ไปซ่อมมาแหล่ะ อแด็ปเตอร์เสีย เสียไปอีก 800-900 เดินดุ่มไปพันธุ์ทิพย์ หุหุหุ
Unit 34 แค่สายลม [50%]
ผมยื่นอยู่หน้าสิ่งก่อสร้างทรงสูงชะลูด ด้านในกลวงโบ๋ มีเพียงด้านล่างที่ทำจากวัตถุหนาเป็นเหล็กกล้าทรงสี่เหลี่ยม
มีประตูเพียงด้านเดียว ด้านหน้ายึดติดกับพื้นที่ว่างไม่กี่ตารางเมตร ก่อนจะเป็นเชิงบันไดที่มีความชันไม่กี่ขึ้นทอดยาวไปถึง
สามด้าน ด้านซ้าย และขวา กับด้านหน้า เพื่อให้แขกเหรื่อในงานเดินขึ้นมาแสดงความเคารพ และรำลึกถึงผู้ที่จากไป
เป็นวาระสุดท้าย หยาดหยดน้ำตาบางๆ ค่อยๆ ไหลเอื่อยราวกับคนเดินทอดน่องไปเรื่อย ไร้จุดหมาย และปลายทาง
ได้แต่เม้มปากแน่น แม้จะพยายามแล้วที่จะสะกัดกลั้นความรู้สึกที่ถาโถม แต่ความสูญเสีย......ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็เจ็บปวดเสมอ
“อย่าร้อง....ปัตทำดีที่สุดแล้วลูก ขอบใจนะปัตที่อยู่เป็นเพื่อนกับพี่เค้าจนวาระสุดท้าย” พ่อพี่พาร์ทเอ่ยเสียงแผ่วเบา
จนแทบไม่ได้ยินเสียง ผมยกมือขึ้นเกลี่ยน้ำตาเบาๆ ก่อนจะพยักหน้าตอบให้อีกฝ่ายสบายใจ
“ครับพ่อ พ่อก็อย่าเสียใจเลยนะครับ.พี่เค้าไปดีแล้ว” ผมเอ่ยตอบอีกฝ่าย ในเวลาที่เสียใจเช่นนี้ก็มีแต่คนที่เสียใจที่คอยปลอบ
โยน
กันและกัน ผมมองพ่อที่ดวงตาแดงก่ำบ่งบอกให้ทราบว่า....ผ่านการร้องไห้มามากในระดับหนึ่ง พยายามฝืนยิ้มจางๆ ให้กัน
“นึกไม่ถึงเลย ชีวิตคนเรานี่ไม่มีอะไรแน่นอนเลยจริงๆ เฮ้อ~ ป่ะ...ลูก ไปเคารพศพพี่เค้าเป็นครั้งสุดท้าย” ผมพยักหน้ารับ
เราทั้งคู่ตรงดิ่งไปยังเมรุที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า หลังจากแขกเหลื่อทั้งหลายได้วางดอกไม้จันทร์จนเกือบจะหมดแล้ว
ผมกับพ่อเดินไปต่อแถว ค่อยๆ สาวเท้าก้าวตามลำดับ จนใกล้ถึงบริเวณที่ตั้งศพ น้าสาวยื่นถาดดอกไม้จันทร์ให้พ่อ
ขณะที่พี่พาร์ทยื่นถาดดอกไม้จันทร์ให้กับผม เราสบตากันเล็กน้อย สายตาพี่พาร์ทที่ดูเป็นห่วงเป็นใยผมมากเป็นพิเศษ
ผมยิ้มน้อยส่งไปให้บอกให้อีกฝ่ายทราบว่า “ผมไม่เป็นไร” พี่พาร์ทพยักหน้าน้อย ๆ รับรู้ แล้วหันไปทำหน้าที่ต่อ
ผมปล่อยให้พ่อร่ำลาพี่ปิ่นก่อน
“ปิ่น....หนูเป็นเด็กดีมากนะลูก พ่อ......รักหนูเหมือนลูกพ่อคนหนึ่ง ชาตินี้เกิดมา ถือซะว่าทำกรรมมาน้อยนะลูก
ถึงเวลาที่เราไปรับบุญกุศลอยู่บนสวรรค์แล้วนะ อย่าห่วง อย่ากังวล ขอให้ไปดี ไปสู่ภพภูมิที่ชอบนะลูก หากชาติหน้ามีจริง
ก็ขอให้หนูได้เกิดมาอยู่ในที่ดี สมบูรณ์พร้อมทุกอย่างนะลูก” พ่อพี่พาร์ทว่าเสียงสั่น ผมเห็นพ่อแอบเช็ดหยาดน้ำตาไหล
คลอแก้มเบาๆ สีหน้าเศร้าโศกเหลือเกิน พ่อขยับตัวไปพื้นว่างข้างๆ หันมาพยักหน้า บอกให้ผมไปร่ำลาพี่เค้าเป็นครั้งสุดท้าย
ผมก้าวเท้าไปหยิบตรงหน้า หยิบดอกไม้จันทร์วางลงในไปในโลงไม้ ที่ตอนนี้มีพี่ปิ่นนอนสงบนิ่งอยู่ในนั้น มือถือดอกบัวพนมไหว้
มีสาญสิจน์พันรอบ ใบหน้าสงบนิ่งราวกับแค่คนนอนหลับ ต่างกันก็แค่....สีผิวที่ดูจะซีดกว่าตอนปกติมากไปหน่อย
“พี่ปิ่นครับ... ขอบคุณที่เข้าใจผมกับพี่พาร์ท ขอโทษที่ผมช่วยอะไรพี่ไม่ได้ ทำให้พี่มีความสุขไม่ได้ ปัต...ปัต.. เสียใจ ฮึกๆ
ถ้าชาติหน้ามีจริงขอให้พี่เกิดมาสุขภาพแข็งแรง และสมหวังในเรื่องของความรักนะครับ ” ผมกระซิบเสียงแผ่วเบา ๆ
พ่อลูบหัวผมปลอบใจ ผมเช็ดน้ำตาอีกครั้งหันไปประครองพ่อที่ดูเหมือนจะหมดแรงเดินต่อไม่ไหว ค่อยๆ เดินลงไป
เมื่อถึงเวลาประชุมเพลิง บรรดาญาติทั้งหลายก็ลงมาจากเมรุ ภาพเปลวเพลิงค่อยลุกโชนขึ้น ประตูเมรุถูกปิดลงไม่นาน
หลังจากนั้น ไม่ช้าไม่นานแขกเหลือก็ทะยอยกันร่ำลาเจ้าภาพและกลับไป.....จนเหลือแต่เหล่าบรรดาญาติ กับคนสนิท
ไม่ถึงสิบคน ผมกับพ่อนั่งลงบนเก้าอี้ใต้เต็นท์ที่กางไว้ห่างจากเมรุประมาณ 5-10 เมตร มองภาพควันไฟ ที่กำลังพวยพุ่ง
สู่อากาศ ควันสีดำโขมงค่อยๆ จาง ค่อยๆ จาง หลังจากลอยสู่ที่สูง จนสลายไปกลายเป็นแค่สายลมจางๆ ที่มองไม่เห็น
ทุกๆ อย่าง ดำเนินไปเรื่อยๆ ตามแบบฉบับของมัน เหลือเพียงร่องรอย....น้ำตา ร่องรอย....ของความเศร้าโศกเสียใจ
พี่พาร์ทเดินตรงมานั่งลงข้างๆ ผม มือแข็งแรงยื่นมากุมผมแน่น....ใบหน้าคมยังคงจ้องมองมาที่ผมด้วยความห่วงใย
“ไม่เป็นไรนะ...อย่าคิดมาก”
“ครับ”
.
.
เกือบๆ สี่ทุ่มหลังจากช่วยงานเสร็จสิ้น ผม พ่อ และพี่พาร์ท ก็ขับรถกลับไปยังบ้านของพ่อ ตอนนี้เรามาอยู่ที่นี่เป็นการชั่วคราว
อดจะเป็นห่วงพ่อไม่ได้ แม้พ่อจะดูเข้มแข็งยังไง...แต่ในบางเสี้ยวในจิตใจคนเรามันก็อ่อนแอไม่รู้ตัว ผมกับพี่พาร์ทเลยอาสา
มาพักอยู่ที่นี่จนกว่าทุกอย่างจะเข้าที่ขึ้น ...... หลังจากเหนื่อยล้ามาทั้งวัน ต่างฝ่ายก็ต่างอาบน้ำ แล้วทิ้งตัวลงนอน
พอหัวถึงหมอนก็หลับเป็นตาย แต่.....อาจจะยกเว้นผมไว้คนหนึ่งที่ ตามันแข็งจนนอนไม่หลับ เลยได้แต่คิดอะไรไปเรื่อยเปลื่อย
ทบทวนทุกอย่าง ภาพวนไปวนมาในหัวอย่างห้ามไม่ได้ ภาพคืนนั้นที่ผมกับพี่พาร์ทคืนดีกัน
.
.
“แล้วเราจะช่วยพี่ปิ่นได้ยังไงหล่ะครับ ปัต...ปัตอยากให้พี่ปิ่นได้มีความสุขบ้าง อย่างน้อยๆ ก็ชีวิตที่เหลือ”
“ก็ไม่ยังไง ... เราก็ดูเราเค้าเหมือนเดิมในแบบเดิม เพียงแต่เราจะช่วยกัน ช่วยให้ปิ่นมีความสุขมากขึ้นไง”
“ยังไงหล่ะครับ?”
“แค่ใช้หัวใจเรา...เอาใจใส่ดูแลเค้าไง?”
“แล้วยังไงหล่ะฮะ? ปัตไม่เข้าใจ”
“ปัต...ตอนเราไปเยี่ยมเคยเห็นปิ่นร้องไห้รึเปล่า?” ผมส่ายหน้าช้าๆ ยังไม่เข้าใจความหมายที่พี่พาร์ทกำลังจะสื่อ
“แล้วปัตเคยเห็น ปิ่นทำท่าทางเจ็บปวด เสียใจ ในเรื่องความเจ็บป่วยรึเปล่า?” ผมส่ายหน้าอีกครั้งแทนคำตอบ
“เรารู้มั้ย....ว่าพี่เค้าร่างกายไม่รับอาหารแล้ว ทุกครั้งที่ทานจะต้องอาเจียรออกมาไม่มาก ก็น้อย” ผมพยักหน้าช้าๆ
พี่พยาบาลก็เคยบอกอยู่บ่อยๆ แต่ไม่เคยเห็นเองสักครั้ง
“แล้วปัตรู้มั้ย ....ทำไมปิ่นยังทานข้าวทุกวัน ทั้งๆ ที่เป็นแบบนั้น?”
“ไม่ฮะ”
“เพราะว่าปิ่นเองไม่ต้องการให้ใครเป็นห่วง ปัต....พี่ว่าปิ่นเป็นคนที่มีจิตใจเข้มแข็งมากๆ ปิ่นเค้ารู้ว่าตัวเองเป็นอะไร
แต่ก็ยังยิ้ม อาจจะเจ็บ อาจจะเสียใจ แต่พี่ว่าปิ่นไม่ต้องการให้ใครมาสงสาร และไม่อยากเป็นภาระใคร
เพราะที่ปิ่นทำอยู่ทุกวันนี้ ก็คือพยายามเข้มแข็ง พยายามมีความสุข เพื่อให้คนที่อยู่ใกล้ๆ ไม่ต้องเป็นห่วง หรือเป็นกังวล
ถ้าปัตกำลังทำอะไรที่เป็นการสงสารปิ่น หรือแม้แต่เพราะเธอเป็นสาเหตุให้ปัตต้องเสียใจ พี่ว่าปิ่นจะไม่มีความสุข
บางครั้งพี่ว่าปิ่นเองก็ไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าการมีเพื่อนสักคนอยู่ข้างๆ รับฟัง พูดคุย หรือแม้แต่มีโอกาสที่เธอ
จะมอบความสุขให้คนรอบตัวให้รู้ว่าถึง -คุณค่า ของตัวเอง - เพื่อที่จะศรัทธา และมีกำลังใจให้ยังมีชีวิตอยู่ต่อไป
ถึงเราจะอยากช่วยเหลือหรือหวังดีต่ออีกฝ่ายสักแค่ไหน แต่ปัตอย่าลืมว่า....เราคนธรรมดาๆ คนหนึ่ง ไม่สามารถ
ดลบันดาลทุกอย่างให้เป็นไปอย่างที่เราปรารถนาได้ ฉะนั้นก็จงทำแค่พอที่เราจะทำได้ก็พอ แต่อย่าให้ถึงขั้น ...
ทำร้ายตัวเอง และคนรอบตัวนะครับ เข้าใจมั้ย?” พี่พาร์ทหันมามองผมด้วยสีหน้าจริงจัง มันรู้สึกผิดจนน้ำตาซึม
มัวแต่คิดอะไร....ก็ไม่อยู่คนเดียว คิดเองเออเอง แล้วก็เจ็บเอง ผมพยักหน้าในที่สุด ซบหน้าลงกับอกกว้างของอีกฝ่าย
“ขอโทษฮะ”