21
“อะ...อะไร ไปเอามาจากไหน”
ผมพยายามควบคุมเสียงตัวเองไม่ให้สั่น ทำหน้าตาไม่ให้ไอ้เขียนจับผิดได้ แต่ผมรู้...ผมไม่ใช่คนโกหกเก่ง...
“กูว่าแล้วว่ามันแปลกๆ”
เขียนว่าเสียงแข็ง ก่อนกระชากเสื้อนักศึกษาผมเสียเต็มแรง
“ไอ้เขียน ทำอะไร-”
“รอยพวกนี้มันเป็นคนทำใช่มั้ย!”
“ห...หา”
ผมพยายามเสแสร้งไม่เข้าใจทั้งที่ใบหน้าตัวเองตอนนี้คงซีดเผือก ไม่คิดว่าไอ้เขียนจะสังเกตร่องรอยจากการกระทำไอ้ฉางเมื่อคืน ผมพยายามนึกหาข้อแก้ตัวในหัวสุดความสามารถ
“ปกติมึงไม่ชอบให้ใครทำรอยนี่...และถ้ามึงไปเที่ยวผู้หญิง มีหรือที่กูจะไม่รู้ บอกกูมาข้าว...ไอ้เหี้ยฉางเป็นคนทำใช่มั้ย”
“...”
ผมรู้...ผมโกหกมันไม่ได้หรอก ไอ้เขียนอยู่กับผมมานานเกินไป นานจนเราล่วงรู้นิสัยของกันและกันดีเกินไป ผมรู้ว่าผมไม่มีวันโกหกมันได้ พอๆ กับที่มันรู้ว่าผมเป็นคนยังไง
“ถ้าใช่...แล้วไง”
“มึงว่าไงนะข้าว”
ผมปัดมือไอ้เขียนที่ขยุ้มคอเสื้อผมออกไป พลางเอ่ยเสียงดัง “ถ้าใช่แล้วไง! กูกับฉางคบกัน ทำเรื่องแบบนี้กันแปลกตรงไหน”
“มันไม่แปลกตรงไหนล่ะวะ ไอ้ฉางมันเป็นผู้ชายนะข้าว!”
“กูรู้ เพราะรู้ถึงไม่บอกมึงไง ทำไม ไอ้ฉางเป็นผู้ชายแล้วไง กูรักผู้ชายไม่ได้หรือไง”
ไอ้เขียนส่ายหน้าพร้อมถอนหายใจเฮือกใหญ่ “เอาอะไรมาคิดว่าได้”
“แล้วมึงเอาอะไรมาคิดว่าไม่ได้ เขียน...ความรู้สึกมันบังคับไม่ได้หรอกนะ ในเมื่อกูชอบมันไปแล้วจะให้กูทำยังไง”
“มึงไม่ใช่เกย์นะข้าว”
“กูเป็นไม่เป็นแล้วเกี่ยวอะไรด้วย กูแค่มีคนที่ชอบก็เท่านั้น เขียน...มึงอย่าอคติได้มั้ยวะ”
“กูไม่ได้อคติ แต่สิ่งที่มึงทำมันไม่ถูก มันไม่ปกติ มึงไม่รู้ตัวหรือไงวะข้าว คบกับผู้ชายเนี่ยนะ มึงคิดว่ามึงจะมีความสุขไปได้ตลอดเหรอ”
“แต่ตอนนี้กูก็มีความสุขดีนี่”
“ข้าว...มึงไม่เข้าใจ”
“มึงต่างหากที่ไม่เข้าใจ เขียน...ฟังนะ กูไม่ได้ผิดปกติ กูเป็นคนที่มีความรักเหมือนคนทั่วไป แค่คนที่กูรักเป็นผู้ชาย”
“ก็นั่นแหละที่ผิดปกติ กูถึงบอกว่ามึงไม่เข้าใจไง!” ไอ้เขียนตวาดเสียงดัง ทำให้อารมณ์หงุดหงิดที่คุกกรุ่นอยู่ในอกผมปะทุระเบิดออกมาอย่างตั้งสติไม่ได้
“มึงนั่นแหละที่ไม่เข้าใจ! กูจะไปชอบใครแล้วมันเกี่ยวอะไรกับมึงด้วย!”
“ข้าว...มึงก็รู้อยู่แก่ใจ รู้ทั้งรู้แท้ๆ”
“...”
“กูให้ตัวเลือกมึง ถ้าไม่เลิกกับมัน ก็เลิกคบกู”
ความเงียบเข้าปกคลุมเมื่อผมไม่สามารถหาคำพูดอะไรโต้ตอบมันได้ ผมเบิกตากว้าง ไอ้เขียนเอ่ยประโยคไม่สมเหตุสมผลออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ไม่ทันจะได้ขัดอะไร มันก็หมุนตัวหนีไป เอ่ยปิดท้าย
“ได้เวลาเรียนแล้ว” พร้อมกับเดินจากไปอย่างไม่คิดเหลียวหลังกลับมา...
ผมไม่ได้เข้าเรียนคาบนั้น ปกติถ้าไม่จำเป็นผมจะไม่โดดเรียน แต่ครั้งนี้...ผมทำใจไปเรียนไม่ไหวจริงๆ...
ได้แต่หนีปัญหามาทรุดตัวในซอกหลืบของอาคาร ทิ้งตัวนั่งอย่างหมดแรง...ผมสับสนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ผมรู้อยู่แก่ใจอย่างที่มันว่า แต่ไม่เคยคิดว่าไอ้เขียนจะอคติมากถึงขนาดนี้ มากขนาดที่จะตัดความเป็นเพื่อนที่มีมายาวนานกว่าสิบปีนี้ได้ลง...
ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าตัวเองต้องเลือกใครสักคนระหว่างเพื่อนกับคนรัก สำหรับผม เป็นสิ่งสำคัญทั้งคู่
ปกติแล้ว...มิตรภาพมันตัดกันได้ง่ายๆ ขนาดนี้เลยเหรอวะ
ที่ผ่านมาผมไม่เคยไปยุ่งผู้หญิงของไอ้เขียน รู้มาว่าบางคนนิสัยร้ายกาจ แต่ก็แค่บอกเตือน ไม่ได้ก้าวก่ายถ้ามันคิดจะคบ แต่เพราะเป็นไอ้เขียนที่ไม่เคยจริงจังในเรื่องแบบนี้ด้วย ผมจึงคิดว่าไม่เป็นไร อย่างน้อยมันก็น่าจะเลือกคบคนดีๆ อย่างจริงจังสักวัน
อีกหนึ่งสาเหตุเพราะผมได้ให้สัญญากับมันแล้ว...ว่าหลังจากเข้ามหาลัย ขอให้มันทำตัวตามใจชอบ ทำตามใจอยาก ไม่ต้องมาเฝ้าห่วงผมเหมือนที่ผ่านมา...
ผมรู้ ที่ผ่านมาไอ้เขียนมีแต่ความหวังดีให้ผมมาเสมอ
มีเพียงครั้งนี้ ที่ผมรับความหวังดีจากมันไม่ไหว...
ผมนั่งนิ่ง ทบทวนคิดเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านมาคนเดียว ไม่เข้าใจว่าทำไมเขียนถึงต้องบังคับให้ผมต้องเลือก ผมรู้ถึงเหตุผลของไอ้เขียนที่ไม่อยากให้ผมคบเพศเดียวกัน แต่ไม่เข้าใจความไม่สมเหตุสมผลของการเกลียดการรักร่วมเพศของมัน ไม่เข้าใจว่าทำไมมันถึงไม่เข้าใจผมเหมือนเมื่อก่อน...ปกติแล้ว...ไม่ว่าผมจะมีเรื่องอะไร ไอ้เขียนจะเป็นอยู่ข้างผมเสมอ
แล้วทำไมครั้งนี้ถึงไม่เป็นเหมือนครั้งก่อนๆ เสียแล้ว
ผมเสียไอ้เขียนไปไม่ได้ ถึงอย่างนั้น ผมก็ไม่อยากเสียฉางไปเหมือนกัน
สองสิ่งสำคัญคล้ายกับให้เลือกหัวใจกับสมอง แน่นอนว่าไม่มีทางเลือกได้ ขาดอะไรสักอย่าง ผมไม่ต่างจากคนตาย ถึงอย่างนั้นผมก็ต้องหาทางออกให้กับเรื่องนี้ ปกป้องให้ได้ทั้งสมองและหัวใจ
แต่ต้องทำยังไง
น้ำตาผมกลั่นออกมาเป็นสาย เมื่อทบทวนทุกอย่างแล้วพบว่าทางเลือกที่คิดได้นั้นมีแต่ต้องทำร้ายหัวใจตัวเอง ปล่อยเวลาผ่านไปอย่างไร้ค่า ใช้ระยะเวลาทำใจนานเสียจนใกล้ถึงเวลาเลิกเรียน
ผมรวบรวมความกล้า กดโทรออกหาฉาง ไม่นาน ปลายสายก็รับ
“ข้าว ว่าไง”
ไอ้ฉางตอบรับเสียงใส ผมเสียใจที่ไม่สามารถพูดขยายความอะไรไปได้มากกว่า...
“ฉาง...ต่อจากนี้ไป...เราไม่เจอกันสักพักนะ...”
ว่าแค่นั้นก่อนกดตัดสายแทบทันที ไม่ขอรอฟังความเห็นของมัน
หลังจากที่วางสายจากฉาง กดบล็อกเบอร์มันไว้สักพัก ยังไม่ใช่ตอนนี้...ผมยังเรียบเรียงคำพูดมาอธิบายมันไม่ได้ สิ่งที่ผมทำได้มีแค่เท่านี้...
ผมรอจนถึงเวลาเลิกเรียน ดักเจอไอ้เขียนก่อนเดินควบคู่มันไปเงียบๆ เมื่อเส้นทางเริ่มไร้ผู้คน ผมเอ่ยกับมัน
“กูจะไม่ยุ่งกับฉางแล้ว พอใจมั้ย”
“มาก”
เขียนว่าก่อนเอื้อมมือมาขยี้หัวผม นั่นทำให้ผมเงยหน้าไปเห็นรอยยิ้มของมัน เพื่อนสนิทเพียงคนเดียวในชีวิตที่ไม่คิดว่าจะหาได้จากไหนอีกแล้ว...ถึงอย่างนั้น รอยยิ้มของมันกลับทำให้ผมปวดใจจนแทบจะร้องไห้ออกมาอีกรอบ
...ผมปฏิเสธไปกินข้าวเย็นกับมัน เดินออกไปยังเส้นทางไม่คุ้นเคย
คืนนั้น ผมไม่ได้กลับหอ จากสาเหตุที่รู้ดีกัน ผมไม่อยากกลับไปเจอไอ้ฉางแล้วร้องไห้โวยวายใส่มันหรือทำอะไรงี่เง่าอย่างการระบายอารมณ์ใส่ ฉางไม่ผิด ผิดที่ผมเอง อีกทั้งถ้าเจอมันคงผิดคำพูดทีได้ให้ไว้กับไอ้เขียน ผมอยากจัดการปัญหาตรงนี้ด้วยตัวเองก่อน เพราะไอ้เขียนเป็นเพื่อนผม...คงมีแค่ผมที่รู้ว่าต้องรับมือกับมันยังไง
ในตอนนี้การไม่ต้องเจอไอ้ฉางเป็นทางเลือกทางเดียวที่ผมคิดออก
เสียใจ...ที่ต้องบอกเช่นนั้นกับไอ้ฉาง เนื้อความสั้นๆ ที่ไม่ได้อธิบายอะไรเลยคงทำให้มันสับสนและเป็นกังวลอยู่ไม่น้อย แต่ผมพูดมากไปกว่าประโยคนั้นไม่ได้ แค่ประโยคเดียว ผมก็กลั้นเสียงสั่นให้เป็นปกติแทบไม่ไหวแล้ว ผมไม่อยากให้มันรู้ว่าผมร้องไห้
ความรู้สึกที่ผมมีต่อไอ้ฉางเป็นของจริง ผมรักชอบมันจริง ไม่อยากทำให้มันเสียใจ เพียงแค่...ตอนนี้ ผมยังไม่มีวิธีรับมือที่ดีกว่านี้ รู้ทั้งรู้ว่าบอกไปเช่นนั้นมีแต่จะทำให้ไอ้ฉางร้อนใจ หากแต่ถ้าให้คำอธิบาย ก็เกรงว่าผลลัพธ์คงไม่ต่างกัน ถึงอย่างนั้น ผมก็ไมได้ใช้คำว่าเลิก...อย่างที่เขียนได้เอ่ยคำขาด...
ผมรู้...ผมกำลังหนีจากทุกอย่างอีกแล้ว ...อีกแล้ว เหตุการณ์ซ้ำซากเกิดขึ้นเพราะความอ่อนแอไม่เอาแน่เอานอนของผมตลอด ผมตัดฉางไม่ได้ พอๆ กับเสียเขียนไปไม่ได้
ผมไม่ได้มานอนหอไอ้เขียนหรอก แม้ว่ามันจะเสนอมาก็ตาม ดูท่าไอ้เขียนเองก็ไม่อยากให้ผมกลับไปเจอฉางเหมือนกัน ผมในตอนนี้ หาคำมาเถียงเพื่อนสนิทไม่ได้ เก่งแต่หนีเท่านั้นจนนึกสมเพชตัวเอง
“อาบน้ำมั้ยข้าว”
“อืม”
ส่งเสียงตอบเจ้าของห้อง เติมเต็มเป็นที่พึ่งเดียวที่ผมนึกออกในตอนนี้ คนอย่างมันไม่เป็นฝ่ายเอ่ยถามก่อนถ้าผมไม่เล่า แต่ความเป็นห่วงของมันเป็นของจริง แม้ไม่พูด แต่ก็แสดงออกมาชัดเจน สภาพผมตอนนี้ใครเจอก็ต้องรู้ว่าไม่ใช่สภาพที่พร้อมจะโต้ตอบกับใครได้ เต็มเองก็เข้าใจตามนั้น มันไม่ว่า ไม่ถาม ยินยอมให้ผมบุกรุกขึ้นห้องมันมาแต่โดยดีทั้งๆ ที่หอมันไม่ได้ใกล้หอผมเอาเสียเลย แต่ก็ยังลงแรงมารับผมถึงที่
แม้ว่าตั้งใจจะจัดการเรื่องนี้ด้วยน้ำแรงของตนเองแค่คนเดียว แต่จนกระทั่งได้ให้สายน้ำขับความคิดที่ถาโถม ทำให้ใจเย็นลงพอที่จะเรียบเรียงเรื่องราวต่างๆ ได้แล้ว ผมกลับเลือกที่จะเล่าเรื่อง ระบายความอึดอัดนี้ให้เติมเต็มได้รับรู้
“กูคบกับฉาง”
“...อ่า”
“รู้มาก่อนไหม”
“คิดว่า…มีช่วงหนึ่งที่ไอ้ฉางเอาแต่ถามกูเรื่องมึง เลยคิดว่ามันน่าจะจีบมึง”
“...”
“แล้วมันก็เงียบไป เดาว่าคงจีบติดแล้ว คนอย่างไอ้ฉาง ถ้ามันยังไม่ได้ดั่งใจ ไม่มีทางที่เงียบหายไปเฉยๆ หรอก”
“...”
“แล้วไงต่อล่ะ มีปัญหากันเหรอ”
“กูเหมือนจะต้องเลิกกับมันแล้ว...”
“หา”
“...”
ผมเงียบ เรียบเรียงคำพูดในสมอง
“เขียนไม่ให้กูคบกัน”
“แล้วไงวะ มึงก็เชื่อคำพูดมันเนี่ยนะ อย่ามาตลกหน่อยเลยข้าว สภาพมึงตอนกูเห็นโคตรย่ำแย่ คงไม่ใช่เพราะเรื่องแค่นี้หรอกใช่มั้ย”
“...มันบอกว่า ถ้าไม่เลิกคบกับฉาง ก็เลิกเป็นเพื่อนมัน” ปัญหาเรื่องเขียน ค้างคาและเรื้อรังมาตั้งแต่ไอ้ฉางเริ่มเข้ามาในชีวิต รู้ทั้งรู้ว่ามันจะต้องไม่พอใจ แต่ไม่เคยคิดว่าจะถึงขั้นนี้ ผมคิดว่าไอ้เขียนจะเป็นคนที่เข้าใจผมมาโดยตลอด
รู้ทั้งรู้ว่าไม่ได้มีแค่เรื่องไอ้เขียนเท่านั้นที่ทำให้ผมต้องตัดใจจากฉาง
รู้ดีเสมอ...เพียงแค่ฝังมันเอาไว้ส่วนลึกสุกของหัวใจ เฝ้าหลอกตัวเองไปทุกวันว่าอยู่กับไอ้ฉางไปอย่างนี้เรื่อยๆ ก็ได้ ไม่เห็นเป็นไร ทั้งๆ ที่ความจริงที่มีชื่อว่าเป็นไปไม่ได้จ่ออยู่ตรงหน้าแท้ๆ
“...”
“กูควรทำไงดีเต็ม...”
เมื่อมีหลายปัจจัยเกิดขึ้น ทางออกที่คิดได้จึงมีแต่ความมืด ผมถามเพื่อนข้างกายอย่างจนใจ สุดท้าย ผมก็ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่อีกครั้ง
วันนั้นทั้งคืน ผมเอาแต่ร้องไห้โวยวายใส่ไอ้เต็ม สภาพดูไม่ได้เอาเสียเลย
.
XXI
คืนนั้น...ข้าวไม่กลับห้อง ข้าวโกรธผมเรื่องอะไร? ผมใช้เวลาคิดเรื่องนี้ทั้งคืน พอๆ กับพยายามติดต่อข้าวทั้งคืน หลังจากจบคำพูดไร้เหตุผล ผมก็ติดต่อข้าวไม่ได้อีก ไม่รู้เลยว่าข้าวเป็นอะไร จู่ๆ มาบอกไม่ให้เจอกัน จะทำได้ยังไง ในเมื่อผมอยู่กับข้าวมาตั้งนานขนาดนี้ รักเขามาจนปล่อยไปไม่ได้ขนาดนี้แล้ว
วันต่อมาผมไปตามหาถึงคณะ พบว่าข้าวไม่มาเรียน ไม่รอช้าพุ่งเข้าไปหาเพื่อนสนิทข้าวอย่างไม่เต็มใจ ข้าวไม่มีเหตุผลที่จะต้องพูดอย่างนั้น เรื่องที่ข้าวจะโกรธผมมันไม่น่ามากพอที่จะทำให้เขาหนีหายไปแบบนี้ เพียงแต่ผมไม่รู้ว่าทำไม...จึงคิดว่าถามเพื่อนข้าวน่าจะได้ความกว่า ผมตั้งใจมาคุยดีๆ
แต่ผมไม่คิดเลยว่าเหตุผลมันจะยิ่งใหญ่กว่าที่คิด
เมื่อเขียนบอกว่าไม่ต้องการให้ผมกับข้าวคบกัน
“กูไม่ยอมให้เพื่อนกูเป็นเกย์หรอก ชายรักชายอะไร น่าขนลุกจะตาย มันไม่ใช่ความรักหรอก”
“...”
“มึงก็ปล่อยเพื่อนกูไปเถอะ ข้าวจะมีความสุขกว่านี้ถ้าได้คบกับผู้หญิงดีๆ แต่งงานมีชีวิตคู่ที่สมบูรณ์ ไม่ใช่มาจมกับพวกรักร่วมเพศอย่างมึง”
“...เขียน ผมว่าคุณเข้าใจอะไรผิดไป ความรักเกิดจากความรู้สึก...ไม่ใช่เพศ”
“ผิดยังไง ความรักเป็นสิ่งที่คู่กับชายและหญิง เรื่องระหว่างพวกมึงมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ถ้ามึงยังคบกันต่อไป คนอื่นจะมองข้าวยังไง”
“ต้องสนด้วยเหรอ”
“มึงมันเห็นแก่ตัวอย่างนี้ไง ไม่เข้าใจเหรอว่าความรักของเพศเดียวกันมันฉาบฉวย ไม่ยั่งยืนหรอก มีแต่จะถูกนินทาเสียเปล่าๆ”
“แล้วความรักของคุณยั่งยืนเหรอ การที่คุณไปรักชอบเพศตรงข้ามมันยาวนานนักหรือ แล้วคิดว่าการที่คุณเที่ยวคบผู้หญิงไปเรื่อยๆ นี่จะไม่โดนนินทาเลยหรือ”
“อันนั้นกูไม่เรียกว่ารัก ถ้ากูจะรักใครมันก็ต้องเป็นไปตามปกติที่ควรจะเป็น ได้แต่งงานอยู่กินกันไปนานๆ และอย่างน้อยที่กูเที่ยวคบใครต่อใครก็เกิดจากความเต็มใจของทั้งกูทั้งเขา”
“คนหย่าร้างกันมีถมไป อะไรเป็นเรื่องการันตีว่าผู้หญิงกับผู้ชายจะรักกันยืนยาวนานตลอดไป”
“อย่างน้อยรักของชายกับหญิงก็ยาวนานกว่า อย่างน้อยก็ไม่ต้องเสียหน้าตาทางสังคม มึงเลิกถามทีเถอะ แขยงว่ะ”
ผมถอนหายใจ คนหัวดื้อตรงหน้าพยายามอ้างเอาเหตุผลไร้สาระยกขึ้นมาและคิดว่ามันคงเป็นสิ่งที่ถูกต้องในกรอบกะลาของเขา
“...ก็อยู่ที่ว่าสังคมที่พวกคุณอยู่เป็นอย่างไร จริงอยู่ที่ว่าอาจจะไม่ใช่ทุกคนที่ยอมรับเรื่องนี้ได้ แต่ผมเชื่อว่าข้าวอยู่ในสังคมที่เปิดใจยอมรับในเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว แต่ถ้าเป็นสังคมหัวโบราณยุคไดโนเสาร์แบบพวกคุณ...ก็คงคิดว่ามันเป็นปัญหา”
“ไอ้...!”
“ผมแค่มาคุยด้วยดีๆ เท่านั้น ข้าวไม่กลับหอ ติดต่อไม่ได้ คุณรู้หรือว่าข้าวไปไหน”
“...ถึงกูรู้ กูก็ไม่จำเป็นต้องบอกมึง”
“ถ้าคุณรู้จริง คุณคงไม่ปล่อยให้ข้าวโดดเรียนอย่างนี้หรอก ถ้าคุณเป็นเพื่อนเขาจริงๆ ล่ะก็นะ...”
“อย่ามาพูดดี! กูกับข้าวคบกันมานานกว่ามึงจะรู้จักกันด้วยซ้ำ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องรู้ว่าข้าวเป็นคนขยันเรียน การทำให้ข้าวโดดเรียนแบบนี้ไม่ใช่เรื่องดีเลย...”
“...อย่ามาเสือก มึงมันก็แค่ไม่รู้อะไรเลย”
“ผมแค่มาพูดด้วยดีๆ แค่อยากรู้ว่าข้าวไปไหน สบายดีหรือเปล่า แต่วันนี้ก็พอรู้สาเหตุที่ทำให้ข้าวเป็นแบบนี้แล้วล่ะ ถ้าข้าวไม่ได้อยู่กับคุณก็คงเพราะข้าวไม่สามารถพึ่งคุณได้”
“...ข้าวแค่ยังไม่เข้าใจ การที่กูเลือกสิ่งดีๆ ให้กับเพื่อนมันผิดตรงไหน ผู้ชายรักกัน มึงก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้”
“ผมว่ามันมีอะไรยืนยันความรักได้ตั้งมากมายมากกว่าคำว่าเพศ”
“ถึงจะพูดยังไงกูก็ยืนยันคำเดิม มึงจะไปรักใครก็ได้ที่ไม่ใช่ข้าว ผู้หญิงที่เหมาะสมกับข้าวมีตั้งมากมาย อย่าดึงให้เพื่อนกูตกต่ำไปด้วยความรักกลวงๆ ของมึงเลย”
“...อย่างน้อยความรักของผมที่มีต่อข้าวมันลึกซึ้งพอที่จะบอกว่ามันเป็นความรักที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวและแค่กับคนเดียว”
“ก็ดีแค่พูด เอาอะไรมาพิสูจน์ล่ะ”
“ความรู้สึกไง”
“เหอะ แค่คำพูดน้ำเน่า ใครก็พูดได้ คิดว่ามันมองกันออกง่ายๆ หรือไง”
“เขียน...คุณรักพ่อแม่คุณไหม?”
“อะไร? ก็ต้องรักสิ”
“...พิสูจน์สิ”
“...”
ครานี้ ไม่มีคำพูดอะไรออกจากปากคนตรงนี้ มีเพียงท่าทียึกยัก อ้าปากพะงาบคล้ายพยายามหาคำมาเถียงต่อ ผมเหนื่อยที่จะต้องพูดคุยให้คนหัวดื้ออย่างเขียนฟังแล้ว และคิดว่าข้าวก็คงพยายามแล้วเหมือนกัน เขียนถึงได้มีท่าทีออกมาเช่นนี้ ท่าทีที่แสดงออกว่าข้าวเองก็ไม่รับฟังเขียน ผมไม่ยอมแพ้หรอก เพียงแต่ต้องใช้เวลากันสักหน่อย
“ผมไม่โกรธคุณหรอก เพราะคุณเองก็หวังดีกับข้าว ผมไม่โกรธข้าวด้วยที่เลือกมิตรภาพมากกว่าผม แต่ที่มาพูดด้วยแค่หวังว่าคุณจะเข้าใจว่าความรักมันไม่ได้ถูกจำกัดด้วยอะไรทั้งนั้น...”
“...”
“ถ้าคุณคิดว่าจะดูแลและทำให้ข้าวมีความสุขได้ ผมก็ฝากด้วย”
“...”
“ถ้าข้าวยอมให้คุณดูแลล่ะก็นะ...”
♦ ♦ ♦ ♦ ♦ ♦