นประสาทชั้นดีขนาดที่ว่าคงไม่มียาตัวไหนรักษาได้นอกจากไล่ไปให้พ้นๆ “อันที่จริงไม่ต้องมีใครมาที่นี่เลยก็ดีนะ เราจะได้อยู่กันเงียบๆแค่สองคน”
และถ้าหากรัตติกาลอยากจะหอมแก้มเขาอีกสักครั้งจะทำอย่างไรได้
ทิวาได้แค่ยืนตัวเกร็งราวกับกลัวนักหนายามที่ลมหายใจอุ่นๆรินรดใกล้เข้ามา เขาน่ะชินกับริมฝีปากที่ชอบแตะนั่นประทับนี่เสียแล้ว แต่ไอ้ที่ไม่ค่อยจะชินน่ะคือความเขินอายของตัวเองต่างหาก เพราะทุกครั้งที่ได้ฟังคำพูดหวานๆ หรือถูกปฏิบัติราวกับตัวเองนั้นมีค่าเสียมากมาย หัวใจของทิวาก็เหมือนกับถูกเกาด้วยกงเล็บเล็กๆของลูกแมว เขาไม่ต่างจากหนุ่มน้อยที่เพิ่งค้นพบว่าความรักนั้นทำให้หัวใจพองฟูได้ขนาดไหน
จนถึงตอนนี้เขายังคิดถึงสิ่งที่กานดาเคยบอกได้ ‘ความรักกับคนที่ใช่ ถ้าเราหยุดค้นหาเมื่อไหร่มันจะเดินเข้ามา...’ มันเป็นคำบอกที่เขาเคยไม่เชื่อ เพราะแม้ว่าเขาจะหยุดดังที่ว่าแต่ความรักก็ไม่เคยเข้ามาให้ได้พบสักครั้ง ทั้งเหนื่อย ทั้งท้อ เนิ่นนานกับการหมดหวัง และไม่ว่ามันจะร้ายหรือดี หรือจะทำให้ต้องเสียน้ำตาไปมากแค่ไหน สุดท้าย...เขาก็ได้รัก...
“ผมช่วยนะ” ทิวายิ้มให้กับคำขอด้วยน้ำเสียงทุ่มน่าฟัง รัตติกาลคลายอ้อมกอดแล้วก้าวมายืนข้างๆ เพื่อช่วยหยิบจานล้างน้ำสะอาดแล้วคว่ำลงบนชั้นเสียเป็นระเบียบ “งานที่ทำอยู่ตอนนี้โอเคไหม?”
“ถ้าไม่นับที่ว่าอยากจะต่อยหน้าเจ้านายอยู่ทุกวันล่ะก็นะ ก็ดีครับ ผมไม่เคยเป็นเลขาให้ใครมาก่อนก็เลยต้องเรียนรู้งานเยอะ” ทิวาส่งจานใบสุดท้ายให้คนข้างๆ แล้วหันมาทำความสะอาดซิงค์ “เหมือนจะปวดหัวมากกว่างานเดิมเสียอีก”
“หึหึ ฝึกให้คล่องไว้นะ พอได้ดิบได้ดีก็ถีบหัวส่งไปเลยเจ้านายพันธุ์นั้นน่ะ”
“เห็นผมเป็นคนยังไงกัน แต่ถ้ามีใครมาเสนอโอกาสงามๆให้ก็ไม่แน่หรอกนะ หึ” ทิวาเห็นขำไปด้วย เพราะรู้แน่ว่าสุดท้ายปลายทางการสนทนาจะไปจบลงที่ประเด็นใด ทิวาสะบัดมือไล่น้ำเบาๆ เมื่อเสร็จงาน กะว่าจะใช้ปลายเสื้อเป็นที่ซับน้ำให้แห้งอย่างที่ทำประจำ แต่กลับมีผ้าสะอาดมารอคว้ามือเขาไปทั้งซับทั้งถูจนแห้ง
“อยากเสนอให้จะตายอยู่แล้ว”
“ไม่เอาหรอก เห็นกันอยู่ทุกวัน เบื่อหน้าแย่”
“ใจร้ายว่ะ” คนตัวโตทำหน้ามุ่ยใส่ไม่พอยังเอาผ้าเช็ดมือมาโปะใส่หน้าเขาเพื่อระบายอารมณ์เสียอีก
ทิวารีบดึงผ้าชื้นน้ำให้พ้นสายตาก่อนจะเดินตามร่างสูงไปด้วยรอยยิ้ม รัตติกาลเดินไปทิ้งตัวนั่งเต็มแรงกับโซฟาตัวยาวพร้อมกับเหลือบแลมองมายังเขาที่เดินมาลงนั่งข้างๆ สายตาคมเข้มมีแววน้อยใจเคลือบแฝงให้คนมองต้องรู้สึกผิดปนความหมั่นไส้ มีใครเคยบอกรัตติกาลบ้างหรือเปล่า ว่าผู้ชายอายุสามสิบไม่เหมาะกับการแง่งอนแบบนี้
“ยิ้มทำไม” เสียงห้วนสั้นคล้ายจะหาเรื่องยิ่งเพิ่มความหมั่นไส้ให้คนฟังเป็นเท่าตัว แต่ทั้งหมดทั้งมวลเขากลับมองว่ามันน่ารักเกินกว่าจะเห็นเป็นเรื่องน่าโกรธขึ้ง
“พี่เดียวขี้งอนบ่อยจังนะเดี๋ยวนี้” ทิวาจับปลายคางเหลี่ยมส่ายไปมาเบาๆด้วยรอยยิ้ม เขารู้สึกขบขันทุกครั้งยามที่เอ่ยสรรพนามนี้เพราะรัตติกาลจะนิ่งค้างไม่ต่างจากคนโดนหมัด และใบหน้าก็จะเริ่มส่อแววขัดเขินอย่างที่ไม่ได้เห็นบ่อยๆ “โกรธน้องได้ลงคอเลยเหรอ”
ถึงจะรู้สึกว่ามีใครมาจั๊กจี๋หัวใจก็เถอะ แต่นานๆ พูดทีก็พอทนล่ะนะ
“ด...เดี๋ยวน้องจะโดนไม่ใช่น้อย”
“แล้วพี่เดียวจะทำอะไรล่ะครับ?”
ทิวาขบขันกับคำถามของตัวเองที่ไม่ต่างจากการยื่นดาบให้รัตติกาลชักออกจากฝัก แล้วหนทางแห่งการฟาดฟันจะเป็นใครได้ล่ะ...นอกจากเขาคนนี้ ดูจากสีหน้าที่ปรับเปลี่ยนเป็นกรุ้มกริ่มได้เพียงเสี้ยววินาทีอย่างกับเปลี่ยนหน้ากระดาษก็รู้เลยว่าตอนนี้ในหัวคงลืมเรื่องน้อยอกน้อยใจไปแล้วเป็นแน่
บางทีเขาก็แอบคิดว่าเลี้ยงรัตติกาลก็ไม่ได้ยากอย่างที่คิด
แค่สนทนากันสักนิด ออดอ้อนสักหน่อย และที่สำคัญต้องยอม
‘ให้อาหาร’ บ่อยๆ เท่านั้นเอง
“บางทีพี่อาจจะไปช่วยทิวอาบน้ำ แล้วระหว่างแช่น้ำ...พี่อาจจะช่วยนวดตรงนั้นนิดตรงนี้หน่อย” สายตาที่บ่งบอกความต้องการของรัตติกาลเผยออกมาอย่างไม่คิดปิดบัง แถมยังนำเสนอบริเวณที่จะช่วยผ่อนคลายด้วยฝ่ามือใหญ่ ไม่ว่าจะหน้าอก หรือกระทั่งซอกขา มันยิ่งทำให้ทิวารู้แน่ชัดว่าตอนนี้ไม่มีเรื่องอื่นใดในสมองของนักธุรกิจใหญ่คนนี้อีกแล้ว
“เริ่มจากการถอดเสื้อผ้าเลยเป็นไง”
ทิวาหลุดขำอย่างกลั้นไม่อยู่เมื่อเอ่ยคำเชิญชวนสุดท้ายออกไป ถ้าให้หมอจัญอธิบายคงเรียกสิ่งที่เขากระทำว่าการ ‘อ่อย’ สินะ แล้วคนที่พร้อมกระโจนเข้าใส่ด้วยดวงตาระยิบระยับตรงหน้าเขานี่เล่าจะเรียกว่าอะไร
แต่จะยังไงก็ช่างเถอะ คิก คิก...ตอนนี้ถึงเวลาให้อาหารแล้วสินะ
เสื้อผ้าทุกชิ้นบนร่างกายถูกถอดออกจนหมดสิ้น เหลือเพียงกายเนื้อเปล่าเปลือยสองร่างที่โผเข้าหากันเพื่อแลกเปลี่ยนความวาบหวามจากรสจูบ มือสองคู่ต่างลูบไล้เนื้อตัวให้กันอย่างไม่รู้จักพอท่ามกลางสายน้ำจากฝักบัวที่ตกลงมาแตกกระสานซ่านเซ็นไปทั่ว ตู้อาบน้ำที่เคยคิดว่าพื้นที่เหลือเฟือสำหรับคนเดียว แต่จากหลายครั้งที่ผ่านมามันทำให้รู้ว่ามันคับแคบไปเมื่อเข้ามาพร้อมกัน
บางทีหลังจากนี้เขาอาจจะบอกให้รัตติกาลเปลี่ยนมัน...หลังจากถอนริมฝีปากออกจากกันแต่ความวูบไหวก็ยังคงอยู่ รัตติกาลดึงรั้งเอวของเขาไว้แน่นจนร่างกายเสียดสีกัน พลางพรมจูบไปทั่วลำคอและลาดไหล่ ย้ำหนักแน่นเพื่อทิ้งร่องรอยความเป็นเจ้าของเอาไว้ทุกที่ที่ริมฝีปากลากผ่าน แม้กระทั่งเนินอกแบนราบยังถูกคลึงเคล้นราวกับมันหยุ่นนุ่มเสียเต็มประดา บีบบี้ดูดดึงจนยอดอกสีอ่อนแข็งสู้ปลายลิ้นที่ตวัดเลียอย่างหิวกระหาย
เสียงสายน้ำตกกระทบพื้นยังไม่อาจดังกลบเสียร้องครางด้วยความเสียวซ่านของทิวาได้ ดวงตาเหยี่ยวทรงเสน่ห์หลับพริ้ม ริมฝีปากเผยออ้าส่งเสียงกระเส่าอย่างห้ามไม่อยู่ มือหนึ่งจับยึดชั้นวางเล็กๆ ติดผนังไว้เพื่อยึดเหนี่ยวตัวเอง ส่งอีกมือขยุ้มกลุ่มผมอีกคนไว้ด้วยแรงอารมณ์ที่คุโชนขึ้นเรื่อยๆ ตามริมฝีปากช่ำชองที่จูบไซ้ต่ำลง...ต่ำลง
ทิวากัดริมฝีปากจนเจ็บยามที่ส่วนอ่อนไหวถูกครอบครองด้วยความร้อนชื้นจากช่องปากที่คุ้นเคย ทิวาก้มมองภาพตรงหน้าด้วยความต้องการอยู่ถึงขีดสุด ยามที่ส่วนแข็งขืนถูกดูดรั้งกลืนกินโดยริมฝีปากของคนรัก แต่เหมือนว่าเพียงเท่านี้ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ ในส่วนลึกล้ำยังคงเรียกร้องในสิ่งที่ถูกฝึกฝนจนคุ้นชิน
เรียวขาขาวถูกยกพาดไว้บนไหล่หนาหนึ่งข้างในขณะที่ริมฝีปากของรัตติกาลยังคงทำงานไม่หยุด และเมื่อปลายนิ้วแกร่งไต่แตะไปยังเบื้องหลัง ทิวาก็แทบจะแอ่นตัวให้ด้วยความยินดีเพื่อเปิดทางให้เรียวนิ้วยาวแทรกผ่านเข้าไป เขาแทบจะรับรู้ได้ทุกข้อต่อที่คืบคลานเข้ามาในร่างจนสุดปลายนิ้วแล้วชักออกมา ส่งกลับเข้าไปอีกครั้งเพื่อหมุนคว้านไปรอบผนังนุ่ม จากเชื่องช้าเนิบนาบเปลี่ยนเป็นส่งแรงกระทั้นกระทุ้งจนร่างทั้งร่างโอนไหว
“
ป...ปล่...อย...”
เสียงร้องบอกไม่เป็นผล เมื่อรัตติกาลยิ่งเร่งดูดรั้งส่วนอ่อนไหวไม่หยุดหย่อนพร้อมกับส่งนิ้วทั้งสามจ้องแทงอย่างไม่รู้เมื่อย และไม่นานเกินจะทนอีกต่อไป น้ำแห่งความปรารถนาจึงได้พุ่งออกรินรดในช่องปากรุ่มร้อน นิ้วแสนขยันรัวถี่หนักย้ำชัดยังจุดกระตุ้นส่งให้ทิวาหวีดร้องอย่างไม่อาย และเมื่อหมดสิ้นทุกหยาดหยดร่างกายก็พลันจะสูญเรี่ยวแรง
รัตติกาลปล่อยเขาให้เป็นอิสระยามที่ทรุดตัวลงนั่งไร้สิ้นแรง มองคนรักที่มีสีหน้าระเรื่อแดงที่กำลังแลบเลียริมฝีปากที่ช่วยสนองตัณหาให้อย่างถึงใจ ทิวาคล้ายคนไร้การควบคุม เขาคว้าคอคนตรงหน้าเพื่อมอบจูบที่ลึกล้ำให้พลางดันร่างตัวเองขึ้นเพื่อคร่อมอีกฝ่ายไว้ เขาได้ยินเสียรัตติกาลหอบแรงยามที่เขาจับต้องส่วนแข็งขืนไว้ เขากอบกุมความใหญ่โตที่ตั้งตระหง่าน รูดรั้งเขย่าแรงจนเจ้าของต้องผละริมฝีปากออกเพื่อส่งเสียงครางต่ำๆ ใบหน้าหล่อเหลาบิดเบี้ยวด้วยความต้องการ ตรึงสายตาคนจับจ้องด้วยความรัญจวน
ทิวาเองก็สุดจะทานทนแล้วเช่นกัน
ร่างโปร่งยกตัวขึ้นโถมกายแนบชิดกับร่างหนา แนบริมฝีปากลงกับขมับที่ปนเปด้วยหยาดน้ำและหยดเหงื่อ ในขณะที่ฝ่ามือนุ่มๆ เร่งชักของร้อนรุ่มปานหินเป็นครั้งสุดท้าย และเมื่อพร้อมพรักด้วยความต้องการ สะโพกแน่นหนั่นจึงกดลงไปบนความแข็งขืนนั้น เสียงครางดังระงมไปทั่วจนยากจะแยกว่าเป็นเสียงของใคร ความร้อนระอุค่อยๆ ลึกล้ำดำดิ่ง ราวกับถูกดูดกลืนด้วยความโหยหา ทิวาฝังใบหน้าลงกับซอกคอหนากระเส่าครางเสียงโรยแรง
เมื่อผิวเนื้อแนบสนิทโดยการเชื่อมต่อของร่างเนื้อ ริมฝีปากก็เริ่มโหยหากันอีกครั้ง ทิวายากจะบรรยายถึงความอึดอัดในตัวให้ใครอีกคนได้รู้ แต่ถึงรู้ รัตติกาลก็คงไม่ใส่ใจในเมื่อเขากำลังตอดรัดราวกับหิวกระหายแบบนี้ ทิวาเอาแต่ซบใบหน้าลงกับลาดไหล่ ปล่อยให้สองมือหนากดสะโพกเขาให้บดเบียดแนบชิดยิ่งกว่าเก่า ขยับขับเคลื่อนเพื่อเต้นเร่าในกายเขา รัตติกาลคล้ายจะคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้อีกต่อไปเหมือนทุกครั้งที่ได้แนบชิดกัน
ทิวาอมยิ้มกับริมฝีปากของอีกฝ่ายที่เริ่มซุกซนไปทั่ว ก่อนจะยินยอมไปกับเสียงสั่งการที่แสนจะเซ็กซี่ และเมื่อเขาชันขาขึ้นมาเพื่อเตรียมเดินเครื่อง รัตติกาลก็กลายเป็นลูกไก่ตัวโตๆ ที่ยอมให้เขาข่มเหงได้ตามใจ
ทิวาตะแคงตัวเพื่อมองสบกับใบหน้าคมเข้ม ส่งปลายนิ้วเกลี่ยเส้นผมชื้นเหงื่อให้พ้นเปลือกตา มีไม่กี่ครั้งหรอกที่รัตติกาลจะหลับใหลไปในทันทีที่เสร็จกิจ ส่วนมากจะเป็นเขาเองเสียมากกว่าที่ถูกสูบเรี่ยวแรงไปจนหมดสิ้น ถูกตักตวงจนต้องพร่ำบอกให้พอ คนทำไม่ได้รู้หรอกว่ามันทรมานเท่าใดยามถูกจ้วงแทงลึกล้ำในช่องทางที่ไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อรองรับ คนทำไม่รู้หรอกว่ามันน่าอายแค่ไหนกับการขยับส่ายร้องขอที่ราวกับว่าตัวเองไม่ใช่ชายฉกรรจ์ และไม่เข้าใจหรอกว่าความรุนแรงระหว่างที่ทำจะส่งผลให้ปวดสะโพกแค่ไหนในวันรุ่งขึ้น
รัตติกาลไม่รู้หรอก...ในเมื่อเขาออกจะยินยอมพร้อมใจให้เป็น
ทิวาอมยิ้มกับตัวเองยามนึกถึงลีลาน่าอับอายที่เพิงผ่านพ้นไป ใครจะไปคิดว่าลงท้ายเขาจะถูกผู้ชายด้วยกันเรียกว่า ‘เมีย’ หลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นโดยไม่ได้คิดถึงมันมาก่อน และหลายสิ่งหลายอย่างเขาก็ไม่คิดว่าจะเป็นไปได้
เขาที่ตั้งมั่นกับตัวเองตั้งแต่เด็กว่าจะซ่อนอยู่ในกรอบที่ตัวเองขีดไว้ จะไม่ก้าวก่ายใคร จะไม่ยื่นเท้าเข้าไปในพื้นที่ของใครให้ตัวเองต้องบาดเจ็บ มันคือการปกป้องตัวเองในแบบที่เขาคิดได้ และมันก็ค่อนข้างได้ผลมาตลอดแม้กระทั่งกับคำพูดเสียดสีต่างๆ นาๆ ที่น้องสาวสรรหามาว่ากล่าว เขาปัดมันทิ้งไปด้วยด้วยหัวใจที่ชาชิน
แต่เมื่อมาเจอกับรัตติกาล...ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป
ผู้ชายคนนั้นล้อมลบกรอบที่เขาตีไว้ด้วยกรอบที่ใหญ่และทานทนกว่า และทำการลบรอยเส้นที่เขาตีไว้อย่างยากลำบากออกทีละน้อยจนไม่เหลือเหรอ มันก็คล้ายจะเป็นสิ่งเดิมๆ หากมันมีใครอีกคนมาร่วมอยู่ด้วย มากินข้าวพร้อมกัน มานั่งพักผ่อนใกล้ๆ กัน มาเห็นใบหน้ายามหลับและยามตื่น
ไม่เคยมีสักครั้งในชีวิตที่คนอย่างเขาจะเป็นที่ต้องการขนาดนี้
ไม่เคยมีใครสักคนที่จะร้องไห้เพื่อเขา อ้อนวอนให้เขาอยู่เคียงข้าง
ความโกรธ ความเกลียด มันจางหายไปไม่ต่างจากควันที่ถูกลมพัด สายลมที่อบอุ่นอ่อนไหว และทำให้ในกายเขาเริงร่าอย่างที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน ในเมื่อเขาปรารถนาที่จะเป็นคนสำคัญของใครสักคนมาตลอด และในเมื่อเขาได้มาแล้ว ทำไมเขาต้องไปปิดกั้นสายลมนั้นไว้อีก
เขาโดดเดี่ยวมานานนักหนา แม้จะหัวเราะแต่หัวใจก็ไม่ได้อิ่มเอมเต็มที่ กินข้าวคนเดียว นอนลำพัง ตื่นขึ้นมาเพื่อพบกับความเหงา ชีวิตที่วนไปแบบนี้ไม่ต่างจากเดินอยู่บนลูกกลมๆ รัตติกาลทำให้เขาเริ่มเกลียดสิ่งเหล่านั้น เกลียดความรู้สึกที่ว่าโลกทั้งใบมีตัวเองลำพัง แค่คิดมันก็ทำให้เขากลัวว่าตัวเองจะกลับไปอยู่ในจุดนั้นอีก
ทิวาเบียดตัวเข้าชิดกับร่างหนาวาดแขนกอดก่ายไม่ต่างจากเด็กน้อยที่กลัวฝันร้าย ถ้ารัตติกาลจะอยู่คู่กับทิวาไปตลอด...ชีวิตของเขาคงเรียกว่า
‘มีความสุข’ ได้อย่างเต็มปากเต็มคำสักที
ไม่กี่วันต่อมาก็ถึงวันทำบุญบ้านของรัตติกาล มันไม่ใหญ่โตอลังการเหมือนที่เขาคิดไว้ในหัวตามที่เคยเห็นผู้ดีมีฐานะเขาจัดกัน ไม่ได้มีแขกเหรื่อในวงสังคมใดเลยนอกจากคนที่อาศัยอยู่ในบ้านเท่านั้น จะมีผิดหูผิดตาไปบ้างก็คือตัวทิวาเองกับเอกสิทธิ์ที่ไม่ได้ร่วมอาศัยอยู่ที่บ้านนี้ แต่จะถือว่าเขาไม่ได้เกี่ยวข้องเลยก็ไม่ถูก แต่เอกสิทธิ์เนี่ยสิ?
“พี่มาเพราะเป็นญาติของทิวไงล่ะ”
คำตอบหลังจากคำถามว่า ‘ทำไม’ นั้นก็ยังทำเอาคนถามสับสนเหมือนเดิม แต่ถ้าดูจากรอยยิ้มที่แทบจะฉีกกว้างจนถึงใบหูของคนรัก กับความเจ้ากี้เจ้าการของคุณราตรีที่ให้เขาขึ้นไปเคียงคู่รัตติกาลจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัยกล่าวอาราธนาพร้อมรับศีลกับพระสงฆ์แล้วนั้นมันก็ให้ดูแปลกประหลาดชอบกล ไหนจะให้ร่วมถวายสังฆทานแล้วต่อด้วยถวายภัตตาหารอีก นี่มันใช่ทำบุญบ้านของครอบครัวเกียรตินาคินทร์จริงหรือ? แต่นั่นคือคำถามในใจก่อนที่จะได้รับพรจากพระสงฆ์ที่เจ้าบ้านนับถือเป็นอย่างมาก
“อาตมาขอให้โยมทั้งสองถือเอาฆราวาสธรรม ๔ ประการเป็นที่ตั้งสำหรับการครองเรือน ๑. คือ สัจจะ คือความจริงใจ ซึ่งเป็นรากฐานที่สำคัญที่สุดและเป็นรากฐานที่มั่นคงของความสัมพันธ์ที่ดีงาม จริงใจทั้งกาย วาจา และใจ
๒. คือ ทมะ หมายถึงการฝึกฝนปรับปรุง สำคัญในการจะทำให้เกิดความเจริญก้าวหน้า โยมทั้งสองต่างบ้านต่างเรือน ต่างการเลี้ยงดูต่างนิสัย สิ่งสำคัญนั่นคือการปรับตัวเข้าหากัน รู้จักข่มใจ รู้จักสังเกต ใช้สติในการพิจารณาปัญหา ในเรื่องการงานก็เช่นกัน ทมะคือคิดพิเคราะห์ เพื่อให้รู้ให้เข้าใจจึงจะสามารถปรับตัวและฝึกฝนปรับปรุงได้
๓. ขันติ หมายถึงความอดทน คนเมื่ออยู่ร่วมกัน ท่านว่าเหมือนลิ้นกับฟัน ย่อมมีโอกาสกระทบกระทั่งกัน จึงต้องมีความหนักแน่น ความเข้มแข็งในใจที่จะอดทนต่อสิ่งที่กระทบใจและกาย และความอดทนยังจะนำไปสู่เจริญก้าวหน้า ความมั่นคงที่พรั่งพร้อมไปด้วยความสำเร็จ
ประการสุดท้ายคือ จาคะ แปลว่าความเสียสละ ผู้ที่อยู่ร่วมกันต้องมีความเสียสละต่อกัน ในยามเจ็บไข้ได้ป่วย ในยามตกทุกได้ยาก จาคะเป็นเหมือนเครื่องยึดเหนี่ยวน้ำใจของกันและกัน คำนึงถึงความสุขของกันและกัน เอื้ออาทรต่อความทุกข์ของกันและกัน
อาตมาเห็นว่าไม่มีพรใดที่จะสำฤทธิ์ผลได้หากไม่เกิดการกระทำ ดังนั้นหากโยมทั้งสองถือเอาธรรม 4 ข้อนี้เป็นที่ตั้ง ชีวิตคู่ก็จะประเสริฐยิ่งกว่าการประสารทพรใด”ทิวาจรดมือลงกราบแนบอาสน์ด้วยดวงตาร้อนผ่าวคล้ายกับพร้อมจะผลิตน้ำร้อนๆได้ทุกเมื่อ เขาไม่กล้าหันหน้าไปสบสายตากับบุรุษที่นั่งข้างเคียงแม้จะพอจับเค้าถึงสายตาที่มองมาอยู่ก็ตาม เขาไม่คิดว่ามันจะเลยเถิดมาถึงขั้นนี้ ที่จริงด้วยความเป็นผู้ชายทั้งคู่ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำพิธีอะไรให้ยุ่งยาก แค่ผู้ใหญ่รับรู้...แค่ครอบครัวของรัตติกาลรับเขาได้ก็เพียงพอแล้วแท้ๆ
หลังจากนิมนต์พระสงฆ์ทุกรูปกลับ ก็ถึงเวลาเรียกเลือดให้ขึ้นมากองรวมกันบนใบหน้าของทิวา เมื่อผู้สูงวัยผลัดกันให้พรและผูกข้อไม้ข้อมือรับขวัญด้วยสายสิญจน์สีขาวสะอาดไม่ต่างจากงานแต่งงานแบบเรียบง่าย ในระหว่างที่เขาเอาแต่ขัดเขิน รัตติกาลเสียอีกที่ดูจะยิ้มมากกว่าทุกวัน และสุดท้ายแล้วเขาก็ได้รู้ว่าเอกสิทธิ์มาในงานนี้ทำไม
“นับจากนี้ ผมจะขอดูแลทิวเองนะครับ”
คำขอของคนรักที่มีต่อพี่ชายคนเดียวแทบจะทำให้เขื่อนน้ำตาทลาย ทิวาจำต้องเม้มปากสะกดความรู้สึกเต็มตื้นให้ไหลท่วมแค่ในอกเท่านั้น เพราะเขาคงอายจนมองหน้าใครต่อใครไม่ได้หากทำน้ำตาซึมออกมาในยามนี้
เหมือนตัวเองคือผู้ชนะ...
เหมือนว่าตัวเองได้โลกทั้งใบมาครอบครอง
เหมือนพบว่าความฝันทุกอย่างอยู่ในกำมือ
ความรู้สึกมันท่วมท้นจนบรรยายออกมาได้ไม่หมด รู้แค่ว่า... ‘
ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว’
...
...
...
...
“ที่รัก...ตื่นเถอะครับ”
...
...
ทิวาถูกปลุกด้วยคำพูดหวานๆ แบบนั้น แม้จะเปิดเปลือตามองท้องฟ้าแล้วยังเห็นแต่ความมืด หากเมื่อสบสีหน้าระรื่นของคนปลุกก็ทำเอาหงุดหงิดไม่ออก ลงท้ายแล้วเขาก็ต้องยอมตามใจ ลงไปเดินเล่นเรียบหาดทรายนิ่มนวลเพื่อรอดูอาทิตย์ขึ้น มันเคยเกิดขึ้นมาแล้ว ในครั้งนั้นเราแค่เดินเคียงกันไปเงียบๆ หากวันนี้เราจับมือกันและกันไว้ หันมายิ้มให้กันบ่อยเสียจนคำพูดใดๆ ก็ไม่จำเป็น
วันนั้นมีความสุข แต่วันนี้มีความสุขยิ่งกว่า
เหตุการณ์เดิม กับคนเดิมๆ แต่ที่รู้สึกเปลี่ยนไปเพราะหัวใจที่มีรักแล้วอย่างนั้นหรือ มันราวกับในตอนนี้ สิ่งที่เคยคิดว่าสวยงามนั้นก็ดูราวกับจะสวยงามขึ้นเป็นเท่าทวี
แสงสีส้มฉาดฉายขึ้นพร้อมกับดวงอาทิตย์ทาบทับปนเปไปกับแสงสลัวในยามค่ำคืน เป็นเวลาที่ทิวากับรัตติกาลบรรจบกันได้อย่างสวยงามจนไม่อาจละสายตา ในคราวนี้ไม่ใช่เสื้อเชิ้ตที่เขาได้นั่ง หากเป็นตักกว้างๆ ของอดีตเจ้าของเสื้อที่ลงไปนั่งขัดสมาธิรอกับผืนทรายอย่างไม่กลัวเปื้อน อบอุ่น ปลอดภัย และทำให้หัวใจมีชีวิตชีวา เขาเอนซบใบหน้าลงกับซอกคอที่กรุ่นกลิ่นเดียวกัน ปล่อยใจไปกับภาพธรรมชาติเบื้องหน้าจนเกือบจะเคลิ้มหลับไปอีกรอบ ถ้าไม่ติดเสียงกระแอมไอขัดไว้เสียก่อน
“ทำไม” ทิวาถามขึ้นเบาๆ จากการขยับตัวยุกยิกคล้ายจะพยายามหยิบบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง รัตติกาลยังคงมีรอยยิ้มติดริมฝีปากยามชูกล่องหลายเหลี่ยมสีดำให้เห็น แขนแกร่งสองข้างโอบล้อมร่างเขาไว้เพื่อเปิดมันออกให้เห็นต่อหน้า แหวนสองวงเรียบๆ ปักนิ่งอยู่บนเนื้อผ้ากำมะหยี่ นิ้วยาวหยิบวงที่ดูจะเล็กกว่าออกมาแล้ววางกล่องลงกับตักของเขา
รัตติกาลจับมือเขาไว้เพื่อบรรจงสวมแหวนวงนั้นเข้ากับนิ้วนางข้างซ้าย อันเป็นสัญลักษณ์ของการแต่งงาน ไม่มีคำพูดหวานหูใดออกมาจากปากดังเช่นทุกครั้ง นอกจากรอยจูบเบาๆ ที่ข้างแก้ม แต่เพียงเท่านั้นก็ตราตรึงเกินพอแล้วที่จะเก็บอยู่ในความทรงจำไปตลอด เขาหยิบกล่องใบเดิมขึ้นมาเพื่อหยิบแหวนวงสุดท้ายออกมา และสวมมันลงกับนิ้วนางข้างซ้ายของอีกฝ่ายที่ยื่นรอท่าไว้อยู่แล้ว เขาจุมพิตลงกับซอกคอหอมแทนคำรักและคำขอบคุณ
เรานั่งกันอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งแสงของวันใหม่ปกคลุมไปทั่วทุกพื้นที่ เราจูบกันอีกครั้งที่ริมฝีปาก แนบแน่น และเนิ่นนาน ก่อนจะลุกขึ้นเพื่อเดินต่อไป
เขายังจำได้...
ในวันที่รัตติกาลขอความรักจากเขา ขอไมให้เขาทอดทิ้งไป รัตติกาลบอกไว้ว่า
‘รักของเราไม่เท่ากัน’เขาไม่รู้ว่าต้องใช้หน่วยวัดใดพิสูจน์สิ่งๆ นั้น เพราะแม้แต่ตราช่างในหัวใจของคนเรา ก็ยังโอนเอนไร้ความยุติธรรม เขาไม่โทษหรือโกรธเคืองที่รัตติกาลจะคิดอย่างนั้น และเขาก็จะไม่แปลกใจเลยหากวันข้างหน้าตัวเองจะคิดแบบเดียวกัน เพราะยามที่มีรัก ตัวเราดูจะเล็กเสียเหลือเกินถ้าเทียบกับขนาดของหัวใจ
รัตติกาลคว้ามือเขาไปกุมอีกครั้งพร้อมกับมอบรอยยิ้มอบอุ่นให้ มันทำให้เขาคิดว่าจะอย่างไรก็ช่างเถิด ต่อให้จะดูตัวเล็กไปกว่านี้จนกลิ้งไปมาบนฝ่ามือได้ แต่ที่ที่มีผู้ชายคนนี้อยู่เคียงข้างคือสถานที่ที่เขามีความสุขมากที่สุด
ต่อให้คิดว่า ‘รักเราไม่เท่ากัน’ แต่ถ้ามันจะ ‘รักไม่น้อยลง’ เท่านั้นเขาก็พอใจแล้ว THE END
ไม่รู้ว่ามันจะจบสวยหรือเพียงพอกับสิ่งที่นักอ่านหวังหรือเปล่า
แต่ในความคิดของคนแต่ง มันคือการปิดฉากที่พอดีแล้ว คนทั้งคู่ฝ่าฟันมาหนักเกินกว่าจะโยนตัวร้ายใส่เข้าไปให้ต้องเจ็บอีก
นิยายเรื่องนี้ตั้งแต่แรกมันก็ดูโอเวอร์อยู่แล้ว(รึเปล่า?) แทนที่จะโยนมือที่สาม สี่ ห้า ลงไป
เปลี่ยนเป็นโยนเด็กเล็กๆ น่าตาจิ้มลิ้มเข้าไปในเรื่องดีกว่า ทิวาจะได้มีครอบครัวครบสมบูรณ์สมใจ
.....
ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่ติดตามกันมาอย่างยาวนาน และแม้หลายท่านจะถอดใจรอไปแล้วก็ต้องขอบคุณตามหลังมา ณ. ที่นี้ค่ะ
....
ขอบคุณทุกคอมเม้นท์ที่เป็นเหมือนน้ำมันให้รถเก่าๆ คันนี้ขับเคลื่อนไปได้ค่ะ
....
ขอบคุณทุกข้อความที่ส่งมาให้กำลังใจและถามไถ่กัน
----
ขอบคุณจากใจเลยค่ะ
----
L@DY MELLOW
[เหมียว]